|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 29
ตอนที่ 29 หัวใจหรือการเมือง
"กล่องประทินโฉม" ใบนั้นเกือบจะถูกลืมเลือนเพราะมีเหตุการณ์อื่นเข้ามาแทรก...
อรุณรุ่งจับขอบฟ้าไม่นานนัก สำรับเช้าถูกจัดเรียงรายอยู่เบื้องหน้าเทวีผู้ทรงโฉมกับสวามีนาคจำแลง สองวันถัดจากนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างยังคงสงบสุขดังทะเลปราศจากคลื่นลม ไม่มีเค้าลางของพายุร้ายเลยแม้แต่น้อย มหิตาเทวีแม้นิ่งเฉยไม่ตรัสถามภูวิษะเจ้า ถึงเรื่องการรับหญิงงามจากกันทรานครมาร่วมเรือนเคียงหมอน แต่มิได้ทรงสบายพระทัยเลยแม้แต่น้อย
เคียงฟ้าเห็นเข้าก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความไม่เข้าใจ เพราะหากเป็นหล่อนจะถามเสียไม่ปล่อยทิ้งให้คาใจเช่นนี้ แล้วดูเขาเองก็ช่างกระไรจะรับหญิงอื่นมาเป็นภรรยาอีกคนทั้งที่เคยให้คำสัตย์สาบานกันไว้แล้วแท้ๆ มันน่าเล่นงานให้น่วมนัก
นี่ถ้าให้หล่อนเดาล่ะก็ ภูวิษะเจ้าจะพาเมียใหม่มากะทันหันไม่ให้มหิตาเทวีทันตั้งตัวจะได้ปฏิเสธไม่ได้สินะ ช่างร้ายกาจจริงๆ ผู้ชายคนนี้ หล่อนทำท่าฮึดฮัดอยู่ตรงนั้นคนเดียวโดยไม่มีใครเห็น แต่ยังไม่ทันได้ด่าทอนาคเจ้าในใจต่อก็ได้ยินเสียงอื้ออึงดังมาแต่ไกล
"ภูวิษะท่านอยู่แห่งใด ออกมาปะหน้าเราบัดนี้!!" เสียงทรงอำนาจของสตรีดังมาแต่ไกล ติดตามด้วยเสียงร้องด้วยความตระหนกตกใจของเหล่านางกำนัล
"ผู้ใดมากัน?" มหิตาเทวีตรัสพลางทอดพระเนตรไปยังบานทวาร
ไม่ช้านานความสงสัยก็คลี่คลายลง เมื่อร่างท้วมอวบอัดของหญิงวัยปลายสามสิบย่างกายเข้ามาด้วยสีหน้ามีโทโสนัก นางผู้นี้แต่งกายด้วยแพรพรรณชั้นดีแม้จะมิได้ประดับประดาทรงยศด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ดังฐานะ แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นหญิงสูงศักดิ์ ทว่านางคงรีบร้อนมาที่นี่จึงมิได้สนใจการแต่งองค์ทรงเครื่องให้สมยศศักดิ์
"เสด็จพี่กัมลาภา!!" เมื่อทอดพระเนตรเห็นชัดว่าเป็นผู้ใดเสด็จมา เทวีน้อยก็ยกหัตถ์ลงทาบอุระด้วยความตกพระทัย
"ยังจำได้รึว่าข้าเป็นพี่ของเจ้า!" พระเชษฐคินีองค์ใหญ่กัมมาลาเทวีตรัสด้วยสุรเสียงดังก้อง
"ถวายบังคมเพคะเสด็จพี่" มหิตาเทวีรีบลุกขึ้นจากที่ประทับแล้วย่อวรกายคารวะ ในขณะที่พระสวามีที่ลุกขึ้นยืนเคียงข้างพระวรกาย
"ยินดีต้อนรับเสด็จ กัมมาลาภาเทวี!" ภูวิษะเจ้าน้อมเศียรลงเล็กน้อยเพื่อแสดงการทักทาย มิได้ลดลงมากกว่านั้นสวามีของน้องยาจึงแลดูหยิ่งยโสในสายพระเนตรยิ่งนัก
"เสด็จมาแต่เช้าไม่ทราบว่ารับประทานกระยาหารเช้ามาหรือยังเพคะ หม่อมฉันจะได้จัดถวาย" พระขนิษฐาที่พระชนม์ห่างกันถึง 18 ชันษา รีบตรัสถามอย่างเอาพระทัยพระพี่นาง
"ข้ามิได้มาเพื่อรับประทานกระยาหารกับผู้ใด โดยเฉพาะกับสวามีของเจ้า" ตรัสจบก็ชี้ดรรชนีไปยังราชบุตรเขยองค์สุดท้องทันที
"แล้วทรงประสงค์สิ่งใด" ภูวิษะเจ้าตรัสถามด้วยสุรเสียงเรียบเฉย คล้ายไม่ยินดียินร้อนกับอารมณ์อันเกรี้ยวกราดของพระพี่นาง
"ยังมีหน้ามาถามอีกรึ? เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเอาหญิงนางนั้นมาถวายสวามีข้า"
"หา?" นั่นเป็นเสียงของเคียงฟ้าและมหิตาเทวีอุทานขึ้นพร้อมๆ กัน และตามด้วยเสียงอุทานอีกหลายเสียงของบรรดานางกำนัลประจำตำหนัก เสียงที่ดังที่สุดเห็นจะไม่พ้นศรีดารา
"เสด็จพี่...." มหิตาเทวีเหลียวไปยังวรองค์สูงสง่าข้างวรกาย ด้านหนึ่งก็ทรงประหลาดพระทัยอีกด้านหนึ่งก็ทรงดีพระทัยยิ่งนัก ที่พระสวามีรักษาคำสัตย์ที่มีให้กัน
"นางคนกันทรานั่นเสด็จพ่อประทานให้เจ้า ทำแบบนี้เท่ากับขัดพระประสงค์" เมื่อฟังความจากภคินีแล้วมหิตาเทวีก็ทรงกังวลพระทัยขึ้นมา ส่วนหญิงสาวจากอนาคตได้แต่นิ่งเงียบเฝ้าดูสถานการณ์
"หามิได้พระเทวี เรื่องนี้หม่อมฉันทูลพระบาทเจ้าไปแล้ว ว่าเจ้าชายอนันตราชก็ทรงเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการรบ พระองค์สมควรจะได้รับพระราชทานบำเน็จรางวัลยิ่งกว่าผู้ใด หม่อมฉันจึงเห็นสมควรถวายหญิงงามนางนั้นแก่เจ้าชายอนันตราช พระบาทเจ้าก็ทรงเห็นดีด้วย" ถ้อยดำรัสทูลถวายความนั้นเต็มไปด้วยเหตุผลยากยิ่งที่กัมลาภาเทวีจะทรงคัดค้าน แต่ยังไม่อาจยอมรับได้จึงตรัสต่อว่าต่อขานอีกหลายประโยคนัก
"ก็แล้วทำไมไม่ยกให้ราชบุตรเขยคนอื่นเล่า ก็ร่วมทัพไปด้วยกันไหนจะขุนศึกทหารกล้าอีกเล่า ทำไมต้องเจาะจงเป็นสวามีเรา?!!"
"เพราะไม่มีผู้ใดเหมาะสมแก่รางวัลอันสูงค่านี้ เมื่อเทียบเคียงเจ้าชายอนันตราชพะย่ะค่ะ อีกประการหญิงงามนางนั้นหาใช่สามัญชน จะประทานให้แก่ขุนทหารเป็นจะไม่สมควร กันทรานครจะหาว่าเรามิไว้หน้า เรื่องนี้อ่อนไหวยิ่งนัก หากทำสิ่งใดไม่เหมาะสมจะกระเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างนครได้"
"กันทรานครเป็นแค่เมืองขึ้นไฉนต้องไปสนใจว่าจะคิดอย่างไร!! ท่านต่างหากวางแผนการณ์ใดไว้ หรือคิดจะทำให้เสด็จพี่อนันตราชหมดรักเรา?"
"มิได้พะยะค่ะ ทรงเข้าใจผิดแล้ว" ภูวิษะเจ้ายังทรงตอบทุกคำถามด้วยความพระทัยอันเยือกเย็น ตรงกันข้ามกับมเหสีของพระองค์ซึ่งบัดนี้ตกพระทัยไปมากมายนัก
"ทรงพระทัยเย็นไว้เพคะเสด็จพี่ ภูวิษะเจ้าหาได้คิดร้ายกับเสด็จพี่ดอกเพคะ"
"เงียบไปซะมหิตา อย่าออกหน้าแก้ตัวให้สวามีเจ้าไปหน่อยเลย ตอบเรามาสิภูวิษะท่านทำแบบนี้ทำไม?"
"ด้วยเหตุผลสองข้อพะยะค่ะ ข้อแรกผู้ในร่วมศึกครั้งนี้มิมีผู้ใดทรงทรงยศและเก่งกล้าเกินเจ้าชายอนันตราช จึงสมควรเป็นผู้ครองบรรณาการนี้หาใช่หม่อมฉันไม่ อีกประการ...." นาคเจ้าทรงหยุดตรัสชั่วครู่และผินพักตร์มาสบสายพระเนตรนวลนางข้างวรกาย
"หม่อมฉันให้สัตย์สาบานไว้กับชายาของหม่อมฉัน ว่าจะไม่รักหญิงอื่นใดนอกจากมหิตาเทวีอีก" ดวงพักตร์งามพริ้งบัดนี้แดงก่ำไปทั่ว ทันทีที่ได้ยินคำตรัสจากสวามีอันเป็นที่รัก
"ทรงจำได้...." แล้วจึงแย้มสรวลออกมาจนแลเห็นพระทนต์ซีกเล็กเรียงรายเป็นระเบียบ
"ท่านไม่จำเป็นต้องรักนางคนนั้น แม้จะรับมาเป็นนางรองก็เถอะ" แม้จะทรงตำหนิแต่สุรเสียงของกัมลาภาเทวีอ่อนลงเป็นอันมาก
"แม้นไม่รักก็ยิ่งไม่ควรครองคู่ รังแต่จะเป็นบาปกรรมต่อกันเปล่าๆ หม่อมฉันขออภัยด้วย"
เหตุผลที่ทรงให้มานั้นทำเอาพระเทวีผู้ทรงศักดิ์สองศรีพี่น้อง ปรากฏหยาดอัสสุชลคลอพระเนตรแต่ต่างด้วยเหตุผล องค์น้องนั้นซาบซึ้งตรึงพระทัยยิ่งนัก ส่วนองค์พี่ทรงขุ่นเคืองจนอัสสุชลหลั่งริน นอกจากนั้นแล้วหญิงในห้องทรงพระสำราญอีกหลายคน รวมทั้งเคียงฟ้าพากันมองชายหนุ่มคนเดียวในที่นั้นด้วยความชื่นชมยิ่งนัก
"แล้วข้าเล่า? สวามีเจ้านึกถึงใจข้าบ้างหรือไม่มหิตา!!" ยามนี้อัสสุชลไหลนองพักตร์แล้ว พระขนิษฐาทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ตกพระทัย รีบไปสวมกอดปลอบประโลมพระพี่นางแต่โดนปัดพาราบอบบางนั่นทิ้ง
"เจ้าไม่ต้องมายุ่งกับข้า!!" กัมลาภาเทวีตรัสตวาดเสียงดังออกมา พระนางเปลี่ยนความเสียพระทัยเป็นความกริ้วไปเรียบร้อยแล้ว จึงพาลมาขุ่นเคืองเอากับน้องยาด้วยอีกคน
"เสด็จพี่...."
"แล้วข้าจะคอยดู....ว่าท่านจะรักษาสัญญากับน้องข้าได้แค่ไหน?"
สายพระเนตรเกรี้ยวกราดจ้องมองไปยังนาคเจ้าด้วยความโกธา แต่เจ้าของวรกายสูงสง่านั่นยังคงตรัสตอบด้วยความสงบนิ่งเช่นเคย
"หม่อมฉันรักษาคำสัตย์ด้วยชีวิต หาต้องทรงกังวลแทนไม่"
"ดี! ข้าจะจำไว้ เอาเถิดยามนี้ทำเป็นพูดดีไป ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีวันนั้น!!!" ตรัสแล้วก็หันมาหาพระขนิษฐา
"มหิตาวันใดสวามีเจ้ามีหญิงอื่น ข้าจะมาดูน้ำหน้าคนอสัตย์!!"
มหิตาเทวีเข้าพระทัยพี่นางว่าทรงเสียพระทัยเพียงใด แต่ก็อดปวดแปลบกับถ้อยดำรัสที่ฟังคล้ายคำสาปแช่ง แต่ยังไม่เอ่ยทูลคัดค้านใดๆ ออกมากัมลาภาเทวีทรงเสด็จปึงปังกระแทกพระบาทจากไปเสียแล้ว
"ภูวิษะเจ้า...ไม่น่าตรัสแบบนั้นกับเสด็จพี่เลย ทรงเสียพระทัยอยู่นะเพคะ" นาคเจ้าทอดพระเนตรลงมองสีพักตร์ไม่สู้ดีของชายาแล้วจึงตรัสปลอบโยน
"เราเห็นใจกัมลาภาเทวี....แต่ก็ดีกว่าให้น้องพี่เป็นคนเสียใจ" ดวงเนตรโตของมหิตาเทวีกระพริบถี่ๆ ด้วยความสับสน
"การณ์ครั้งนี้....จำต้องมีผู้รับนางงามจากกันทรานครไว้ มิเช่นนั้นแล้วจะถือเป็นการหมิ่นเกียรติกันทรานคร และหากมิใช่เราแล้วเจ้าชายอนันตราชเป็นผู้เหมาะสมที่สุดด้วยประการทั้งปวง"
"หม่อมฉันสงสารเสด็จพี่...."
"เรื่องนี้คงต้องเป็นเรื่องส่วนพระองค์ของเจ้าชายอนันตราชกับกัมลาภาเทวีแล้ว เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย...ความจริงแล้ว...หากเจ้าชายท่านไม่ประสงค์จะรับบรรณการนี้ไว้ ก็สามารถทูลถวายคืนพระบาทเจ้าได้...แต่ทรงตัดสินพระทัยรับไว้เอง"
"หมายความว่ายังไงเพคะ?" ภูวิษะเจ้ามิได้ตรัสตอบแต่ทรงแย้มสวรลออกมาอย่างนุ่มนวล ด้วยนึกเอ็นดูชายาขององค์เองที่มิทันเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง
"หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ เป็นอย่างนี้นี่เอง" คนที่ออกปากว่าเข้าใจนั้นมิใช่มหิตาเทวี แต่กลับเป็นนางศรีดาราที่กำลังถูกปทุมมาตบต้นแขนให้เงียบปากลง
"เข้าใจสิ่งใดรึ? พี่ศรีดารา?" เมื่อเห็นว่าพระเทวีทรงอนุญาตให้ทูลต่อได้ ศรีดาราก็ไม่รอช้าบอกเล่าสิ่งที่ตนเองวิเคราะห์ไว้ในใจออกมาทันที
"เรื่องนี้หม่อมฉันว่า...กัมลาภาเทวีรู้แจ้งแก่พระทัย แต่ทรงมิอาจทูลคัดค้านพระสวามีได้ ก็เลยมาพาลลงกับท่านภูวิษะ เผื่อว่าท่านจะเปลี่ยนใจแล้วไปเกลี้ยกล่อมเจ้าชายอนันตราชให้น่ะสิเพคะ" เสียงแจ้วๆ นั้นทำเอาคนฟังนึกทึ่ง ร่างน้อยแค่นั้นแต่เสียงกังวานไปทั้งตำหนัก
"เป็นอย่างที่พี่ศรีดาราว่าหรือเพคะเสด็จพี่" ภูวิษะเจ้ามิได้ตรัสตอบแต่ทรงพยักพระพักตร์รับ
"ทำไมเล่าเพคะ? หม่อมฉันไม่เข้าใจ...หากรู้ว่ารับไว้เสด็จพี่กัมลาภาต้องเสียพระทัยแน่ๆ แล้วไฉนจึงยังรับนางงามต่างเมืองนั่นไว้เล่าเพคะ?" เคียงฟ้าเองก็สงสัยเช่นกัน หล่อนขยับเข้ามานั่งใกล้แท่นประทับขึ้นอีกเพื่อจะได้ฟังถนัดถนี่
"ศรีดารา...ท่าทางเจ้าจะวิเคราะห์เรื่องนี้ได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว เจ้าก็ตอบคำถามพระเทวีเถิด"
"เพคะ" ศรีดารายิ้มรับตาเป็นประกาย ตั้งแต่ราชบุตรเขาสยุมพรมาครองตำหนักนี้ เพิ่งจะเอ่ยชมนางเป็นครั้งแรกจึงปรีดาอยู่ในใจ
"นั่นเพราะว่า....การที่พระบาทเจ้าประทานหญิงงามอันเป็นบรรณาการนี้แก่ผู้ใด ก็แสดงว่าทรงชื่นชมผู้นั้นมากเพคะ อีกทั้งยังเป็นเครื่องหมายประกาศว่าผู้ใดนำชัยจากสงครามนั้นนี้ ผู้ที่มีความชอบที่สุดก็สมควรได้รับพระราชทานบำเน็จที่สูงค่าที่สุดไปเพคะ...ถูกต้องไหมเพคะ"
นางคนแก่นกะโหลกอธิบายโดยไม่ติดขัด ท้ายประโยคก็หันไปทูลถามภูวิษะเจ้าซึ่งพยักพักตร์น้อยๆ เป็นการตอบรับ ยิ่งทำให้นางยิ้มกว้างไม่หยุด
"รับนางไว้เพื่อเกียรติยศ...แต่ไม่สนพระทัยความรู้สึกของเสด็จพี่กัมลาภาเลยงั้นรึ?" มหิตาเทวีมีสีพระพักตร์สลดด้วยเห็นพระทัยพระพี่นางยิ่งนัก
"สำหรับผู้ชายเกียรตินี้จำเป็นยิ่งนักเพคะ อีกอย่างนี่ก็ถือเป็นการสะสมบารมีอีกด้วย หม่อมฉันคิดว่าเจ้าชายอนันตราชก็หมายมาดจะเป็นเจ้าหลวงองค์ถัดไปต่อจากพระบาทเจ้าเป็นแน่แท้ การณ์นี้จึงสำคัญยิ่งจำต้องหักพระทัยกัมลาภาเทวีเพคะ"
"พูดมากไปแล้วนะศรีดารา" ปทุมมาซึ่งฟังอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะร้องห้าม เมื่อเห็นว่าการวิเคราะห์ของศรีดาราชักจะลึกเกินไป อาจเป็นการล่วงเกินเจ้าชายอนันตราชได้
"ข้าพูดเรื่องจริงนี่!" แต่ศรีดารามิได้คำนึงถึงภัยจากการแสดงความเฉลียวฉลาดนี้เลย
"เอาเถิด...วันนี้ยกเว้นให้ ว่าต่อไป..." เป็นภูวิษะเจ้าเสียอีกที่ใคร่สนใจจะฟังต่อ ปทุมมาจึงเป็นฝ่ายเงียบไปเมื่อเป็นพระประสงค์
"ท่านภูวิษะต้องการจะหลีกเลี่ยงการชิงอำนาจ หรือการทำให้เจ้าชายอนันตราชไม่พอพระทัยด้วย...จึงทูลขอให้พระบาทเจ้าประทานนางงามแก่เจ้าชายแทน...ใช่ไหมเพคะ"
ภูวิษะเจ้าสดับแล้วก็แย้มสรวลเบาๆ ออกมา หญิงสาวจากอนาคตถึงกับต้องหันมาจ้องมองนาคเจ้าด้วยความทึ่ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเดินหมากอันแยบยล
"สมกับเป็นบุตรีขุนพลมหัทธนะ เห็นทีเราคงต้องตบรางวัลให้เจ้าเสียแล้วกระมัง หึ หึ" ศรีดาราได้ยินดังนั้นก็ก้มลงกราบแทบบาท
"ขอบพระทัยเพคะ" ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งยิ้มหน้าแป้นเช่นเดิม
'ฉลาดรอบครอบกว่าอีตาคนที่หน้าเหมือนกันเป็นไหนๆ'
เคียงฟ้าหน้ามุ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อนึกชายหนุ่มชื่อเดียวกันนี้อีกคน แม้ทั้งคู่จะเหมือนกันทั้งนามเรียกขาน ทั้งใบหน้างามปานรูปสลัก นั้นก็ราวกับมาจากพิมพ์เดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน แต่ความเยือกเย็นสุขุมรอบเช่นนี้เจ้าภูวิษะไม่เคยแสดงให้หล่อนเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เจอกันกี่ทีเขาต้องหาเรื่องทะเลาะกับหล่อนทุกครั้งไปสิน่า ไม่มีจะทำหล่อนชื่นชมได้เท่าราชบุตรเขยแห่งจุมภะปุระผู้นี้เลยสักนิด
ในขณะที่หญิงสาวกำลังคิดเปรียบเทียบชายหนุ่มทั้งสองคนนั้น มหิตาเทวีก็ทรงดำริไปอีกทางดวงฤทัยอันบอบบางไม่แพ้วรกายนั้น กำลังมึนงงสับสนว่าเหตุที่พระสวามีปฏิเสธไม่รับเอาหญิงงามนางนั้นมาครอบครอง เป็นเพราะยึดมั่นในคำสัตย์สาบานที่ให้แก่พระองค์เอาไว้ หรือว่าทรงทำไปเพื่อไม่ต้องการตั้งตนเป็นศัตรูกับเจ้าชายอนันตราช ผู้หวังจะครอบครองบัลลังก์ทองในฐานะราชบุตรเขยองค์โตกันแน่
พระเทวีน้อยทรงต้องการให้เหตุผลของพระสวามีเทน้ำหนักลงไปที่ข้อแรกมากกว่า แต่ลึกๆ ก็อดหวาดระแวงมิได้ ปมดำมืดในใจที่พินทุมณีเทวีทรงผูกไว้เมื่อกาลก่อนกำลังเริ่มส่งผล ปมนั้นเริ่มมัดแน่นขึ้นทุกขณะจิต จนฤดีดวงน้อยไม่อาจนิ่งสงบได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 11 มกราคม 2556 |
Last Update : 11 มกราคม 2556 18:01:13 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1627 Pageviews. |
|
|
|
โดย: แคลลีา IP: 115.67.68.78 วันที่: 15 มกราคม 2556 เวลา:23:11:37 น. |
|
|
|
โดย: เจ้าแก้ว IP: 115.87.102.174 วันที่: 17 มกราคม 2556 เวลา:4:00:13 น. |
|
|
|
|
|
|
|