เบื้องหลังเบื้องลึกอันน่าประหลาดใจของ "กาษานาคา"
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
คาดว่าทุกคนคงจะเพิ่งฉลองปีใหม่กันมา ขอให้มีความสุขกันทั่วหน้านะคะ ปีนี้ให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคน เจ้าแก้วหายหน้าไปเป็นปีตอนนี้ก็ยังพยายามล่มเมืองอยู่ อมยิ้ม16 แต่เวลาของงานประจำกับการเขียนนี่ช่างไม่สัมพันกันเสียเลย ยิ่งตอนนี้เปิดคาเฟ่แมวต้องดูแลร้าน ต้องดูแลแมว ทำหลายๆ อย่างเอง เหนื่อยมากกก...ก เม่าเป็นลม ลูกค้าน่ะชิลๆ แต่เจ้าของน่ะเหนื่อย ถ้าใครผ่านมาแถวสุขุมวิท 101/1 BTS สถานีปุณณวิถี ละก็แวะมาคุยกันได้นะคะ ร้านอยู่ในซอยอีกทีค่ะ สุขุมวิท 101/1 ซ.46 ในอาคารโลตัสเอ๊กซ์เพรส ร้านอยู่ติดกับธนาคารกสิกรไทย หรือเข้าไปดูที่เพจร้านได้เลยค่ะ มาไม่ถูกสอบถามเส้นทางมาได้เลยค่ะ
ร้านชื่อ Cat's a เมี๊ยว cafe ฝากกดไลค์เพจร้านด้วยนะคะ
เอาล่ะ! ทีนี้มาถึงของฝากประจำตอนบ้าง ขาดไม่ได้สำหรับเรื่องเมาท์เก็บตก เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ปีใหม่นี้เจ้าแก้วได้ขออนุญาต อ.กนกวลี พจนปกรณ์ ผู้เขียน "กาษานาคา" นำเบื้องหลังนิยายเรื่องนี้มาถ่ายทอดให้ผู้อ่านฟังอีกที ซึ่งได้รับความกรุณาจากคุณอาตั้มเล่าให้ฟังค่ะ
พูดถึงกาษานาคา น้อยคนนักที่ไม่รู้จักละครเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องดังคับประเทศสร้างความประทับใจให้คนดูได้ถึงแก่นธรรมะ รวมไปถึงเกิดศึกกีฬาสีฟ้า-แดงขึ้น(จากสีชุดของตัวละคร) กาษานาคาเป็นเรื่องราวของพญานาค พญาครุฑ และตำนานในพุทธศาสนา
เจ้าแก้วอ่านนิยายพญานาคมามาก เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่พบว่าคุณนาคไม่ได้เป็นนาคเจ้า เป็นเพียงพญานาคไม่ได้กล่าวถึงยศศักดิ์และมีตัวละครหลักๆ ในเรื่องน้อยมาก ตัวหลักแค่ 3 คนเท่านั้น นาคผัว นาคเมีย และครุฑสาว เท่านั้น แต่แค่นั้นก็ทำให้เรื่องทั้งเรื่องทรงพลังยิ่ง
เรามาดูชื่อเรื่องกันก่อนนะคะ ตอนแรกที่ผู้เขียน "กนกวลี พจนปกรณ์" คิดชื่อเรื่องแน่นอนว่ามันมาหลังจากเนื้อเรื่อง คำแรกที่อยู่ในหัวท่านคือ "นาคา" เพราะนี่เป็นเรื่องของพญานาค แล้วคำต่อมาที่ติดตามมาภายหลัง นั่นคือ "กาษา" ท่านคิดถึงผ้าผืนนี้ขึ้นมาหลังจากอ่านตำนานเรื่องพญานาคจำแลงกายมาบวช แต่ที่สุดแล้วก็ต้องสึกเพราะยามหลับก็คืนร่างเดิม จึงถูกขอให้สึกพญานาคตนนั้นเสียใจมากจึงขอให้เรียกผู้ที่ตั้งใจจะบวชว่า "นาค" แทนตน ซึ่งผู้ที่จะบวชเป็นนาคนั้นจะนุ่งขาวห่มขาว...นั่นคือ "ผ้ากาษา" จึงเป็นที่มาของชื่อเรื่องค่ะ
กาษานาคา...ผ้าเตรียมบวชของพญานาคนั่นเอง ซึ่งชื่อเรื่องนั้นก็ซ่อนความนัยของเนื้อเรื่องเอาไว้ทั้งหมดแล้ว แต่การสื่อสารสิจะออกมายังไงให้เรื่องขมวดปมได้อย่างเข้มข้น ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือผู้เขียนมือทองนี่เรื่องคงไม่ตราตรึงใจขนาดนี้ เรื่องของเรื่องไม่ได้ขยายวงออกไปกว้างมาก และความแฟนตาซีของเรื่องกลับไม่ได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องจักรวงศ์ๆ ซึ่งที่ผ่านมานักเขียนหลายท่านหลีกเลี่ยงจะเขียนเรื่องแนววรรณคดีไทย หรือการดึงตำนานไทยออกมาเขียน เพราะถ้ามันไม่ออกมาเป็นเรื่องผีเรื่องลึกลับ(อยุธยามาที่ 1) หรือถ้ามีปาฏิหาริย์มากมันก็จะไปสู่ดินแดนจักรๆ วงศ์ๆ ซึ่งหลายคนไม่ได้ประสงค์ให้เป็นไปทางนั้น แต่เพราะยังไม่แนวทางไม่มีตัวอย่างที่ลากเส้นไว้ให้ดู ก็มาเรื่องนี้แหละค่ะ ที่เปิดศักราชละครอิงตำนานไทย
นอกจากจะฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว จะส่งอนิสงส่งต่อจินตนาการของนักเขียนรุ่นหลังๆ ไปได้อีกมาก ทั้งในแง่ศึกษาแง่มุมของตำนานอย่างถ้วนถี่ และเคารพในเรื่องที่กำลังเล่า เจ้าแก้วคิดว่าเรื่องนี้มีครู ในทางศิลปะนั้นเชื่อกันว่างานเขียนทุกเรื่อง ภาพทุกภาพมีครูอำนวยพร แต่เรื่องไหนพรของครูจะส่งผลชัดเจนคนอ่านนั้นจะสัมผัสได้เองค่ะ ส่วนคนเขียน...ทุกๆ คนได้สัมผัสกันตั้งแต่ก่อนและในขณะเขียน ครูที่เรียกว่า "แรงบันดาลใจ" นั่นเองค่ะ
มาเรื่องย่อๆ สักหน่อย เผื่อคนไม่เคยอ่านไม่เคยดู "กาษานาคา" จะได้มีอินเนอร์ตอนเล่าเบื้องหลังให้ฟังด้วย
เป็นเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่ก่อนให้กำเนิดลูกชายคนนี้ ผู้เป็นแม่ฝันว่ามีพญานาคมาของอาศัยครรภ์ของเธอเป็นที่กำเนิด เมื่อเกิดมาไม่นานก็ป่วย จนถูกทักว่าพ่อแม่ในภพก่อนจะเอาลูกคืน แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ในใจบอกให้ทำคุณหมอปรากรมจึงทำเครื่องบวงสรวงไปลอยน้ำ "พงศ์พญา" ลูกชายจึงกลับมาเป็นปกติ ทำให้ความเชื่อเรื่องพญานาคฝังใจครอบครัวนี้มาก
ในขณะที่อีกครอบครัวหนึ่ง เป็นครอบครัวศิลปินมีลูกสาวชื่อ "วาดจันทร์" ลูกสาวคนนี้เกิดมาพร้อมด้วยนิมิตของแม่ว่ามีนางนาคีของมาอาศัยเกิด และเธอนำผ้ากาษามาด้วยบอกว่าสักวันหนึ่งต้องมอบให้ชายอันเป็นที่รัก วาดจันทร์นั้นมีลักษณะพิเศษพอโกรธตาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ทำให้คนที่เห็นเหมือนโดนไฟช็อตชะงักค้างไปชั่วขณะ และที่สำคัญเธอเกลียดวัด เกลียดพระ ชนิดเข้าใกล้ไม่ได้ต้องร้องกรี๊ดๆ ด้วยความเจ็บปวดกันเลยทีเดียว
แล้วพอสองคนนี้มาป๊ะกัน ในคืนวันที่มีบั้งไฟพญานาค แค่สบตากันพวกเขาหลงรักกันเหมือนต้องมนต์ดำ(อาการหนัก) จนคนรอบข้างพากันเป็นห่วง และ "วินตา" หญิงสาวที่หลงรักพงศ์พญาข้างเดียวมาตลอดเลยหึงหวง...แต่โชคชะตาทำให้วาดจันทร์ส่งภาพนกยักษ์(ครุฑ)ที่แสนเกลียดมาให้เป็นของขวัญ ภาพๆ นั้นปลุกเอาสัญชาติญาณข้ามภพข้ามชาติของวินตาฟื้นขึ้นมา...เธอสามารถถอดจิตเป็นครุฑได้ แล้วศัตรูเก่าของนาคก็เริ่มไล่ล่ากัน กว่าวินตาจะพยายามหักใจให้พ้นจากสัญญาติญาณครุฑได้ เธอต้องผ่านวิบากกรรมที่สืบต่อกันมาในสายตระกูลมากมาย
ทุกเรื่องเหมือนจะแฮปปี้ เมื่อวาดจันทร์และพงศ์พญาได้แต่งงานกัน อย่างที่เคยเป็นคู่กันมาก่อนในชาติภพที่เป็นนาค แต่บาปกรรมที่เธอเคยทำร้ายพระสงฆ์และปักใจว่าศาสนาพุทธแย่งสามีไป ทำให้พงศ์พญาหนีไปเกิด ส่งผลให้สุขภาพเธอย่ำแย่อย่างไร้สาเหตุ พงศ์พญาก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อบรรเทากรรมที่คนรักก่อเอาไว้...จบยังไงไปหาอ่านเองนะคะ เรื่องนี้ย่อสุดๆ
"คุณอาตั้ม-กนกวลี พจนปกรณ์" ใช้เวลาเตรียมข้อมูลเรื่องนี้ถึง 4 ปี และใช้เวลาเขียนจริงๆ 1 ปี สาเหตุที่ใช้เตรียมตัวนานเวลานานเพราะบางเรื่องต้องรอบ่มเพาะข้อมูลในการเขียน แม้จะมีแรงบันดาลใจแล้วก็ตามบางทีก็ต้องตามหาส่วนที่เหลือให้ครบ ที่มาของเรื่องนี้คุณอาได้เล่าให้ฟังตามนี้ค่ะ
คุณอาเป็นผู้ที่อยู่ในวงการนักเขียนมานาน รวมทั้งชอบปฏิบัติธรรม ชอบงานศิลปะด้วย ด้วยความที่คุณอาเป็นคนที่มีเพื่อนอยู่มากมาย วันหนึ่งได้รับคำชวนให้ไปรับประทานอาหารที่บ้านของคุณหมอท่านหนึ่ง คุณหมอผู้ชายท่านนี้มีลูกชายเล็กๆ อยู่คนหนึ่ง ท่านมองคุณอาแล้วชี้ไปที่ลูกชายท่านพร้อมทั้งกล่าวว่ามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง...
ทั้งคู่แต่งงานกันมาหลายปีภรรยาท่านอยากได้ลูกชาย วันหนึ่งได้มีโอกาศไปวัดทางภาคอีสานก็เลยอธิษฐานขอลูก แล้วคืนนั้นก็ฝันว่าได้เข้าไปที่เมืองๆ หนึ่ง เป็นเมืองที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนไม่เคยเห็นในชีวิตจริงแต่เมืองนั้นใหญ่โตงดงามตระการตา มองไปทางไหนก็เจอสิ่งสวยงาม ระหว่างที่กำลังเพลินอยู่นั้นก็มีหนุ่มน้อยคนหนึ่งรูปร่างหน้าตางามหมดจด มาบอกกับภรรยาของท่านว่า..เขาขออาศัยไปอยู่ด้วยที่เมืองมนุษย์เถิด ภรรยาท่านรู้สึกถูกชะตากับชายหนุ่มคนนั้นอย่างประหลาดจึงยื่นมือไปให้จับ แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็พบว่าตนเองตั้งครรภ์แล้ว
เมื่อลูกชายถือกำเนิดขึ้นมาก็เลี้ยงยาก งอแงเจ็บป่วยบ่อยครั้ง แต่ด้วยความที่เป็นหมอก็รักษาตามทางวิทยาศาสตร์แต่ก็ป่วยแล้วป่วยอีก ตัวคุณหมอเองก็ปฏิบัติธรรมจึงลองปรึกษาเรื่องนี้กับคนอื่นดู แม้เรื่องนี้อาจจะดูเหลือเชื่อสำหรับคนที่มาทางสายวิทยาศาสตร์แบบนี้ก็ตาม เมื่อได้รับคำแนะนำจากผู้มีญาณว่า
"พ่อแม่ในชาติภพก่อนของเขา อยากได้ลูกคืน พวกเขาเป็นพญานาค...ให้แต่งบายศรีไปลอยลงน้ำ บอกกล่าวกับเขาว่าขอเลี้ยงดูลูกคนนี้ จะเลี้ยงให้เป็นอย่างดี"
ซึ่งฉากนี้มีในนิยายด้วยละค่ะ คุณหมอก็ตามนั้นเลย ระหว่างที่อธิษฐานแล้วยกพานขึ้นจดอยู่ๆ ก็ถูกขอบพานบาดข้อมือเลือดออก พราหมณ์ผู้ทำพิธีบอกว่า...เขาขอรับรองคำสัญญาด้วยเลือดนั่นเอง นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก จนคุณหมอเองก็สับสนว่านี่เป็นความเชื่อของตัวเองหรือเปล่า อาจจะบังเอิญก็ได้แต่ในใจนั้นเอนเอียงไปด้านความเชื่อเรียบร้อยแล้ว
ในตอนที่ฟังอยู่นั้น อาตั้มก็ฟังอย่างอัศจรรย์ใจกับเรื่องที่ได้ยินแต่ไม่ได้ปลงใจเชื่อ เพียงแต่คิดว่าทุกอย่างคงจะเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น เพียงแต่คุณหมอกับภรรยาเชื่อก็มองไปทางนั้น แล้วจู่ๆ คุณหมอก็โพล่งขึ้นมาว่า....
"คุณเอาเรื่องนี้ไปเขียนสิ อนุญาต"
คุณอาตั้ม..ก็กึ่งรับกึ่งสู้เพราะว่าไม่มีความรู้เรื่องพญานาคเลย แต่ก็รับคำไปในใจก็คิดไม่ออกว่าจะวางพล็อตยังไง เพราะตัวน้องนาค(ลูกชายคุณหมออายุยังไม่ถึง 10 ขวบเลยด้วยซ้ำ) เมื่อลองไปสัมผัสกับน้องนาคก็พบว่าเป็นเด็กน่ารัก สวดมนต์คล่อง และเคยบวชมาแล้วถึงสองครั้ง โดยคุณหมอว่าให้เขาบวชอย่างที่เขาตั้งใจ
หลังจากนั้นคุณอาตั้มก็ต้องทำการบ้านหนัก เริ่มจากการไปกว้านซื้อหนังสือเกี่ยวกับพญานาค ซึ่งหายากมากในยุคนั้น ไม่ใช่เปิดเน็ตเสิร์ชจากกูเกิลได้เหมือนเดี๋ยวนี้ การหาข้อมูลต้องอ่านเอา ไม่ว่าจากในวรรณคดีหรือจากตำนานต่างๆ รวมไปถึงจากประวัติเกจิอาจารย์ท่านต่างๆ
ซึ่งคุณอาตั้มวางกฏข้อปฏิบัติส่วนตัวในการเขียนเรื่องนี้เอาไว้ว่า "ระหว่างที่เตรียมข้อมูลจะไม่อ่านนิยายที่เกี่ยวกับพญานาคเด็ดขาด เพราะไม่อยากให้อิทธิพลใดๆ มาปะปน" ต้องการจะสร้างสรรค์ผลงานในแบบฉบับของตนเอง จึงเลือกอ่านหนังสืออ้างอิงเรื่องพญานาค โดยเริ่มต้นที่ตำนานพุทธศาสนาและเรื่องราวของเกจิอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทางภาคอีสานเป็นหลัก
ในประวัติพระเกจิอาจารย์ที่ท่านไปธุดงค์ตามที่ต่างๆ แล้วได้พบเจอพญานาค ได้สนทนาธรรม ส่วนมากจะเป็นพระทางภาคอีสานค่ะ อาทิ หลวงปู่ชา หลวงปู่แหวน หลวงปู่หลุยส์ ฯลฯ เป็นต้น
เมื่อประติดประต่อได้แล้วตัวละครอย่าง "พงศ์พญา" พระเอกของเรื่องก็ค่อยๆ มีตัวตนขึ้นมาในใจของคุณอา เป็นพระเอกผู้อยู่ในร่มเงาพุทธศาสนา แต่...ตัวละครอื่นๆ นั้นยังไม่มีตัวตนขึ้นมาในมโนเลย แม้จะไปปฏิบัติธรรมที่วัดก็ยังไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ ในใจรู้แต่เพียงว่า...ต้องมีตัวละครผู้หญิงอีกคนเป็นคู่ของพงศ์พญา แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่มีแรงบันดาลใจ เลยพยายามจะลองเขียนแบบที่ไม่ต้องอาศัยแรงจูงใจเด่นชัด เขียนแบบที่เคยเขียนนิยายทั่วๆ ไปเรื่องอื่นๆ แต่ไม่สามารถเขียนได้...เหมือนกับว่ามันไม่ใช่! แถมยังรู้สึกเบลอไปหมดระหว่างที่เขียน ทุกอย่างเลือนลางมาก
สิ่งที่รู้สึกมีเพียงรู้ว่าตัวละครหญิงนางเอกของเรื่องเป็นใคร...ใช่ค่ะ เธอเป็นนาค
เมื่อคิดไม่ออกเขียนไม่ได้...ยังตามหาแรงบันดาลใจที่จะสร้าง "วาดจันทร์" ขึ้นมาไม่ได้ อาตั้มก็เลยอธิษฐานว่าถ้าจะให้เขียนจริงๆ ละก็ ขอให้พงศ์พญาช่วยตามหานางเอกของเขาภรรยาเมื่อชาติที่แล้วด้วย และเวลาที่ไปไหนก็นึกถึงพงศ์พญาขอให้ติดตามไปด้วยเผื่อจะเจอ แต่...เหมือนเป็นความพยายามฝ่ายเดียว ไม่มีเสียงตอบรับจากนาคที่ท่านเรียก...แป่ว
ก็มานั่งคิด...อาจเป็นเพราะพงศ์พญาเขามาเกิดแล้ว เรื่องแบบนี้จึงเป็นเรื่องของคนเขียนไม่ใช่กิจธุระของเขา...เฮ้อ
เวลาผ่านไปอีก 4 ปี เมื่อไม่สามารถเขียนเรื่องนี้ได้ จึงได้พักเอาไว้ก่อนแล้วหันไปเขียนเรื่องอื่นแทน จนกระทั่งวันหนึ่งเดินทางไปจังหวัดน่านซึ่งเป็นบ้านเกิด และได้เยี่ยมชมหอศิลป์ริมน่าน ของ อ.วินัย ปราบริปู ในช่วงนั้นมีภาพผลงานของ อ.ถวัลย์ ดัชนีย์ เป็นภาพนกอยู่ตรงทางเข้า
แล้ววินตาก็บังเกิดขึ้นในมโน!
เมื่อเดินต่อมาภายในอาคารก็พบภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่มาก เป็นรูปดวงจันทร์สะท้อนเงาในน้ำ ภาพนั้นสวยงามและดูลึกลับทรงพลังมาก คุณอาตั้มยืนจ้องมองภาพนั้นอยู่นานราวกับมีแรงดึงดูดให้เข้าไปหา แล้ววินาทีนั้นเอง...
รูปประกอบการเล่าที่หาจากเน็ตค่ะ ไม่ใช่รูปจริงที่อาตั้มเจอในหอศิลป์นะคะ รูปนั้นขอโทษด้วยที่หามาให้ชมไม่ได้
"วาดจันทร์" ชื่อนี้แหละ คุณอาบอกกับตัวเองว่านี่คือชื่อของนางเอกในเรื่อง มันผุดขึ้นมาเหมือนมีใครกระซิบบอก จากนั้นโปรไฟล์ของวาดจันทร์ก็ถูกร่างขึ้นมาในขณะนั้นเลย...พูดไปก็เหมือนเสกเมื่อแรงบันดาลใจต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาเหมือนสายน้ำ อาตั้มคิดทันทีว่า วาดจันทร์เป็นลูกสาวจิตกรเจ้าของแกลลอรีริมน้ำให้เธอเป็นลูกสาว อ.วินัย แต่ในความเป็นจริงแล้ว อ.วินัย เจ้าขอหอศิลป์ไม่มีลูกค่ะ
เมื่อวาดจันทร์มาแล้ว วินตาก็มา...แรงบันดาลในการสร้างหญิงสาวสองคน ต่างก็มาจากภาพเขียน โครงเรื่องทั้งหลายก็ปะติดปะต่อกัน แต่ยังติดขัดเรื่องฉากในเรื่องบ้าง จึงต้องเดินทางไปหนองคายจังหวัดที่มีตำนานพญานาคเด่นชัดที่สุด
คุณอาก็วานให้ลูกชายช่วยขับรถพาไปที่วัดแห่งหนึ่งที่หนองคาย ที่หน้าพระประธานมีตู้กระจกใส่กระดูกชิ้นหนึ่ง เมื่อถามพระท่านก็ว่าเป็นหงอนพญานาค ก็คิดอยู่ว่าจริงไหมเมื่อลูกชายคุณอาถามคุณอาก็ตอบว่าไม่รู้สิ ลูกชายคุณอาจึงว่าจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกแต่...ไม่ทราบด้วยอาถรรพ์หรือเหตุขัดข้องทางเทคนิค ทำยังไงก็กดชัตเตอร์ไม่ลงไม่สามารถถ่ายรูปได้ จึงได้แต่มองหน้ากันเงียบๆ คุณอาตัดสินใจยกมือไหว้ กล่าวขอโทษและขออนุญาตถ่ายรูป
ปรากฏว่า...ถ่ายติด!
และที่น่าประหลาดกว่าคือตั้งแต่วันนั้นมากล้องไม่เคยมีอาการติดขัดแบบนี้อีกเลยค่ะ
หลังจากนั้นก็ลงมือเขียน โดยอาศัยตำนานทางพุทธศาสนาและแรงจินตนาการต่างๆ แต่ไม่ได้มีนาคมีครุฑมาเข้าฝัน ไม่ได้มีสิ่งเหลือเชื่อเกิดขึ้น รวมทั้งไม่ได้มีงูเข้าบ้านด้วยค่ะ ทุกอย่างปกติดีการเขียนเป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งถูกซื้อไปทำละครโทรทัศน์โดยค่ายเป่าจินจง และเรื่องนี้ก็ดังเปรี้ยงไปทั่วประเทศ แจ้งเกิดพระเอกใหม่อย่าง "นิว วงศกร" เลยทีเดียว ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าไปถึงการทำละครนะคะ
ว่าแต่รูปนี้ชวนน้ำลายย้อยจัง...
ทีนี้มาเล่าในส่วนของละครกันบ้าง มีใครทราบบ้างไหมคะว่าพระเอกเรื่องนี้เดิมทีไม่ใช่ นิว-วงศกร แต่เป็น "วีรภาพ สุภาพไพบูลย์" วีเป็นพระเอกที่ขึ้นชื่อว่าหน้าไทย ใส่ชุดไทยย้อนยุคได้สวยดูดีเลยทีเดียว แต่มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกเมื่อวันฟิตติ้ง วีกับใส่ชุดของคุณนาคไม่ขึ้นเอาเสียเลย ดูไม่ดี ไม่สง่า ไม่ๆๆ แบบว่านี่ไม่ใช่อ่ะ เป็นปัญหาที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วยซ้ำ เมื่อต้องมีการเปลี่ยนตัวพระเอกหลังจากฟิตติ้ง
ปกติแล้วพระเอกก็จะถูกทางช่องส่งมาให้ บางทีก็อาจระบุไปแต่จะได้คิวหรือไม่ได้คิวก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ในกรณีนี้เมื่อวีไม่เหมาะกับชุดของคุณนาค ผู้กำกับและผู้สร้างที่ประณีตบรรจงอย่าง "อาตู่ นพพล โกมารชุน" ต้องหยุดทุกอย่างไว้ก่อนและต้องหาพระเอกใหม่ที่เหมาะกับบทนี้ ซึ่งหมายความว่าต้องแจ้งไปทางช่องอีกครั้ง แล้วดูคิวพระเอกที่ว่างนั่นเองค่ะ (แก 'ติส จะหลับหูหลับตาถ่ายทำไปก็คงได้แหละ แต่แกไม่ยอม)
แต่เรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น(เรื่องนี้เล่าจากซ้อนุช ปรียานุช ปานประดับ ภรรยาอาตู่ เมื่อครั้งไปออกรายการวันวานยังหวานอยู่) หลังจากคิดไม่ตกว่าใครควรจะเป็นพระเอกดี ต้องไม่ใช่ลูกครึ่งด้วย อยู่ดีๆ อาตู่ซึ่งไม่ชอบอ่านนิตยสารก็ไปหยิบเอานิตยสารเล่มหนึ่งที่บังเอิญวางอยู่แถวๆ นั้นมาเปิดดู พลิกไปพลิกมาแล้วก็เปิดหน้าหนึ่งยื่นมาให้ซ้อนุช
"จะเอาคนนี้ ไปเรียกมาแคสติ้งหน่อย"
ใช่ค่ะ...นายแบบในภาพนั้นคือ "นิว-วงศกร ปรมัตถากร" เป็นนายแบบโนเนมไม่มีใครรู้จักมาก่อน เรียกว่าหน้าใหม่ซิงๆ เลยทีเดียว เพิ่งจะมีผลงานถ่ายมิวสิควีดีโอมาสองเพลง และถ่ายแบบอีกนิดหน่อยเท่านั้น
อาตู่ไม่ได้รู้จักนิวมาก่อนเลย ไม่มีใครแนะนำด้วย เมื่อดูภาพในหนังสือแล้วก็เลือกเอาดื้อๆ ซึ่งภาพนั้นก็คือภาพนี้ค่ะ เป็นภาพชายหนุ่มผิวขาวตัวผอมๆ หน้าตี๋ ดูแล้วออร่าไม่บังเกิดเลย ทำเอาทุกคนงง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "นุ่น-วรนุช วงศ์สวรรค์" ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่อง เห็นเข้าเธอก็ร้องยี๊! แล้วคัดค้านทันที
"ไม่เห็นหล่อเลย หุ่นไม่ดีอ่ะ" นุ่นว่าอย่างนั้นค่ะ
อย่าว่าแต่นุ่นเลยค่ะ ใครๆ ก็แปลกใจเพราะว่านิวในรูปนั้นไม่มีออร่าพระเอกเลย หน้าตาก็ไม่ได้โดดเด่น คิดไม่ออกว่าคนๆ นี้จะเหมาะมาเป็นพงศ์พญาได้ยังไง แต่ก็นั่นแหละค่ะดวงมันจะเกิด พระเอกใหม่จะมาประดับวงการอีกคนใครจะขวางได้ นี่นับเป็นเรื่องน่าประหลาดเรื่องหนึ่ง เพราะมาแบบไม่มีเส้นไม่ได้ตะกายมา เหมือนมีใครสักคนดลใจอาตู่ให้เลือกนิวเป็นพระเอก....ใครคนนั้น อาจจะเลือกพระเอกของเขาเองก็เป็นได้ค่ะ
แล้วก็เป็นอย่างที่คาดสายตาอาตู่ไม่เคยผิดพลาด ผู้ชายหน้าตี๋ตัวผอมๆ ธรรมดา แถมตาสองชั้นไม่เท่ากันอีก(อีกข้างเป็นชั้นเดียวแต่ปัจจุบันไปยิงเลเซอร์จนตาสองชั้นทั้งสองข้างแล้วค่ะ) เมื่อแต่งตัวฟิตติ้งขึ้นมา...เขากลายเป็นอีกคน สิ่งที่ทุกคนแม้แต่นุ่น-วรนุช ก็ยังยอมรับ นั่นคือพงศพญาที่เดินออกมาจากนิยายค่ะ ที่สำคัญเขาเหมาะกับชุดนาคสีน้ำเงินที่เตรียมไว้ เหมือนตัดไว้เพื่อรอเขาโดยเฉพาะเลย
ภาพหลังแต่งตัวเสร็จ เมื่อถ่ายคู่กับนุ่น ก็ออกมาเป็นแบบนี้...หล่อแบบไม่น่าเชื่อ
อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะคะ ละครเรื่องต้นๆ ของนิวนั้น หล่ออยู่เรื่องเดียวคือกาษานาคานี่แหละค่ะ เรื่องต่อมาอย่างดั่งดวง หฤทัย หรืออื่นๆ ไม่หล่อเลยค่ะ(จริงใจ) จะมาหล่ออีกทีก็เพื่อดีกรีความเป็นพระเอกถูกสะสมมาพอสมควรก็เริ่มหล่อล่ำ เข้ม และมีเสน่ห์ขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุงาน
เหมือนมีใครบางคนมาประทับซ้อนเพิ่มเสน่ห์ให้ยังไงอย่างนั้นเลย ภาพที่ออกมาจึงดูลงตัว สวยสะอาด คู่ควรกับบทนี้คำปรามาสที่มีมาก่อนหน้าที่ปราศนาการไปในทันที พงศพญาเลือกคนมารับบทของเองแล้ว เจ้าแก้วเชื่ออย่างนั้นค่ะ และเชื่อว่าหลายคนในกองถ่ายอาจจะไม่ได้พูดแบบนี้แต่คงคิดแหละ
และแล้วเมื่อละครเรื่องนี้ออกอากาศเรตติ้งถล่มทลาย ดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ดูแล้วติดเป็นตุ๊กแกเกาะหน้าจอทีวีเลยค่ะ พลังอินเนอร์แต่ละท่านนั้นพลุ่งพ่านหลาย มีการซ่อนนัยยะของสีบอกเล่าเหตุการณ์ อาจจะเสริมเติมแต่งจากนิยายไปบ้าง แต่ก็ทำให้เรื่องมีพลังมากขึ้น เรื่องนี้ดังทั้งละครทั้งเพลงเลยค่ะ เป็นอีกหนึ่งผลงานที่น่าประทับใจของทีมสร้างเป่าจินจงเลยทีเดียว
สิ่งที่น่าประทับใจอีกเรื่องสำหรับ "นิว-วงศกร" นั้นคือตามท้องเรื่องตอนจบพงศ์พญาจะบวชไม่สึกตลอดชีวิต ซึ่งนิวไม่จำเป็นต้องโกนผมจริงแต่ใส่วิกหัวล้านเอาก็ได้ แต่เมื่อทราบเรื่องเขาจึงขอบวชจริงๆ อุทิศส่วนกุศลให้แก่บทที่ได้รับ ฉากโกนผมนาคในละครจึงเป็นเรื่องจริงค่ะ หลังจากนั้นนิวก็บวชไป 7 วัน ความอินกับการบวชจึงปรากฏขึ้นมาในละคร ก่อนจะสึกมาถ่ายละครต่อ ซึ่งทำให้มีซีนกระโดดบ้าง เพราะมีการถ่ายซ่อมฉากที่ก่อนหน้านี้ ตรงนี้คงเป็นความบกพร่องเดียวของละครเรื่องนี้ค่ะ
เจ้าแก้วเชื่อว่า "กาษานาคา" เป็นละครในดวงใจของใครหลายคนเลยทีเดียว คงจะยากที่จะกลับมาสร้างแล้วทรงพลังได้เท่านี้ พลังที่มองไม่เห็นนั้นจะช่วยส่งเสริมพลังแห่งความตั้งใจในการที่จะถ่ายทอดออกมา...พลังของ "ครู"
"ครู" ในที่นี้คือแรงดลบันดาลใจ ที่เราวางใจไว้เป็นที่ตั้ง เป็นที่มาของสิ่งที่เราสร้าง ไม่ว่าจะเป็นครูที่เป็นมนุษย์ซึ่งอุทิศข้อมูลให้ ครูที่เป็นหนังสือ ครูที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ประสบพบเจอ ข้อมูลแรงบันดาลทุกๆ อย่างถูกส่งต่อกันมาหลายทิศทาง ไม่มีใครคนหนึ่งประสบความสำเร็จด้วยตัวเองหรอกค่ะ แม้บางครั้งครูไม่ได้สอนเราตรงๆ แต่ก็อาศัยความรู้ของท่านเหล่านั้นมาช่วย ...หรือแม้แต่บางครั้ง ความรู้ ความสร้างสรรค์บางอย่างจะมาสู่เราในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึงก็ตามที
และแน่นอน "กาษานาคา" มีทั้งครู..ทั้งเจ้าของเรื่องค่ะ จึงเป็นนิยายที่ต้องใช้ความประณีต ความละเอียดลออในการเขียน เพื่อถ่ายทอดออกมาสู่สายตาคนอ่านและคนดูละครให้สมบูรณ์ที่สุด ไม่ขาดตกบกพร่องในสารที่ต้องการจะสื่อ...เรื่องของคุณนาคในกาษานาคาไม่ใช่แค่เรื่องศาสนา ความรัก ตำนาน เท่านั้น สุดแต่ผู้รับสารว่าจะได้รับเรื่องราวสอนใจหรือเห็นแค่เป็นความบันเทิงเท่านั้นค่ะ
ขอบพระคุณคุณอาตั้มกนกวลี พจนปกรณ์ สำหรับนิยายอันทรงคุณค่า ขอบคุณเป่าจินจงที่เสกสรรค์ตัวหนังสือมาเป็นภาพ ขอบคุณสำหรับเบื้องหลังที่ถ่ายทอดให้ฟังนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
มาฟังประกอบละครกันดีกว่าค่ะ
Create Date : 15 มกราคม 2559 |
|
2 comments |
Last Update : 16 มกราคม 2559 3:38:02 น. |
Counter : 17966 Pageviews. |
|
|
|