จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2557
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
17 ธันวาคม 2557
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 68

ตอนที่ 68



             เบื้องหน้าภูวิษะเจ้า มีบุรุษที่เคยแข็งแกร่งกว่าผู้ใด ท่วงท่าก็ห้าวหาญเป็นที่น่าเกรงขามแก่ผู้คนนัก มหัทธนะ เป็นขุนพลใหญ่ในแว่นแคว้นมาหลายสิบปี รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทมาตั้งแต่สมัยพระบาทเจ้าพระองค์ก่อน จนมาเติบใหญ่ใต้ร่มพระบารมีในพระบาทเจ้าสิทธิเสณ โปรดแต่งตั้งให้เป็นขุนพลเอกแห่งจุมภะ เป็นบุคคลอันน่านับถือทั้งแก่ข้าราชการทั้งมวลหรือแม้แต่ราชบุตรเขยองค์ต่างๆ ก็ต้องเกรงใจสิงห์เฒ่าผู้นี้





              แต่มาบัดนี้มหัทธนะ ได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่เบื้องหน้าเจ้านาคราช เมื่อถูกเชิญให้ขึ้นนั่งบนตั่งเสมอกันก็ปฏิเสธด้วยมิกล้า ใบหน้าที่เคยดูเข้มแข็งบัดนี้อ่อนระโหย แววตาดุดันเป็นที่กริ่งเกรงของผู้คนเสมอมายามนี้สะท้อนแต่แววละอายและสิ้นความหวัง





              “มหัทธนะ ท่านอย่าทำให้เราลำบากใจ มีสิ่งใดให้เราช่วยก็กล่าวมาเถิด ” คำตรัสของภูวิษะเจ้านั้นทำให้ขุนพลเฒ่ามีกำลังใจขึ้นอักโข อย่างน้อยๆ ราชบุตรเขยยังมีความเกรงใจมอบให้





             “กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมรู้ว่ามิควรมาที่นี่เสียด้วยซ้ำ แต่..อย่างไรกระหม่อมก็บิดาของศรีดารา แม้นางจะก่อเรื่องชั่วช้าอย่างไร กระหม่อมก็ยังเป็นบิดาของนาง....”





            ภูวิษะเจ้านั่งนิ่งมิได้ตรัสคำใดออกมาอีก ทรงเข้าพระทัยจุดประสงค์ของขุนพลมหัทธนะ เป็นอย่างดี เบื้องหน้าพระองค์บุรุษผู้นี้มิได้เป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเพียงบิดาที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือแก่บุตรีของตนเท่านั้น เจ้านาคราชทอดพระเนตรแล้วก็ทอดถอนหทัย เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่วันจากที่พบกันครั้งสุดท้าย ขุนพลเอกกลับดูแก่ชราลงหลายปี แววตานั้นหม่นหมอง ผมสีดอกเลาขึ้นปกคลุมศีรษะจากเดิมที่เพียงขึ้นแซมเล็กน้อยเท่านั้น ไหล่อันผึ่งผายนั้นก็ลู่ลงยามเมื่อมาขอความเห็นใจจากนาคเจ้า





             “เป็นกระหม่อมเองที่อบรมนางไม่ดี ถึงได้ใฝ่ต่ำ คิดชั่ว แนะนำทางร้ายให้กับพระเทวี นางสมควรถูกประหารตามอาญาบ้านเมือง...แต่..” ขุนพลเฒ่าเสียงเครือลงเป็นอันมาก จนผู้ฟังรับรู้ถึงอารมณ์อันรวดร้าวของบิดาผู้กำลังจะสูญเสียบุตรีไป





             “แม่ของนางตายเสียแต่นางยังเล็กนัก กระหม่อมเองก็มีงานมากมาย จึงปล่อยปละละเลยนางเสียจนไม่รู้จักคิด สิ่งที่นางกระทำไปกระหม่อมเองก็สมควรได้รับโทษร่วมกับนาง ฐานที่มิได้อบรมบ่มเพาะนางมาให้ดี”





              “มหัทธนะท่านอย่าได้กล่าวโทษตนเองเช่นนั้น สิ่งใดที่ศรีดาราทำไปนางก็มิได้เคยปรึกษาท่าน อีกอย่าง...นางก็แค่ หญิงสิ้นคิด...นางเป็นแค่สตรีเท่านั้น จะคิดอ่านใช่ว่าจะกว้างไกลเท่าบุรุษ”





              “ถึงเป็นเช่นนั้นก็เถิด อย่างไรก็ยังเป็นความผิดของข้าพระองค์อยู่ดี ท่านภูวิษะหากเห็นแก่ความดีความชอบที่กระหม่อมเคยกระทำไว้แก่บ้านเมือง ขอได้ทรงโปรด...เว้นโทษตายให้นางสักครั้ง” กล่าวจบขุนพลผู้องอาจก็ก้มลงกราบแทบพระบาทเจ้านาคราช





              “มหัทธนะ...ลุกขึ้นเถิดอย่าได้ทำเช่นนี้ เรามิได้เป็นผู้มีอำนาจจะสั่งการเรื่องนี้ได้ ทุกชีวิตในจุมภะล้วนแต่ขึ้นกับพระบาทเจ้า ท่านไปกราบทูลขออภัยโทษเถิด เราเชื่อว่าด้วยความดีความชอบแต่หนหลัง พระบาทเจ้าจะทรงเมตตา” เมื่อตรัสแล้วก็ก้มลงประคองขุนพลเฒ่าขึ้นมา แต่มหัทธนะยังขืนตัวมิกล้าขึ้นนั่งเสมอ





             “ราชบุตรเขยขอบพระทัยที่ทรงพระกรุณา แต่เรื่องนี้พระบาทเจ้าตรัสว่าแล้วแต่ท่าน กระหม่อมจึงได้แบกหน้ามาขอให้ทรงกรุณาพะยะค่ะ”





               เมื่อได้สดับพระขนงก็ขมวดมุ่น ไม่นานนักก็คลายออกเมื่อขุนพลมหัทธนะเล่าถวาย ว่าได้เข้าเฝ้าทูลเกล้าขออภัยโทษแก่บุตรี แต่พระบาทเจ้าสิทธิเสณมิได้อยู่ในพระอารมณ์ปกตินัก ทรงพระพักตร์บึ้งตึงเมื่อตรัสถึงเรื่องนี้ สุดท้ายก็ตรัสประชดประชัน





              “เจ้าไปขอร้องภูวิษะดีกว่า ศรีดาราเป็นคนของมัน เดี๋ยวถ้าข้าปล่อยส่งเดชมันจะมาถอนหงอกข้าเอาได้! ดูแต่มหิตา..มันยังกล้าปากดีว่าข้าเป็นแค่พ่อตา มันสิเป็นผัว ยกให้มันให้ก็เป็นสิทธิ์ของมัน แล้วกระไรกับแม่ศรีดาราลูกสาวเจ้าเล่า เดี๋ยวมันก็ได้ยอกย้อนมาอีกว่าคนของมัน เช่นนั้นเจ้าก็ไปร้องขอแก่มันเถิด ชะ!”





               ภูวิษะเจ้าสดับแล้วต้องถอนหทัยออกมาโดยแรง ดูท่าพระสัสสุระยังกริ้วไม่คลาย จึงได้ตรัสประชดประชันเช่นนี้ หากอภัยให้นางศรีดาราตามคำขอโดยมิได้กราบทูล ลางทีอาจจะทำให้พิโรธหนักขึ้นไปอีก





             “ท่านภูวิษะ...ทรงกรุณาเถิด กระหม่อมรู้ว่าเรื่องนี้หนักหนาสาหัสนัก แต่กระหม่อมมีนางเป็นบุตรีเพียงคนเดียว กระหม่อมมิอาจทนดูนางต้องตายไปต่อหน้าได้ ขอทรงเห็นใจเถิด...” ขุนพลผู้ชาญศึกมิเคยหวาดหวั่นต่อความตาย แต่เพลานี้นัยน์ตากร้าวคู่นั้นกลับเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา





             “เรายังมิเคยมีลูก...แต่เราเข้าใจความทุกข์ของท่าน”





              “ท่านหมายความว่า?”





               “เอาเถิด...เราจะเข้าเฝ้ากราบทูลขออภัยโทษให้แก่นาง แต่ทั้งนี้สุดแล้วแต่พระบาทเจ้าว่าจะทรงตัดสินเรื่องนี้อย่างไร”





              “ขอบพระทัย!” ไม่เคยมีครั้งใดที่ยอดขุนพลก้มลงกราบผู้อื่นที่มิใช่พระบาทเจ้า อย่างเต็มหัวใจเท่าครั้งนี้





              ภูวิษะเจ้าแย้มสรวลเล็กน้อย เห็นทีองค์เองจะต้องเข้าไปกราบขออภัยโทษที่ได้กระทำกระด้างกระเดื่องให้เป็นที่ขุ่นพระทัยเสียก่อน จึงค่อยกราบทูลขออภัยโทษให้แก่ศรีดารา น่าประหลาดที่ในพระทัยเย็นโล่งราวมีลมหอบใหญ่พัดพาเอาตะกอนในใจออกไป ทิฐิมานะทุกประการละลายลงด้วยน้ำตาของบุรุษผู้ยอมลดตัวลงมาเพื่อบุตรีตนเองโดยแท้



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



             เคียงฟ้าเดินวนเวียนไปมาอยู่ในห้องบรรทมของมหิตาเทวี หล่อนกำลังเฝ้ารอคุณท้าวจันทร์หอมกลับมาจากสืบข่าวที่ตำหนักหลวงอย่างใจจดใจจ่อ แม้จะถูกกักบริเวณแต่หล่อนยังได้ยินข่าวคราวจากข้างนอกเสมอ ในยุคที่ไม่มีอินเตอร์เน็ตแต่กระแสปากต่อปากของผู้หญิงนั้นเหมือนคลื่นสมุทรที่พัดไหวทุกเมื่อ เรื่องอื่นใดเอาไว้ก่อนแต่ชีวิตของศรีดาราสำคัญนักนางไม่ควรจะถูกประหารเพราะนางเทวีแห่งตน นี่จึงเป็นปรารถเพียงหนึ่งเดียวที่เคียงฟ้าอธิษฐานขอบุญกุศลที่เคยทำมาดลบันดาลให้ศรีดาราพ้นโทษทัณฑ์





               พอคุณท้าวจันทร์หอมเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องบรรทม หญิงวัยกลางคนคลานเนิบนาบก้มลงกราบแทบบาทก่อนจะเล่าถวาย สีหน้าไม่บ่งบอกว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ทำเอาเคียงฟ้าต้องเอ่ยถามขึ้นมาเองด้วยใจอันร้อนรน





              “คุณท้าว ได้ความว่ายังไง” น้ำเสียงหล่อนแข็งนักจนคุณท้าวจันทร์หอมประหม่า ด้วยว่าตามปรกติแล้วพระเทวีทรงอ่อนหวานนัก และวางนางไว้ในฐานะผู้ใหญ่จะสั่งการอย่างไรก็ล้วนละมุนละม่อมต่างจากวันนี้





              “เอ้อ...คือว่า ราชทูตจากปาลปุระเข้าเฝ้าเพคะ”





              “ปาลปุระต้องส่งทูตมาแน่อยู่แล้ว แต่เรื่องพี่ศรีดาราเล่าเป็นอย่างไร” น้ำเสียงหล่อนร้อนรนเจือหงุดหงิด





              “พระบาทเจ้าทรงเห็นแก่คุณงามความดีของท่านขุนพลเพคะ จึงยอมเว้นโทษตายให้” หญิงสาวจากอนาคตถอนหายออกมาโดยแรง หล่อนยกมือขึ้นทาบอกในใจเบาหวิวไปหมด เรี่ยวแรงก็พลอยหายไปด้วย จนต้องค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งบนบรรจถรณ์[1] น้ำตาอุ่นค่อยๆ รื้นออกมา





               “รอดแล้ว...” หล่อนสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ พลางยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำตาออกไป





               “คุณท้าวแล้วนางต้องรับโทษสถานใด”





                “เอ้อ...”





                “ว่าอย่างไรเล่า?” คุณท้าวเห็นสีพระพักตร์นางเทวีเข้าก็ทราบว่าทรงห่วงใยศรีดารานัก นางค่อยๆ แย้มยิ้มออกมาช้าๆ แต่อืดอาดนักในสายตาหญิงสาว





                “ทรงอภัยโทษให้เพคะ แต่แม่ตัวดีต่อแต่นี้คงไม่อาจเข้าเขตพระราชฐานได้ นางถูกปลดออกจากการเป็นนางกำนัล และห้ามเข้าวังไปตลอดชีวิตเพคะ รวมไปถึงห้ามมิให้พวกเราติดต่อกับนางด้วย ” ดวงตาของเคียงฟ้าฉายแววยินดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด พอฟังจบหล่อนก็ยกมือขึ้นพนมนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย





               สองวันต่อจากนั้นศรีดาราได้รับการอภัยโทษ ปลดปล่อยนางจากเรือนดิน โดยมีขุนพลมหัทธนะเดินทางไปรับบุตรีที่ยังอยู่ในซมด้วยอาการไข้ นางตัวดีได้ละเว้นโทษตายด้วยความดีความชอบที่เคยมีมาของบิดาโดยแท้ พระบาทเจ้านั้นดำริจะอภัยโทษแต่แรก ทั้งนี้ให้เพื่อเห็นแก่ความดีงามแต่หนหลัง ติดแต่ยังขุ่นพระทัยราชบุตรเขย จึงตั้งแง่ตรัสให้ไปร้องขอแก่ภูวิษะเจ้า หากราชบุตรยอมมากราบขอประทานอภัยโทษ จึงค่อยดำเนินการให้





              ขุนพลมหัทธนะแม้ยินดีที่บุตรีได้กลับคืนสู่อ้อมอก แต่รู้ตนว่าต่อไปอำนาจบารมีจะเท่าเดิมก็หาไม่ เรื่องของศรีดาราเป็นชนักใหญ่หลวงนัก ดีเท่าใดแล้วที่ได้รับการอภัยโทษ อีกทั้งต่อแต่นี้ต้องยอมสยบต่อบุคคลอีกผู้หนึ่งนอกเหนือจากกษัตริย์แห่งจุมภะ แม้ว่าภูวิษะเจ้าจะมิได้เรียกร้องสิ่งใดเป็นการตอบแทนก็ตาม





               ในขณะที่เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวีเพิ่งยิ้มออกเป็นครั้งแรก เมื่อทราบว่าศรีดาราพ้นโทษแล้ว แต่ไม่อาจไปส่งนางได้จึงได้แต่สดับฟังข่าวคราวจากนางกำนัล





              “วันนี้นางออกจากวังไปแล้วเพคะ คงจะไม่ได้กลับเข้ามาอีก” ปทุมมากราบทูล





              “นั่นสินะ...ต่อแต่นี้ไปคงมิได้มีโอกาสพบกันอีกแล้ว” น้ำเสียงหล่อนเศร้าสร้อยนัก แม้จะรู้จักกันไม่นานแต่หล่อนก็ผูกพันกับศรีดารามากเหลือเกิน





              “พระเทวี อย่ากรรแสงไปเพคะ” เมื่อได้รับคำเตือนนางเทวีก็ยกหัตถ์ขึ้นปาดน้ำพระเนตรออก แล้วพยายามแย้มสรวลออกมา





             “ข้าไม่ได้ร้องไห้เพราะเสียใจ ข้าดีใจต่างหากที่พี่ศรีดาราปลอดภัยแล้ว” ใช่...ถึงแม้จะได้พบกันอีกชั่วชีวิตก็ตาม





             “เพคะ...ทั้งหมดนี่เพราะท่านภูวิษะ ไปกราบทูลขออภัยโทษแทนนางเพคะ” เคียงฟ้าฟังแล้วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ





             “เสด็จพี่น่ะรึ?...ข้าคิดว่าเขาเกลียดพี่ศรีดาราไปแล้วเสียอีก” ภาพที่ภูวิษะเจ้าเฆี่ยนนางจนสุดแรงยังหลอกหลอนอยู่ในใจหล่อน





              “ก็เขา...ลงโทษนางรุนแรงถึงเพียงนั้น ราวกับอยากให้ตายคามือเสียด้วยซ้ำ” หล่อนบีบมือตัวเองแน่น ภาพโทสะอันเกรี้ยวกราดของเจ้านาคราชทำให้หล่อนคลอนแคลนว่าเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่...นั่นสินะ เจ้าภูวิษะคนปัจจุบันที่หล่อนรู้จักก็เจ้าอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายแบบนี้





               แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อ บานทวารก็เปิดออกเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาก่อนวรกายสง่างามจะปรากฏขึ้น สุรเสียงนั้นแสดงความขุ่นพระทัยออกมาอย่างเห็นได้ชัด ภูวิษะเจ้าไม่โปรดสิ่งที่ได้สดับสีพระพักตร์บึ้งตึง ดวงเนตรวาวดั่งเพลิงสุม





              “สายตาเจ้า เรามีอันใดดีบ้าง?” เคียงฟ้าสะดุ้งรีบขวับไปตามเสียงตวาด หล่อนได้มัวแต่ตกใจมิทันได้แก้ตัวอันใดออกมา





            “ใช่! เราชังการกระทำของนาง แต่มิได้อยากให้นางต้องตายดอกนะ ยิ่งต้องตายด้วยความโง่เง่าของผู้อื่น!!”





             สิ้นสุรเสียงดุดันก็ตามด้วยวรกายของนาคเจ้า เสด็จเข้ามาในห้องบรรทม สีพระพักตร์เฉยเมยไม่ยินดียินร้าย ผิดกับแววเนตรที่ยังติเตียนชายาอยู่มิคลาย





            “หากเจ้ารักนางสักนิด เจ้าคงมิสั่งให้นางทำอะไรผิดอาญาบ้านเมืองเช่นนี้ดอก” วรกายสูงมิได้ประทับลงเคียงข้าง แต่สบพระเนตรมายังพระชายา เคียงฟ้ารู้สึกเจ็บแปลบในอก หล่อนได้แต่เม้มริมฝีปากไม่กล้าต่อล้อต่อเถียง เพราะรู้ตัวว่าผิดจริง





              “ถวายบังคมเพคะเสด็จพี่” จากนั้นก็ลดกายลงจากตั่ง ก้มลงกราบแทบพระบาท





            “น้องมิทราบว่าจะเสด็จมา เลยมิได้เตรียมเครื่องคาวหวานไว้ให้ รอสักครู่นะเพคะ น้องจะจัดเครื่องเสวยให้”





            “ไม่ต้อง! เราแค่มาบอกเจ้าเรื่องศรีดารา แต่ดูท่าเจ้าจะรู้แล้วนี่ ” ตรัสพลางปรายพระเนตรไปยังปทุมมา ซึ่งนางก็รีบก้มหน้าหลบ





              “เพคะ พวกเราทุกคนเป็นห่วงพี่ศรีดารา ขอบพระทัยที่อภัยให้พี่ศรีดารา...” ทรงกราบลงแทบพระบาทอีกครั้ง ก่อนจะเงยพระพักตร์ขึ้นสบเนตร





             “เสด็จพี่...น้องรู้ว่าน้องโง่ โง่จนไม่อาจให้อภัยตัวเอง แต่น้องก็ยังอยากขอให้เสด็จพี่อภัยให้น้องสักครั้ง” น้ำตาอุ่นๆ ค่อยๆ ล่วงหล่นลงมา เคียงฟ้าพูดออกไปโดยไม่ติดขัด หล่อนคิดว่านี่อาจจะเป็นความในใจชั่วชีวิตที่มหิตาเทวีอยากตรัสกับพระสวามีก็เป็นได้





             หัตถ์ใหญ่ยื่นออกมาคล้ายจะแตะวรกายพระชายา แต่แล้วก็หดกลับไป สายพระเนตรก็มิได้เหลียวมาอีก ทรงหันพระปฤษฏางค์ให้ จากนั้นไม่นานก็ดำเนินออกจากห้องไป





            “เดี๋ยวเพคะ อย่าเพิ่งเสด็จไป” หญิงสาวยังหมอบอยู่บนพื้นในขณะที่ร้องเรียก เจ้านาคราชชะงักไปชั่วครู่แต่มิได้หันกลับมามอง





             “เสด็จพี่น้องมีอีกเรื่อง ทรงโปรด...” พระสวามีทรงนิ่งไม่ตรัสตอบ แต่นั่นแปลว่ายังสดับอยู่





            “ช่วยนำความของน้องไปแจ้งแก่ขุนพลมหัทธนะว่า...นี่ไม่ใช่ความผิดของพี่ศรีดารา เป็นน้องเองที่สั่งให้นางทำ โปรดอย่าลงโทษนางซ้ำอีก แค่นี้นางก็บอบช้ำเจียนตายแล้ว”





            “เท่านั้นใช่ไหม?”





             “เพคะ”





            สิ้นรับสั่งก็เสด็จดำเนินไปโดยมิได้เหลียวมองมาอีก นัยน์ตาของเคียงฟ้าพร่ามัวไปด้วยน้ำตาจนมองเห็นภาพตรงหน้าไม่ชัด หล่อนอยากจะลุกขึ้นแล้ววิ่งตามเขาไป แต่ร่างกายกลับหนักอึ้งไม่เป็นใจ จึงได้แต่นั่งสะอื้นไห้อยู่เงียบๆ มองดูก็รู้ภูวิษะเจ้าไม่ได้โกรธมหิตาเทวี แต่เรื่องราวมันใหญ่โตเกินกว่าจะกล่าวคำอภัยให้โดยง่ายดาย





             แต่สิ่งหนึ่งที่หล่อนไม่รู้ เจ้านาคราชต้องหักใจเพียงใดที่จะไม่หันกลับมามอง ระงับใจไม่ให้เผลอยื่นหัตถ์ไปประคองนางอันเป็นที่รักขึ้นมากกกอดปลอบประโลมแนบพระอุระ มิเช่นแล้วมหิตาเทวีจะไม่ทรงเข็ดหลาบ หากไม่เรียนรู้ผ่านความเจ็บปวดในความผิดพลาดนี้ จึงต้องทรงแข็งพระทัยเอาไว้ ยิ่งหมางเมินพระนางก็ยิ่งปวดร้าวพระทัย





            “ ‘เธอเจ็บ...เขาก็เจ็บ’ ความรักนี่มันวุ่นวายจริงหนอ...”





              เสียงถอนหายใจเบาๆ จากบุคคลที่สามซึ่งไม่มีใครในที่นั้นมองเห็นได้ บัดนี้วิมุตติส่ายหน้าเบาๆ ให้กับความรักอันชอกช้ำของสหาย แล้วร่างโปร่งแสงนั้นก็พล่าเลือนลงจนหายไปจากที่นั้น



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



            เรื่องของศรีดารากลายเป็นเรื่องน้อยนิดเหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งเพียงชั่วข้ามคืน สิ่งที่นำความตื่นตระหนกกว่านั้นก็อุบัติขึ้นมาแทนที่ จนศรีดาราถูกลืมเลือนไปในไม่ช้า เรื่องนั้นสำคัญยิ่งกับอนาคตของภูวิษะเจ้าและมหิตาเทวีนัก ราชทัณฑ์จากการพ่ายศึกนั้นพระบาทเจ้าจะสั่งลงทัณฑ์อย่างไร 




             เคียงฟ้าหวั่นใจยิ่งนักแม้มหิตาเทวีจะเป็นราชธิดาองค์โปรด แต่สิ่งพระนางกระทำนั้นก็สร้างความอับอายแก่พระบาทเจ้ายิ่งนัก และผลจากการพ่ายสงครามรวมไปถึงส่งผลต่อความเป็นไปของจุมภะปุระ แม้จะอาณาจักรใหญ่การพ่ายศึกเพียงครั้งเดียวมิได้ทำให้ล่มสลาย แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ตามมานั้นไม่มีใครคิดว่าจะนำมาซึ่งเหตุอันใหญ่โตถึงขั้นผลาญบ้านผลาญเมืองจนมลายสิ้น




              “ปาลปุระต้องการเรียกร้องสิ่งใดเป็นบรรณาการแห่งสงคราม” แม้รู้ว่าผิดมารยาทที่ใช้คุณท้าวจันทร์หอมไปสืบเสาะมา แต่ตอนนี้หล่อนไม่มีมือขวาที่คอยสืบข่าวอย่างศรีดาราแล้ว ก็ต้องคุณท้าวที่แหละที่เข้านอกออกในได้





             “ปาลปุระเรียกเงินร้อยหาบ ทองร้อยหาบ มณีแดง มรกต และแก้วต่างๆ อีกอย่างละร้อยหาบเพคะ แล้วยังมีของบรรณการอื่นๆ อีก”





            “ร้อยหาบ...” หล่อนทำท่าวิงเวียง ค่าปฏิมากรสงครามที่ผู้แพ้ต้องจ่ายนั้นคนในยุคปัจจุบันอย่างหล่อนฟังแล้วรู้สึกว่ามากโข





             “เพคะ...แต่ว่าน้อยกว่าที่พระบาทเจ้าทรงคาดไว้”





             “นี่น้อยแล้วรึ?”





              “ก็จุมภะเราออกจะร่ำรวยนี่เพคะ ” ปทุมมาแทรกขึ้นมา “หม่อมฉันก็ว่าน่าแปลกที่เรียกแค่นี้”





              “หมดแค่นี้แล้วรึ?”





               “ยังเพคะ ยังมีผ้าไหมทอง ไหมเงิน หยูกยา สมุนไพร ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง พระแม่เจ้าดำริให้เร่งทำเครื่องเคลือบ กับเครื่องเขินส่งไปบรรณาการด้วยเพคะ”





                “แล้วเราต้องจ่ายบรรณาการเช่นนี้ไปกี่ปี”





                “หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ฟังมาก็เพียงเท่านี้ รู้แต่เพียงว่าพระแม่เจ้าตรัสว่าเรียกของบรรณาการเช่นนี้ถือน้อยนัก ทรงคาดว่าทางนั้นต้องมีประสงค์ใหญ่กว่านี้ ปาลปุระคงหมายสร้างสัมพันธไมตรีกับเรามากกว่า” เคียงฟ้าพยักหน้าคิดตามแล้วเห็นด้วย





                “ก็จริงอยู่หนนี้เอาชนะเมืองใหญ่ได้อย่างโชคช่วย แต่ครั้งต่อไปอาจไม่มีโชคเช่นนี้ การผูกไมตรีกันไว้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ...เฮ้อ” หล่อนถอนหายใจในเมื่อเรื่องเล็กกว่าที่คิด บ้านเมืองไม่ได้รับความกระทบกระเทือนมาก บางทีโทษที่หล่อนกับภูวิษะเจ้าจะได้รับอาจจะลดลงไปด้วย สีหน้าของหญิงสาวจึงดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก





              “เพคะ...ด้วยเรื่องไมตรีนั่น...” หญิงสาวจากอนาคตเลิกคิ้วขึ้น ยิ่งเห็นคุณท้าวมีสีหน้าไม่ดีนักที่จะเล่าถวาย





              “พระบาทเจ้าทรงโปรดให้เจ้าชายฉัตรวรุณ เป็นผู้คุมบรรณาการนี้ไปถวายต่อกษัตริย์ปาลปุระ นัยว่าเป็นตัวแทนพระองค์” เจ้าชายฉัตรวรุณนั้นเป็นพระนัดดาที่ถูกยกขึ้นมาเป็นราชบุตรบุญธรรม เนื่องด้วยไม่มีเชื้อพระหน่อที่สืบสายจากพระบาทเจ้าเป็นบุรุษเลย ดังนั้นการส่งเจ้าราชบุตรไปเป็นตัวแทนจึงเป็นการให้ความสำคัญและมอบเกียรติให้แก่ปาลปุระเป็นอันมาก





            “ต้องเดือดร้อนเจ้าพี่ฉัตรวรุณ...เฮ้อ แต่กษัตริย์เมืองปาลคงพอพระทัย” หล่อนนึกตำหนิมหิตาเทวีทำให้เดือดร้อนไปทั่ว พระญาติวงศ์ต้องลำบากมาช่วยแก้ไข





             “ข้าหวังว่าทุกอย่างจะจบด้วยดี” เรื่องราวผ่อนคลายไปในทางที่ดี ทำให้เคียงฟ้าหายใจโล่งขึ้นมาก หล่อนได้แต่หวังในใจว่าจะไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นอีก โดยไม่ทันเฉลียวใจกับสีหน้าของคุณท้าวเลย ใบหน้าคุณท้าวจันทร์หอมเต็มไปด้วยความวิตกกังวล





              “เพคะ...แต่....”





              “แต่กระไร?”





               “ทางปาลปุระใคร่ขอผูกสมัครเป็นเครือญาติกัน...” ทูลแค่นั้นแล้วก็ก้มหน้าหลบไป ทิ้งให้มหิตาเทวีตรึงตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ตรัสออกมาด้วยสุรเสียงสั่น





               “ให้ดองเป็นเครือญาติ...อยากให้มีการแต่งงาน?”





               “เพคะ”





              “กับใคร?”





             “ทางนั้นมีเจ้าหญิงใคร่ถวายมาอภิเษกที่นี่...”





             “กับใคร?” เคียงฟ้าไม่รู้ตัวว่าเสียงของหล่อนนั้นแข็งกร้าวแค่ไหน หล่อนรู้แต่เพียงว่ามือเท้าเย็นชืด ใบหน้าซีดเผือด สังหรณ์บางอย่างทำงานอย่างรุนแรง





              “อย่าบอกนะว่า...”





              “ยะ...ยังไม่ทราบเพคะ”





             “เสด็จพ่อยังไม่ตัดสินพระทัย?”





             “เพคะ”





             “คุณท้าว! จงตอบมาเราบัดนี้! ” เสียงดุดันจนเกรี้ยวกราดกังวานขึ้น หญิงสาวแทบจะสั่นไปทั้งร่าง





             ‘ตั้งสติไว้ฟ้า มันต้องไม่ใช่อย่างที่คิด อย่าตามอารมณ์ของมหิตา เราต้องสติ..’ หล่อนบอกตนเองซ้ำๆ





             “เมื่อแรกเห็นว่าใคร่ถวายให้เจ้าราชบุตร เจ้าชายฉัตรวรุณเพคะ”





             “บังอาจ! เป็นแค่เมืองเล็ก คิดหมายจะได้เป็นชายาเจ้าราชบุตร ปาลปุระหาเจียมตนไม่” หล่อนกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ บางคราวลักษณะของมหิตาเทวีก็เข้าครอบคลุมบุคลิกของหล่อนจนหมดสิ้น





             “จุมภะนั้นเป็นเมืองใหญ่ในแว่นแคว้น คู่สมัครสวาทของเจ้าราชบุตรต้องเป็นเจ้าหญิงจากเมืองใหญ่เสมอด้วยศักดิ์ศรี ไม่ใช่เมืองเล็ก เมืองน้อยกระจ้อยร้อยแบบนั้น นี่ได้คืบจะเอาศอก..คิดจะยกเมืองปาลขึ้นเสมอเป็นเมืองลูกของจุมภะกระนั้น”





             “เพคะ...พระบาทเจ้าก็ทรงดำริว่าไม่เหมาะสม หากขึ้นเป็นพระชายาเสมอด้วยพระชายาองค์แรก ปาลปุระคงหมายมาดไว้ว่าจะได้บารมีในจุมภะ”





             “ว่าอย่างไรนะ คิดจะให้เสมอด้วยชายาเอกด้วยกระนั้นฤา บังอาจมากไปแล้ว!” ยิ่งฟังหล่อนก็ยิ่งร้อน ลักษณะนางเทวีโบราณยิ่งครอบงำ





              ตำแหน่งพระชายาของเจ้าชายฉัตรวรุณนั้นสำคัญยิ่งนัก แม้จะเป็นเพียงราชบุตรบุญธรรม และจะยังไม่กำหนดแน่ชัดว่าตำแหน่งรัชทายาทนั้นจะประทานให้แก่ผู้ใดก็ตาม กระนั้นเจ้าชายฉัตรวรุณก็สืบวงศ์มาในสายตรง แล้วยิ่งได้ประทานยศให้รั้งตำแหน่งเจ้าราชบุตรอีกด้วย พระชายาของเจ้าราชบุตรจึงเป็นตำแหน่งที่สำคัญยิ่งนัก หากบุญญาวาสนาส่งอาจได้ขึ้นเป็นพระแม่นั่งเมืององค์ต่อไปก็เป็นได้





             หรือผิดความคาดหมายเจ้าชายฉัตรวรุณมิได้ขึ้นครองราชย์ แต่ทรงก็มีบารมีในจุมภะมากมาย พระชายาของพระองค์ก็ย่อมจะมากไปด้วยลาภยศสรรเสริญตามบุญญาบารมีแห่งพระสวามี ถึงเพลานั้นปาลปุระจะรุ่งเรืองขึ้นเพียงใด





             “พระบาทเจ้าทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่ปาลปุระต้องการ แล้วทรงคิดอ่านเรื่องนี้ประการใด?”





             “เรื่องนี้ก็ทรงวุ่นวายพระทัยอยู่ไม่น้อย ทรงดำริกับพระแม่เจ้าว่า...จะปฏิเสธก็มิได้ ปาลปุระต้องการให้อภิเษกเจ้าหญิงและเถลิงยศขึ้นเป็นชายาเพคะ ไม่ยอมให้เป็นพระสนมแน่นอน ซึ่งทางเราพ่ายศึกจึงเป็นเรื่องที่น้ำท่วมปากนัก แต่จะให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายฉัตรวรุณนั้นก็ไม่สมควร เห็นทีจะต้อง....”





             “เล่ามาสิ อย่าได้ชักช้า”





            “จะต้องให้อภิเษกสมรสเป็นชายาเสมอด้วยเจ้าหญิงทางเราเพคะ”





             “บ้าไปกันใหญ่แล้ว” เคียงฟ้าไม่แน่ใจว่าตอนนี้หล่อนคือตนเองหรือมหิตาเทวีกันแน่ รู้แต่เพียงว่าจิตใจทั้งหมดหล่อหลอมเข้ารวมกันด้วยโทสะ มือบางยกขึ้นปัดของที่อยู่รอบตัวหล่นลงมากองเกลื่อน





             “จะให้เป็นชายาซ้ายขวา เสมอด้วยศักดิ์กระนั้นรึ! เมืองปาลขอมากเหลือเกิน”





             “นี่เป็นโอกาสเดียวของปาลปุระนี่เพคะ” ปทุมมาทูลเบาๆ





              “นั่นสิ เป็นโอกาสเดียวอันเกิดจากความผิดพลาดจุมภะ...” ท้ายประโยคเสียงหล่อนแผ่วลงจนเบา ความสำนึกผิดแล่นเข้ามาจับจิต โทสะค่อยคลายตัวลง หญิงในร่างมหิตาเทวีค่อยๆ เดินไปยังแท่นประทับแล้วนั่งลง





            “แล้วเสด็จพ่อตกลงเลือกผู้ใด?”





             “ทรงเลือก..เอ้อ หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ทรงดำริว่าจะให้คำตอบแก่ราชทูตในวันรุ่งขึ้น” คุณท้าวจันทร์หอมหมอบลงกราบจนหน้าผากจรดพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบเนตรนางเทวี





             “คุณท้าว...เจ้ารู้ บอกเรามา”





             “เอ้อ...พระบาทเจ้า...เอ้อ..หม่อมฉันไม่แน่ใจ เพียงแต่...”





             “แต่...กระไร”





              “ท่านภูวิษะถูกเชิญให้เข้าเฝ้าเพคะ” คนตอบเงยหน้าขึ้นนิดเดียวแล้วรีบหลบสายตาลง





             ทั้งตำหนักเงียบลงราวกับเป็นยามวิกาล แม้เสียงลมหายใจของนางในตำหนักยังพลอยแผ่วเบาไปด้วย ดวงพักตร์ของมหิตาเทวีซีดเผือดลงทันที ดวงเนตรเบิกค้างอยู่ครู่ใหญ่ก็ระริกไหว หยาดอัศสุชลเอ่อคลอ ริมโอษฐ์อิ่มเม้มลงจนสนิท หัตถ์ทั้งสองข้างกำเข้าหากันจน จนนขา[2]จิกลงฝ่าพระหัตถ์





             “ทำไม..ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้ เสด็จพ่อพระทัยร้ายไปแล้ว” สุรเสียงตรัสรำพันอย่างขมขื่น มหิตาเทวีทรงรู้ดีว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะผู้ใดเป็นต้นเหตุ แต่ไม่คาดว่าผลที่ตามมาจะทิ่มแทงพระหทัยถึงเพียงนี้





             “เสด็จพี่เล่า...เสด็จพี่ว่ากระไรกับเรื่องนี้บ้าง”





             “ไม่ทราบเพคะ ท่านภูวิษะยังไม่เสด็จกลับมา หม่อมฉันรีบกลับมาเล่าทูลให้พระเทวีฟังก่อน” คุณท้าวดูจะหายใจได้คล่องคอขึ้น เมื่อนางเทวีแห่งตนมิได้เกรี้ยวกราดอาละวาดอย่างที่คาดไว้ ระยะหลังนี้ทรงมีพระอารมณ์รุนแรงนัก





            “พระเทวีอย่างเพิ่งเสียพระทัย ลางทีเรื่องราวอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คาด ท่านภูวิษะเพียงแต่ไปร่วมหารือเท่านั้น” ปทุมมารีบทูลปลอบพระทัย แต่สีพระพักตร์ยังไม่ดีขึ้น มีแต่จะไร้สีโลหิตจนดูซีดขาว วรกายบอบบางนั้นเอนไปด้านหลังอย่างไร้เรี่ยวแรง





             “พระเทวี...แย่แล้ว พระเทวีเป็นลม” คุณท้าวจันทร์หอมเห็นเข้าก็ผุดลุกขึ้นทันที ยาหอมยาลม ถูกยกมาถวายอย่างเร่งรีบ แต่ไม่อาจเยียวยาพระหทัยได้เลย





‘มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เธอกลัวมันกำลังจะเป็นจริงแล้วมหิตาเอ๋ย...ไม่มีใครผลักไสเขาไป เธอทำตัวเองทั้งนั้น..จะทำอย่างไรดี...ฉันจะทำยังไงดี เจ้าภู...ฉันไม่อยากเสียคุณไป’ ในความเลือนรางของสตินั้น เคียงฟ้าได้แต่หลงทางอยู่วังวนของความคิด



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


[1] บรรจถรณ์ – เตียง

[2] นขา = เล็บ








Create Date : 17 ธันวาคม 2557
Last Update : 17 ธันวาคม 2557 22:59:12 น. 0 comments
Counter : 1498 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.