จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
26 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 20

ตอนที่ 20
วงล้อกงเกวียน




                 ไร่เหมวัตเงียบสงบเหมือนที่เคยเป็นมาหลายปี จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้มีนักศึกษากลุ่มใหญ่อยู่ที่นี่ วิมุตติเหลียวหาเจ้าภูวิษะที่เมื่อสักครู่ยังยืนอยู่ที่ระเบียงบนเรือนก็พบแต่ความว่างเปล่า ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจจะค้นหานักเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าจะพบตัวได้ที่ใด จึงกลับไปที่เรือนพักริมน้ำของเอง แม้ไม่พบใครอยู่ภายในเรือน แต่เมื่อออกมาที่ระเบียงริมน้ำ ก็แลเห็นคนกำลังหาตัวอยู่นั่งบนโขดหินสูงห่างเรือนไปไม่ไกลดังที่คาดไว้



                 "ภูวิษะ...ท่านคิดสิ่งใดอยู่?" เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบในทันที เขาจึงถามซ้ำ



                 "หากเป็นเรื่องของเทวีน้อยอีกไม่นาน..."



                "เงียบเถิด!!" เสียงกึ่งตวาดดังมาทั้งที่ริมฝีปากระเรื่อนั่นมิได้ขยับเลยด้วยซ้ำ


                "ก็ได้...เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แต่เรามีเรื่องอยากถาม เมื่อสักครู่เราแลเห็นหญิงในชุดผ้าซิ่นสีหมากสุก ก้าวตามเทวีน้อยของท่านขึ้นรถไป ดูแล้วมิใช่มาด้วยประสงค์ดีนัก"



                "...กุสุมาลย์" คนบนโขดหินตอบลงมา



                "นั่นนามของนางรึ ? “ชายหนุ่มนึกถึงดวงหน้าพักตร์พริ้มหวานละมุน ยามมีชีวิตอยู่คงสดสวยกว่านี้เป็นอันมาก



                "ดอกไม้งาม...นามนี้คู่ควรกับนางนัก" แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่านางงามไร้เรือนกายสถิตนั่น มิได้มาด้วยการดีเป็นแน่จึงเอ่ยถามต่อ



               "แต่...เห็นจะมิได้มาดีเป็นแน่"



               "นางเคยเป็นพี่เลี้ยงร่วมพระนมของมหิตา"



               "อ้อ...." คนฟังครางออกมา


                "และเป็นหนึ่งในดวงวิญญาณที่ผูกพยาบาทต่อมหิตาด้วย" สีหน้ายามตรัสของภูวิษะเจ้ามิได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย



               "แล้วไฉนท่านดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจแทนนางเลย...หรือว่ายังขุ่นเคืองเรื่องเมื่อครู่" วิทยาธรเทพนั้นแสร้งถามด้วยสีหน้ายิ้มชวนหัวนัก



              "วิมุตติ...อย่าพยายามยั่วยุเราเลย เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของท่านมิใช่หรือ? วิทยเทพ!!" ตรัสจบก็ลุกขึ้นทรงพระวรกายเหยียดตรง แล้วทิ้งร่างดิ่งจากโขดหินสูงลงสู่ธารน้ำเบื้องล่างทันที



              "อย่าเพิ่งไป!!?"



               แต่สายเสียแล้วสายนทีกระฉอกเป็นระลอกใหญ่ขึ้นมาบนฝั่ง ดังถูกวัตถุที่ใหญ่กว่าร่างมนุษย์ของภูวิษะเจ้าหลายเท่าโผนโจนลงไป แม้จุดที่วิมุตติยืนอยู่จะห่างไกลออกไปหลายเมตร แต่แรงน้ำกลับกระเด็นซัดสาดมาจนต้องถอยกรูด กึ่งเทพรูปงามขมวดคิ้วเข้มด้วยความขุ่นข้อง ก่อนจะปาดหยาดน้ำที่กระเด็นมาต้องผิวออกจากใบหน้าและเรือนกาย



               "เฮ้อ...นึกจะไปก็ไป...แบบนี้ทุกครั้งสิท่า...."



               นานครั้งนักที่จะเห็นชายหนุ่มชักสีหน้าแสดงอารมณ์ออกมา ยิ่งเมื่อมองไปยังพื้นระเบียงเปียกโชกใต้ฝ่าเท้าตน ก็อดจะบ่นออกมาไม่ได้



               "ต้องเช็ดเรือนอีกแล้ว...เฮ้อ"



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



                พ่อเลี้ยงสรวงเดินเข้ามาในเรือนริมน้ำหลังเล็กของลูกชาย พบเห็นว่าชายหนุ่มกำลังสาละวนกับการจัดข้าวของคล้ายเตรียมจะเดินทางไกล เขายืนดูเงียบอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้ส่งเสียงทักให้วิมุตติรู้ตัว แต่กำลังคิดถึงคำบอกเล่าของนายเรืองคนสนิทถึงเหตุการณ์ระหว่างที่เขาไม่อยู่ แล้วก็เพิ่งได้รับรู้ว่าตนมีญาติสนิทเป็นเจ้าผู้สูงศักดิ์ ที่สำคัญไม่มีใครเคยเห็นหน้าเจ้าที่วิมุตติกล่าวอ้างนั่นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ


                "จะไปไหนรึ ?"



                "พ่อท่าน..." ใบหน้าหล่อเหลาที่เห็นจนเจนตาหันมายิ้มให้ แต่ไม่ได้หยุดมือกับการจัดของลงกระเป๋า



                "กลับมาเมื่อไรหรือครับ?" เมื่อผู้เป็นพ่อก้าวขึ้นไปนั่งบนเตียง เจ้าของเรือนจึงหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วพนมมือขึ้นไหว้



                "พ่อท่านมีสิ่งใดอยากถามเรา?"



                "คุณรู้ล่วงหน้าตามเคย" บุตรชายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะปฏิเสธ



                "สีหน้าพ่อท่านต่างหากที่บอกเรา"



                "งั้นรึ?" สรวงเผลอยกมือขึ้นลูบหน้าตนเองก่อนจะถอนหายใจออกมา



                 "เป็นยังไงบ้างหลายวันมานี่ เพื่อนๆ มาที่ไร่สนุกไหม?"



                คำว่า 'สนุกไหม' ออกจะถามผิดคนไปสักนิด เพราะบุตรชายของเขาคงไม่มีเรื่องเล่าถึงความตื่นเต้นสนุกสนานอย่างบุตรของผู้อื่นเป็นแน่



                "ก็ดีครับ....มีเรื่องที่คาดไม่ถึงให้แปลกใจอีกด้วย"



               "อย่างคุณมีเรื่องที่ต้องแปลกใจอีกรึ?" เขาไม่ได้ตอบเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ รอฟังคำถามต่อไป



                "หรือว่าจะเป็นเรื่องที่อยู่ๆ เราสองพ่อลูกเกิดมีญาติเป็นเจ้าขึ้นมาหรือเปล่า?" สิ้นคำถามจู่ๆ วิมุตติก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา ยังความแปลกใจให้นายสรวงอยู่ไม่น้อย


               "นั่นก็เรื่องหนึ่ง....แต่มันจำเป็นต้องผูกญาติกันบัดนั้น ไม่เช่นนั้นคงได้แตกตื่นกันหมดแน่"


                "เขาเป็นใครหรือ?" จะว่ายินดีในเสียงหัวเราะขบขันนั้นก็ใช่ หากจะว่าแปลกใจก็ใช่อีกเช่นกัน สีหน้ารื่นเริงสมเป็นวัยนี่สรวงแทบไม่เคยเห็นจากบุตรชายเลย



                "เป็นสหาย...เป็นคนที่เรารับปากจะดำเนินการในกิจของเขาด้วย"



               "เป็นคนจากทางโน้นรึ?" สรวงไม่ได้ระบุเจาะจงแต่ก็รู้กันว่าเขาหมายถึงที่ไหน



                 "ครับ...ไม่ได้อยู่ในแดนเดียวกันเสียทีเดียว แต่ก็จัดได้ว่ามาจากอีกภพภูมิ" นายสรวงฟังแล้วได้แต่พยักหน้าไม่รู้จะออกความเห็นอย่างไร



                "ต่อไปเขาคงจะมาที่นี่บ่อยขึ้น พ่อท่านจะได้พบในไม่ช้า...แต่มิต้องกังวลใจไป ภูวิษะเจ้าเป็นผู้มีมารยาท หาใช่พวกชอบอวดอุตริไม่"



                "ชื่อ...ภูวิษะรึ ? จะได้บอกคนของเราเอาไว้ ให้เขาเข้ามาได้เสมอ"



               "ภูวิษะเจ้า มาพบปะเราที่นี่เนิ่นนานแล้ว เพียงแต่มิได้แสดงตัวเท่านั้น พ่อท่านคงสังเกตเห็นบ้าง"



               ในดวงตาของผู้พูดเจือแววขบขันแต่ซ่อนนัยยะไว้ให้ค้นหา นายสรวงฟังแล้วจึงค่อยคิดทบทวนกลับไป ในวันเวลาแห่งอดีตมีสิ่งใดบ้างที่ผิดแปลกออกไปจากความปกติ ไม่นานนักก็อุทานออกมาพลางตบเข่าตนเองดังฉาด



               "งู!!!" ผู้เป็นบุตรพยักหน้ารับ



               "งูพวกนั้นน่ะเหรอ? แล้วตัวไหนกันล่ะ? เห็นมาเยอะไปหมด"



               "มิใช่งูหรอกพ่อท่าน....แต่เป็นเจ้าเหนือหัวของงูพวกนั้นต่างหากเล่า"



               "เจ้าเหนือหัวของงู...." ผู้สูงวัยทวนคำช้าๆ ก่อนนัยน์ตาจะเบิกโพลง เมื่อรำลึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าแห่งงูทั้งปวงเป็นผู้ใด



               "พญานาค !!?"

               บิดาของวิมุตติถึงกับกลั้นใจโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าการใกล้ชิดกับบุตรผู้มาจากทิพยนิภา จะทำให้พบเรื่องแปลกประหลาดอยู่เสมอก็ตาม แต่ก็ยังอดตกใจมิได้



               "ใช่ครับ...แต่เป็นแค่เพียงนาคเท่านั้นมิใช่พญา"



               คำบอกเล่านั้นทำนายสรวงกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ เพราะคุ้นเคยคำว่าพญานาคมาแสนนาน จนเข้าใจไปว่า "พญา" นั้นหมายถึงงูใหญ่ดึกดำบรรพ์ จึงเรียกงูใหญ่เหล่านั้นว่าพญานาคไปทุกตน ด้วยไม่เคยคิดว่า "พญา" นี้จะเป็นยศของกษัตริย์แห่งอสรพิษ



              "ถึงจะเป็นเพียงนาคหาใช่พญา แต่ภูวิษะเป็นนาคเจ้า...อยู่สูงกว่านาคทั้งปวง"


                "ถ้างั้นอีกหน่อยคงได้เป็นพญาสินะ"
                วิมุตติพยักหน้ารับไหนเลยจะบอกเล่าว่า ภูวิษะเจ้านั้นเคยดำรงพระยศพญานาคราชมาแล้ว แต่มีเหตุอันให้ถอดถอนยศนั้นเสียเพราะสตรีนางเดียว



                "ก่อนหน้านี้หากเขาไม่สะดวกมาพบเรา ก็จะส่งบริวารมาแทนดังที่พ่อท่านเคยพบเห็นบ่อยๆ"



                "อย่างนี้นี่เอง..คุณถึงสั่งห้ามฆ่างูเด็ดขาด ก็น่าจะบอกกันเสียแต่แรกว่ามาส่งสาส์น" พอเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดก็คลายใจลง จนต้องถอนหายใจออกมา



                "เมื่อคนที่ไร่เราคุ้นหน้าคุ้นตาแล้ว ต่อไปเห็นมาด้วยตนเองแล้วล่ะพ่อท่าน"



                สรวงพยักหน้ารับรู้แม้ใจจริงอยากจะถามเชิงลึกกว่านั้น แต่ยังกริ่งเกรงนิสัยของบุตรชาย หากจะบอกก็คงจะเล่าด้วยตนเองมิต้องรอให้ถาม เท่าที่บอกกล่าวมานั้นก็นับว่าเกินความคาดหมายด้วยซ้ำ



                "งั้นที่เก็บเสื้อผ้านี่....เกี่ยวกับเขาด้วยหรือเปล่า? จะไปไหนกันรึ?"



                "พ่อท่านกังวลสิ่งใดอยู่?" ทว่าวิมุตติตอบไม่ตรงคำถาม



                 "ก็...." ผู้เป็นบิดาเองก็มิอาจตอบได้ในทันที แม้จะรู้ว่าวันหนึ่งทิพย์อำนาจในตัวบุตรชายคงนำพาเขากลับไปยังที่ที่จากมา



                "พ่อท่านวิตกกังวลมากไป เราแค่จะไปกรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยเปิดเทอมแล้วคงต้องไปทำงานเสียที นี่ก็ล่าช้าไปเพราะต้องตามมาดูแลทางนี้"



                 "หา? ไปทำงาน?!! คุณน่ะหรือไปสมัครงาน? แล้วไปสมัครไว้ตั้งแต่เมื่อไร?" คราวนี้พ่อเลี้ยงสรวงร้องเสียงหลง เพราะปรับเปลี่ยนเรื่องและอารมณ์ไม่ทัน



                "มิใช่เรื่องประหลาดนี่...เราเล่าเรียนจนจบขบวนความก็นานแล้ว ทั้งปริญญาตรี...โท ก็ใช่ ยังมิได้ใช้วิชาความรู้ทำงานใดเลย"



                คนลูกพูดไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไป มันอาจเป็นเรื่องน่าพิศวงถ้าหากบอกว่าวิมุตติยังไม่ได้เข้าพิธีรับปริญญาบัตรเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะจบการศึกษาก่อนกำหนด ทำให้ชายหนุ่มมีเวลาไปเล่าเรียนในขั้นต่อไปได้ในทันที แล้วไม่นานนักเพียงแค่ปีเศษก็สำเร็จการศึกษาปริญญาโท เมื่อแรกบิดาเข้าใจว่าเขาจะเข้าศึกษาต่อให้ถึงขั้นสูงสุดทางการศึกษาเสียก่อน จะเอ่ยออกมาว่าจะไปทำงานอย่างไม่ปี่มีขลุ่ยให้รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อนเช่นนี้



                "แต่...ธุรกิจของผมก็มีออกมาก ถ้าคุณอยากจะทำงานแบบมนุษย์ทั่วๆ ไปล่ะก็..." หนุ่มรูปทองไม่ตอบมีเพียงรอยยิ้มบางปรากฏขึ้นมา ทำให้นายสรวงต้องทอดถอนหายใจเมื่อรู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะคัดค้าน



                "เฮ้อ...ถ้าตั้งใจว่าอย่างนั้นก็ตามใจเถอะ ว่าแต่คุณจะไปทำงานอะไร? อย่าบอกผมนะว่าจะไปสอนหนังสือ" ด้วยนิสัยเงียบขรึมไม่ชอบพบปะผู้คนนักอย่างบุตรชาย ทำให้สรวงไม่คิดว่าวิมุตติจะไปเป็นอาจารย์ แต่ชายหนุ่มอาจจะไปเป็นนักวิจัยเฉพาะด้านหรืออย่างไรเขาก็ยังเดาไม่ถูก



                "พ่อท่านเข้าใจไม่ผิดนี่"



               "ว่าไงนะ!? จะเป็นอาจารย์จริงๆ รึ ?!!! "



               หลังจากปล่อยให้บิดาพิศวงอยู่เป็นนาน วิมุตติจึงค่อยเล่าความว่าสถานที่ที่จะไปทำงานนั้น เป็นมหาวิทยาลัยที่ตนเคยศึกษาเล่าเรียนมาจนจบมานั่นเอง ข้างฝ่ายพ่อเลี้ยงสรวงแม้จะไม่เข้าใจนัก แต่ก็คิดว่าบุตรชายพยายามที่จะดำรงชีวิตแบบมนุษย์สามัญธรรมดาทั่วไปจึงมิได้คัดค้าน แม้นความกังวลใจจะคลี่คลายไปเป็นอันมาก แต่ในใจลึกๆ แล้วยังอดคิดไม่ได้ ว่าการไปประกอบสัมมาอาชีพนี้มีนัยยะใดแอบแฝงหรือไม่



               "จะไปเมื่อไร?"



               "พรุ่งนี้"



              "เร็วปานนั้นเชียวเหรอ? เพิ่งกลับมาได้เห็นหน้ากันไม่ถึงวันดีด้วยซ้ำ ทีหลังก็บอกล่วงหน้ากันบ้างสิ" นายสรวงอดที่จะบ่นมิได้



              "พ่อท่าน....กรุงเทพฯ อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น ไม่นานดอกเราคงกลับมา..."



                "ไม่นาน...? หมายความว่ายังไง?"

               ยิ่งฟังก็ยิ่งงุนงงแม้ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายสื่อออกมา แต่ในใจสังหรณ์ไปว่าเวลาแห่งกงกรรมกงเกวียนของบุตรชายเริ่มหมุนไปแล้วเช่นกัน



                "หมายความว่า...ปิดเทอมก็คงกลับมา มิได้อยู่ทางนั้นตลอด" เขารู้ดีว่าบุตรชายจงใจเลี่ยงคำถามเพื่อไม่ให้เขากังวล จึงป่วยการที่จะซักไซ้ต่อ



                "ถ้าอย่างนั้นไปกราบลาหลวงปู่หรือยังลูก?"



               "เรียบร้อยแล้วครับ วานนี้เรานิมนต์หลวงปู่มาเทศนาให้น้องๆ ที่นี่"
สรวงพยักหน้ารับรู้และเบาใจไปมาก สิ่งที่ยังติดค้างอยู่ในใจนั้น ก็ตั้งใจว่าจะไปถามเอากับหลวงปู่แสนแทน



                 "เดี๋ยวผมจะโทรไปบอกบ้านที่กรุงเทพฯ ให้ทำความสะอาดไว้คอยคุณนะ" เมื่อพูดจบก็ยกมือขึ้นตบไหล่วิมุตติสองสามครั้งด้วยความเอ็นดู



                 "อยากได้อะไรเพิ่มก็บอก....ถ้าจัดของเสร็จก็มากินข้าวนะ ผมจะไปรอที่เรือนใหญ่"



                "ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มยิ้มรับและมองตามร่างสูงวัยไปจนลับตา ในใจมิใช่ไม่รู้ถึงความวิตกกังวลของบิดา แต่มิอาจถ่ายทอดภาระหน้าที่แห่งตนให้นายสรวงฟังได้



                "พ่อท่าน...แล้ววันหนึ่งเราจะบอกทุกสิ่งแก่ท่าน" เสียงทุ้มนั้นแผ่วเบาราวรำพันกับตนเองเท่านั้น



[จบตอนที่ 20]


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 




Create Date : 26 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2555 0:27:14 น. 1 comments
Counter : 1902 Pageviews.

 
ตอน 20 นี้ มาเร็วนะคะ อิอิ..ขอบคุณค่ะ รอติดตามตอนต่อไปค่ะ


โดย: หวาน IP: 118.174.80.85 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2555 เวลา:15:37:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.