เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 31
ตอนที่ 31 รอยร้าว
บ่ายแก่ๆ ของวันนั้นเมื่อลืมพระเนตรขึ้นมาสิ่งแรกที่พระเทวีทรงได้ทอดพระเนตรเห็นคือนางศรีดารา การจะเห็นนางศรีดารานั่งอยู่ข้างแท่นบรรทมมิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด แต่สิ่งที่ทำให้ทรงแปลกพระทัยคือนางคนทะเล้นดูจะเอาพระทัยพระองค์มากจนผิดสังเกต ตั้งแต่รินน้ำใส่จอกยื่นถวายโดยมิต้องรอให้ตรัสขอ และยังพยายามพะเน้าพะนอเอาพระทัยต่างๆ อีกมาก จนปทุมมาที่เข้ามาทีหลังยังพลอยแปลกใจไปด้วย
"ทรงอยากเสวยขนมหวานสักหน่อยไหมเพคะ?"
"ก็ดีนะ...วันนี้ทำอะไรกันรึ?"
"ก็มีทั้งขนมตราทอง ทั้งเทียนปั้น ทั้งพวงเงิน มีทุกอย่างล่ะเพคะหรือจะทรงเสวยอย่างอื่น หม่อมฉันจะได้ไปบอกในห้องเครื่องให้ทำถวาย"
"มิต้องวุ่นวายขนาดนั้นหรอก มีสิ่งใดก็นำมาเถิด" มหิตาเทวีตรัสพลางแย้มสรวลด้วยนึกขบขันท่าทางลุกลี้ลุกลนของนางศรีดารา
"เราขอน้ำมะตูมก็แล้วกัน"
"ได้เลยเพคะ" ศรีดาราลุกขึ้นพรวดพราดแล้วจ้ำอ้าวออกไปด้วยความรวดเร็ว จนแทบชนนางกำนัลอื่นที่เดินสวนทางมา
"เฮ้อ...เห็นทีคุณท้าวจันทร์หอมคงเหนื่อยเปล่า กิริยาไม่ได้นุ่มนวลขึ้นเลยนะเพคะแม่ศรีดารานี่" มหิตาเทวีทรงสดับคำตำหนิของปทุมมาแล้วจึงสรวลออกมาด้วยสุรเสียงกังวาน
"คงจะเป็นอย่างนั้น...นี่เป็นธรรมชาติของพี่ศรีดารา เป็นไม้เนื้อแข็งจะดัดให้ได้รูปทรงดังจัดวางเหมือนดังไม้เนื้ออ่อนอื่นๆ เห็นทีจะยาก หึ หึ"
มหิตาเทวีทรงมิต้องรอคอยนานนัก เมื่อมาถึงห้องทรงพระสำราญก็พบนางกำนัลหลายหน้า พากันถือถาดขนมมากมายละลานตาหลายชนิดมาถวายให้ทรงเลือกเสวย
"ทำไมมันมากมายนักเล่า?"
"วันนี้พี่กุสุมาลย์ลงห้องเครื่อง สอนพวกนางหน้าใหม่ทั้งหลายทำขนมเพคะ" เมื่อได้สดับชื่อนางโฉมงามรอยแย้มสรวลก็หายไปจากดวงพักตร์ ทำเอานางศรีดารายิ้มเจื่อไป แต่ก็รีบยกขนมทูลถวาย
"ลองเสวยดูสิเพคะ"
"พี่ศรีดาราจะให้เราเป็นคนพิสูจน์ฝีมืองั้นรึ? ปกติต้องเป็นหน้าที่คุณท้าวจันทร์หอมมิใช่รึ?" ทรงแปลกพระทัย
"อุ้ย! มิได้เพคะ ที่คัดมานี่ล้วนแต่ได้รับคำชมจากคุณท้าวมาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่...ไม่ทราบว่าจะรสชาติจะถูกโอษฐ์หรือไม่เพคะ"
"อ้อ....แต่ถ้าคุณท้าวชมก็คงรสดีอยู่ดอก" มหิตาเทวียังไม่เท่าทันเล่ห์กลของนางคนทะเล้น จึงรับขึ้นมาชิมทีละชนิดตามที่ทูลถวาย
"อืม...เลื่อมมุกดานี้...เค็มไปสักนิด ตราทองนั้นใช้ได้แต่จะหนักหวานเสียหน่อย ส่วนเทียนปั้น...รูปทรงงดงามนักอีกทั้งยังมีกลิ่นหอม เราว่าเทียนปั้นรสชาติดีที่สุดเป็นฝีมือผู้ใดรึ?"
"พี่กุสุมาลย์เพคะ" ศรีดารายิ้มแป้น ส่วนปทุมมาพอรู้ความประสงค์ของสหายก็รีบทูลสำทับ
"แหม...ก็ใครจะรสมือดีอีกทั้งยังรู้พระทัยพระเทวีเท่าพี่กุสุมาลย์กันเล่า จริงไหมเพคะ?" ทั้งสองหวังว่าจะช่วยปรับความเข้าใจแก่หญิงทั้งสองนาง
"....." พระนางน้อยมิได้ตรัสตอบแต่ทรงวางขนมลงด้วยกิริยาเฉยชา ทำให้ปทุมมาและศรีดารานิ่งอึ้งไปทันที
"พวกเจ้าอยากพูดอะไรกับเรา?"
"มิได้เพคะ"
ปทุมมามิใช่คนกล้าเมื่อเห็นแววพระเนตรทอดลงมา ก็รีบเงียบปากแล้วก้มหน้าลง ตรงกันข้ามกับศรีดาราที่ถือว่าเคยสนิทสนมกับพระเทวีมาตั้งแต่ครั้งร่วมเรียนอักษร จึงกล้าที่จะทูลถวายมากกว่า
"หม่อมฉันเห็นว่าหมู่นี้พระเทวีไม่ทรงสำราญนัก ก็คิดว่าเหตุอาจจะเกิดจากพี่กุสุมาลย์ จึงแนะนำให้พี่กุสุมาลย์ทำขนมทูลถวายเพคะ หากทรงไม่พอพระทัยก็ตำหนิหม่อมฉันเถิดอย่าได้ตำหนิพี่กุสุมาลย์เลย" ศรีดาราถอนหายใจ
เหตุการณ์ที่หญิงสาวทั้งสามนางสนทนากันอยู่นั้น ตกอยู่ในสายตาของเคียงฟ้าทั้งหมด หล่อนลอบดูสถานการณ์อยู่ภายในห้องนี่เอง เพียงแต่ไม่มีใครมองเห็นหล่อนได้เท่านั้น หญิงสาวจากอนาคตเองก็พลอยลุ้นไปด้วยให้เรื่องนั้นลงเอยด้วยดี
"ก็จริงนะ....พอพี่กุสุมาลย์ไม่อยู่เสียคน คนอื่นก็พลอยเหงาไปด้วย"
"พวกหม่อมฉันไม่เป็นไรหรอกเพคะ แต่พระเทวี..."
"เราแค่รู้สึกว่าที่ผ่านมาเราพึ่งพาพี่กุสุมาลย์มากเกินไป บัดนี้เราออกเรือนแล้วสมควรจะเป็นผู้ใหญ่เสียที"
มหิตาเทวีตรัสไปเรื่อยริน แต่คนที่ฟังอยู่กลับคาดเดาอารมณ์พระนางไม่ออก เพราะทรงมิได้แสดงสีพระพักตร์ใดออกมา
"แต่เรากลับทำเรื่องน่าอายนัก พออารมณ์เสียกลับครองสติมิได้ อีกทั้งยังทำสิ่งที่เสียกิริยาลงไปเป็นอันมาก....แล้วพี่กุสุมาลย์ก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะเรา...ผู้ใดรู้เข้าก็คงตำหนิเราทั้งสิ้น" สุรเสียงสลดลงเป็นอันมาก
"พระเทวีเพคะ....คนเราก็มีพลั้งเผลอตอนโทสะครองสติไปบ้าง เป็นเช่นนี้ทุกผู้คนเพคะ อย่างพินทุมณีเทวีก็ทรงอารมณ์เสียแล้วเล่นงานนางกำนัลออกบ่อยๆ หรือจะกัมลาภาเทวีตอนนี้ก็ได้ยินมาว่าที่ตำหนักกำลังร้อนด้วยโทสะพระองค์....คิดไปก็สงสารแม่หญิงต่างเมืองที่มาเป็นพระสนมจริงๆ เลยเพคะ"
"นั่นสิ...ชะตาของนางช่างเลวร้ายนัก แต่เราเข้าใจเสด็จพี่กัมลาภาดี มีหญิงใดกันบ้างเล่า...ต้องการแบ่งดวงใจตนเองให้แก่ผู้อื่น หากเป็นเช่นนั้นแล้ว...สู้ตายเสียดีกว่าจะมาชอกช้ำดั่งตายทั้งเป็นเช่นนี้"
"พระเทวีเพคะ....ทรงกล่าวหนักเกินไปแล้ว" ปทุมมาฟังแล้วก็ใจคอไม่ดีขึ้นมา
"เราโชคดีที่เหตุนั้นมิได้เกิดแก่เรา เสด็จพี่ภูวิษะทรงรักษาคำสัตย์ที่เคยให้ไว้" ตรัสจบจึงค่อยแย้มสรวลออกมาได้บ้าง
"นั่นสิเพคะ ทรงได้พระสวามีแสนประเสริฐ" ศรีดารารีบยกยออย่างเอาพระทัย
"เรามีความสุขมาก...จนกลัวที่จะมีความทุกข์"
"ความทุกข์จะไม่บังเกิดแก่พระองค์แน่นอนเพคะ" ปทุมมาทูลขึ้นอีกผู้หนึ่ง พลางส่งน้ำหมากสุกถวาย
"พวกพี่มาก็ดีแล้ว....เรามีเรื่องจะปรึกษา"
เรื่องกลับกลายเป็นว่าคนที่ตั้งใจจะใช้กุศโลบาย กลับกลายเป็นคนที่นึ่งอึ้งพิศวงแทน แต่ยังไม่ทันได้ทูลถามพระนางน้อยก็ตรัสต่อเนื่อง
"พี่กุสุมาลย์รับใช้เราด้วยความซื่อสัตย์มานาน เราเสียอีกกลับไม่ค่อยได้เอาใจใส่พี่กุสุมาลย์นัก เราจึงคิดว่า...ยามนี้เราก็ออกเรือนแล้ว เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวไม่มีสิ่งใดที่พี่กุสุมาลย์ต้องกังวลกับเราอีกแล้ว แล้วยิ่งพี่สาวร่วมน้ำนมของเราผู้นี้เป็นหญิงที่งามจับตานัก หากต้องจับเจ่าอยู่แต่ในตำหนักปล่อยให้วันเวลาล่วงโรยเห็นจะไม่ดี เราอยากให้พี่กุสุมาลย์มีความสุข...ดั่งเช่นที่เราได้รับความรักจากสวามี"
"ทรงหมายความว่า...?" ดวงตาของศรีดาราเบิกกว้าง
"แม้พี่กุสุมาลย์จะอายุเกินเกณฑ์สมรสไปเสียหน่อย หากแต่เป็นหญิงงามอีกทั้งยังมีคุณสมบัติของแม่เรือนพร้อมสรรพเยี่ยงนี้ คงไม่มีผู้ใดยกเรื่องอายุขึ้นมาเป็นข้อเดียดฉันท์ดอกจริงไหม?"
ปทุมมายังนั่งทำตาปริบๆ เพราะเรื่องที่ได้ยินนั้นเกินความคาดหมายนัก อย่าว่าแต่ปทุมมากับศรีดาราเลยแม้แต่เคียงฟ้าก็เช่นกัน หล่อนนึกไม่ออกว่าทำไมผลของเรื่องมันจึงออกมากลับตาละปัดเช่นนี้
"ทรงจะ....ให้พี่กุสุมาลย์ออกเรือนหรือเพคะ? แล้วจะประทานให้กับผู้ใดกัน?"
"ก็เรื่องนี้แหละ....ที่เราต้องไตร่ตรองให้เหมาะสม พี่กุสุมาลย์ของเรานั้นดีงามนัก บุรุษที่จะครองคู่ด้วยก็สมควรจะเป็นบุรุษดีงามไม่แพ้กัน...เห็นทีคงต้องไปให้พระแม่เจ้าช่วยเลือกให้"
"พระเทวีเพคะ!!?" ศรีดาราร้องเสียงหลงขึ้นมาทันที
"ว่าอย่างไร? จะเสนอผู้ใดหรือพี่ศรีดารา"
"มิใช่เพคะ...ตะ...แต่ว่าๆๆๆ จะไม่เร็วไปรึเพคะ? อีกทั้งจะไม่ตรัสถามความเห็นพี่กุสุมาลย์เลยหรือเพคะ?" นางกำนัลทั้งสองลอบสบตากันด้วยสายตาตื่นๆ
'นั่นสิ....คิดอะไรของเธอน่ะ? หรือว่าคิดจะตัดไฟแต่ต้นลมจากสามีเธอกันแน่?'
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เคียงฟ้านึกออก มหิตาเทวีทรงคิดจะประทานสมรสให้กุสุมาลย์ เพื่อปัดเสี้ยนหนามแทงใจที่ทรงเข้าพระทัยไปเองให้พ้นหูพ้นตา หล่อนฟังแล้วก็สงสารหญิงงามนางนั้นนัก ตามปกติแล้วนางกำนัลที่ถวายตัวรับใช้จะไม่สามารถออกเรือนได้ ถ้าเจ้านายประจำตำหนักไม่ทรงประทานอนุญาต ในกรณีของกุสุมาลย์เองก็เช่นกันเมื่อตรัสเกริ่นมาเช่นนี้แล้ว หลังเสร็จสิ้นจากการถวายการรับใช้แล้วศรีดาราก็รีบวิ่งหูตาเหลือกไปบอกเจ้าตัวทันที พอกุสุมาลย์รู้ข่าวเข้าก็หน้าซีดขาวเป็นกระดาษไปในทันใด
"ทำไมกะหันเช่นนี้ ? พระเทวีทรงคิดอะไรน่ะ?" คนที่ถามขึ้นมาหาใช่แม่หญิงคนงามแต่เป็นคุณท้าวจันทร์หอม
"นั่นสิ!!"
อีกหลายเสียงพูดสนับสนุนขึ้นมาพร้อมๆ กัน ตอนนี้ข่าวกระจายไปทั่วทั้งตำหนักแล้ว พอย่ำค่ำของวันนั้นหัวข้อการออกเรือนของกุสุมาลย์ ก็กลายเป็นเรื่องที่เหล่านางกำนัลพร้อมใจกันยกขึ้นมาประชุม
"ไม่นะ....ข้าไม่อยากออกเรือน!!!"
"ใจเย็นๆ กุสุมาลย์ แค่ออกเรือน พระเทวีไม่ให้ได้เจ้าไปตายเสียหน่อย" คุณท้าวจันทร์หอมปลอบโยน หลังจากเห็นอาการหน้าซีดตัวสั่นและน้ำตาคลอของนางโฉมงามแล้ว
"พระเทวีโกรธอะไรข้า? ถึงต้องการขับไล่ไสส่งข้าไปให้ไกลน่ะ" และแล้วกุสุมาลย์ก็เก็บงำน้ำตาไว้ไม่ได้ น้ำอาบอุ่นไหลรินหลั่งแก้มดังทำทบทลาย
"พระเทวีมิได้โกรธเจ้าหรอก...ทรงรักเจ้ามากต่างหาก ถึงต้องการให้เจ้ามีความสุขน่ะ คู่สมรสก็คงต้องเลือกคนดีมียศศักดิ์ให้น่ามิต้องกังวลไปดอก"
แม้จะพูดปลอบไปเช่นนั้น แต่ลึกๆ แล้วคุณท้าวจันทร์หอมเองก็คิดว่าเรื่องหาใช่วาระปกติธรรมดาไม่ คงมีพระประสงค์ใดเคลือบแฝงเป็นแน่แท้ทีเดียว
"แล้วทำไมถึงกะทันหันแบบนี้ล่ะคุณท้าว ไม่มีวี่แววมาก่อนเลยนะ" ศรีดานึกฉงน
"จะด้วยเหตุใดน่ะรึ?....ก็ทรงชิงชังข้าแล้วน่ะสิ จึงจะขับไล่ไสส่งไปให้พ้นพระพักตร์" กุสุมาลย์สรุปเรื่องด้วยใจน้ำตานองหน้า
"เจ้าจะบ้ารึ? พระเทวีจะไปเกลียดเจ้าทำไม?"
"นั่นสิ...เจ้าเป็นคนโปรดเสมอมานะกุสุมาลย์" ปทุมมารับรองขึ้นมาอีกคน รวมทั้งคนอื่นๆ ในที่นั้นด้วย
"หรือว่า?....จะเป็นท่านภูวิษะที่เป็นคนดำริเรื่องนี้ขึ้นมา" แล้วหนึ่งในนางกำนัลที่นั่งฟังอยู่นานก็แทรกขึ้นมา
"เออนั่นสิ...อาจจะเป็นไปได้นะ ราชบุตรเขยรบชนะกลับมาอาจจะอยากจะประทานกุสุมาลย์ให้เป็นรางวัลขุนทหารคนใดกระมังนี่" ทำเอาหลายคนพากันเห็นด้วยเป็นทิวแถว
"อาจจะเป็นไปได้นะ....แล้วพระเทวีก็ไม่กล้าขัดพระทัยสวามี แต่ไม่รู้จะบอกพี่กุสุมาลย์ยังไงก็เลยหลบพระพักตร์เสีย กลัวว่าพี่กุสุมาลย์จะโกรธเอา" แล้วหลายเสียงก็เห็นด้วยกับข้อสรุปนี้ของศรีดารา รวมทั้งคุณท้าวจันทร์หอมด้วย
"มิน่าเล่า! วันก่อนถึงประทานแพรให้ จะให้แต่งตัวให้งดงามนี่เองแล้วคงจะเชิญผู้ใดมาดูตัวกุสุมาลย์เป็นแน่"
กุสุมาลย์ใจหายวาบเพิ่งทราบว่าเป็น เพราะเหตุใดจึงประทานสิ่งของให้อย่างไม่มีสาเหตุ มิใช่ทรงโปรดปราณนางแต่เป็นเพราะเพื่อการณ์นี้นี่เอง ยิ่งคิดนางก็ยิ่งเศร้าใจในความอาภัพของตนเอง หญิงงามมิได้ต้องการให้ภูวิษะเจ้าเหลียวแลหรือรับนางขึ้นเป็นนางห้าม นางเพียงแต่ปลาบปลื้มชื่นชมเจ้านาคราชในฐานะบุรุษอันดีงามเงียบๆ ภายในใจเท่านั้น อีกทั้งมิเคยแพร่งพรายความนัยนี้ให้ผู้ใดฟังอีกด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดเป็นคำติฉินนินทาหรือเข้าสู่พระเนตรพระกรรณให้ทรงเสียหาย และเกรงว่ามหิตาเทวีทราบความนัยนี้เข้าจะทรงเสียพระทัยอีกด้วย
"ถ้างั้นข้าจะไปทูลขอร้องภูวิษะเจ้า ข้าไม่อยากออกเรือนไปเป็นเมียผู้ใด ข้ารับใช้พระเทวีมาตั้งแต่เด็ก ข้าอยากอยู่รับใช้พระเทวีไปจนแก่จนเฒ่า" กุสุมาลย์ร่ำร้องออกมา
"เฮ้อ...เจ้าเป็นผู้ใด ท่านราชบุตรเขยจึงต้องฟัง เจ้าก็เป็นเพียงนางกำนัลในตำหนักนี้เท่านั้น ก็เท่ากับเป็นสมบัติของท่านจะยกให้แก่ผู้ใดก็ย่อมได้" คุณท้าวจันทร์หอมผู้ผ่านโลกมามาก กล่าวขึ้นอย่างปลงตกแม้จะนึกเห็นใจนางโฉมงามก็ตามที
"แล้วอีกอย่าง...เจ้าเป็นคนโปรดของพระเทวี ท่านภูวิษะย่อมต้องเกรงพระทัย จะเลือกผู้ใดมาเป็นคู่ครองของเจ้าก็ต้องเป็นผู้ที่พระเทวีเห็นชอบด้วย เจ้าอย่าเพิ่งกังวลใจไปเลย....ภายภาคหน้าเจ้าอาจจะต้องขอบคุณท่านด้วยซ้ำ"
"ข้าไม่ต้องการ!! ข้าไม่ออกเรือนไม่เข้าใจรึ!!"
เป็นครั้งแรกที่ผู้คนทั้งตำหนักเห็นกุสุมาลย์แสดงกิริยาเกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้ จึงพากันตกตะลึงพึงเพริด หญิงงามยืนนิ่งอยู่นานก็ทนคับอกคับใจไม่ได้วิ่งร้องไห้เตลิดหนีเข้าเรือนนอนไป
"พี่กุสุมาลย์...." ศรีดาราทำท่าจะวิ่งตามแต่ไม่ทันเสียแล้ว จึงครางออกมาด้วยความเห็นใจ
"ปล่อยนางไปก่อน กำลังลมแรงไปพูดตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่องดอก" เมื่อคุณท้าวจันทร์หอมกล่าวเช่นนั้น ศรีดาราจึงกลับมานั่งรวมกลุ่มด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
"ไม่มีทางช่วยนางเลยรึ?"
"เรื่องเจ้านาย...บ่าวอย่างเราอย่ายุ่งเลย ก็คงต้องแล้วแต่พระทัยของท่านภูวิษะ"
"ถ้างั้นเราไปทูลขอให้พระเทวีทรงช่วยพูดกันดีไหม?" ศรีดารานึกถึงนางเดียวที่จะสามารถทูลทัดทานภูวิษะเจ้าได้
"ดี! งั้นข้าไปด้วย" ปทุมมาเห็นดีงามจึงอาสาไปช่วยกล่อมพระทัยมหิตาเทวีอีกผู้หนึ่ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มณีรัตติกาลในคืนนี้เว้าแหว่งไปครึ่งดวง ดวงศศีปรากฏขึ้นเจิดอยู่เหนือฟากฟ้านานแล้ว กุสุมาลย์ยืนอยู่ในอุทยานหน้าตำหนักด้วยดวงใจอันร้อนรุ่มกระวนกระวายยิ่งนัก ภูวิษะเจ้าผู้เป็นนายเหนือหัวแห่งตำหนักยังมิได้เสด็จกลับมา นางจึงมาดักคอยอยู่ ณ ที่นี่ เวลาล่วงผ่านไปหลายเพลา อากาศเย็นขึ้นเป็นลำดับแต่ไม่อาจดับความวิตกกังวลที่รุมเร้าอยู่ได้เลย มิช้านานวรองค์สูงสง่าที่รอคอยก็เสด็จผ่านมาตามทางเดินอันมืดสลัว เมื่อใกล้เข้าจึงได้เห็นพระพักตร์ทรงสิริโฉมยิ่งกว่าบุรุษใดในหล้าก็ปรากฏชัดเจนขึ้น
"ฝ่าบาทเพคะ!!" กุสุมาลย์ถลาออกไปและคุกเข่าลงเบื้องหน้า สร้างความตกพระทัยให้นาคเจ้ามิใช่น้อย
"กุสุมาลย์รึ? เกิดอันใดขึ้น?"
ยิ่งเมื่อทอดพระเนตรเห็นสีหน้าทุกข์ระทมของนางแล้ว ก็ดำริไปว่าคงเกิดเรื่องร้ายใดขึ้นเป็นแน่แท้ จึงไม่ทันได้สังเกตว่านางกำนัลคนงามมิได้ เรียกขานพระองค์ด้วยพระนามอย่างที่เคย หรือไม่แต่จะเรียกตามบรรดาศักดิ์ว่าองค์ราชบุตรเขย
"ฝ่าบาทเพคะ..." กุสุมาลย์มิได้เล่าเรื่องอันใดออกมา แต่ก้มกราบลงแทบบาทแล้วร่ำไห้ออกมาอย่างหนัก
"กุสุมาลย์ใจเย็นๆ มีเรื่องอันใดค่อยๆ พูดค่อยๆ จาก็ได้" ทรงย่อวรกายลงแล้วดึงนางให้ลุกขึ้นนั่ง
"หม่อมฉันขอร้อง...หม่อมฉันต้องการอยู่ถวายการรับใช้พระองค์ กับพระเทวีไปชั่วชีวิต...ขอทรงโปรดด้วย" เสียงนางครวญไปพร้อมๆ กับสะอื้นไห้อย่างน่าเวทนานัก
"เจ้าพูดเรื่องอันใดกัน เราหาเข้าใจไม่?" ตรัสแล้วก็ทรงแย้มโอษฐ์ยิ้มปลอบประโลมให้นางโฉมงามสงบใจลง
"ได้โปรดเถิดเพคะ อย่าทรงประทานหม่อมฉันให้ผู้ใดเลย ขอให้หม่อมฉันถวายการรับใช้ที่ตำหนักนี้จวบจนสิ้นชีวิตเถิดเพคะ กุสุมาลย์ผู้นี้ให้สัตย์สาบานด้วยชีวิต ว่าหม่อมฉันจะจงรักภักดีซื่อสัตย์ต่อพระองค์และพระเทวีจนกว่าชีวิตจะหาไม่เพคะ" หญิงงามดึงหัตถ์เจ้านาคราชมาแนบใบหน้านางแล้ว พลางวิงวอนร้องขอด้วยนัยน์ตาที่คลอชุ่มไปด้วยหยาดน้ำใส
"กุสุมาลย์? เรางุนงงไปหมดแล้ว? เจ้ากำลังพูดเรื่องใดกัน? เราหรือจะยกเจ้าให้ผู้อื่น? เรื่องเป็นมาอย่างไรกันนี่?"
เมื่อทรงได้ยินถ้อยดำรัสเช่นนั้น กุสุมาลย์จึงค่อยสงบลงบ้าง ภูวิษะเจ้าจึงได้ถามไถ่จนได้ความ ยิ่งฟังยิ่งเกิดความพิศวงฉงนงงงวยด้วยความไม่เข้าพระทัย
"มหิตาน่ะรึจะยกเจ้าให้ผู้อื่น เป็นไปได้อย่างไร? นางกับเจ้ารักใคร่กันราวพี่น้องร่วมอุทร อีกทั้งเรามิเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"
"หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ แต่พระเทวีตรัสเมื่อกลางวัน ว่าจะไปหารือกับพระแม่เจ้าเรื่องจะประทานหม่อมฉันให้ผู้ใดดี....หม่อมฉัน...หม่อมฉัน..." พูดได้แค่นั้นนางกำนัลโฉมงามก็ร่ำไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีก
"หม่อมฉันไม่อยากไปเพคะ ขอทรงโปรดเมตตาหม่อมฉันด้วย" ยิ่งกล่าวน้ำตาก็ยิ่งไหลริน ภูวิษะเจ้าทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ทรงถอนหทัยตามไปด้วย
"เช็ดน้ำตาเสียเถิดกุสุมาลย์" สุรเสียงนิ่มนวลอ่อนโยนน่าฟังยิ่งนัก ตรัสพลางยกหัตถ์ขึ้นเชยคางกุสุมาลย์ขึ้นสบสายพระเนตรพระองค์
"ข้ารับปากเจ้า ข้าจะช่วยพูดกับมหิตาให้ มิต้องร่ำไห้แล้ว" นางคนงามได้ฟังเข้าจึงค่อยคลี่ยิ้มออกมาได้ทั้งน้ำตา และก้มกราบลงแทบบาทอีกครั้ง
"ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันขอบพระทัยที่ทรงเมตตา"
บุรุษผู้ทรงสิริโฉมทรงแย้มสรวลให้อีกครั้ง ภูวิษะเจ้าแม้มิเข้าใจว่าเหตุใดพระชายามีดำรัสเช่นนี้ขึ้นมา แต่มหิตาเทวีคงมิใช่ตรัสจากพระทัยอันแท้จริงเป็นแน่ ในเมื่อพระนางนั้นทรงรักใคร่หญิงงามตรงหน้าราวกับเป็นพี่สาวร่วมอุทร เรื่องนี้คงมีเหตุผลอันชอบกลนัก จึงใคร่จะไปตรัสถามให้รู้ความแล้วหาทางช่วยเหลือกุสุมาลย์
"เอาเถิดเรื่องนี้ให้เป็นธุระของเรา นี่ก็ดึกดื่นมืดค่ำแล้วเจ้ากลับเรือนไปนอนเสีย"
"เพคะ"
กุสุมาลย์เริ่มมีรอยยิ้มบนใบหน้าให้เห็นบ้าง ร่างระหงย่อกายถวายความเคารพก่อนจะเดินกลับเรือนพักไป ภูวิษะเจ้าจึงค่อยเสด็จเข้าตำหนัก โดยหารู้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ตกอยู่ในสายตาผู้ใด!
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 19 มกราคม 2556 |
Last Update : 19 มกราคม 2556 15:37:49 น. |
|
4 comments
|
Counter : 2704 Pageviews. |
|
|