จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
18 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 37

ตอนที่ 37
รอยสาป



                   สตรีนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบขึ้นด้วยความละเอียดอ่อน ละมุนละไม ทั้งนุ่มนวลและเกรี้ยวกราดได้ในหญิงนางเดียวกัน ดุจดังทะเลยามไร้คลื่นลมช่างเงียบสงบ งดงาม และอ่อนหวาน ไม่ว่าจะมองมุมใดก็พบแต่ความรื่นรมย์ แต่เมื่อทะเลแปรดังใจนางยากแท้หยั่งถึง คลื่นลมที่เคยราบเรียบกลับตีเกลียวขึ้นซัดสาดฝั่งโดยแรง สายลมฤาก็หวนไห้จนเกิดเป็นพายุอารมณ์


                    เมื่อผู้หญิงถูกสร้างขึ้นด้วยส่วนประกอบสัดส่วนอันขัดแย้งนี้ พวกหล่อนจึงเปราะบางกว่าที่ใครจะคาดคิด แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็งเพียงใด เคียงฟ้าก็เช่นกันหญิงสาวอยู่ในชุดผ้าขนหนูผืนยาวพันรอบตัว ส่วนชุดนักศึกษาที่ใส่อยู่เมื่อครู่บัดนี้เปียกชุ่มกองอยู่ในกะละมัง หล่อนกำลังนั่งร้องไห้อยู่ในห้องพยาบาล ในขณะที่อาจารย์พยาบาลกำลังทาครีมลดความร้อนบริเวณเนินอกให้ เคียงฟ้าเลอะเทอะไปหมดทั้งตัวด้วยอาหารทั้งสองชาม และยังถูกน้ำร้อนลวกจนผิวแดงแสบร้อนไปหมด โชคยังดีที่น้ำในชามก๋วยเตี๋ยวนั้นไม่ร้อนจัด เพราะหล่อนและมิรันตีมัวแต่คุยกันจึงทำให้อุณหภูมิลดลงไปมาก น้ำร้อนนั้นจึงไม่ได้ทำให้เกิดบาดแผลร้ายแรง


                    ในขณะที่เพื่อนกำลังร้องไห้มิรันตีก็ยืนหน้าซีดอยู่มุมหนึ่งของห้อง ในมือมีเสื้อผ้าที่เพิ่งไปขอยืมชุดพละจากเพื่อนคนหนึ่ง มาให้เคียงฟ้าใส่แทนชุดนักศึกษาที่เลอะเทอะไปหมด แต่เคียงฟ้าไม่ได้มองมาทางหล่อนหรือแม้แต่เอ่ยปากต่อว่าสักคำหนึ่ง หญิงสาวเพียงแต่นั่งร้องไห้เงียบๆ ในขณะที่กำลังทำแผลเท่านั้น


                    "มิรันตี..เอาเสื้อผ้าใหม่มาได้แล้วจ้ะ แล้วหนูช่วยเอาเสื้อผ้าของเพื่อนไปซักให้ด้วยนะเลอะเทอะไปหมดแล้ว"


                    "ค่ะ" ตัวต้นเหตุเบ้ปากเล็กน้อยเมื่อต้องซักเสื้อผ้าให้เพื่อน แต่หล่อนไม่สามารถปฏิเสธได้ เพียงแค่คิดในใจว่ายังดีนะไม่ถอดชุดชั้นในมาให้หล่อนซักด้วย


                   มิรันตีเดินออกไปแล้วอาจารย์พยาบาลวัยสามสิบปลายๆ จึงค่อยเอ่ยถามสาวน้อยเจ้าน้ำตาตรงหน้า


                   "หนูสองคนมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าจ๊ะ?" หล่อนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เคียงฟ้าไม่ตอบเพียงแต่ส่ายศีรษะ น้ำตาเจ้ากรรมยังไหลไม่หยุด


                    "ถ้าอย่างนั้นเกิดอุบัติตามที่เพื่อนบอกหรือเปล่า? สะดุดขากันล้มก๋วยเตี๋ยวหกราดตัวขนาดนี้เลยเหรอ?"


                    คนถามยังคงใจเย็น และไม่ปักใจเชื่อว่านี่เป็นอุบัติเหตุนัก เพราะดูเหมือนชามอาหารทั้งสองจงใจเทราดลงบนตัวเคียงฟ้าคนเดียว ซึ่งถ้าเป็นอุบัติเหตุตามที่เล่ามาก็น่าจะถูกน้ำร้อนลวกทั้งคู่ แต่คนเจ็บพยักหน้าแทนคำตอบ


                    "เจ็บมากหรือร้องไห้ใหญ่เลย?" คนเจ็บพยักหน้ารับอีกหน


                    ความจริงแล้วหญิงสาวรู้สึกเครียดสะสมกับความโชคร้ายที่ประดังกันเข้ามามากกว่า หล่อนไม่ได้โกรธมิรันตีเลยแม้สักนิด ทว่าเมื่อครู่ก่อนที่น้ำก๋วยเตี๋ยวและสุกี้ร้อนๆ จะประโคมราดลงบนตัวหล่อน ชั่วแว่บหนึ่งนั่นเคียงฟ้ามองเห็นเงาเลือนรางในชุดผ้าซิ่นสีหมากสุก ส่งรอยยิ้มเย้ยมาที่หล่อน แม้เพียงเสี้ยววินาทีแต่หล่อนจดจำผู้หญิงคนนั้นได้ดี เป็นกุสุมาลย์ไม่ผิดแน่ นัยน์ตาคู่นั้นมองมายังหล่อนอย่างอาฆาตแค้น เหมือนต้องการให้หล่อนม้วยมรณาไปต่อหน้า เมื่อไรหนอหล่อนจะดิ้นหลุดจากบ่วงกรรมที่มองไม่เห็น หนำซ้ำยังจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าบาปเวรอันใดกัน ถึงส่งให้กุสุมาลย์และคนอื่นๆ ติดตามทำร้ายหล่อนไม่เลิกราเช่นนี้


                     "เฮ้อ..." เมื่อไม่ได้คำตอบใดอาจารย์ผู้สูงวัยกว่าก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแรงๆ


                     "ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจ ก็ปรึกษาครูได้นะ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวมันจะทำให้หนูยิ่งเครียด" พูดพลางยกมือขึ้นลูบไหล่นักศึกษาตรงหน้า แต่เมื่อเห็นหล่อนไม่ตอบอะไรได้แต่พยักหน้ารับเหมือนเมื่อครั้งก่อนๆ จึงบอกให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า


                     "ครูทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว หนูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ชุดชั้นในก็ซักตากไว้ในห้องน้ำที่นี่ก่อน เดี๋ยวก็คงแห้ง" 


                     หญิงสาวลุกขึ้นทำตามอย่างว่าง่าย และหายลับเข้าห้องน้ำไปด้วยท่าทางเซื่องซึม ตรงกันข้ามกับใครบางคนที่เป็นผู้ก่อเหตุขึ้นมา โฉมงามจากอดีตข้ามกาลเวลามาด้วยเพลิงแค้นในใจยืนมองด้วยสายตากระหยิ่มอยู่ข้างประตูห้องน้ำนั่นเอง


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                      กุสุมาลย์ทราบดีว่าสิ่งใดจะทำให้หญิงสักนางมีทุกข์ นั่นคือสั่นคลอนความมั่นใจของนางผู้นั้นเสีย ด้วยเหตุต่างๆ ทำลายสิ่งยึดเหนี่ยวในใจให้นางผู้เป็นศัตรูหวั่นไหว ผิดหวัง ไร้สิ้นหนทาง ตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยการใช้เหตุแห่งความทุกข์นั้นกระแทกเข้าไปที่จุดเล็กๆ เพียงจุดเดียว ประเดี๋ยวก็แตกร้าวลามออกไปไกลดังเช่นกระจกใสบาง ไม่นานเกินรอบุคคลที่นางพึงพยาบาทคงถึงจุดสุดจะทานทน เส้นสายแห่งความเครียดค่อยขันเกลียวขึงจนตึงขึ้นและตึงขึ้นอีก มิช้านานหรอกสิ่งที่นางรอคอยคงมาถึง


                      "เจ้าทุกข์ใจใช่ไหมนางบาป? ทุกข์เข้าไปมากกว่านี้อีกสิ...ทุกข์เช่นเดียวกับที่ข้าทุกข์" วิญญาณนางงามพร่ำบอกอยู่ข้างเตียงนอน


                      เคียงฟ้ากลับมาถึงบ้านตั้งแต่บ่ายแก่ๆ ไม่พบมารดาเพราะคุณยุพาพักตร์ยังไม่กลับจากทำงาน แต่หญิงสาวอ่อนล้าเหลือกำลังและไม่อยากโทรเรียกมารดาให้รีบกลับมาดูแล จึงจัดแจงให้ตัวเองนอนพักผ่อนตั้งแต่เวลานั้น จนกระทั่งกลางดึกหล่อนก็ยังไม่ตื่น หนำซ้ำยังดูจะหลับลึกลงไปเรื่อยๆ เสียด้วย


                      "ความทุกข์จะกัดกร่อนจิตใจของเจ้า มิช้านานหรอก...แล้วเจ้าจะเป็นเยี่ยงเดียวกับที่ข้าเคยเป็น หึ หึ" นิ้วเรียวยาวที่เคลือบสีชาดไว้ที่ปลายเล็บกรีดลงบนใบหน้าของหญิงสาวเบาๆ


                       แรกอรุณของวันนั้นคนทั้งตำหนักต้องตื่นตกใจ ผุดลุกขึ้นจากที่นอนด้วยเสียงกรีดร้องดังโหยหวน เสียงแหลมนั้นกรีดร้องยาวนานทั้งน่าเวทนาทั้งน่าตระหนก ชวนให้จินตนาการไปในทางร้ายว่ามีผู้ใดเป็นอะไร ทุกนางที่อาศัยอยู่เรือนนางกำนัลประจำตำหนักกระทั่งคุณท้าวผู้สูงวัย ต่างพากันกุลีกุจอตื่นทั้งที่บางนางยังมิทันนุ่งผ้าผ่อนให้เรียบร้อยดี ก็พากันวิ่งกรูกันมายังห้องต้นเสียง


                       "กุสุมาลย์!! เป็นอะไร?"
                       ไม่มีเสียงอื่นใดตอบออกมานอกจากเสียงกรีดร้อง แล้วตามด้วยเสียงสะอื้นไห้อย่างหนัก แต่ไม่ว่าเรียกอย่างไรนางในห้องก็มิยอมมาเปิดประตูให้เสียที


                       "พี่กุสุมาลย์ เป็นกระไรไปเปิดประตูหน่อย " ศรีดาราทุบประตูเร็วระรัวแต่หามีการตอบรับใดๆ ไม่

 
                       "เห็นท่าจะไม่ดีแล้วกระมัง เรียกเท่าไรก็ไม่เปิดทำอย่างไรกันดีเล่าคุณท้าว?"
ปทุมมาร้อนรนขึ้นมาอีกผู้หนึ่ง ในขณะที่นางอื่นๆ ในที่นั้นก็ร้องเรียกกันจ้าละหวั่นราวกับมีไฟไหม้ตำหนัก


                       "นั่นน่ะสิ เราพังประตูเข้าไปดีไหม ขืนชักช้าเนิ่นนานจะไม่ทันการ"
เมื่อทุกคนเห็นพ้องกันดังนั้น ก็ไปตามทหารที่เป็นเวรยามเฝ้าตำหนักนำชะแลงมางัดประตูห้องของนางโฉมงามทันที


                       มิช้านานสองนายทหารก็มาถึงพวกเขามิได้นำอุปกรณ์ใดมางัดประตู สองมือมีเพียงดาบพกประจำกาย และเรือนกายอันบึกบึนเท่านั้น แต่ด้วยเรี่ยวแรงบุรุษที่โผนโยนทะยานเข้าถีบประตูเต็มแรง จนสลักที่ขัดไว้ภายในหัก บานประตูผลักเข้าไปภายในโดยแรง ในห้องอันมืดสลัวนั้นมีเพียงแสงเทียนจุดไว้เบื้องหน้าแป้นประทินโฉม มิมีเหตุการณ์ใดผิดปรกติข้าวของทุกชิ้นยังอยู่กับที่ปราศจากร่อยรอยการรื้อค้น ตั่งเตียงนอนนั้นก็ถูกจัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี ผ้าผวยที่มีไว้ห่มกายก็พับเก็บไว้ปลายตั่ง ทั่วทั้งห้องมีเพียงกุสุมาลย์นั่งกุมหน้าสะอื้นไห้อยู่ผู้เดียว ทุกผู้คนเห็นดังนั้นก็พากันกรูเข้าไปในห้องของนาง


                       "พี่กุสุมาลย์เป็นอะไรไป?"


                       ศรีดาราเป็นคนแรกที่ถึงตัวนางโฉมงาม แต่มิมีคำตอบใดหลุดออกมาจากปากนาง สิ่งที่เห็นยังเป็นเช่นเดิม กุสุมาลย์ใช้สองมือปิดหน้าร่ำไห้อย่างรุนแรง เมื่อซักถามนางก็มิได้ตอบคำ ยังคงเอาแต่ร่ำไห้มิได้รับรู้ว่ามีผู้คนมากมายเข้ามาในห้องนอน


                      "กุสุมาลย์ถ้าไม่พูด เอาแต่ร้องไห้แบบนี้แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นอะไร?"
คุณท้าวจันทร์หอมส่ายหน้าเหนื่อยใจยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าไม่มีเหตุการณ์ใดร้ายแรงจึงหันไปบอกแก่ทหารยาม


                      "ไม่มีอะไรแล้วพ่อคุณ แม่กุสุมาลย์คงจะฝันร้ายน่ะ ขอบใจพ่อมากไปเข้าเวรยามต่อเถิด" ทหารยามเห็นดังนั้นก็รับคำแล้วพากันเดินออกไป ในขณะที่คุณท้าวเห็นผู้คนเริ่มตื่นและพากันตรงมาทางนี้จึงออกปากไล่


                      "พวกเจ้าก็เหมือนกัน ไปกันได้แล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ยังมานั่งมุงมองกันอีกทำไม?" ไม่ไล่เปล่าคุณท้าวจันทร์หอมลงมือผลักไสนางกำนัลที่พากันยืนวิพากษ์วิจารณ์ออกไปจากห้องจนหมด


                      "มีอะไรก็ไปทำ นี่ก็รุ่งสางแล้ว งานยังรออีกเป็นพะรอเกวียน ยังไม่เตรียมถวายการรับใช้อีกรึ? ประเดี๋ยวองค์ท่านจะทรงตื่นบรรทมแล้ว"
เป็นคำกล่าวอ้างที่ทรงพลังที่สุด นางกำนัลเหล่านั้นจึงทยอยกันเดินจากไป คงเหลือแต่เพียงศรีดารา ปทุมมา และคุณท้าวจันทร์หอมเท่านั้น


                       คุณท้าวชราจัดแจงดันบานประตูที่สลักห้อยรุ่งริ่งนั้นให้ปิดลง แล้วจึงค่อยมานั่งสมทบกับอีกสองนางที่รายล้อมอยู่รอบกายกุสุมาลย์ 


                      "ตกลงเจ้าเป็นอะไรของเจ้ากุสุมาลย์ ร้องเสียจนคนทั้งตำหนักตกอกตกใจนึกว่าไฟไหม้เสียแล้ว" 


                      หากเป็นยามปรกตินางทโมนอย่างศรีดาราคงจะส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นแล้ว แต่เมื่อดูท่าทางอันเลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใดของพระพี่เลี้ยงคนงามแล้ว จึงไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา


                     "พี่กุสุมาลย์ คุณท้าวถามไยจึงไม่ตอบเล่า? "


                     "กุสุมาลย์...เจ้าเป็นอะไรไป มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา บอกกล่าวกับพวกเราเถิด จะได้ช่วยกันหาทางแก้ไข" ปทุมมาเอ่ยขึ้นมาบ้าง


                     "ไม่...ไม่...ไม่จริง...หน้าข้า" ไม่เพียงไม่ตอบ แต่นางโฉมงามยังพึมพำอันจับความไม่ได้ออกมา สร้างความงุนงงแก่ผู้ฟังยิ่งนัก


                     "เจ้าว่ากระไรนะ? " คุณท้าวถามย้ำแต่มิมีคำอธิบายใดกลับมา หนำซ้ำกุสุมาลย์ยังร่ำไห้เสียงดังขึ้น จนคนถามชักจะร้อนใจ


                     "เอาแต่ร้องไห้แล้วข้าจะรู้เรื่องไหม? หันหน้ามาพูดจากันดีๆ "


                     กล่าวจบคุณท้าวจันทร์หอมก็ดึงสองมือที่ปิดบังใบหน้าไว้ออก เพลานั้นนภากาศเริ่มทอแสงอ่อนจางสาดส่องเข้ามาในห้องอันมืดมิดนี้ แม้จะมิใช่แสงสว่างกระจ่างตานัก แต่ก็ทำให้คุณท้าวชราและนางกำนัลอีกสองนางตะลึงพึงเพริดกับสิ่งที่เห็นได้


                    "กุสุมาลย์ หน้าเจ้า!!!!!? " ทั้งสามอุทานขึ้นมาพร้อมกัน
เสียงอุทานด้วยใจตระหนกนั้นคงดังพอที่จะเรียกสตินางเจ้าของนามนั้นได้ นางจึงรีบยกสองมือขึ้นปิดบังใบหน้าอีกครั้ง หนนี้นางร่ำไห้ออกมาหนักกว่าเดิมแล้วฟุบหน้าลงหลบซ่อนกับแป้นเครื่องแป้ง


                    "ทะ...ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?" 


                     ศรีดาราแทบพูดไม่เป็นภาษา เมื่อเห็นรอยไหม้สีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำไล่จากใต้คิ้วขวาลงมาจรดนวลแก้ม นางคนทะเล้นจำได้ดีว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้กุสุมาลย์บ่นว่าคันใบหน้า นางจึงห้ามปรามมิให้เกา เพราะอาจเกิดจากการกินของแสลงทำให้แผลใต้คิ้วนั้นอักเสบขึ้นมาเป็นธรรมดา กุสุมาลย์อดทนมิได้เกาทั้งที่คันอยู่หลายวันอีกทั้งยังกินยาหม้อที่คุณท้าวจันทร์หอมจัดให้ อาการบวมนั้นคล้ายจะลดลงแต่กลับมีผื่นแดงขึ้นมาแทนที่ ผื่นนั้นค่อยๆ ลามลงมาจนถึงแก้ม ศรีดาราจำได้ดีว่ากุสุมาลย์ยังถูกคุณท้าวตำหนิเอา


                     "ข้าบอกแล้วว่าอย่าเกา เห็นไหมมันลามแล้ว"


                     "ข้าไม่ได้เกาจริงๆ นะ...เพียงแค่ใช้ผ้าถูแก้คันบ้างเท่านั้น"


                     "นั่นก็มิได้ เจ้าเป็นคนผิวบางอย่าได้เกาประเดี๋ยวได้คันลามไปกันใหญ่ดอก หากคันนักก็เอาเม็ดแป้งประสมน้ำแล้วพรมประเอาก็แล้วกัน"


                     ทว่าคุณท้าวจันทร์หอมคงมิรู้ว่าต้นเหตุที่แท้จริงก็มาจากแป้งเหล่านั้น เครื่องแป้งจากกล่องประทินโฉมที่ได้รับพระราชทานมาจากมหิตาเทวี ยิ่งนางเป็นคนงามยิ่งชมชอบการพอกแป้งแต่งแต้มเติมสีสันให้กับดวงหน้า เมื่อมีร่องรอยอันต้องการซ่อนเร้น จึงคิดใช้เครื่องแป้งทาทับปกปิดลงไปบนรอยผื่นคันนั้น เป็นเหตุให้กล่องเหตุเภทภัยได้ทำหน้าที่ของมันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จากแค่ผงคันในแป้งคงหาทำลายโฉมนางได้ถึงเพียงนี้ แต่ด้วยว่านางมีบาดแผลที่ยังมิทันทุเลา เลือดและน้ำเหลืองจึงเป็นตัวขยายผลอย่างดี จากที่เพียงแค่ผื่นคันขึ้นบนใบหน้ากลับกลายเป็นรอยไหม้เกรียม เพราะพอกทาทับลงไปจนชั้นแป้งหนา


                      "กุสุมาลย์ ให้ข้าดูแผลหน่อยเผื่อจะช่วยเจ้าได้" ปทุมมาพยายามดึงมือออกจากใบหน้านาง แต่ถูกกุสุมาลย์ผลักไสจนล้มกลิ้ง


                      "อย่านะ...อย่าเข้ามา ข้าอัปลักษณ์เสียแล้ว" นางกำนัลที่เคยโฉมงามที่สุดในตำหนักพร่ำบอกอย่างน่าเวทนา ก่อนจะกรีดร้องเสียงดังยาวจนหมดสติไป


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                       เรื่องของกุสุมาลย์ร่ำลือกันไปทั่วตำหนักในเวลาต่อมา ทั้งๆ ที่คุณท้าวและนางกำนัลทั้งสองต่างพยายามช่วยกันปิดบัง เมื่อหมอพราหมณ์ผู้รักษาออกปากว่านางแพ้พิษชนิดหนึ่ง ในเวลานี้ไม่สมควรจะประทินโฉมด้วยแป้งหรือเครื่องหอมใดๆ จนกว่าแผลบนใบหน้าจะทุเลาลง


                       "แล้วข้าจะหายไหม?" นัยน์ตาหวานซึ้งนั่นเปี่ยมไปด้วยความกังวล มีน้ำน้อยเอ่อล้นอยู่ตลอดเวลา


                        "คงต้องใช้เวลา"


                        หมอพราหมณ์กล่าวแบ่งรับแบ่งสู้ เมื่อพิจารณาแผลอักเสบใต้คิ้วที่ปวดปูดจนหนังตาแทบปิดลงมาข้างหนึ่งของกุสุมาลย์แล้ว อาการของนางดูย่ำแย่กว่าเดิมมากนัก ไม่น่าเชื่อว่าแผลที่ใต้คิ้วเพียงเล็กน้อยแค่นี้กลับลุกลามไปถึงครึ่งใบหน้าได้ เมื่อแรกนางแค่มีอาการคันและเกิดเม็ดผื่นแดงที่พาดผ่านยาวลงมายังนวลแก้มใส แล้วต่อมากลับกำเริบจนเม็ดผื่นระอุเป็นตุ่มน้ำใสภายในเวลาไม่กี่วัน แต่เมื่อรับยาขับของแสลงตำหรับคุณท้าวจันทร์หอมเข้าไป อาการอักเสบเบื้องต้นก็ลดลง แต่หลังจากนั้นสองสามวันก็กลับกำเริบขึ้นอีก


                       หมอพราหมณ์สั่งยุติการรับประทานยาแก้แสลงลง เนื่องจากยานี้มีผลแค่ระงับอาการอักเสบแต่มิได้ช่วยรักษาให้หายได้ หากเป็นผื่นแพ้เล็กๆ น้อยๆ โดยธรรมชาติแล้ว ผิวหนังจะค่อยๆ สมานตัวรักษาบาดแผลเองได้ ไม่ใช่เพราะหายด้วยตัวยาอย่างที่ผู้คนทั่วไปซึ่งไม่ชำนาญวิชาแพทย์เข้าใจ


                       แต่ในกรณีของกุสุมาลย์นั้น ผื่นลุกลามใหญ่โตเกินกว่าจะเป็นแค่อาการระคายเคืองผิวหนัง ยาแก้แสลงเพียงแค่กดทับอาการอักเสบไว้ชั่วคราว และมีผลทำให้ร่างกายลดระดับการสมานแผลไป อีกทั้งยังแม่หญิงคนงามยังใช้แป้งดินสอพองและผงถ่าน ที่ผสมผงคันมาพอกหน้าเขียนทับปิดรอยผื่นนั้นซ้ำเข้าไปอีก จึงเป็นตัวขยายผลอย่างดีให้แผลลุกลามไปรวดเร็วจนคาดไม่ถึง ผื่นคันจึงแปรสภาพเป็นหนองผุดเม็ดน้ำใสขึ้นมา แต่เม็ดผื่นนั้นถูกกดอาการด้วยยาแก้แสลงจึงแห้งลงอย่างรวดเร็ว ผิวหนังซึ่งปรับสภาพตามไม่ทันไม่สามารถสร้างพื้นผิวใหม่ขึ้นมาชดเชยผิวที่ถูกทำลายไปได้ทัน ก็เริ่มแข็งตัวตายลงจนแห้งกรังกลายเป็นตะปุ่มตะป่ำสีน้ำตาลไหม้จนเกือบดำ 


                      "แผลน่าเกลียดนี่จะหายไปจากหน้าข้าหรือไม่? ถ้าข้ากินยาจนครบและทำตามที่หมอสั่ง" นางถามซ้ำ


                     "คงจะทุเลาขึ้น แต่รอยแผลนั้นข้าไม่มั่นใจนัก เพราะหนองมันกินเนื้อจนเปลี่ยนสี" กุสุมาลย์ได้ยินดังนั้นก็กรีดร้องโหยหวน จนศรีดาราต้องกอดตระครองนางไว้มิให้จิตใจเตลิดไปไกลกว่านี้


                      "ข้าจะหายไหม? ข้าจะหายไหม? ข้าจะหายไหม?" เสียงนางถามย้ำซ้ำไปซ้ำมา คล้ายไม่ต้องการคำตอบ หากแต่รำพึงรำพันราวกับดวงขวัญบินหายไปจากนางเสียแล้ว


                      "พี่กุสุมาลย์ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็หาย เชื่อข้าสิ...เดี๋ยวก็หาย"


                      "เจ้าไม่หลอกข้านะ ศรีดารา ฮือ..อ" นางผู้เคยงดงามครางออกมาด้วยดวงใจสลาย


                       กว่าศรีดาราจะหลอกล่อให้นางสงบแล้วพาไปนอนพักได้ นางก็เหนื่อยจนต้องมานั่งหอบอยู่กับพื้นห้อง ครู่ต่อมาปทุมมาก็ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับโตกใส่สำรับอาหาร นางมีสีหน้าหดหู่และเหนื่อยล้าไม่แพ้กัน เนื่องด้วยยามนี้นางต้องถวายงานแก่มหิตาแทน ในส่วนของศรีดาราอีกด้วย เพราะสหายขอลาหยุดมาดูแลกุสุมาลย์ซึ่งพระเทวีก็ประทานอนุญาต โดยมิถามไถ่เสียด้วยซ้ำว่าพระพี่เลี้ยงของพระองค์อาการเป็นอย่างไร คล้ายมิต้องการรับรู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น


                       "พ่อหมอว่ากระไรบ้างศรีดารา?" นางถามพลางวางถาดอาหารลง เมื่อแลเห็นว่าคนป่วยนั้นนอนหลับคงมิสามารถลุกขึ้นมารับประทานได้ในตอนนี้


                       "มันน่าแปลก..." คำตอบของศรีดาราสร้างความฉงนหงายแก่ปทุมมานัก


                       "แปลกอย่างไร? รีบแจ้งมาอย่าช้า"


                       "พี่กุสุมาลย์มิได้เจ็บป่วยเพราะแผลที่ใต้คิ้ว แต่นางแพ้พิษบางอย่าง"


                       "พิษ? พิษอันใด? ข้าไม่เข้าใจ?"


                      "พิษก็คือพิษน่ะสิ!! จะเป็นอันใดไปได้ไม่เข้าใจรึ?" นางทะโมนบ่นอุบขึ้นมาพลางเหลียวไปมองคนบนตั่ง เมื่อเห็นว่ายังหลับอยู่จึงค่อยสนทนาต่อ


                      "พิษน่ะข้ารู้ แต่พิษมันมาจากที่ใดเล่า? พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ"


                      "พ่อหมอบอกว่าพี่กุสุมาลย์เป็นแผลอักเสบไม่ทันหายดี ก็มาเจอพิษเข้าไปอีกมันจึงออกอาการลามไปอย่างที่เห็น"


                      "แล้วกุสุมาลย์ไปรับพิษมาได้อย่างไร? หรือว่านางแพ้ยาที่คุณท้าวจัดให้เมื่อคราวก่อน?" ปทุมมามีสีหน้าเคร่งเครียดวิตกกังวลไปต่างๆ นานา


                      "ปัดโธ่ ยาแก้แสลงแค่นั้นน่ะ กินกันมาทั้งตำหนักแล้ว หากแพ้คงไม่ใช่แค่พี่กุสุมาลย์หรอก ข้ากับเจ้าต่างก็เคยกินมาแล้วทั้งนั้น" ศรีดาราส่ายหน้าออกอาการหงุดหงิดที่อีกฝ่ายตีความไปผิดๆ


                     "เอ...ถ้าอย่างนั้น ไปรับพิษมาจากไหนกัน? จะว่าแพ้อาหารก็ไม่น่าใช่ แพ้น้ำยิ่งไม่น่าใช่เข้าไปอีก เฮ้อ...หรือนี่จะเวรกรรมของนาง ผู้อื่นไม่แพ้มีแต่นางแพ้คนเดียว" เมื่อสุดทางจะคาดเดาปทุมมาก็เริ่มโทษเวรโทษกรรมแต่ปางหลัง


                     "ข้าคิดว่าข้าพอจะรู้นะ แต่...มันไม่น่าเป็นไปได้...."
สีหน้าของผู้พูดไม่ดีนัก ปกตินางคิ้วเข้มชอบทำหน้าทะลึ่งตึงตังหาความเป็นกุลสตรีไม่ แต่บัดนี้กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด จนปทุมมานึกกลัวสิ่งที่จะได้ยิน

                     "เจ้ารู้สิ่งใดรึ..?" เสียงถามแผ่วเบาคล้ายกระซิบ


                    "ก็ร้อยวันพันปี พี่กุสุมาลย์มิใช่คนแพ้ง่ายแพ้ดาย แถมยังเป็นแพ้เฉพาะผิวหน้าอีกด้วย...พูดไปข้าเองก็นึกกลัวข้อสันนิษฐานนี้ อาจจะเป็นข้าเองที่คิดมิดีไปไกลก็เป็นได้" กล่าวจบนางก็ตบปากตนเอง


                    "เดี๋ยวสิ...เจ้านึกถึงสิ่งใดได้บอกข้าเถิด" ปทุมมาหยุดมือที่กำลังตบปากตนเองของศรีดารา แล้วจ้องประสานตาด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งนัก


                    "เรื่องนี้มิใช่เรื่องดีงาม หากว่าข้าคาดเดาผิดไปแล้วใครรู้เข้าหัวข้าอาจหลุดจากบ่าได้"


                    "ร้ายแรงถึงกระนั้นเลยหรือ?" บุตรีขุนพลมหัทธนะมิได้ตอบ นางเพียงแต่พยักหน้าเบาๆ


                    "ข้าสัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ หากมิใช่ก็แล้วกันไป หากใช่แล้วผู้ใดล่วงรู้เข้าหัวข้าก็คงจะหลุดจากบ่าเป็นเพื่อนเจ้า" เมื่อกล่าวถึงตรงนี้นางผู้คาดเดาความลับก็ค่อยคลายใจ และแย้มยิ้มกับมิตรภาพที่ปทุมมาส่งมอบให้


                     "ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อ และไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ด้วย แต่นอกจากสิ่งนี้แล้วข้าคิดถึงสิ่งอื่นไม่ออกจริงๆ" ศรีดาราค่อยลำดับความคิดตนเองออกมาช้าๆ


                     "แผลบนหน้านั้นเมื่อแรกเป็นผื่นคันแดงไปทั่ว แล้วค่อยๆ ลุกลามไป เจาะจงเฉพาะที่ใบหน้าด้วย พี่กุสุมาลย์นั้นเป็นคนงามยิ่งพึงรักสวยรักงามกว่าผู้ใด...นางชมชอบการประทินโฉมยิ่งนัก และเมื่อยิ่งมีผื่นนางก็ยิ่งคิดพอกแป้งปกปิดรอยผื่นคันอันมิน่ามองนั้นเสีย"


                     "นี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า...!!!" ปทุมมาอุทานเสียงดังออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวจบ เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบลดเสียงลง


                    "แล้วเมื่อไม่นานมานี้ พี่กุสุมาลย์เพิ่งได้รับพระราชทานกล่องประทิมโฉมมา" ศรีดาราปลายตาไปยังกล่องอันงดงามสลักเสลาบนแป้นเครื่องแป้งนั้น


                    "พระเทวีให้ข้านำมามอบให้กับมือพี่กุสุมาลย์ หลังพลั้งมือทำร้ายพี่กุสุมาลย์ไปไม่กี่เพลา"


                    "เป็นไปไม่ได้!!! พระเทวีทรงโปรดพี่กุสุมาลย์เป็นที่สุด" คนฟังโพล่งเสียงดังออกมาด้วยความตกใจ แต่ถูกปรามด้วยตีต้นแขนจึงได้เงียบเสียงลง


                    "ข้าก็ไม่อยากให้สิ่งที่คิดเป็นจริง แต่ว่า...ข้าคิดถึงเรื่องอื่นไม่ออกแล้วนี่ อีกอย่างพี่กุสุมาลย์เริ่มมีอาการเมื่อใช้แป้งในกล่องประทินโฉมนั้น"


                    "......" ผู้ฟังมิได้ตอบแต่ตะลึงงันไป


                    "แต่ข้าไม่เข้าใจ...ว่าพระเทวีจะทำเช่นนี้กับพี่กุสุมาลย์ไปทำไม? ในเมื่อทรงโปรดปรานนางเป็นที่สุด อีกทั้งยังเป็นพี่เลี้ยงร่วมพระนมเดียวกันอีกด้วย"


                    ปทุมมาฟังคำแล้วนิ่งไปเนิ่นนานน้ำตานางค่อยๆ ไหลรินออกมาจากสองตา และยังคงปล่อยให้มันไหลรินต่อไปเรื่อยๆ มิได้ปาดน้ำตาทิ้ง ด้วยยังอยู่ในอาการตกตะลึงกับสิ่งที่มิคาดคิดว่าจะต้องรับรู้มาก่อน ศรีดาราเห็นเข้าก็ตกใจรีบปรี่เข้ามาเขย่าแขนนางเป็นการใหญ่


                    "ข้ามิได้เป็นอะไร..." นางกระท่อนกระแท่นตอบออกมา


                    "เพียงแต่ข้านึกสิ่งหนึ่งออกมาได้ก็เลยเสียใจ....มิคิดว่าเรื่องราวจะร้ายแรงถึงเพียงนี้"


                    "เจ้าคิดเรื่องอะไรออกรึ?" คนถามชะโงกหน้ามาใกล้คล้ายกลัวจะไม่ได้ยิน


                    "ระยะนี้ที่พระเทวีทรงกริ้ว พระอารมณ์ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายบ่อยๆ นั้นก็เพราะทรงไม่สบายพระทัย"


                    "ข้าเห็นอยู่ว่าทรงไม่สบายพระทัย เรื่องกลัวพระสวามีจะรับนางงามต่างเมืองมาร่วมเรือน แต่ก็มิได้ทรงรับมานี่นา เรื่องก็น่าจะผ่านพ้นไปแล้วจะยังทรงไม่สบายพระทัยเรื่องใดอีกหรือ?"


                    "เฮ้อ...เจ้านี่ใกล้เกลือกินด่างเสียจริง เรื่องที่ควรรู้กลับไม่รู้ ทีเรื่องอื่นน่ะรู้ไวนัก" นางพูดพลางปาดน้ำตาทิ้ง


                     "เอ๊ะ? อย่ามาหาเรื่องข้านะ มีอะไรก็รีบๆ เล่ามา ข้าจะรู้ไปหมดทุกอย่างได้อย่างไรเล่า"


                    "ก็มัวแต่ไปรับแทงโพยนี่...เฮอะ" ศรีดาราฟังคำตำหนิเข้าก็หน้ามุ่ย แต่ก่อนจะได้ต่อปากต่อคำกันนั้น ปทุมมาก็เล่าเรื่องราวที่เก็บไว้ในใจตนออกมา


                    "อันที่จริงพระเทวีน้อยนั้นไม่สบายพระทัยมาพักใหญ่แล้ว ทรงรักพระสวามีมากก็ทรงระแวงมากเช่นกัน ยิ่งเมื่อพระภคนีพินทุมณีทรงแนะนำให้ถวายกุสุมาลย์แก่ท่านภูวิษะด้วยแล้ว...."


                    "อุบาทว์จริง แนะไปได้อย่างไร ? นี่หรือประสงค์ดี หากไม่เกรงใจว่าเป็นพระธิดาของมหาเทวีล่ะก็ ข้านี่แหละจะถลกซิ่นไปด่าให้ถึงตำหนัก คนอะไรชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ อยากหานางห้ามให้สวามีนัก ก็ยกนางบัวลออบ่าวของตัวให้ขึ้นเป็นเมียมานั่งร่วมแท่นเสียเลยสิ!!!" นางชักสีหน้าโกรธเคืองเต็มที่ ยิ่งไม่พอใจพินทุมณีเทวีและนางบัวลอออยู่แต่เดิมด้วย


                    "ชี่ว์...เบาหน่อยสิ กุสุมาลย์หลับอยู่นะ" เมื่อถูกเตือนนางก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตนเอง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนอนหลับมิรู้เรื่องราวก็คลายใจ


                    "ก็นั่นแหละ...แล้วก็มิได้ตรัสแค่ครั้งเดียวด้วยนะ ใจคนเราน่ะฟังบ่อยๆ เข้าก็ไม่สบายใจคิดหวาดระแวงได้ พระเทวีของเราก็เช่นกัน เลยพาลไปลงกับกุสุมาลย์เสีย...ทั้งที่นางน่ะมิได้คิดอาจเอื้อมเลยแม้แต่น้อย...ไม่คิดว่าเรื่องจะลงเอยแบบนี้...เฮ้อ"

 
                    "นี่เจ้า...กำลังจะบอกข้าว่า...การทำให้พี่กุมาลย์เสียโฉมครั้งนี้ ก็เพื่อความสบายใจพระเทวีงั้นรึ?" ปทุมมาไม่อาจตอบได้ในทันที นางเงียบงันไปเนิ่นนานคล้ายทบทวนความคิดอยู่ เป็นนานกว่าจะเอ่ยออกมาได้


                    "ข้ามิบังอาจกล่าวหาพระเทวีถึงเพียงนั้น เพียงแต่...อย่างไรพระนางก็เป็นสตรี ย่อมหวงแหนชายที่ตนรัก ก็อาจกระทำในสิ่งที่ข้ามิคาดคิดก็เป็นได้...แต่...แต่มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้นะ เจ้าอย่างเพิ่งคิดไปไกล พระเทวีทรงรักใคร่กุสุมาลย์นัก นางอาจจะได้รับพิษมาจากที่อื่นก็ได้ไม่ใช่เพราะเครื่องประทินโฉมในกล่องนั่นหรอก"


                     ปทุมมาพยายามปัดความคิดในแง่ร้ายในใจตนเองออกไป แต่ดูเหมือนจะช้าไปเสียแล้วเมื่อทั้งตัวนางเองและศรีดาราก็ได้แต่นิ่งเงียบ มิสามารถหาข้อแก้ต่างใดมาทดแทนเหตุผลนี้ได้ อีกทั้งยังมีตัวอย่างชั้นดีให้เห็นอีกมากพระภคนีแต่ละองค์ของมหิตาเทวีนั้น ทรงมีชื่อเสียงเลื่องลือเรื่องความหึงหวงนัก แม้ว่าพระนางน้อยจะมิเคยแสดงออกถึงความวู่วามและหึงหวงอย่างพระเนตรพระกรรณมัวก็ตาม แต่ก็ทรงมีสายโลหิตเดียวกับพระนางอื่นๆ ในวงศ์วาน หากจะซ่อนพิษความหึงหวงอันร้ายแรงไว้ภายในพระทัยก็มิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด


                     ดวงหน้าของนางกำนัลทั้งสองบัดนี้ซีดเผือดไร้สีเลือด ด้วยความไม่สบายใจในสิ่งที่นางทั้งคู่ได้ร่วมกันพินิจพิจารณา และตกลงกันว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด ด้วยถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย อีกทั้งหากเข้าใจผิดพลาดไปความนี้ยังทำร้ายทั้งพระเทวีและกุสุมาลย์ด้วย จึงพากันปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงกล่องแห่งเภทภัยนั้นอีก โดยหารู้ไม่ว่าคนที่ไม่ต้องการให้รู้ความนัยประการนี้ที่สุด บัดนี้ได้แต่นอนตัวแข็งทื่อเบิกตาโพลงอยู่บนตั่ง ดวงวิญญาณแทบปลิดปลิวออกจากร่างทันทีที่ได้ยินเรื่องราวนั้น


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


Create Date : 18 มีนาคม 2556
Last Update : 18 มีนาคม 2556 23:52:57 น. 0 comments
Counter : 1359 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.