เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 17
บทที่ 17 บุรุษผู้เป็นทิวาวารแห่งจุมภะปุระ
เปลือกตาบางค่อยๆ กะพริบเปิดขึ้นราวตื่นจากภวังค์ในความฝัน มหิตาเทวีมีรอยยิ้มสวยสดปรากฏบนวงพักตร์ เมื่อได้รับข่าวว่าภูวิษะจอมทัพแห่งจุมภะปุระนำชัยกลับมา เสียงโห่ร้องยินดีจากชาวบ้านริมฝั่งแม่น้ำตลาดล่าง ดังแว่วขึ้นมาถึงพระราชวังบนเนินหลวง ซึ่งห่างไกลออกไปจากริมน้ำอยู่มากโข
"พระเทวีเพคะ ชายผู้นั้น
เอ้อ ท่านภูวิษะ กลับมาแล้วเพคะ และนำชัยชนะกลับมาด้วย !!"
ศรีดาราวิ่งถลามาจากด้านนอกเข้าสู่ห้องหับภายใน นางรีบร้อนจนเกือบสะดุดธรณีประตูจนต้องกระโดดข้าม เมื่อผ่านไปได้ไม่เท่าไร ก็วิ่งชนเข้ากับนางกำนัลอีกคนจนฝ่ายถูกชนเซไป
"ปทุมมา ขอโทษทีข้ารีบ พระเทวีเพคะ" แม้ในขณะที่เอ่ยคำขอโทษนางก็มิได้หยุดวิ่ง จนกระทั่งกุสุมาลย์ได้ยินเสียงเอะอะจึงแย้มหน้าออกมาดู
"ใครกันมาส่งเสียงเอะอะตึงตังในตำหนักพระธิดา อยากถูกโบยหรืออย่างไร?" พระพี่เลี้ยงโฉมสะคราญตำหนิเสียงแข็ง ยามปกตินี้แม้กุสุมาลย์จะมิค่อยได้เอ็ดผู้ใด แต่หากลุกขึ้นมาดุด่าว่ากล่าวก็เป็นที่เกรงกลัวทั้งตำหนัก แต่คราวนี้หาได้ผลไม่เมื่อศรีดาราถลาเข้าไปกอดรัดร่างระหงเป็นพัลวัน
"ข้าเองพี่กุสุมาลย์ ข้าเอง...มีข่าวดี ฟังนะๆๆ"
"ว้าย...อะไรกันนี่ ใจเย็นๆ ศรีดารามีเรื่องอันใด ถึงได้ตื่นเต้นถึงเพียงนี้ เจ้าสงบใจหน่อยเถิด อย่าได้เอะอะมะเทิ่งไป เดี๋ยวก็มีใครไปฟ้องที่ตำหนักหลวงแล้วเจ้าจะโดนลงโทษเอาดอก"
"ก็ข้าตื่นเต้นนี่ ดีใจด้วย..." ศรีดารายิ้มกว้างเขย่าร่างสูงกว่าของกุสุมาลย์ไปมา
"มีอะไร ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา ข้ารอฟังอยู่"
"ภูวิษะ ผู้นั้น....กลับมาแล้ว และรบชนะทัพนครเวสารัชด้วย!!"
"จริงรึ?" กุสุมาลย์ฟังแล้วเบิ่งตาค้างด้วยความยินดี ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาด้วยความปรีดานัก
"ต้องไปทูลพระเทวี"
"ไปๆ กันเดี๋ยวนี้เลย"
นางกำนัลผู้ลืมไปความสำรวมไปชั่วครู่เร่งรัดพระพี่เลี้ยงทันที เมื่อพากันเข้าถึงก็หมอบกราบลงที่ตั่งประทับ มหิตาเทวีนั้นแย้มสรวลออกมาก่อนจะทันได้กราบทูล
"ท่านภูวิษะกลับมาแล้วเพคะ ท่านชนะศึกเป็นดังที่พระเทวีกล่าวเอาไว้จริงๆ"
"ข้ารู้แล้ว" ตรัสตอบนุ่มนวล ไม่แสดงความตื่นเต้นอันใดออกมานอกจากมีสีพระพักตร์ยินดีเท่านั้น
"เอ๋?...ไฉนจึงรู้ได้เล่าเพคะ? หรือมีผู้ใดมากราบทูลไปแล้ว ปุทโธ่...หม่อมฉันอุตส่าห์ไปแง้มหูฟังถึงนอกตำหนัก จากนั้นก็รีบวิ่งมาทูลนี่แหละเพคะ" ศรีดาราบ่นอุบอิบไปอีกมากมายแต่รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางหายไป
"ยังไม่มีใครมาบอกเราดอก"
"อ้าว? แล้วทำไมทรงทราบ?"
"ก็เสียงเจ้าน่ะสิศรีดาราดังออกปานนั้น พระเทวีรึจะไม่ได้ยิน" เป็นกุสุมาลย์ที่ตำหนินางคนนั่งข้างเคียงขึ้นมา ทำเอานางศรีดาราต้องหัวเราะกลบเกลื่อนด้วยความเขินอาย พระพี่เลี้ยงจึงกราบทูลบ้าง
"ยินดีด้วยนะเพคะ ทรงได้พระสวามีที่ปรีชาสามารถยิ่งนัก" พระเทวีทรงแย้มสรวลรับด้วยดวงพักตร์แดงใส แล้วจึงแสร้งหันไปตรัสกับศรีดาราแทน
"เรายืนอยู่หน้าบัญชรได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีของชาวประชาดังขึ้นมาถึงบนนี้ เลยพอเดาได้ว่าทัพจุมภะกลับมาแล้ว แล้วเหตุการณ์ภายนอกเป็นอย่างไรบ้างรึ? พี่ศรีดารารู้เห็นสิ่งใดบอกเล่าให้เราฟังที"
"เพคะ ได้ยินจากพวกทหารว่า ท่านภูวิษะนำทัพล่องไปทางน้ำโดยไม่หยุดพักและซุ่มโจมตียามดึก ทัพเวสารัชมิทันได้ตั้งตัว จึงคำนวณจำนวนไพร่พลทัพเราไม่ออก พากันเสียขวัญกำลังใจ เมื่อถูกเผาค่ายเลยล้อมจับได้โดยง่ายดายเพคะ ท่านภูวิษะมิได้ประหารนายทัพเวสารัชด้วยเห็นว่าเป็นคนมีศักดิ์มีศรี จะมาถูกประหารเพราะแพ้ศึกก็หมิ่นอีกฝ่ายเกินไป จึงแบ่งทหารเป็นสองกองกองใหญ่นำพลทั้งหมดรวมทั้งจับกุมทหารฝ่ายนั้นกลับจุมภะ ส่วนกองเล็กนั้นมีแต่ทหารกล้าฝีมือดี ให้คุมตัวนายทัพกลับไปส่งเวสารัชเยี่ยงมิตรสหาย เพื่อจักได้ขอเชื่อมสัมพันธไมตรีหาไม่แล้วจะนำทัพจุมภะบดขยี้เวสารัช ซึ่งพี่ชายของหม่อมฉันเป็นผู้คุมกองไปเพคะ"
"วิเศษจริง! เสด็จพี่ภูวิษะช่างคิดการณ์ไกลนัก งั้นต่อไปจุมภะก็มิต้องกังวลกับศัตรูใกล้ตัวอย่างเวสารัชแล้ว"
ดวงเนตรของมหิตาเทวีส่องประกายชื่มชมบุรุษผู้ครองดวงใจ ด้วยว่าทรงอารักษ์อักษรให้พระบิดาอยู่เป็นนิจ หลายครั้งก็อยู่ร่วมในวงประชุม แม้ความเป็นสตรีจะมิเอื้ออำนวยให้แสดงพระดำริใดออกมา แต่ทรงทราบสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างดี เวสารัชนั้นตั้งนคราอยู่ปลายอีกด้านของแม่น้ำสามคด มีรั้วรอบขอบชิดติดกับจุมภะปุระแม้จะถูกแยกด้วยโค้งน้ำและทิวเขาก็ตาม แต่เพราะเป็นเมืองใกล้ดังเรือนเคียงกัน จึงมีเหตุกระทบกระทั่งกันบ่อยๆ ทั้งจากการรุกล้ำอาณาเขต และแย่งทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างในเขตแคว้นที่ก้ำกึ่งกันอยู่ "คนผู้นี้ชาญฉลาดยิ่งนักเพคะ หมากตัวเดียวกินถึงสองเบี้ย" ศรีดาราสรุปความด้วยท่าทีประหนึ่งทหารกล้าตามแบบบิดาของนาง
"ถ้าเป็นท่านภูวิษะย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดดอก....จริงไหมเพคะพระเทวี"
กุสุมาลย์มิได้เห็นเป็นเรื่องน่าตกตะลึงแต่อย่างใด ด้วยรู้ว่าภูวิษะผู้นั้นคือพญานาคราชจำแลงมา จึงได้แต่หันไปยิ้มกับพระธิดาของตน ด้วยเข้าใจความนัยกันเป็นเพียงสองนาง
"ใช่...ต่อไปจะเกิดสิ่งอัศจรรย์พันลึกขึ้นมาด้วยน้ำมือของภูวิษะเจ้าอีกมาก คอยดูไปเถิดพี่ศรีดาราว่าดวงตะวันที่จะนำทิวาวารมาสู่จุมภะปุระนั้นเป็นเช่นใด พระสวามีแห่งเราก็เป็นเช่นนั้น" บุตรีของขุนพลมหัทธนะยิ่งฟังพระดำรัสก็ยิ่งสับสนงุนงง หาได้เข้าใจความนัยเหมือนดังเช่นกุสุมาลย์
"พระเทวีหมายถึง...คำทำนายของมหาปุโรหิตหรือเพคะ ? " นางจึงลองทูลสิ่งที่คาดเดาดู
"อืม...จะว่าอย่างนั้นก็ได้" พระเทวีแย้มโอษฐ์รับ
"โอ้....ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ พระพี่นางพระองค์อื่นคงริษยาเป็นแน่แท้ ที่พระเทวีของหม่อมฉันได้มหาบุรุษมาครองคู่ด้วย ฮะ ฮะ ฮะ" จากนั้นศรีดาราก็หัวเราะด้วยความรื่นเริงใจเสียใหญ่โต จนหญิงงามที่นั่งเคียงข้างต้องตีเข้าที่ต้นแขนเป็นการเตือน
"ศรีดารา...ระวังปากเสียบ้างเดี๋ยวผู้ใดมาได้ยินเข้า จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปนะ"
"ข้าไม่ได้เอ่ยชื่อ..เอ้ย พระนามองค์ใดออกมานี่ มีแต่คนที่ร้อนตนเท่านั้นแหละถึงจะรับไป...โอ้ย" แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ศรีดาราก็ร้องโอดโอยออกมาเพราะถูกบิดเนื้อ
"ยังจะปากดีอีกนะ อย่าได้ลบหลู่เบื้องสูง หากมีใครได้ยินเข้าเจ้ามิได้เดือดร้อนแต่ผู้เดียว พระเทวีจะต้องเดือดเนื้อร้อนพระทัยไปด้วยเข้าใจหรือไม่"
"โอ้ย..ยยย..ย เข้าใจแล้วๆๆๆๆ ปล่อยข้าเถิด หม่อมฉันขออภัยเพคะพระเทวี อย่าได้ทรงถือสาคนปากพล่อยอย่างหม่อมฉันเลย"
"เฮ้อ...พี่ศรีดารา เราน่ะรู้นิสัยพี่ดีจึงไม่ถือสาอันใด แต่ถ้าหากพระภคินีของเราทรงสดับเข้า เราก็ช่วยพี่ไม่ได้ดอกนะ....และยิ่งหากเป็นพระพี่นางพินทุมณีแล้วล่ะก็...พี่คงจะรู้ดีว่าทรงหทัยร้อนปานใด แค่นางกำนัลพูดจาไม่เข้าหูก็ทรงสั่งโบยเสียแล้ว"
"เพคะๆๆ หม่อมฉันไม่กล้าพูดแล้ว" นางจึงเงียบเสียงสงบปากลง แต่ยังทำหน้าทะเล้นอยู่นั่นเอง มหิตาเทวีทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ต้องทรงสรวลออกมาด้วยอดขันไม่ได้
"ตอนนี้น่ะขำกันได้นะ แต่พอถึงเวลาไปตำหนักหลวงล่ะก็อย่าลืมตัวอีกล่ะศรีดารา ถึงแม้บิดาเจ้าจะเป็นที่เกรงขาม แต่หากเจ้าพูดโพล่งโดยไม่ดูกาลเทศะ หรือพลั้งเผลอไปล่วงเกินใครเข้าล่ะก็...มีแต่จะทำให้ท่านมหัทธนะลำบากใจ หากต้องออกหน้าปกป้องเจ้ามากเกินไปก็ดูไม่งาม เข้าใจหรือไม่?"
"ข้าเข้าใจแล้วแม่หญิงกุสุมาลย์...อย่าตำหนิข้านักเลย ข้ารู้น่าว่าอะไรควรไม่ควร...รับรองจะไม่ทำให้พระเทวีขายพระพักตร์เป็นแน่"
"ให้มันแน่เถิด!" คนถามยังคาดคั้น
"นั่นสิ...แล้วอย่าหาว่าเราไม่ช่วยนะพี่ศรีดารา" ตรัสจบก็ทรงสรวลออกมา
"แหม...รุมติติงแบบนี้หม่อมฉันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ว่าแต่...ลงท่านภูวิษะกลับมาแล้ว อีกไม่นานคงถึงพิธีสยุมพรแล้วสิเพคะ ตื่นเต้นไหมเพคะพระเทวี" นางหน้าทะเล้นยังทูลถามต่อจนมหิตาเทวีพระพักตร์แดงแล้วแดงอีก ในที่สุดก็ตรัสตัดบทด้วยความเอียงอาย
"ถามอะไรน่ะพี่ศรีดารานี่...."
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเวลาผ่านไปเร็วดังพญาปักษวาหน(พญาครุฑ) กางปีกโผบินออกจากวิมานฉิมพลี ปีกใหญ่กว้างข้างละ 50 โยชน์นั้นกระพือไปแค่ชั่วลัดนิ้วมือก็ถึงที่หมายโดยพลัน วันวิวาห์มหาฤกษ์นั้นได้ถูกกำหนดขึ้นในอีก 11 วันข้างหน้า มหิตาเทวีทรงตื่นเต้นในพระทัยยิ่งนัก ตั้งแต่ภูวิษะหรือเจ้าราชบุตรเขยกำชัยกลับมานั้น ทั้งสองเพิ่งได้พบกันเพียงครั้งเดียว ในงานพิธีเลี้ยงต้อนรับและแต่งตั้งบุรุษผู้มากปรีชาขึ้นเป็นขุนพลแห่งจุมภะปุระ
แต่มิได้มีโอกาสสนทนากันตามลำพังเลยแม้แต่น้อย ยิงอยู่ในกลุ่มคนหมู่มากภูวิษะเจ้านั้นแสดงตนเป็นคนเงียบขรึมไม่ใคร่โอภาปราศรัยกับผู้ใดนัก ส่วนพระธิดานั้นได้แต่เอียงอายมิกล้าตรัสถ้อยสนทนาต่อหน้าผู้คน จึงได้แต่ส่งสายพระเนตรบอกกล่าวความนัยกันไปมา จนศรีดาราเห็นเข้าก็นึกขำจนต้องกลั้นยิ้ม ในขณะที่กุสุมาลย์ได้แต่แลมองเจ้านายทั้งสองพระองค์ไปมา และรำพันในใจตนเองอยู่เงียบๆ ใจหนึ่งก็นึกยินดีในความสุขของพระเทวี ที่ตนเฝ้าถนอมเลี้ยงดูมาดั่งน้องสาวร่วมอุทรมาแต่ประสูติกาล แต่อีกใจหนึ่งก็นึกสะท้อนใจยิ่งนัก เมื่อพบว่าในสายพระเนตรของภูวิษะเจ้าราชบุตรเขยนั้น หาได้มีผู้ใดในแววเนตรอีกเลยนอกจากมหิตาเทวีเท่านั้น!
"ตั้งแต่คืนวันนี้เราต้องไปเก็บตน เข้าพิธีถวายอัคคีชำระกายใจ ที่เทวสถานมหิทธราบดี 7 วัน พี่กุสุมาลย์เตรียมข้าวของให้เราเรียบร้อยหรือยัง" เจ้าของชื่อจึงค่อยรู้สึกตัวว่าเหม่อลอยไปนานเท่าใด
"เรียบร้อยแล้วเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะตรวจทานข้าวของ ที่นางกำนัลอื่นจัดเตรียมให้พระองค์อีกครั้งเพคะ" ทูลตอบไปก็ก้มหน้าเลี่ยงไม่กล้าสบพระเนตร คล้ายเกรงว่าความในใจจะถูกพบเห็น
"เฮ้อ...ตั้ง 7 วันที่จะไม่ได้พบหน้าผู้ใดเลย...แม้แต่ภูวิษะเจ้า"
ทรงรำพึงออกมาโดยไม่รู้พระองค์ว่ามิทรงหาญกล้าเรียกขานนามภูวิษะโดยไร้ยศศักดิ์นำ ศรีดาราเคยตั้งข้อสงสัยประการนี้แล้วนำมาพูดคุยกับกุสุมาลย์
'พี่กุสุมาลย์ สังเกตหรือไม่'
'สังเกตสิ่งใดหรือศรีดารา?' นางย้อนถามหากแต่แน่ใจว่า ศรีดาราคงไม่ล่วงรู้ถึงภพภูมิอันประเสริฐของราชบุตรเขยองค์ใหม่เป็นแน่แท้
'พระเทวีน่ะสิ' กุสุมาลย์โล่งใจบ้างแต่ยังเก็บซ่อนสีหน้าได้ดี แล้วจึงแกล้งย้อนถาม
'ทำไมรึ?'
'พระเทวีทรงตรัสเรียก ท่านภูวิษะว่า ภูวิษะเจ้าทุกคำ...ราวกับว่าท่านเป็นเจ้าชายผู้ทรงศักดิ์จากเมืองไกล'
'ดำรงตำแหน่งเจ้าราชบุตรเขย ก็นับว่าเป็นเจ้าร่วมวงศ์วานแล้วอย่างไรเล่าศรีดารา'
'หาใช่เรื่องนั้น....แต่ข้าว่าท่วงท่าสง่างามผึ่งผายองอาจปานนั้น หากเป็นพระโอรสเมืองใดก็มิใช่เรื่องแปลก แต่ทำไมไม่แสดงองค์ ปล่อยให้ผู้คนโจษขานไปต่างๆ นานา แล้วพระเทวีก็เรียกหาเป็น "ภูวิษะเจ้า" มาตลอด ฤาจะทรงรู้ความจริงประการนี้ พี่กุสุมาลย์...หากรู้สิ่งใดจงบอกกล่าวข้าบ้างเถิด' ศรีดาราสรุปแล้วจ้องมองนางพระพี่เลี้ยงด้วยแววตาสงสัย
'บอกอะไร? เราว่าเจ้าคิดมากไปหรือเปล่า? หากเจ้าราชบุตรถึงแม้จะเป็นชนชั้นสามัญธรรมดา แต่เป็นผู้มีบุญญาธิการก็ย่อมฉายส่งสง่าราศีของตนได้ มิใช่เรื่องแปลกเสียหน่อย'
เมื่อไม่ได้คำตอบนางกำนัลช่างคาดเดาก็หน้ามุ่ย แต่มิกล้าวิเคราะห์สิ่งใดอีกต่อไป ปล่อยให้นางโฉมงามนึกชมปฏิภาณอันว่องไวของศรีดาราอยู่ในใจไปเงียบๆ
"หลังพิธีสยุมพรผ่านพ้นไปก็ทรงได้พบภูวิษะเจ้าทุกวันแล้วล่ะเพคะ" กุสุมาลย์ทูลตอบ
"7 วันจะว่ายาวนานก็ยาวนาน จะว่ามินานก็มินาน แต่ต้องไปอยู่ที่นั่นผู้เดียวไม่ได้พบเจอผู้ใดเราคงเหงายิ่งนัก"
"ทรงกังวลเรื่องนี้เองหรือเพคะ ภูวิษะเจ้าเองก็ต้องเก็บตัวถือศีลภาวนาปวารณาตนเป็นชาวจุมภะ 7 วัน ที่ตำหนักเยี่ยมพิรุณปลายอุทยาน โดยไม่ได้พบผู้ใดเหมือนกันเพคะ ส่วนหม่อมฉันกับศรีดารานำพระกายาหารไปส่งให้ที่เทวสถานทุกวันเพคะ มิได้ห่างหายไปไหน แต่คงไม่ได้อนุญาตให้พบพระเทวี ทรงอดทนหน่อยนะเพคะไม่กี่วันเอง"
ย่ำค่ำของคืนนั้นเมื่อมณีรัตติกาลขยับขึ้นครองนภา มหิตาเทวีแต่งองค์ด้วยภูษาสีขาวสะอาดตาเข้าสู่เทวสถานแห่งนาคเจ้า แสงไฟตะเกียงสาดส่องออกมาทางทวารโคปุระและช่องบัญชรเป็นระยะ ด้วยว่าตลอดเจ็ดราตรีนี้ห้ามมิให้กองไฟใดในเทวสถานแห่งนาคะเทพนี้ดับได้ ตลอดช่องทางเดินจึงถูกจุดคบเพลิงสว่างไสว และตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องอารตีและไม้หอมนานาชนิดที่เผาลงในกระถาง เสียงสวดมนตราดังเป็นท่วงทำนองสูงสลับต่ำ บางครั้งฟังดูคล้ายผู้คนมากมายกำลังโหยไห้ บางคราเสียงประสานนั้นนิ่มเบาแผ่วพลิ้วดังเสียงธาราสวรรค์ไหลเอื่อยเรื่อยริน
หากมีผู้ใดเดินผ่านในบริเวณนี้คงต้องประหวั่นพรั่นพรึงกับเสียงพิธีกรรมอันเคร่งขรึม เวลาแห่งมนตรานั้นก้องกังวานติดต่อกันไปหลายชั่วยาม จวบจนกระทั่งดวงดาราฟื้นตื่นจากนิทรา ปรากฏขึ้นกะพริบวิบไหวอยู่บนผืนกำมะหยี่ดำที่หุ้มห่อท้องฟ้าไปจรดแดนดิน แลดวงจันทราลอยเด่นขึ้นทอแสงรัศมีอยู่กลางเวหา เสียงสวดคร่ำครวญเพื่อถวายแด่จอมนาคราชจึงค่อยยุติลง
มหิตาเทวีทรงเปลื้องภูษาออกจนหมด แล้วปล่อยวรกายเปลือยเปล่าให้จมดิ่งลงในสายน้ำ ที่คณะพราหมณ์ตระเตรียมไว้ให้ทรงสรงหลังเสด็จพิธีกรรม น้ำในสระนั้นอุ่นจนเป็นไอร้อนขึ้นมา ด้วยแรงน้ำที่ถูกส่งจากท่อดินเผาใต้ปราสาท พัดผ่านหินที่เผาจนแดงร้อน และถูกนำมาโรยไว้ในช่องตะแกรงรอบกำแพงสระรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้านั่น พร้อมๆ กับน้ำพุตามมุมทั้งสี่ของสระ ซึ่งปั้นประดับไปด้วยจตุบาทชาติสี่ชนิดอ้าปากพ่นสายนทีออกมา
น้ำอุ่นกำลังดีอีกทั้งยังเจือไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนละมุนของพฤกษาไพรที่ผสมลงไป และประดับแต่งด้วยกลีบดอกไม้สีขาวและเหลืองที่โรยเอาไว้จนเต็มสระ ทำให้สบายพระกายายิ่งนัก พระเทวีทรงทอดองค์ประทับนิ่งไปกับกระแสน้ำ พลางหรุบเปลือกพระเนตรลงพริ้มด้วยความผ่อนคลาย
เวลาผ่านไปนานเท่าใดนั้นมหิตาเทวีมิได้ทรงใส่พระทัยนัก เพราะมิมีผู้ใดกล้าล่วงก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามา ในขณะที่พระนางทรงพระสำราญกับการสรงอยู่ หากแต่จู่ๆ พระกรรณก็แว่วเสียงคล้ายมีสิ่งหนึ่งกำลังแหวกสายน้ำ เมื่อแรกมิได้ทรงลืมพระเนตรขึ้นด้วยเข้าใจไปว่าดำริไปเอง แต่ต่อมาเสียงนั้นดังขึ้นคล้ายขยับเคลื่อนใกล้เข้ามา จึงไม่แน่พระทัยแล้วว่ากำลังอยู่ตามลำพังเพียงองค์เดียว จะว่าเป็นจิตตะนั้นก็หาใช่เพราะพญางูเผือกถูกเก็บอยู่ในห้องหับมิดชิด มิได้ปล่อยให้ออกมาเพ่นพ่านในเวลากลางคืนได้ เมื่อรำลึกได้ดังนี้ทรงเบิกพระเนตรขึ้น แล้วผินพักตร์ไปยังที่มาของเสียง
ฉับพลันนั้นพระเทวีผู้ทรงสิริโฉมแม้ยามสรง ก็ต้องตกพระทัยจนตะลึงนิ่งอึ้งชะงักวรกายไป เรียวโอษฐ์อิ่มสีชาดนั้นเผยอค้าง แต่หาได้มีสุรเสียงใดเล็ดลอดออกมา เมื่อทอดพระเนตรเห็นวรองค์สูงสง่า และดวงพักตร์งามปานสลักเสลาของบุรุษผู้หนึ่งปรากฏขึ้นกลางสายน้ำนั้น
"ภูวิษะเจ้า!!"
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 10 พฤศจิกายน 2555 |
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2555 11:59:45 น. |
|
3 comments
|
Counter : 2003 Pageviews. |
|
|