จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
12 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 11

ตอนที่ 11
นาคราชกับเทวีน้อย




                 ตรีภูมิแลเห็นใบหน้าของเพื่อนนั้นเคร่งขรึมกว่าปกติ ในใจก็สังหรณ์ว่าวิมุตติมีเรื่องอันใด แม้จะเป็นเพียงแค่การลุกจากวงขันโตกเงียบๆ ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติก็ตาม แต่เมื่อมองตามร่างสูงไปแล้วนั้น ในความรู้สึกของเขากลับสังหรณ์ใจประหลาด จึงลุกขึ้นเดินตามเพื่อนรักไปบ้าง


                "เฮ้ย! ไอ้เจ้าควายหายเหรอวะ?"


                คนถูกเรียกหยุดชะงักหันมามองร่างท้วมของตรีภูมิ โดยไม่เก็บซ่อนสีหน้าเหมือนเช่นเคย คิ้วเข้มนั้นขมวดมุ่นดวงตาคมฉายแสงไม่พอใจที่ถูกติดตาม เมื่อแรกเขามีทีท่าคล้ายจะไล่คนตามมาให้กลับไป แต่เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนใจพยักหน้าเร่งเร้าให้ตรีภูมิรีบตามมา


                "ตรี! มาแล้วก็ตามมา..เร็วหน่อย!"


                "เฮ้ย? อะไรวะ ไปไหนมีอะไร?"


                "เทวี...น้องคนนั้นน่ะ เมื่อกลางวัน พักเรือนไหน?"


                "น้องฟ้าเหรอ? เฮ้...อย่าบอกนะว่าแกปิ๊ง" คนร่างใหญ่วิ่งวนไปดักหน้าเพื่อนแล้วทำหน้าเจ้าเล่ห์ออกมา


                "ไม่ใช่...น้องเขาไม่อยู่ในวงข้าว ไปตามมาก่อนจะแจกไม้หอมกันงูให้"


                "หา? งูเหรอ?" วิมุตติไม่ตอบแต่เร่งฝีเท้าเดินตรงไปทางที่ตั้งเรือนเล็ก ก่อนที่ตรีภูมิจะทันได้บอกเสียด้วยซ้ำว่าเคียงฟ้าพักอยู่เรือนไหน


               "เรือนหลังสุดท้ายด้านโน้น"


               ชายหนุ่มทั้งสองเร่งฝีเท้าจนมองเห็นเรือนหลังเล็กอยู่ไกลๆ แต่ยังไม่ทันได้ว่ากระไรก็ต้องตื่นตระหนกกับเสียงหวีดร้องของหญิงสาวที่ดังออกมา ทำให้ทั้งคู่รีบวิ่งไปทันที ตรีภูมิวิ่งถลาไปเคาะประตูห้องรุ่นน้อง ในขณะที่วิมุตติแลเห็นเงาดำเลื้อยปาดผ่านหายไปทางพุ่มไม้อีกด้าน จึงหยุดนิ่งกล่าวพึมพำสองสามคำแล้วค่อยเดินขึ้นเรือนไป


             "น้องฟ้าเปิดประตูหน่อยเป็นอะไร?"
คนในห้องเงียบอยู่นานจนน่าใจหาย จนต้องเคาะประตูซ้ำอีกหลายครั้งเคียงฟ้าจึงพาร่างอ่อนระโหยสีหน้าซีดเซียวมาเปิดประตูให้


                 "เป็นอะไรไป?"


                 "...งูค่ะ" หญิงสาวตอบเสียงแผ่ว


                 "มีงูในห้องเหรอ?" ตรีภูมิปราดเข้าค้นหาภายในทันที ปล่อยทิ้งให้คนที่ตามเข้ามาทีหลังปลอบใจหญิงสาว


                 "งูไปแล้ว มันจะไม่มาอีก"
ร่างบางเมื่อแรกยังสั่นเทาไม่หายตกใจ แต่เมื่อสบนัยน์ตาสีน้ำตาลทรงพลังอำนาจประหลาดคู่นั้นแล้วจิตใจกลับสงบลงได้


                 "จริงนะคะ สัญญาใช่ไหม?" หล่อนไม่รู้ว่าตัวถามออกไปอย่างนั้นได้อย่างไร หากแต่มั่นใจว่าถ้าร่างสูงตรงหน้ารับปากมันจะเป็นไปอย่างที่ลั่นวาจา


                 "งูจะไม่ทำอันตรายเธอ...ในไร่เหมวัตแห่งนี้"


                 "แล้วที่อื่นล่ะคะ?" วิมุตติยิ้มละไมไม่ตอบคำ


                 "หลับให้สบายเถิด" สิ้นคำหญิงสาวก็ล้มพับลงในวงแขนแข็งแรงนั้น


                 "น้องฟ้า?!!" ตรีภูมิที่กำลังรื้อห้องจนยุ่งเหยิงไปหมด หันมาทันเห็นวิมุตติช้อนร่างอ้อนแอ้นนั้นขึ้นมา


                 "แค่ตกใจมากไปหน่อยเลยเป็นลมน่ะ ให้หลับก็ดีแล้ว" เขาพูดพลางอุ้มร่างหมดสติไปวางไว้บนเตียง


                 "คงไม่โดนงูกัดหรอกนะ? แล้วงูที่ไหนวะอันตรายชะมัด"


                 "แค่งูตัวเล็กตัวน้อยไม่เป็นอันตรายหรอก....คนเมืองไม่ค่อยเห็นงูเลยกลัว แล้วยิ่งผู้หญิงเห็นแค่นั้นก็ตกใจจนเป็นลมแล้ว" พูดพลางดึงผ้าห่มมาคลุมร่างเล็กของเคียงฟ้า


                 "แน่นะเว้ย! ไม่ใช่งูพิษล่ะ? รุ่นน้องเป็นสิบเสียวนาเว้ย!" ชายหนุ่มละมือจากหญิงสาวบนเตียง หันมาชายตามองเพื่อนรักก่อนจะคลี่ยิ้มน้อยๆ ออกมา


                 "เราอยู่ที่นี่มาหลายปี ไม่ปดหรอก" หากเป็นผู้อื่นพูดตรีภูมิคงไม่มั่นใจ งูเงี้ยวเขี้ยวขอมีใครบ้างจะการันตีมันได้กันเล่า แต่เมื่อคนพูดเป็นวิมุตติเขาก็คลายใจ


                 "เออ..แล้วไอ้ไม้หอมกันงูล่ะ เอามาสุมๆ ห้องนี้เยอะหน่อยก็ดีน้องฟ้าจะได้อุ่นใจ" หนุ่มรูปทองฟังแล้วกะพริบตาสองสามทีก่อนจะตอบหน้าตาย


                  "ลืมเอามา"


                 "อ้าว? ไอ้...!!? ทำไมแกเอ๋ออย่างนี้วะ พูดเองเสือกลืมเองให้มันได้อย่างนี้สิ" แต่คนถูกตำหนิกลับเห็นเป็นเรื่องขำขันไปเสีย


                 "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เรากลับกันเถอะอยู่ในห้องผู้หญิงนานไปจะไม่งาม" ตรีภูมิค่อยนึกขึ้นได้จึงพยักหน้าตอบรับ แล้วพากันกลับไปที่เรือนใหญ่


                 เมื่อไปถึงที่นั้นทุกคนยังรับประทานอาหารกันอยู่ หนุ่มร่างใหญ่จึงถือโอกาสป่าวประกาศบอกน้องๆ ว่าอีกสักครู่วิมุตติจะแจกไม้หอมที่ระลึกก่อนเข้าที่พัก โดยไม่บอกกล่าวสาเหตุอันแท้จริง เพราะกลัวจะตกใจไปกันใหญ่ ข้างฝ่ายต้นเรื่องนั้นเห็นตรีภูมินั้นป่าวร้องไปใหญ่โตเสียแล้ว ก็คร้านที่จะแก้ไขจึงเรียกศรีบัวหญิงรับใช้มากระซิบบอกกล่าวแทน


                 "ศรีบัว เอาถุงบุหงามาฮื่อหน่อย"

                 "ถุงหอมรึเจ้า? ไว้แจกวันปิ๊กบ่ดีกว่ารึก๋า?"


                 "เอามาเถอะ..ห้องหับปิ๊ดไว้นานเฮาว่าอบอ้าว เอาแจกเขาไปฮื่อ ห้องจะได้หอม"


                 หญิงวัยกลางคนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้ารับคำ แล้วนำเอาถุงหอมบรรจุกลีบดอกไม้แห้งและน้ำอบ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหลือจากการการปลูกไม้ดอกออกจำหน่าย กลีบดอกที่ร่วงหล่นหรือดอกที่ไม่งามได้ขนาด จึงถูกนำมาทำน้ำอบและบุหงาบรรจุถุงสวยไว้แจกเป็นที่ระลึก หากหนใดผลิตถุงหอมได้เยอะก็จะมีร้านขายของในเมืองรับไปจำหน่ายอีกด้วย


                 ถุงหอมถูกแจกจ่ายไปเรียบร้อยแล้ว บรรดารุ่นน้องที่ได้รับพากันชอบใจโดยเฉพาะรุ่นน้องผู้หญิง พวกหล่อนพอใจกับของจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ นี่นัก ตรีภูมิดีใจที่ไม่มีใครติดใจสงสัยแล้วซักไซ้ให้มากความ เมื่อเห็นว่าผู้คนบางตาลงแล้วเพราะรุ่นน้องแยกย้ายกันกลับบ้านพัก ชายหนุ่มก็ปรี่เข้าไปหาวิมุตติแล้วกระซิบถาม


                 "ไอ้เจ้า กันงูได้จริงนะเว้ย? ถุงอะไรของแกเนี่ยดูมันหวานแหววชอบกล" หนุ่มรูปทองยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัยแล้วจึงตอบออกไป


                 "ถ้าเจองู ก็ลองเอาถุงให้มันดมสิ"


                 "ไอ้บ้า!! กูเห็นงูกูก็สติแตกวิ่งไป 100 เมตรแล้ว ไม่ทันได้ทดลองหรอกเอ็ง"
คำตอบของของตรีภูมิทำให้คนช่างอำนั้นต้องหัวเราะออกมาจนได้ ในขณะที่สองหนุ่มกำลังสนทนาอยู่นั่นเอง มิรันตีก็เดินเตร่เข้ามาหา


                 "พี่เจ้าคะ...แอนชอบถุงหอมที่ชะมัดเลย" วิมุตติยิ้มให้รุ่นน้อง เจ้าหล่อนเห็นดังนั้นจึงคลี่ยิ้มหวาดหยดกลับไปบ้าง


                 "ทำมาจากดอกไม้อะไรบ้างคะเนี่ย ห๊อม..หอม"


                 "ก็หลายอย่างอยู่" ชายหนุ่มตอบเรียบๆ


                 "ถ้าแอนจะขอเรียนวิชาทำถุงหอมนี่บ้างจะได้ไหมคะ?"


                 "นึกอยากเป็นกุลสตรีอะไรขึ้นมายัยแอน?" ตรีภูมิยื่นหน้าไปถามเพราะดูท่าทางแล้วหล่อนไม่น่าสนใจเรื่องการฝีมือ เย็บปักถักร้อย ทำบุหงาอบแห้งแบบนี้เลยด้วยซ้ำ


                 "ก็นึกอยากจะเป็นน่ะสิคะ ผู้หญิงเขาชอบของแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ...แต่ขึ้นอยู่กับโอกาสด้วย ถ้าหาซื้อได้ก็ซื้อถ้าหาคนสอนได้ก็เรียนเอาดีกว่าจริงไหมคะพี่เจ้า"


                 "คงต้องถามคนในไร่ ผมไม่รู้หรอกว่าทำอย่างไร" หนุ่มรูปทองยิ้มน้อยๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับหล่อน จนมิรันตีเก้อไปบ้างแต่ก็ยังชวนพูดคุยต่อ


                 "ขอเพิ่มอีกสักถุงสองถุงได้ไหมคะ เอาไปฝากเพื่อนที่กรุงเทพฯ น่ะค่ะ"


                 สาวน้องใหม่เจาะจงส่งสายตาให้วิมุตติอีกครั้ง แต่คนที่ตอบกลับไม่ใช่เจ้าตัว แต่เป็นรุ่นพี่ร่างใหญ่ของหล่อน ที่รีบจัดแจงยัดถุงหอมนั้นใส่มือมิรันตีไปอีกหลายถุงเลยทีเดียว


                 "อ่ะ เอาไป เอาไปเผื่อน้องฟ้าด้วยเป็นลมเป็นแล้งอยู่ในห้องแน่ะ ไปดูเพื่อนหน่อยสิ" เมื่อมิรันติเห็นว่าผิดแผนแถมยังโดนไล่เสียอีก จนแกล้งเอ่ยเสียงอ่อนขึ้นมา


                 "อ๋อ...ฟ้าเค้าบ่นปวดหัว เลยไปนอนตั้งนานแล้วนี่คะ นอนพักนิดหน่อยก็คงหายไม่ต้องห่วงหรอกค่ะพี่ตรี"


                 "เฮ้ย! ไม่ใช่แค่ปวดหัว ไปดูเพื่อนหน่อยไป๊"


                 "แต่ว่า...คือแอนอยากจะถามอะไรพี่เจ้าอีกหน่อย...เรื่องถุงหอมเนี่ย"


                 "ไว้ถามพรุ่งนี้ ไปนอนได้แล้วไป๊ เอายุ่งเอายาไปให้น้องฟ้าด้วยนะ"
ตรีภูมิพูดไปก็รุนหลังหล่อนออกไปนอกชาน จนมิรันตีหมดเรื่องอ้างจำใจต้องกลับไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง


                 "พี่ตรีเนี่ยขัดคอชะมัดเลย!" หล่อนกระแทกเสียงสะบัดสะบิ้งด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะยอมกลับไปแต่โดยดี


                 "อะไรวะ? อยู่ๆ มาทำค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ อยากได้ถุงหอมก็ให้ไปตั้งเยอะแล้ว รู้งี้ให้นอนกับงูก็ดีหรอกยัยแอนนี่!?"


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                 เคียงฟ้านอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ไม่ได้ยินเสียงมิรันตีที่ตะบึงตะบอนเข้ามาในห้องด้วยความอารมณ์เสีย ในขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าเพื่อนนอนหลับอยู่หล่อนก็ไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่านั้น นอกจากจัดแจงเตรียมตัวเข้านอนบ้าง เวลาผ่านไปนานเท่าไรนั้นเคียงฟ้าเองก็ไม่รู้ หญิงสาวมารู้ตัวอีกครั้งตอนได้ยินเสียงคน


                 "พระธิดารอด้วย...รอด้วย"


                  ภาพเด็กหญิงตัวน้อยเกล้าผมเป็นมวยสูง ประดับผมด้วยดอกไม้และปิ่นทองฝังอัญมณีนั้นชัดเจนยิ่ง เด็กน้อยหันมาตามเสียงเรียกใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นงดงามน่ารักนัก ผิวสีขมิ้นนวลพวงแก้มยุ้ยนัยน์ตาโตเป็นประกายสดใส ริมฝีปากเรียวชดช้อยสีชาด ฉายแววเด่นชัดว่าภายในอีกเพียงไม่กี่ปีข้างหน้านี้ จากเด็กน้อยจะกลายเป็นหญิงงามจับตา เฉกเช่นเดียวกับกุหลาบตูมค่อยแย้มผลิบาน


                 "พี่กุสุมาลย์ก็เร็วๆ สิ เดี๋ยวใครเห็นเข้าหรอก" ธิดาน้อยนั้นส่งเสียงแจ้วๆ เร่งพี่เลี้ยงให้ตามมาโดยไว


                 เด็กหญิงที่เป็นพี่เลี้ยงนั้นเจริญวัยกว่า หล่อนอยู่ในช่วงดรุณีแรกรุ่นอายุราว 13-14 ปี วิ่งกระหืดกระหอบตามมา สองมือนั้นรั้งชายผ้านุ่งขึ้นสูงเพื่อให้เดินเหินยามรีบเร่งเช่นนี้ได้สะดวก ดวงหน้าแดงก่ำไปด้วยไอร้อนของแดด และแฝงแวววิตกกังวลในดวงตา ไม่ร่าเริงดังนกน้อยเท่าพระธิดาของนาง


                 "พระธิดา เราเข้าไปในนั้นไม่ได้นะเพคะ กลับกันเถอะเดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะแย่"


                 "ทำไมล่ะ? ก็เราอยากรู้นี่ว่าข้างในมี "พญานาค" อย่างที่เล่าลือกันหรือไม่?" กุสุมาลย์รีบยกมือขึ้นปิดปากเด็กหญิงสูงศักดิ์ทันที


                  "ไม่ได้นะเพคะ พูดแบบนั้นเป็นการลบหลู่"


                  "เราไม่ได้ลบหลู่แค่อยากรู้เท่านั้น" 


                  "ก็นั่นแหละเพคะ อีกอย่างอันตัวพวกเรานั้นเป็นหญิง หาได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเทวสถาน หากเรื่องนี้ถึงพระเนตรพระกรรณพระบาทเจ้าล่ะก็...."
เด็กสาวมีสีหน้าร้อนใจหล่อนพยายามเกลี้ยกล่อมพระธิดาน้อย ไม่ให้แผลงฤทธิ์ซนไปกว่านี้ ด้วยเกรงจะโดนลงพระอาญาแม้ว่าเด็กหญิงนางนั้นจะเป็นพระธิดาองค์โปรดก็ตามที แต่การรุกล้ำเทวสถานศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่บวงสรวงพญานาคนั้นถือเป็นความผิดใหญ่หลวงนัก


                  "ก็อย่าให้ใครรู้สิพี่กุสุมาลย์" แต่คนถูกปรามมิได้กริ่งเกรงเลย เด็กหญิงสูงศักดิ์นั้นยกดัชนีขึ้นแตะริมโอษฐ์เป็นเชิงให้เรื่องในวันนี้เป็นความลับ


                 "แต่...."


                 "เดี๋ยวเราจะเข้าไปแป๊บเดียวเอง พี่ดูต้นทางให้หน่อยนะ ถ้ามีใครมาส่งสัญญาณด้วย"


                 "พระธิดา...ไม่ดีนะเพคะ..."


                 กุสุมาลย์ร้องห้ามได้เพียงกึ่งประโยค พระธิดาพระองค์น้อยก็คุกชานุคลานมุดลอดพุ่มไม้หายลับเข้าไปภายในเสียแล้ว ทิ้งให้หล่อนได้แต่ยืนพะว้าพะวงอยู่ข้างกำแพงพุ่มไม้สูงท่วมหัวนั้นคนเดียว


                  หลังเงาไม้นั้นเป็นเนินหญ้าสูง ไกลออกไปมีเทวสถานหลังหนึ่งตั้งอยู่หลังกำแพงแก้ว ความสูงของกำแพงนั้นบดบังจนแลเห็นเพียงบันไดหินทอดยาวขึ้นไปถึงเคหะศักดิ์สิทธิ์ พระธิดาลุกขึ้นปัดเศษใบไม้ออกจากร่างตน แล้วจึงเหลียวซ้ายแลขวาว่าจะมุ่งไปทางทิศใดต่อดี โลกหลังกำแพงนี้เป็นสิ่งต้องห้ามผู้คนสามัญธรรมดายังมิอาจล่วงล้ำได้ หรือแม้แต่พระบรมวงศานุวงศ์ยังต้องได้รับประทานอนุญาต หรือมีพิธีการสำคัญจึงจะเข้าไปได้ และผู้ที่เคยเข้าไปถึงภายในหากไม่นับพระบาทเจ้าและพระแม่เจ้า ซึ่งเป็นบุพการีของนางแล้ว คงมีจำนวนแทบนับหัวได้


                   "อืม...ทางนั้นสินะเทวสถาน"
                  

                   เมื่อกล่าวจบก็มุ่งตรงไปยังทิศที่เห็น แต่ยังมิทันได้ก้าวผ่านไปไกลก็มีพราหมณ์หนุ่มสองผู้เดินลงบันไดทางขึ้นสู่เทวสถานมา พระธิดาจึงรีบแอบซ่อนอยู่หลังเงารูปสลักนาคราชตรงเชิงบันไดทันที จนกระทั่งแลเห็นว่าพราหมณ์นั้นเดินห่างไกลไปแล้วจึงได้ลุกขึ้นมา


                 "แบบนี้ก็แย่สิ...ข้างบนจะมีพราหมณ์อีกกี่คนกันนี่"


                  ธิดาน้อยเงยพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรมองไปที่สุดทางของบันไดหินนั้น พลางถอนพระทัยออกมาเพราะตัวเคหะนั้นยังอยู่ไกลนัก แม้จะขึ้นบันไดหินนี่ไปโดยไม่มีผู้พบเห็นได้ก็ตามที แต่ก็ยังงุนงงไม่แน่พระทัยว่าพญานาคราชนั้นจะสถิตอยู่ ณ ที่แห่งใดในเทวสถาน จะก้าวเดินต่อในทิศทางใดจึงจะได้พบนาคเจ้าได้ดังใจหมาย


                  "เสด็จแม่บอกว่าพญานาคตัวโตเป็นหมื่นโยชน์ คงไม่ขึ้นไปอยู่บนเทวสถานคับแคบนั้นดอกกระมัง อีกทั้งบ่อน้ำในนั้นจะใหญ่พอตัวท่านรึ?"
พระธิดาน้อยทรงเข้าพระทัยไปเองตามพระทัยอันไร้เดียงสา เมื่อทรงดำริได้ดังนั้นก็เสด็จดำเนินลัดเลาะมาเรื่อย จนพบท่อส่งน้ำที่ไหลเวียนมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ข้างบน


                 "หรือว่าท่านจะไปทางน้ำ จริงสินะที่ไหนมีน้ำพญานาคก็น่าจะไปได้" พระธิดาน้อยแย้มโอษฐ์ออกมาอย่างมาดหมายในพระทัย


                 ตั้งแต่ยังเยาว์วัยนั้นชาวจุมภะปุระเติบโตมาเคียงคู่กับตำนานของมหิทธราบดีนาคราชกันทุกผู้คนไม่มีผู้ใดในนครจะไม่รู้เรื่องนี้ จุมภะปุระจึงถือเป็นนาคานครที่บูชาบวงสรวงยกย่องพญานาคเป็นเทพประจำเมืองสืบเนื่องมาหลายชั่วอายุคน นับแต่ปฐมปีที่เริ่มต้นราชสกุลคันธราชเมื่อหลายร้อยปีก่อน มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าเมื่อแรกสร้างเมืองพญาอินทรราชบุตรล่องเรือมาจากบูรพาทิศ นำประชากรมาหลายพันครัวเรือนหนีโรคระบาด มาเสาะหาแผ่นดินใหม่เพื่อลงหลักปักฐาน แต่เดินทางมาจนจบทิศาก็ไม่พบที่ใดที่เหมาะสม จึงจุดโคมขึ้นสุกสกาวทั่วริมน้ำนั้นและนำดอกไม้หอมนานาชนิดใส่สะเปา เพื่อบำบวง แด่พญานาเคนทร์ผู้เป็นเจ้าแห่งสายนที แล้วตั้งสัจจาอธิษฐานขอให้เสาะหาผืนแผ่นดินแห่งใหม่ ที่จะตั้งเมืองอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข


                 ด้วยจิตแห่งเจตจำนงอันแน่วแน่นี้ กลายเป็นกสิณเสียงเพรียกส่งไปถึงมหิทธราบดีนาคราช ที่ยามนั้นกำลังบำเพ็ญเพียรเจริญภาวนาอยู่ในเมืองบาดาล ให้เกิดจิตกุศลเมตตาประชาชนจึงยกผืนดินใต้น้ำ ณ ตรงที่แห่งนั้นให้กับพญาอินทรราชบุตรไปตั้งบ้านเมือง หลังพญานาคราชจากไปแล้วสายชลธารในลำน้ำนั้น จึงแหวกออกไปเป็นบริเวณกว้างหลายพันโยชน์ เหลือเพียงแม่น้ำสายเล็กๆ ไว้หล่อเลี้ยงชาวเมืองเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาจุมภะปุระจึงนาคานคร ที่บวงสรวงบูชาพญานาคเป็นเทพเจ้าเหนือชีวิต


                 พญาอินทรราชบุตรรับสั่งให้สร้างเทวสถานอยู่บนเนินเขาใกล้ราชวัง เพื่อบูชาพญานาคผู้ให้คำมั่นว่าจะค้ำจุนนครจุมภะปุระแห่งนี้ไปตราบจิรากาล หรือจนกว่ามนุษย์คนใดบนแผ่นดินนี้จะละเมิดข้อห้ามผิดสัญญาที่ให้สัตย์ไว้ เมื่อนั้นมหิทธราบดีนาคราชจะริบเอาแผ่นดินคืน และเพื่อรำลึกเตือนถึงพญานาคราชผู้มีมหาคุณอันใหญ่หลวงแก่ชาวจุมภะปุระ พญาอินทรราชบุตรจึงหลั่งโลหิตทำพิธีสลักคำสาบานลงบนแผ่นศิลาเก็บรักษาไว้ในเทวสถานบูชาพญานาค


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                 พระธิดาองค์น้อยเสด็จดำเนินไปเรื่อยๆ ลัดเลาะไปจนถึงบึงน้ำใหญ่ทางทิศใต้ของเทวสถาน พบเพียงหนองน้ำใหญ่และทิวไม้เขียวขจี ไม่มีสิ่งใดอีกนอกจากความสงบเงียบและสายลมเย็นที่พัดผ่าน จึงตรัสออกมาด้วยความผิดหวังในพระทัยไม่น้อย จึงตรัสบริภาษออกมา


                "แย่จริงไม่เห็นมีพญานาคสักตน ฤาจะเป็นเพียงเสียงลือเสียงเล่าอ้างในนิทานเท่านั้น? ถ้าหามีไม่ทำไมเสด็จพ่อต้องห้ามไม่ให้เราเข้ามาด้วย? หรือเกรงจะรู้ว่าไม่มีพญานาคอยู่จริงแล้วผู้อื่นจะมิยอมกราบไหว้กัน"


                 เมื่อบริภาษแล้วธิดาน้อยก็ทรงกระทืบบาทด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะหมุนวรกายก้าวดำเนินจากบึงน้ำใหญ่แห่งนั้น พลันมีเสียงนุ่มนวลคล้ายดังจะขำขันกิริยาของนางดังแว่วมา


                 "หากเจอพญานาคแล้วจะทำอย่างไร?" 


                 "เราก็จะ...." 


                 พระธิดาผินพักตร์กลับมาตรัสต่อคำด้วยทันที แต่แล้วดวงเนตรงามก็เบิ่งค้างโอษฐ์ชดช้อยนั่นมิอาจตรัสต่อไปได้อีก เมื่อพบเห็นว่าเป็นผู้ใดที่ถามไถ่ เรือนกายมหึมาผุดขึ้นมาหนองน้ำอย่างเงียบงันจนไม่ได้ยินซุ่มเสียงของผู้มาเยือน กายาอันแปลกประหลาดนั้นยืดตรงทรงสง่า ดวงเนตรสีทองส่องประกายเรืองรองจ้องมองมายังธิดาน้อย

                 เศียรใหญ่ของพญางูตรงหน้าดุจดังประดับเกล้าด้วยมงกุฎทองนพคุณ เรือนกายเหยียดยาวนั้นห่อหุ้มไปด้วยเกล็ดมรกตล้อแสงแพรวพราว แซมสลับด้วยไพลินสีฟ้าเข้มราวมหานที แล้วจึงค่อยเลื่อนลดลงมาเป็นเกล็ดประกายบุษราคัมที่วางเรียงทอดตัวไล่ลงมา จนถึงปลายหางนั้นปรากฏเป็นเกล็ดแก้วแดงก่ำดังโกเมน ตลอดร่างแลเห็นเป็นอัญมณีหลากสีถักทอเป็นเกล็ดปกคลุมร่างนาคาเทพ เปล่งแสงระยิบระยับงดงามจับตาเมื่อต้องเปลวแดด อีกทั้งครีบบนแผ่นหลังยังเรืองรองราวทองทาไล่เรียงเคียงสลับดังจัดวาง พญานาคราชคล้ายจะแย้มยิ้มเมื่อเห็นธิดาน้อยยืนนิ่งอึ้งตะลึงค้าง


                 "เป็นอย่างไรเล่า? อยากพบเรามิใช่หรือ? หึ หึ"
                 เสียงหัวเราะเยือกเย็นแว่วลอยไปตามสายลม ทั้งที่นาคราชนั้นมิได้ขยับปากเอ่ยเอื้อนสิ่งใดแม้แต่น้อย แต่กลับเสียงนั้นกลับดังกังวานชัดเจน


                 "เป็นท่าน? เป็นท่านจริงๆ หรือ? พญามหิทธราบดี"


                 ดวงเนตรสีทองมีแววฉงน เมื่อพบว่าธิดาน้อยมิได้หวาดกลัวแต่อย่างใด แต่กลับแสดงความยินดีปรีดา เมื่อได้พบเห็นตัวตนอันแท้จริงแห่งมหิทธราบดีนาคราช


                "ไม่กลัวเรารึเด็กน้อย?"


                เด็กหญิงนั้นมิอาจตอบโต้ได้ในทันทีด้วยกำลังตื่นเต้นหทัยพองโต นางเพียงแต่ส่ายพักตร์ไปมาแทนคำกล่าว แล้วคลี่โอษฐ์กว้างส่งยิ้มพิสุทธิ์งดงามกลับมาให้ พญานาคราชแลเห็นเข้าก็พอพระทัยยิ่งนัก จึงค่อยโน้มขยับกายลงเคลื่อนลงใกล้ธิดาน้อย


                 "เจ้าชื่ออะไร?"


                 "ข้า...หม่อมฉันมีนามว่ามหิตาเพคะ เป็นธิดาองค์ที่ 6 ของเสด็จพ่อสิทธเสณ"


                “มหิตาเทวี...นางผู้เป็นแก้วตาแห่งแผ่นดินงั้นรึ ? เป็นนามเรียกขานที่ไพเราะยิ่งนัก” เจ้าของนามนั้นได้สดับเข้าก็แย้มสรวลออกมาด้วยความยินดียิ่งนัก


                “ขอบพระทัยเพคะ”


                 "เทวีน้อย อายุเท่าใดแล้ว" นาคเจ้าตรัสถามต่อไป


                 " 8 ชันษาเพคะ" เสียงหวานนั้นตอบเจื้อยแจ้ว ดวงเนตรงามจ้องมองร่างพญางูไม่เคลื่อนคล้อย


                 พญานาคผู้งามสง่ายืดกายถอยหลังกลับไป พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดูธิดามนุษย์ตรงหน้า ทั้งต้องชะตานัก ทั้งอัศจรรย์ใจยิ่ง มนุษย์ใดได้พบเห็นตนต้องก้มกราบแทบธุลีหรือหลีกลี้หนีหน้าไปทั่วทุกผู้คน แต่มหิตาเทวีกลับกล้าสบดวงเนตรสีทองนั่น อีกทั้งยังจ้องมองด้วยความปลื้มปิติ คล้ายดังได้พบเจอผู้ที่ถวิลหามาแสนนาน


                "มหิตาเทวี หลังดวงมาสบนฟากฟ้าเคลื่อนคล้อยผ่านไปทศศก เราจักได้เจอกันอีกครา เมื่อนั้นข้าจะรับเจ้าเป็นชายา" 


                ธิดาน้อยได้สดับดังนั้นแม้ยังไม่ประสีประสารู้ความนัก แต่ใช่ว่าจะมิเข้าใจความหมายที่พญานาคราชเอ่ย จึงตื่นเต้นจนหทัยระรัวดวงพักตร์นวลแดงก่ำขึ้นมาทันที หากแต่เต็มตื้นไปด้วยความปรีดายิ่งนัก


                 "จริงหรือเพคะ?"


                 "เรามิเคยอสัตย์"


                 "ท่านให้สัจจะวาจาแก่เรา มหิตาจะคอยท่าน ไม่มองผู้ใดเรา จะคอยท่านผู้เดียวจริงๆ นะเพคะ" ดวงเนตรหวานซึ้งนั้นคาดคั้นพญางูเกล็ดมณีนั้น อย่างมิได้ประหวั่นเลยแม้แต่น้อย


                 "ถ้างั้นหม่อมฉันจะมาหาท่านบ่อยๆ ได้ไหมเพคะ? หม่อมฉันจะทูลเสด็จพ่อว่าพระองค์จะรับหม่อมฉันเป็นชายาในกาลหน้า เสด็จพ่อคงไม่ว่ากระไรหม่อมฉันจะได้เข้าออกที่นี่ได้โดยเปิดเผย" ยิ่งฟังคำจำนรรจาของเด็กน้อยผู้แก่กล้าเกินวัย มหิทธราบดีนาคราชก็ยิ่งสรวล


                 "เทวีน้อยอย่าได้บอกกล่าวเรื่องนี้กับผู้ใดเลย"


                 "อ้าว? ทำไมเล่าเพคะ...หม่อมฉันเห็นว่าเสด็จพ่อน่าจะดีพระทัยมากกว่านะเพคะ"
ด้วยความเยาว์วัยพระธิดาทรงต้องการจะโอ้อวดให้ทุกผู้คนได้ร่วมยินดี ว่าทรงได้รับความปรานีจากพญานาคราชมากล้นเพียงใด


                 "เชื่อเราเถิด...ทุกสิ่งนี้จะเป็นผลดีกับเจ้าเองเทวีน้อย"


                 "ก็ได้เพคะ..." สุรเสียงนั้นหงอยเหงาลงเมื่อจำยอมต้องรับคำ แต่มิช้านานก็คลี่โอษฐ์แย้มสรวลได้


                 "แล้วหม่อมฉันจะมาพบองค์ท่านที่นี่บ่อยๆ ได้ไหมเพคะ รับรองหม่อมฉันจะไม่บอกใครแม้แต่พี่กุสุมาลย์ก็ด้วย"


                 "เราอนุญาตให้เจ้าเข้าออกที่นี่ได้ โดยไม่มีผู้ใดจะทำภยันตราย มันผู้ใดบังอาจขวางทางเทวีน้อยจะต้องสาปให้นิ่งไปชั่วยาม" มหิตาเทวีได้ฟังเข้าก็ตบมืออย่างพอพระทัย


                 "ดีจังต่อไปนี้ไม่ต้องหลบใครแล้ว"


                 "แต่....หลังวันที่เจ้ามีระดูแล้ว มนต์นี้จะเสื่อม...อย่าได้เข้ามาในเทวสถานแห่งเราโดยมิได้รับอนุญาตอีก"


                 "หมายความว่าหากหม่อมฉันมีระดูแล้ว จะไม่ได้พบองค์ท่านอีกจนกว่าจะถึงเวลานั้นหรือเพคะ....ถ้าเป็นแบบนั้นหม่อมฉันก็คิดถึงพระองค์แย่เลย..." เสียงเล็กระเง้ากระงอดช่างออดอ้อนราวผูกพันมาแต่ปางบรรพ์


                "อย่านำโลหิตมาเปรอะเปื้อนเทวสถานแห่งเรา"


                 "ก็ได้เพคะ....แต่ว่า ถ้าเป็นวันที่หม่อมฉันไม่มีระดูล่ะเพคะ จะเข้ามาได้หรือไม่หม่อมฉันจะชำระกายให้สะอาดสะอ้าน จะสรงน้ำอบให้หอมเลยเพคะ"


                 "หึ หึ หากเข้ามาแล้วไม่พบเจอเราเล่า? เรามิได้ปลีกกายมาเป็นเพื่อนเล่นเจ้าได้บ่อยๆ หรอกนะมหิตาเทวี"


                 "ไม่เป็นไรเพคะ ขอให้หม่อมฉันได้อยู่ในที่ที่ใกล้พระองค์ที่สุดก็พอแล้ว" ธิดาน้อยส่งสายพระเนตรวิงวอนสบดวงเนตรสีทองนิ่งอยู่เป็นเวลานาน จึงได้ยินเสียงสรวลออกมา


                 "มหิตาเทวี....กาลเวลาไม่นานเกินไปดอกหนา แล้วเราจะได้พบกัน"
ร่างเรืองรองขยับถอยออกห่าง แล้วค่อยดำเนินดิ่งหายลับไปในบึงน้ำนั่น มหิตาเทวีวิ่งตามเสด็จไปริมบึงแล้วเปล่งสุรเสียงไล่ตาม


                 "หม่อมฉันจะคอยพระองค์ ขอองค์ท่านจงรักษาคำสัญญาด้วย จนกว่าจะถึงวันนั้น หม่อมฉันจะขัดเกลาตัวเองให้สมเป็นศักติแห่งท่าน"


                 ใครเลยจะคิดเล่าเทวีตัวน้อยวัยเพียง 8 ชันษาจะสลักจิตฝังใจยึดมั่นกับคำสัญญานั้นแนบแน่น จนเปลี่ยนจากเด็กหญิงอ่อนเดียงสาเป็นดรุณีน้อยไปในชั่วพริบตา มหิตาเทวีอธิษฐานจิตให้สัตย์ปฏิญาณกับองค์เอง ว่าจะเตรียมกายใจเฝ้ารอวันเวลามาถึง มิให้พญานาคราชต้องผิดหวัง เมื่อเสด็จลอดสุมทุมพุ่มไม้กลับออกไปอีกครั้ง กุสุมาลย์ที่รออยู่เบื้องนอกด้วยความหวาดหวั่นนั้น มองเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจนนักจึงนึกพิศวง แต่เมื่อเอ่ยถามกลับไม่ได้รับคำตอบใดทั้งสิ้น


                 "ไปเสียนานเลย หม่อมฉันล่ะใจคอไม่ดีเกรงว่าผู้ใดจะมาพบเข้า ว่าแต่เข้าไปภายในได้พบสิ่งที่ประสงค์ไหมเพคะ"


                 "ได้พบสิ"


                 "พบสิ่งใดเพคะ?"


                 "พญานาคราชไงล่ะ" ธิดาน้อยหันมาแย้มสรวล ดวงเนตรฉายแววลึกซึ้งสร้างความประหลาดใจให้กุสุมาลย์พี่เลี้ยงร่วมพระนมยิ่งนัก


                 "เมื่อกี้ตรัสว่าอะไรนะเพคะ?"


                 ครั้งนี้มหิตาเทวีไม่ตรัสตอบ แต่ทรงดำเนินนิ่งมิได้ชวนพูดคุยเหมือนดังเช่นทุกครา ทำให้นางพี่เลี้ยงมิกล้าเอ่ยถามสิ่งใดอีก จวบจนกระทั่งพระธิดาหยุดดำเนินแล้วหันมาตรัส


                 "จริงสิ! พี่กุสุมาลย์ ต่อไปนี้อย่าได้เรียกเราว่า'พระธิดา' อีก!!?"


                 "อ้าว? แล้วจะให้เรียกพระองค์ว่าอะไรล่ะเพคะ?"


                 "ก็พระเทวีอย่างไรเล่า!" ดวงเนตรงามนั้นฉายแววเด็ดเดี่ยว แต่ทำให้กุสุมาลย์นึกขันเข้าใจว่าทรงเจริญวัยแล้ว


                 "เพคะ พระเทวีก็พระเทวี ฮิ ฮิ"


                 "พี่กุสุมาลย์อย่าหัวเราะสิ!!"


                 เทวีน้อยเขินอายยิ่งนัก แต่กุสุมาลย์หาได้หยุดส่งเสียงหัวเราะนั้นตามรับสั่งไม่ ยิ่งพระธิดามหิตาไม่พอพระทัยเท่าไร นางพี่เลี้ยงก็ยิ่งเก็บเสียงหัวเราะไม่อยู่


                 แว่วเสียงหัวเราะนั้นยังดังก้องอยู่ ทั้งที่มหิตาเทวีกับกุสุมาลย์เดินห่างไกลออกไปแล้ว แต่คล้ายว่าผู้พูดอยู่ใกล้จนแทบเอื้อมมือได้ เคียงฟ้าไม่แน่ใจว่ากำลังท่องไปในความฝันอยู่ หรือว่าสิ่งที่เห็นเป็นความจริง หากแต่รู้สึกขบขันไปกับเด็กหญิงคู่นั้นจนเผลอยิ้มออกมา



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






Create Date : 12 ตุลาคม 2555
Last Update : 12 ตุลาคม 2555 0:58:47 น. 2 comments
Counter : 2499 Pageviews.

 
รอตอนต่อไปค่า กำลังสนุกเลย


โดย: nako IP: 203.154.149.228 วันที่: 12 ตุลาคม 2555 เวลา:8:05:59 น.  

 
Nako : มาแล้วค่ะ


โดย: แก้วกังไส วันที่: 15 ตุลาคม 2555 เวลา:1:16:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.