จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
 
กันยายน 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
20 กันยายน 2555
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 5

ตอนที่ 5
งู




                 บนโต๊ะอาหารมื้อเย็นของวันนั้น ไร่เหมวัตเงียบสงบดังเช่นทุกวันที่เคยเป็นมา การรับประทานอาหารพร้อมหน้ากันสองพ่อลูกก็เป็นกิจวัตรที่เหมือนดังเช่นเคย สิ่งที่ไม่เหมือนในวันนี้คือบทสนทนาที่นานครั้งวิมุตติจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำบอกกล่าว สรวงไม่แน่ใจว่าเขาฟังผิดหรือเปล่า จนต้องย้อนถามอีกครั้งแต่ก็ยังได้รับคำตอบยืนยันเช่นเดิม แก้วตาสีน้ำตาลใสนั่นไม่ได้ฉายแววอารมณ์ใดๆ ออกมา ให้จับความคิดได้เลยแม้แต่น้อย



                "นึกยังไง? คุณไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆ ไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมจะไปเรียนในเมือง?"



                 "มันถึงเวลาที่เราจะต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วมิใช่หรือ? ถ้าไม่ไปสิแปลก" คนเป็นลูกเฉลยออกมา



                 "นั่นก็ใช่ แต่ทำไมต้องไปกรุงเทพฯ ที่เชียงใหม่นี่ก็มี หรืออยากจะไปเรียนเมืองนอกผมจะจัดให้ ไปประเทศที่สงบๆ อย่างนิวซีแลนด์ หรือสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้นี่"



                "เรารู้ว่าพ่อท่านหวังดี....แต่....มันใกล้เวลาที่เรารอมานานแล้ว เราจำเป็นต้องไป" 



                คำตอบนั้นทำเอานายสรวงอึ้งไปในทันที เวลามันผ่านมานานร่วมสิบกว่าปีที่เขาเลี้ยงดูผู้ลงมาจุตินี้ จนแทบลืมสิ่งที่วิมุตติเคยบอกกล่าวเอาไว้



                "มันได้เวลาแล้วรึคุณ ? "



                ในใจของชายวัยกลางคนเบาโหวงอย่างบอกไม่ถูก อย่างไรคนตรงหน้าก็ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกชายของเขา แม้จะไม่ได้สนิทชิดเชื้อหรือสนิทชิดเชื้อเล่นหัวหยอกเย้ากันเหมือนพ่อลูกทั่วๆ ไปก็ตาม แต่สรวงคิดเสมอว่าคนตรงหน้าเป็นลูกชายของเขา เป็นคนที่เมืองอมรประทานมาให้เขา



                "ยังหรอกพ่อท่าน คนที่เราคอยเขายังไม่มา แต่เราจะไปคอยเขาก่อน...ที่นั่นน่ะ"



                "ไปคอย ? หมายความว่าเขามาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนคุณ" วิมุตติยิ้มตอบบางๆ เช่นเคย



                "แล้วต้องไปคอยอีกนานไหมกว่าจะได้พบ?"



                "เรายังไม่แน่ใจ อาจจะใกล้ในเร็ววันนี้ หรืออาจจะต้องรออีกหลายปี แต่ที่หมายไม่ผิดพลาดแน่"



                "หมายความว่าคุณจะไป 'ดัก' งั้นรึ?"



                สรวงได้แต่ถามคร่าวๆ แต่มิได้ละลาบละล้วงมากนัก เพราะวิมุตติเป็นคนปากหนัก หากไม่บอกเองถามไปก็ได้แต่ความเงียบกลับคืนมา



                "ฮะ ฮะ จะใช้คำว่าที่พ่อท่านว่าก็ได้...แต่ขอแก้เป็น ไปคอยได้ไหม ?" เด็กหนุ่มวัย 19 ปีหัวเราะออกมา



                "ถ้าอย่างนั้นแปลว่า....คุณมีมหา'ลัยที่คิดจะเข้าอยู่ในใจแล้ว?"



                "มหาวิทยาลัย" บุตรชายแก้เป็นคำเต็มให้ก่อนจะพยักหน้าซ้ำ



                "ที่ไหนล่ะ? ผมจะจัดการให้"



                "ไม่เป็นหรอกพ่อท่าน เราจะสอบเข้าไปเอง"



                สรวงรู้ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยคงไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับวิทยาธรสักผู้หนึ่ง แต่เขากำลังคิดว่าวิมุตติแค่พยายามจะเลียนแบบวิถีมนุษย์ให้แนบเนียนมากกว่า 



                "จะให้ผมช่วยอะไรไหม? "



                "หามีไม่...จากนี้ไปเราต้องเป็นผู้กระทำเอง"



                "ผมน่าจะช่วยอะไรคุณได้บ้างนะ อย่างน้อยๆ ก็จัดเตรียมเอกสารหาที่พักให้ กรุงเทพฯ กับเชียงใหม่ไม่ใช่ใกล้ๆ กันนะ ตอนเรียนหนังสือคงไปกลับบ่อยๆ ไม่ได้"



                "พ่อท่าน...รอบคอบยิ่งนัก เราขอขอบคุณ" นิ้วเรียวสวยนั้นพนมขึ้นจรดหว่างคิ้วเพื่อแสดงความขอบคุณในความเอื้อเฟื้อ



                "เฮ้ย...เรื่องเล็กน้อยน่า ผมแค่ทำไปตามหน้าที่อย่างที่คนเป็นพ่อทั่วๆ ไปควรเตรียมพร้อมให้ลูก"



                "พ่อท่านคงมิรู้ ตั้งแต่เรามายังภพนี้...เรามิเคยต้องรู้สึกอ้างว้างเดียวดายเลยแม้แต่น้อย เพราะมีพ่อท่านอยู่กับเราเสมอ หาไม่แล้วเราคงต้องขวนขวายกว่านี้หลายเท่านัก" คำตอบนี้ทำเอานายสรวงถึงกับขอบตาแดงระเรื่อ ด้วยมีน้ำใสไหลซึมออกมาด้วยความซาบซึ้งยิ่ง



                "ผม...พ่อก็ดีใจ...ที่คุณมาเป็นลูกพ่อ" เขาดึงร่างเด็กหนุ่มเข้ามาสวมกอด



                "ขอให้จำไว้นะ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น คุณยังเป็นลูกของผมเสมอ" 



                นานแล้วที่อารมณ์ราบเรียบเสมอต้นเสมอปลายของเด็กหนุ่ม ไม่เคยถูกดึงให้โอนเอนอ่อนไหว แต่มาวันนี้วิมุตติกลับเอนโน้มลงไปด้วยความตื้นตันดังเช่นมนุษย์ปุถุชน



                "เรารู้ดี...ว่าพ่อท่านเป็นผู้ให้...ให้กับลูกเสมอ"



                 ไม่ว่าชาติภพใดบุพการีคือผู้ให้ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะให้กำเนิดมาเป็น เทพบุตร เทพธิดา หรือ ภูต ผี ปีศาจ ตนใดอวตารมาจุติ แต่สำหรับบิดามารดาแล้ว...ลูกคือลูก มิเคยเป็นอย่างอื่น นายสรวงบิดาในนิตินัยของวิมุตติเองก็เช่นกัน ชายวัยกลางคนไม่เคยเป็นอื่นกับเขานอกคำว่า "พ่อ" และปฏิบัติหน้าที่อยู่ในคำอันประเสริฐนี้มาตลอดชีวิต คุณงามความดีข้อนี้ผู้มาจากแดนฟ้า ให้สัจจะสัญญากับตนเองว่าจะจารึกบิดาผู้นี้ไว้มิลืมเลือน แม้จะไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงก็ตามที



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                 เงาจันทร์ทาบลงผืนน้ำและค่อยๆ เปลี่ยนรูปบิดเบี้ยวไปตามกระแสน้ำที่พัดผ่าน เสียงหรีดหริ่งเรไรที่เคยอยู่ในพงไม้รอบๆ เรือนเล็กของวิมุตติทุกค่ำคืน พากันส่งสำเนียงแห่งป่ามาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแต่จู่ๆ ก็ พร้อมใจกันเงียบลง จนปราศจากสรรพเสียงใดๆ เว้นแต่เสียงแหวกผืนน้ำเบาๆ ขึ้นมาบนฝั่ง และตามด้วยเสียงสวบสาบของใบไม้แห้ง เสียงนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนไปถึงตัวเรือนจึงหยุดนิ่งลง เจ้าของเรือนยังไม่ได้เข้านอนแต่เปิดไฟแสงอ่อนทิ้งไว้เพื่ออ่านหนังสือ พลันก็รู้สึกถึงการมาเยือนของใครบางคน จึงส่งเสียงถามไป



                 "เป็นผู้ใด?" 



                 หากแต่ไม่มีเสียงตอบ เพราะผู้มาเยือนไม่สามารถพูดจาเยี่ยงมนุษย์ได้ สัตว์ตัวยาวมีเกล็ดสีดำมะเมื่อม คืบคลานเลื้อยผ่านช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เข้ามาภายในห้อง ร่างของมันยาวร่วม 3 เมตร เมื่อลงมาถึงพื้นได้ก็เลื้อยไปหยุดหน้าเก้าอี้ที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่ แล้วชูหัวยกขึ้นคล้ายจะกล่าวอะไร



                "ใครให้มา?"



                งูตัวใหญ่ไม่ได้ตอบแต่แลบลิ้นสองแฉกไปมา ดวงตาของมันจ้องตรงไปยังวิมุตติ เจ้าของเรือนมิได้ขยับตัวและไม่ได้มีท่าทางเกรงกลัวแต่อย่างใด เด็กหนุ่มเพียงแต่เพ่งพินิจงูตัวนั้นอย่างสงบ อีกอึดใจใหญ่ๆ กว่าจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง



                "เราไม่ลืมเรื่องนั้นดอก" เขาบอกกับมันก่อนจะนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เหมือนดั่งกำลังรับฟังคำตอบโต้ แล้วจึงค่อยเอ่ยคำบอกกล่าวขึ้นมา




                "อีกกึ่งปีเราจึงคืนเรือนนี้ ระหว่างนี้เจ้ากลับไปบอกภูวิษะเจ้าว่าอย่าได้ร้อนใจ อีกไม่นานดอก..." งูดำนั้นส่งเสียงฟ่ออยู่ในลำคอฟังคล้ายดังเสียงคราง วิมุตติเห็นเข้าก็ทอดถอนหายใจ



                "แม้เราไปอยู่ในสังคมมนุษย์ แต่มิลืมเลือนหน้าที่ตนเองดอก...หากท่านคิดว่านาน นอกจากรอคอยแล้วท่านสามารถกระทำสิ่งใดได้อีกฤา สงบใจเถิดภูวิษะเจ้า"



                คำพูดนี้ราวกับผู้พูดเองก็อ่อนใจ แต่ไม่นานนักวิมุตติก็คลี่ยิ้มเยือกเย็นออกมาได้ จึงพยักหน้าให้กับงูนั้น



                "เราคอยกันมานาน...ในไม่ช้านี้จะได้จบสิ้นยุติกันเสียที วิมุตติรับปากท่านแล้วหาคืนคำไม่" 


                 ดวงตารียาวของงูนั้นจ้องมองมาไม่วางตา ราวกับจะจดจำทุกท่วงท่าและถ้อยคำของวิมุตติไปบอกกล่าวกับใครอีกคน พลันทั้งคู่ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำขึ้นเรือนและดังใกล้เข้ามา



                 "กลับไปก่อนเถิด อย่าให้ใครเห็นเข้า ประเดี๋ยวจะตกใจ" วิมุตติจึงออกปากเชิญส่ง งูตัวใหญ่ผงกหัวคล้ายแสดงอาการรับรู้ มันลดศีรษะลงแล้วเลื้อยกลับออกไปทางเดิม



                  ไม่นานนักเสียงหรีดหริ่งเรไรที่เงียบหายไปก็กลับมาส่งเสียงอีกครั้ง เด็กหนุ่มจึงลุกไปเปิดประตูก่อนผู้มาเยือนจะทันได้เคาะ เมื่อแรกสรวงมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่นี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่บุตรชายรู้ล่วงหน้าว่ามีผู้มาเยือน จึงปรับใจได้ไม่ยากเย็นนัก ยิ่งเติบโตวิมุตติยิ่งมีสิ่งน่าพิศวงเพิ่มพูนขึ้น



                  อายุเพียงแค่ 19 ปีแต่วุฒิภาวะของเด็กหนุ่มนั้นดูจะล้ำหน้าไปกว่าเด็กรุ่นเดียวกันมาก หนุ่มน้อยขอแยกตัวออกมาพักเรือนเล็กใกล้ลำธารตามลำพังตั้งแต่อายุ 16 ปี นายสรวงไม่ได้ขัดข้องอย่างใด เบื้องต้นเขามองง่ายๆ ด้วยเข้าใจว่าลูกชายเป็นโตหนุ่มแล้ว จึงต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ไม่นานนักก็พบว่าตนเองหลงลืมว่าผู้เป็นลูกของตนนั้นเป็นผู้ใดมาก่อน การปลีกตัวออกไปเท่ากับต้องการเร้นกายไปกระทำในสิ่งที่มนุษย์สามัญธรรมดายากเข้าถึงได้



                "คุณ...คุยกับใครอยู่หรือ?" เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบเขาจึงถามต่อ



                "เมื่อกี้ได้ยินเสียง"



                 "ไม่มีหรอกครับ" ผู้เป็นลูกตอบเลี่ยงไปเพราะไม่อยากโกหก สรวงมองหน้าเด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจจึงแสร้งกลบเกลื่อนเสียเอง



                 "ผมคงจะหูแว่วไปเอง ว่าแต่จัดของหรือยังว่าจะเอาอะไรไปบ้าง? ไม่ต้องเอาไปเยอะนักหรอกหาซื้อเอาที่นั่นจะสะดวกกว่า"



                "ก็เลือกไว้บ้างนิดหน่อย..."



                "เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ก็ดี เพราะบ้านที่จะไปอยู่ห่างตัวเมืองไปพอสมควร เราคงต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้าเผื่อขาดเหลืออะไรจะได้หาทันก่อนเปิดเทอม"



                 เมื่อลูกชายบอกความต้องการว่า เขาไม่ชอบคอนโดทันสมัยในเมืองที่ไปดูมาเมื่อครั้งก่อน คอนโดแห่งนั้นคมชาญเป็นคนแนะนำให้ แต่วิมุตติบ่นว่าเหมือนอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมมองไม่เห็นท้องฟ้าและแผ่นน้ำ ทั้งที่คอนโดห้องกว้างใหญ่ราคาแสนแพงนั่นถูกตกแต่งอย่างหรูหรามีระดับ อีกทั้งยังมีสวนหย่อมขนาดเล็กอยู่ภายในห้องอีกด้วย



                "อยู่คนเดียวนี่เหลือเฟือนะครับ อยู่ได้เป็นสิบคนเลย ไม่อึดอัดหรอกครับ ถ้าไม่ไปยืนนอกตึกก็เหมือนอยู่บ้านนี่แหละครับ แล้ววิวระเบียงนี่ก็สวยมากด้วย แถมยังมีสปอร์ตคลับ สระว่ายน้ำ สนามเทนนิสอีกด้วยนะครับ" เซลของคอนโดแนะนำเป็นอย่างดี แต่วิมุตติปฏิเสธด้วยเหตุผลสั้นๆ ง่ายๆ ว่า



                 "ที่นี่ไปมาไม่สะดวก เพื่อนผมคงมาพบไม่สะดวก"



                 "แต่...แต่ว่า ที่นี่กลางเมืองเลยนะครับ เดินออกไปนิดเดียวก็เจอรถไฟฟ้า ห้างตั้งหลายห้าง โรงหนังอีก แถมใกล้ 'มหาลัยของคุณด้วยนะครับ" สีหน้าเซลขายห้องในตอนนั้นแสดงออกว่าไม่เชื่อกับเหตุผลที่เด็กหนุ่มอ้างเลย



                 "ไม่ใช่หรอก...เพื่อนของผมไม่ใช่คนเมือง อาจจะไม่ชินกับการมาหาเราในที่แบบนี้" 



                 ในตอนนั้นวิมุตตินึกขำ ถึงอธิบายไปเซลขายห้องก็คงไม่เข้าใจหรอกว่าเพื่อนของเขานั้นเป็น "อะไร" ต่อมาจึงตัดสินใจเลือกบ้านชานเมืองที่ใกล้แม่น้ำและมีอาณาบริเวณสวน เพื่อเพื่อนเหล่านั้นจะได้ส่งข่าวหาเขาถนัด นายสรวงแม้ข้องใจแต่ไม่เคยถามอะไร ได้แต่อำนวยความสะดวกให้ทุกอย่างตามต้องการ นานๆ จึงจะท้วงติงขึ้นมาสักครา



                ในขณะที่นายหน้าที่หาบ้านให้ แอบตั้งข้อสังเกตกับคมชาญว่าเด็กหนุ่มอยากได้รถด้วยเลยไม่ยอมอยู่คอนโดในตัวเมือง ทั้งที่แค่นั่งรถไฟฟ้าก็ไปถึงมหาวิทยาลัยได้ คมชาญฟังแล้วได้แต่หัวเราะและแก้ตัวให้ ว่าพ่อเลี้ยงสรวงนั้นร่ำรวยมากซื้อคอนโดราคาเฉียดสิบล้านได้ รถแค่นั้นมันเป็นสิ่งที่วิมุตติจะต้องได้โดยไม่ต้องขออยู่แล้ว



                 แต่คนที่มองผู้อื่นด้วยใจต่ำอยู่ร่ำไปก็ตั้งข้อสงสัยต่อไปว่า ถ้าอยู่ที่คอนโดในเมืองจะถูกผู้ใหญ่อย่างคมชาญคอยสอดส่องดูแลอยู่เสมอ หากมาอยู่ชานเมืองหน่อยจะพาเพื่อนมาจัดปาร์ตี้ หรือทำอะไรมากกว่านั้นก็ง่ายเข้าเพราะห่างสายตาผู้ใหญ่ คมชาญฟังแล้วต้องส่ายหน้าทันที เพราะวิมุตติที่เขารู้จักมาตั้งแต่เป็นเด็กนั้นหาใช่คนแบบนั้น



                "ไม่ใช่หรอก เขาแค่ไม่ชิน เด็กต่างจังหวัดกับเด็กกรุงเทพฯ น่ะมันไม่เหมือนกันหรอกครับ เขาอยู่แต่บนดอยมาตลอดเลยไม่ชอบคอนโดก็แค่นั้นแหละ" คนช่างจับผิดถึงได้ร้องอ้อออกมา พร้อมกับแนบความคิดเห็นส่วนตัวมาเพิ่มเติมให้อีก



                "โธ่...แล้วคุณก็ไม่บอกผมแต่ทีแรก ไอ้ผมก็หลงเข้าใจผิดเห็นเป็นเด็กวัยรุ่นก็นึกว่า..." เหมือนคนพูดไม่เคยผ่านการเป็นวัยรุ่น จึงตีตราหนุ่มกระทงทั้งเมืองว่าเลวร้ายไปเรียบร้อยแล้ว



                "ผมเข้าใจเด็กในเมืองไปอยู่บ้านนอกอยู่เขาก็ว่าเงียบเหงาทนอยู่ไม่ได้ เด็กป่าเด็กดอยมาอยู่ในเมืองก็ปรับตัวให้ชินยาก ไหนจะอากาศไม่ดี เมืองไม่สวย ผู้คนจิตใจไม่ดี....แต่ต้องระวังหน่อยนะ เด็กบ้านนอกเข้ากรุงบางทีก็หลงแสงสีใจแตกไปหลายคนแล้ว ยิ่งเป็นลูกคนมีเงินแบบนี้ด้วย"



                 คมชาญฟังแล้วคร้านจะอธิบายว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้ เขาจึงเบนหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่นแทน



                "เรื่องนั้นน่ะก็แล้วแต่บุญกรรมของเด็กมันเถอะครับ แต่หาบ้านสเป็คที่คุณเขาต้องการให้หน่อยแล้วกัน แพงหน่อยไม่ว่ากัน เขาต้องเรียนอีกหลายปีควรจะอยู่สบายๆ พ่อเลี้ยงเขาใจป้ำแถมมีลูกชายคนเดียว ถ้าลองถูกใจคุณเขาเท่าไรก็จ่าย" เมื่อปิดท้ายด้วยเรื่องเงินเท่านั้นเอง สิ่งเลวร้ายก็หายไปจากปากเซลหาบ้านทันที



                แล้วด้วยอำนาจเงินบันดาลไม่นานนัก วิมุตติก็ได้บ้านแบบที่ตนพอใจ บ้านหลังนั้นเป็นบ้านกึ่งตึกกึ่งไม้ทรงปั้นหยาที่อายุเก่าแก่ร่วม 70 ปี มีสวนล้อมรอบอาณาบริเวณมี พื้นที่บ้านนี้กว้างใหญ่ราวหนึ่งไร่เห็นจะได้ ตัวไม้ที่ใช้สร้างบ้านนั้นไม่ใช้ตะปูตอกเหมือนปัจจุบัน แต่เป็นการก่อสร้างแบบโบราณเรียกว่าลงรอยต่อกันสนิท สภาพบ้านยังดูดีอยู่ แต่นายสรวงก็ส่งช่างเข้ามาตกแต่งปรับปรุงประยุกต์เสียใหม่ จนบ้านหลังนั้นงดงามด้วยศิลปะเก่าใหม่ผสมกัน


                เด็กหนุ่มอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อมาอีกหลายปีจนกระทั่งเรียนจบ ตลอดเวลานั้นมักมีงูจากแม่น้ำเลื้อยเข้ามาบ้านบ่อยๆ แต่ไม่มีงูตัวใดโดนตีตาย เพราะคนรับใช้ทุกคนถูกวิมุตติคำสั่งห้ามฆ่างู หรือฆ่าสัตว์ใดๆ ในบริเวณบ้านเด็ดขาด สร้างความหนักใจให้คนรับคำสั่งมาก เพราะงูยังมารบกวนอยู่เรื่อยๆ แต่เมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มเพียงแต่โบกมือไล่ งูเหล่านั้นก็ยอมเลื้อยหนีไปแต่โดยดี


                 ความอัศจรรย์ปนพิศวงนี้ทำให้ทุกคนจำต้องปิดปากเงียบและรับคำสั่งอย่างเชื่อฟังเท่านั้น แต่นานวันเข้าก็เกิดความเคยชินคนที่อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้จึงไม่มีใครกลัวงู เพราะงูพวกนั้นก็ไม่เคยทำร้ายมนุษย์เช่นกัน



(จบตอนที่ 5)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







Create Date : 20 กันยายน 2555
Last Update : 20 กันยายน 2555 12:59:23 น. 8 comments
Counter : 2435 Pageviews.

 
ตอนต่อไปมาเร็วๆนะค่ะ


โดย: nako IP: 203.154.149.228 วันที่: 20 กันยายน 2555 เวลา:12:29:30 น.  

 
nako : ลองไปดูที่พันทิปถนนนักเขียนนะคะ ลงไว้เร็วกว่าในบล็อกค่ะ ถึงตอนที่ 20 แล้ว ค่ะ ไว้จะรีบทยอยเอาลงบล็อกให้ทันในถนนฯ นะคะ

เข้าไปอ่านได้ที่ลิ๊งค์นี้ค่ะ
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12666145/W12666145.html




โดย: แก้วกังไส วันที่: 20 กันยายน 2555 เวลา:12:38:08 น.  

 
ทำไมลงที่นี่ช้ากว่าเอ่ย


โดย: พี่หมูน้อย IP: 171.4.92.194 วันที่: 20 กันยายน 2555 เวลา:17:26:11 น.  

 
ชอบงานเขียนแบบนี้มากเลยค่ะ
ขอบคุณคุณแก้วกังไส จากใจค่ะ


โดย: bb_wonder IP: 119.42.116.72 วันที่: 21 กันยายน 2555 เวลา:11:14:21 น.  

 
พี่หมูน้อย : เนื่องจากไม่ค่อยได้อัพบล็อกเลยลืมๆ ไปน่ะค่ะ ปรากฏว่าลงในพันทิปแซงหน้าไปหลายตอนแล้ว

bb_wonder : ขอบคุณค่ะ ถ้าว่างแวะมาอ่านเรื่อยๆ นะคะ


โดย: แก้วกังไส วันที่: 21 กันยายน 2555 เวลา:11:39:37 น.  

 
like


โดย: green IP: 108.49.79.26 วันที่: 22 กันยายน 2555 เวลา:3:45:44 น.  

 
green : ขอบคุณค่ะ


โดย: แก้วกังไส วันที่: 26 กันยายน 2555 เวลา:12:14:55 น.  

 
อ่านแล้ว รู้สึก รักพ่อ รักแม่จังค่ะ


โดย: nookhwan IP: 118.172.101.38 วันที่: 3 ธันวาคม 2555 เวลา:10:59:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.