ใกล้รุ่งสางนั้นแผ่นฟ้าสีรัตติกาล ค่อยคลี่แย้มม่านเมฆาที่ปกคลุมอยู่ ให้แสงทองลอดผ่านเข้ามาทีละน้อย ใต้แสงสลัวยามฟ้าเปลี่ยนสีนั้น ร่างบางก้าวเดินไปบนแผ่นหินที่เรียงอยู่พื้นหญ้าตามลำพัง สายลมยามเช้าพัดพาละอองน้ำค้างโรยตัวลงมาเป็นสาย สร้างความเย็นจนอุณหภูมิลดลงต่ำ อากาศยามเช้าหนาวเย็นจนหญิงสาวต้องกระชับเสื้อตัวนอกให้แน่นขึ้น สายหมอกยังหนาทึบไม่คลี่คลาย หนทางข้างหน้าพร่ามัวไม่ชัดเจนนัก หากแต่งดงามราวเดินอยู่ในมายาแห่งขุนเขา
เคียงฟ้าตื่นนอนตั้งแต่แสงทองยังไม่จับขอบฟ้า อาการอ่อนเพลียเมื่อหัวค่ำหายเป็นปลิดทิ้ง หล่อนเห็นมิรันตีเพื่อนร่วมห้องยังนอนหลับใหลไม่รู้เรื่องราว จึงมิได้ปลุกขึ้นมาเดินเล่นเป็นเพื่อนกัน เนื่องด้วยเห็นว่ายังอีกนานนักกว่าจะถึงเวลารับประทานอาหารเช้า การเดินเล่นคนเดียวในไร่นั้นไม่ได้สร้างความหวาดหวั่นให้กับหญิงสาวแต่อย่างใด ในทางกลับกันเคียงฟ้าสดชื่นกับทิวทัศน์ตรงหน้า ภาพผืนหญ้าสีเขียวที่ลดหลั่นลาดลงไปตามบันไดขุนเขา มีดอกไม้สีสวยสดประดับอยู่สองข้างทาง หลายต้นกำลังชูช่อออกดอกคลี่กลีบเบ่งบานรับอรุณ เสียงนกน้อยขับขานเจื้อยแจ้วขับกล่อมไปตลอดเส้นทาง
ร่างเล็กนั้นเดินเล่นไปอย่างเพลิดเพลินห่างไกลเรือนพักออกไปเท่าใดหล่อนเองก็ไม่ใส่ใจนัก เพราะสองตานั้นกำลังตื่นตากับธรรมชาติ จนกระทั่งมาถึงยังหนองน้ำใหญ่ที่ริมบึงนั้น มีกอดอกหญ้าช่อปุยสีขาวกำลังเริงรำเมื่อสายลมเย็นพัดผ่านมา หญิงสาวโน้มตัวลงแล้วเด็ดมาดอกหญ้านั้นขึ้นมาชื่นชม ในใจก็คิดไปว่าเดี๋ยวจะต้องชวนคนอื่นๆ มาชมวิวริมบึงนี้บ้าง ก่อนจึงหยุดยืนพักชมวิวแล้วหลับตาลงแล้วสูดเอากลิ่นไอน้ำค้างเข้าไปเต็มปอด
วิวริมน้ำงดงามจนเคียงฟ้าไม่ได้เอะใจถึงสิ่งที่ซ่อนตัวลึกลงไปใต้ผิวน้ำ ร่างบางเอนกายพิงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียง สายตาคู่สวยมองลอดแว่นสายตาทอดยาวออกไปยังหนองน้ำกว้าง เมื่อแสงแดดทอตัวทอดผ่านลงมาสายหมอกที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณค่อยเบาบางจางลงเป็นลำดับ จนแลเห็นเป็นแสงไฟสะท้อนกลับมา ทว่าแสงสีทองสองดวงนั้นเจิดจ้าสว่างราวลูกไฟฉายส่อง มันสว่างเกินจะเป็นแสงสะท้อนไปได้ มันคลับคล้ายว่ามีผู้ลอยเรืออยู่ในน้ำแล้วส่องไฟมากระทบฝั่งมากกว่า
หญิงสาวนึกประหลาดใจจึงหยีตาเพ่งมอง ก็แลเห็นเงาร่างประหลาดสูงยาวคล้ายงูยักษ์อยู่กลางน้ำ ร่างนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเคียงฟ้าไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือไม่ จึงลดแว่นสายตาลงและดึงผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดเลนส์ใสนั้น ก่อนจะสวมใส่แล้วพิจารณาให้แน่ใจอีกครั้ง แต่ยิ่งมองเงานั้นกลับยังคงอยู่มิได้ขยับเขยื้อนหนีหายไปไหน ซ้ำยังคล้ายว่ากำลังจ้องมองกลับมาอีกด้วย หญิงสาวถึงกับดึงแว่นออกแล้วขยี้ตาซ้ำอีกครั้ง ด้วยไม่แน่ใจสายตาตนเอง ว่ากำลังเห็นภาพลวงตาหรืออย่างไร ซ้ำร้ายหล่อนบอกตนเองว่าเงานั้นมีรูปร่างคล้ายพญานาคในภาพเขียนไม่มีผิด
"พญานาค!! เป็นไปไม่ได้!?"
เคียงฟ้าอุทานเสียงดังออกมาเสียงดังสะท้อนไปทั่วคุ้งน้ำยังผลให้เงานั้นขยับไหว หล่อนตื่นตะลึงอยู่กับที่ไม่อาจขยับไปไหนได้ เสียงหัวใจเต้นรัว ใจหนึ่งก็นึกหวาดกลัว อีกใจหนึ่งถูกความใคร่รู้เข้าครอบครอง จึงยังยืนนิ่งงันอยู่อีกเป็นเวลานานจนกระทั่งหมอกจางลง เสียงแหวกน้ำดังเป็นระลอก ร่างบางก้มหน้าลงหลับตาปี๋กลัวจะเห็นสิ่งที่คาดคิดไว้ แต่เมื่อไม่มีสิ่งใดบังเกิดขึ้นหล่อนจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองในบึงน้ำใหญ่ เมื่อหมอกสลายหญิงสาวไม่เห็นเงาใหญ่โตของพญานาคอีก แต่เบื้องหน้ากลับมีร่างเปียกปอนของชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมสัน จ้องมองกลับมาด้วยความไม่พอใจ คิ้วเข้มเรียงตัวสวยนั้นขมวดมุ่น ดวงตารียาวคู่นั้นมีไฟร้อนอยู่ภายใน เขายืนเด่นอยู่กลางลำน้ำ
"ว้าย!! คุณมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?" หญิงสาวสะดุ้งพรวดแล้วร้องถามออกไป
"นานจนรู้ว่ามีผู้หญิงไร้ยางอาย ยืนมองอยู่!" สิ้นคำพูดเคียงฟ้าหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
"ว่าไงนะ? ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่ามีคนอยู่ในน้ำ ก็หมอกมันลงหนาขนาดนั้น"
หล่อนขยับปากตั้งใจจะต่อว่าอีกมากมาย ถ้าไม่ทันสังเกตเห็นเสียก่อนว่า ชายหนุ่มตรงหน้านั้นเปลือยกายอยู่ในน้ำ ไม่มีเสื้อผ้าสวมติดกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว หนำซ้ำยังยืนโผล่พ้นน้ำมาอย่างหมิ่นเหม่ใกล้โป๊เต็มที
"เอ้อ...อ้า..."
"อยากดูผู้ชายแก้ผ้านักหรือไง?"
"ฉันไม่...."
"งั้นจะมองอีกนานไหม? จะได้ขึ้นไปสักที" คนพูดทำท่าขยับจะลุยน้ำขึ้นฝั่ง
"เดี๊ยว...อย่าเพิ่ง" หญิงสาวไม่รู้จะปลีกตัวไปหลบซ่อนตรงไหน จึงรีบหลับตาแล้วหันหลังให้ทันที
เคียงฟ้าข่มสติอยู่นานเรื่องประหลาดเมื่อครู่หายวับไปจากใจ เหลือเพียงความความโกรธระคนความอับอายผสมปนเปกันอยู่ หล่อนภาวนาให้เขาแต่งตัวเสร็จโดยไว ในขณะที่ชายแปลกหน้าเห็นว่าหล่อนหันหลังไปแล้วจึงค่อยก้าวขึ้นจากน้ำ เดินเฉียดข้างตัวหญิงสาวไปหยิบฉวยเอาเสื้อผ้าตนเอง ที่แขวนไว้กับต้นไม้ข้างตัวหล่อนมาใส่ เคียงฟ้ามัวแต่ตกใจอยู่จึงไม่ทันสังเกต ว่าเมื่อแรกที่หล่อนมาถึงที่นี่นั้นเสื้อผ้าแขวนอยู่หรือไม่ หล่อนหลับตาอยู่นานคำนวณเวลาว่าเขาน่าจะแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงลืมตาขึ้นแล้วตะโกนถามออกไป
"เสร็จหรือยัง?"
"อืม"
เสียงตอบห้วนๆ นั่นทำให้หล่อนค่อยกล้าหันไปมองเขาเต็มตา ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดพื้นเมืองทอลายดิ้นทองนั้น กำลังวุ่นวายกับการสางผมยาวเปียกชื้นนั้นด้วยฝ่ามือตนเองอย่างคร่าวๆ แล้วจึงมัดรวบให้เรียบร้อย ใบหน้านั้นนวลลออเนียนผุดผ่องอย่างผิวชาวเหนือ คิ้วเข้มเรียงสวยปลายคิ้วชี้ขึ้นรับกับแววตาร้ายๆ ในกรอบตารียาวคู่นั้น จมูกเขาโด่งเป็นสันเรียว ริมฝีปากบางรูปกระจับแดงระเรื่อกว่าปกติ เพราะอาการหนาวด้วยความที่เพิ่งขึ้นจากน้ำ หญิงสาวตะลึงค้างไปด้วยไม่คิดว่าผู้ชายปากร้ายที่เพิ่งต่อปากต่อคำด้วยจะรูปงามถึงเพียงนี้
"ทำไม?" เป็นเขาที่ถามขึ้นมาเพื่อพบว่าหล่อนจ้องหน้าเขาเขม็ง
"มะ...ไม่มีอะไร" หล่อนตอบได้แค่นั้นแล้วรีบเดินหนีทันทีก่อนที่เขาจะทันได้เห็นใบหน้าแดงก่ำนั้น แต่ยิ่งเร่งฝีเท้าร่างสูงนั้นกลับเดินติดตามมาอย่างกระชั้นชิด
หญิงสาวจากกรุงเทพฯ พยายามบอกตนเองว่าคิดไปเองว่าเขาเดินตามหล่อน แต่เมื่อเข้าเขตเรือนพักผู้ชายคนเดิมก็ยังเดินตามติดไม่ได้หนีหายไปไหน จนหล่อนอดรนทนไม่ไหวต้องหยุดเดินแล้วหันมาถามด้วยเสียงอันดัง
"คุณตามฉันมาทำไม?" หนุ่มรูปงามไม่ได้โต้ตอบในทันที แต่จ้องหน้าหล่อนเขม็งแล้วจึงเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะเดินผ่านไปโดยไม่ตอบคำถาม
"นี่ฉันถามคุณไม่ได้ยินหรือไง ?"
เป็นเพราะหญิงสาวกำลังฉุนเฉียว หาไม่คงสังเกตเห็นไปแล้วว่าหยดน้ำตามร่างกาย และเรือนผมยาวของชายหนุ่มแห้งสนิทราวไม่เคยเปียกมาก่อน
"เราหรือตามเจ้า?" คนตอบถามกลับมาด้วยด้วยเสียงเยือกเย็น ริมฝีปากรูปกระจับนั้นเยื้อนยิ้มราวกับจะเยาะเย้ย ชนิดที่หล่อนเห็นแล้วต้องฉุนขึ้นมาทันที
"อย่ามาเล่นลิ้นนะ ที่อื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะคุณเดินตามมาทำไม? หน้าตาก็ดีหรือว่าเป็นคนโรคจิตกันแน่?"
ดังจุดไฟร้อนให้ลุกขึ้นมาในทันใด คนใจเย็นเมื่อแรกเปลี่ยนสีหน้าเป็นร้อนวาบด้วยโทสะ เคียงฟ้านึกสะใจที่ทำลายรอยยิ้มกวนประสาทนั่นลงเสียได้ แถมเสียงของหล่อนยังดังไม่ใช่เล่นทำเอาใครต่อใครหันมามองเป็นทิวแถว
"ไร้มารยาท มหาวิทยาลัยไม่ได้ขัดเกลามาบ้างหรือไร?"
"ว่าไงนะ!!?"
เรื่องราวขยายตัวขึ้นใหญ่โตราวน้ำผึ้งหยดเดียวที่เรียกมดมาได้ทั้งกองทัพ เสียงเอะอะนั่นทำให้คนบนเรือนใหญ่ซึ่งกำลังจิบชาใบหม่อน ระหว่างรอรับประทานอาหารเช้านั้น พากันประหลาดใจกับเสียงถกเถียงดังโหวกเหวก จนวิมุตติต้องละสายตาจากถ้วยชาร้อนในมือหันไปตามต้นเสียง ชายหนุ่มนึกแปลกใจเล็กน้อยว่าไร่ที่เคยแสนสงบมานานกลับมีเสียงเอะอะรบกวนแต่เช้า แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไรมากไปกว่านั้น เพราะเข้าใจว่าเมื่อมีคนมาพักจำนวนมาก จะมีเสียงเอ็ดตะโรบ้างก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ตรงกันข้ามกับตรีภูมิหนุ่มร่างใหญ่นั้นลุกขึ้นทำท่าชะโงกชะเง้อเสียคอยาว
"ใครทะเลาะกันวะนั่น? เสียงคุ้นๆ" เพราะเสียงที่กำลังดังโวยวายอยู่นั้น เป็นเสียงของหญิงสาวที่ตะโกนอยู่ข้างเดียว ตรีภูมิจึงจากไปดูที่ชานเรือน
"เฮ้ย!! น้องฟ้านี่หว่า? ทะเลาะกับใครวะนั่น?"
คำอุทานของหนุ่มร่างท้วมเรียกเอาวิมุตติจำต้องลุกขึ้นตาม เมื่อมองลงจากชานเรือนจึงค่อยเห็นว่าหล่อนกำลังทะเลาะกับอยู่ชายหนุ่มแปลกหน้าไม่คุ้นตาคนหนึ่ง แต่เมื่อคู่กรณีของหญิงสาวเหลือบสายตามองมา นัยน์ตาคู่นั้นเปล่งประกายสีทองวาวโรจน์ส่งกระแสบางอย่างมาให้ วิมุตติเห็นเข้ายืนนิ่งงันไปในทันทีด้วยความตกตะลึง เมื่อญาณสติรับรู้ว่าร่างที่เห็นนั้นเป็นผู้ใด
"ภูวิษะ!!" เจ้าของไร่ครางออกมาด้วยอาการเหลือเชื่อ และเผลอไผลปล่อยช้อนที่กำลังคนชาในมือหล่นลงกระทบพื้น
อาการนี้ทำให้ตรีภูมิประหลาดใจเสียยิ่งกว่าเห็นคนทะเลาะกัน เพราะร้อยวันพันปีเพื่อนรักของเขาไม่ค่อยแสดงสีหน้าอะไรออกมา นอกจากยิ้มละมุนและนิ่งเงียบเท่านั้น แต่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังเบิกตาค้าง คล้ายไม่รู้ตัวว่าทำช้อนชาหล่นไปเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ หนุ่มร่างท้วมมองไปที่ชายหนุ่มที่กำลังยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างเคียงฟ้า และคนบนเรือนสลับกันไปมาก่อนจะถามออกมาว่า
"คนรู้จักแกเหรอวะเจ้า?"
คำถามนั้นค่อยเรียกสติที่เลื่อนลอยไปชั่วครู่ให้กลับมา วิมุตติไม่ตอบคำในทันที แต่วางถ้วยชาลงบนราวระเบียงและตะโกนลงไป
"ภูวิษะ!!"
คนที่กำลังทะเลาะกันอยู่หยุดนิ่งแล้วหันไปมองต้นเสียงทันที รวมทั้งคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็หันมาที่วิมุตติและตรีภูมิเป็นตาเดียว ชายหนุ่มเจ้าของไร่จึงค่อยรู้สึกตัวว่าควรลดเสียงลง คิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปมเมื่อครู่ค่อยคลายตัว สีหน้าตกใจจางหายไปกลับสู่ความนิ่งสงบเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา
"เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึง....?"
"พี่เจ้ารู้จักคนโรคจิตนี่ด้วยหรือคะ?" เคียงฟ้าตะโกนถามขึ้นมาด้วยเสียงขุ่นเสียงเขียว
"คนโรคจิต?!!" วิมุตติทวนคำแล้วหันไปจ้องหน้าคู่กรณีของหญิงสาว
"ใช่ค่ะ แก้ผ้าอวดผู้หญิงไม่พอ ยังเดินตามฟ้ามานี่ไม่เรียกว่าโรคจิตหรือคะ?"
คนถูกกล่าวหาหน้าแดงเข้มขึ้นมาทันทีด้วยความโกรธ แต่เมื่อหันมาพบสายตาตื่นตะลึง และสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของคนบนเรือนแล้วก็ร้อนใจขึ้นมาทันที
"วิมุตติเราไม่ได้เป็นอย่างที่นางกล่าวหา? มิได้ทำอะไรต่ำทรามแบบนั้นด้วย" ใบหน้าคมสันนั้นเชิดขึ้นความทะนงตน
"นี่คุณหาว่าฉันใส่ร้ายหรือไง ? " หญิงสาวได้ยินเข้าก็เต้นเร่าขึ้นมาบ้าง และเพราะถูกโทสะครอบงำ จึงไม่ทันได้สังเกตสำนวนพูดที่ฟังดูไม่เข้ากับยุคสมัยนั่นเลย
"ภูวิษะ....เรื่องเป็นอย่างไร? ทำไมถึงมาที่นี่ได้" แต่ไม่มีใครตอบคำถามเลย เพราะมัวแต่จ้องมองกันด้วยความโกรธ
"เฮ้ย!! เดี๊ยว...ใจเย็นๆ น้องฟ้า..แล้วเอ่อ...นายคนนั้นน่ะ...ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา เข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า?" ตรีภูมิส่งเสียงไปห้ามทัพก่อน แล้วจึงสะกิดเพื่อนข้างตัวให้ช่วยไกล่เกลี่ย
"ภูวิษะ มาคุยกับเราหน่อย" ไม่พูดเปล่าชายหนุ่มก้าวลงเรือนไปดึงแขนคนถูกกล่าวหาขึ้นมาบนเรือน แล้วดึงเข้าห้องไปสนทนาเป็นการส่วนตัวทันที
เมื่ออยู่ในห้องกันตามลำพังจึงค่อยแลเห็นว่าคนที่ตามเข้ามาทีหลังนั้น รูปร่างหมดจดสะโอดสะองเรือนกายเล็กกว่าวิมุตติเล็กน้อย แต่ความสง่างามนั้นหาได้ด้อยไปกว่ากันเลย อีกทั้งนัยน์ตารียาวคู่นั้นดูราวกับมีเปลวไฟสีทองลุกโชนฉาบแก้วตา จนดูเรืองรองอยู่ตลอดเวลา
"ภูวิษะเจ้า นี่ท่าน...แข็งแรงขึ้นแล้วหรือ?"
ชายหนุ่มตั้งคำถามเลี่ยงการถามตรงตัวให้สะเทือนใจ เมื่อพิจารณาเรือนกายอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก็พบว่าร่างนี้หาใช่มายานิมิตที่มองเห็นได้อย่างเลือนรางเหมือนดังที่เคยเป็นมา จึงลูบคลำไหล่และต้นแขนคนตรงหน้าให้แน่ใจอีกครั้ง
"เราสัมผัสท่านได้?...ฤทธีของท่าน...?" คำถามที่ถามไม่จบประโยคผู้ฟังก็เข้าใจโดยพลัน ภูวิษะเจ้าพยักพักตร์รับ
"เราเองก็ประหลาดใจ....ดูเหมือนว่าเวลาจะเร่งกระชั้นเข้ามาแล้ว"
"อย่างนั้นรึ? แต่ท่านทำให้เราตกใจรวมทั้งหญิงนางนั้นด้วย นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นขอจงชี้แจ้งแถลงไขด้วย ก็ท่านว่าจะไม่พบหน้านางโดยตรงมิใช่หรือ?"
"นั่นเป็นเจตนาเดิม....แต่บางสิ่งกลับกระตุ้นและเร่งเร้าให้เวลานั้นใกล้เข้ามา"
"นางว่าท่านเปลือยกาย..." วิมุตติมีสีหน้าลำบากใจในการถามนัก ซึ่งผู้ตอบเองก็เช่นกันภูวิษะเจ้าเลี่ยงดวงเนตรสีทองคู่นั้นไปทางอื่น แล้วจึงถอนหทัยออกมา
"เราตั้งใจจะลอบมองนางเงียบๆ แต่อยู่ๆ มหิตากลับมองเห็นเรา แล้วส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ" ชายหนุ่มฟังแล้วได้แต่พยักหน้าเงียบๆ ทั้งที่ในใจบอกตนเองว่าเป็นใครเห็นร่างนาคราชสีพรายรุ้งนั่นเข้าก็คงตกใจทั้งนั้น
"มันกะทันหันนักเราหลบลี้ไม่ทัน จึงตั้งใจจะสร้างภาพนิมิตลวงนาง แต่..."
"แต่ ? " ร่างสูงกว่าทวนคำด้วยความแปลกใจ
"จิตของเราไม่อาจตั้งมั่นในสมาธิได้...เพราะนาง"
"มิใช่เรื่องแปลก...หากพบหน้าคนที่รอคอยมาตลอดโดยไม่ทันตั้งตัว ใครเล่าจะคิดว่าเทวีน้อยจะสามารถมองเห็นร่างแท้จริงของท่านได้"
"คงเป็นเพราะนางเป็นคู่บุพเพสันนิวาสของเรามาแต่ปางก่อน กาลครั้งนั้นก็เช่นกัน..." ภูวิษะเจ้าละเว้นภาพอดีตไว้ในในพระทัยมิได้เล่าออกมาทั้งหมด
"แต่มิคาด...จู่ๆ แทนที่จะปรากฏร่างนิมิต เรากลับจำแลงกายมาอยู่ตรงหน้านางเสียแล้ว"
"ฮ่า....ฤทธีของท่าน...กลับมาแล้ว ? แสดงท่านใกล้หลุดพ้นจากโทษทัณฑ์แล้ว เรายินดีกับท่านนัก" ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาด้วยความยินดี
"ขอบคุณ แต่ยังมิใช่ทั้งหมดหรอก เราเองก็อธิบายเรื่องนี้มิได้ทั้งหมด แต่ในร่างกลับรู้สึกถึงฤทธีบางส่วนที่กลับมา จึงจำแลงเป็นมนุษย์ได้ทว่า...เรามิทันตั้งตัวจึงเกิดความผิดพลาด รู้สึกตนอีกทีนางก็เห็นเราอยู่เบื้องหน้าโดย....ก็อย่างที่ได้ยินไปนั่นแหละ"
"อุ๊บ!! ฮ่า ฮ่า ฮ่า" คนหน้าตายกลับกลั้นหัวเราะไม่อยู่ จนภูวิษะเจ้าพักตร์แดงด้วยความเขินอาย
"วิมุตติเราไม่เคืองหรอกนะ หากท่านจะเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าขบขัน" แม้จะตรัสว่าไม่พิโรธขุ่นเคืองแต่ประการใด แต่ก็เข้าใจได้ว่านี่เป็นการเตือนอ้อมๆ
"ขอโทษด้วย เรามิได้ตั้งใจจะหัวเราะเยาะท่าน เพียงแต่ว่า...มันออกจะผิดคาดไปมากมายนัก เอาเถิดเราจะช่วยแก้ไขเรื่องนี้ให้เอง ว่าแต่ท่านควบคุมการจำแลงร่างได้แล้วใช่หรือไม่ ถ้าเป็นดังนั้นออกไปข้างนอกกันเถอะ"
มานพหนุ่มผู้จำแลงกายมามิได้มีสีหน้าดีขึ้นสักเท่าใดนัก แต่ก็ยินยอมพร้อมใจกันเดินออกไปเผชิญหน้ากับนางผู้มีเวรผูกพันกันมาแต่ปางบรรพ์ ในขณะที่วิมุตตินั้นแม้จะหยุดอาการขันนั้นลงสนิทแล้วก็ตามที แต่กลับยังมีรอยยิ้มเจืออยู่บนใบหน้า
[จบตอบที่ 12]
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++