จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
 
ตุลาคม 2556
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
1 ตุลาคม 2556
 
All Blogs
 
วิทยาธร ผู้ยุติศึกมหายุทธครุฑยุดนาค

               สำหรับคนที่อ่านนิยายเรื่อง “เวียงนาคินทร์” คงจะรู้จัก “คุณวิมุตติ หรือ พี่เจ้า” วิทยาธรในเรื่องกันแล้ว แต่ก็อยากจะมาเล่าตรงนี้อีกครั้งว่าวิทยาธรนั้นสำคัญกับครุฑและนาคไฉน? แต่พอคิดว่าจะเล่าเรื่องนี้ก็เกิดไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องทุกคนรู้อยู่แล้วหรือเปล่า? ข้อเสียของเจ้าแก้วก็คือ มักจะคิดว่าเรื่องนี้ใครๆ ก็รู้น่า ค้นหาเอาได้ไม่ยาก แต่บางทีมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกคนไม่อ่านไปเสียทุกเรื่อง อาจจะมีคนยังไม่รู้ก็ได้


              ซึ่งเรื่องที่จะเล่านี้ก็อ่านแล้วนำมาเรียบเรียงให้ฟังอีกครั้งในแบบของเจ้าแก้วนะคะ ดังนั้นตำนานเรื่องนี้มันอาจจะฮาไปหน่อย 555 แถมเล่าผ่านการตีความของเจ้าแก้ว ซึ่งขณะที่อ่านเกิดมีข้อสงสัยติงต๊องไปเรื่อยเปื่อย เล่าแล้วอาจจะ...กลายเป็นฉบับบ๊องๆ ไปบ้าง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ อยากเล่าเหมือนเล่าให้เพื่อนฟัง แบบเข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องใช้ภาษายากๆ 


              เรื่องนี้ก็คือ เรื่องของ “วิทยาธรผู้สงบศึกครุฑและนาค” นั่นเองค่ะ วิทยาธรที่คนส่วนใหญ่รู้จักมักเป็นวิทยาธรลามกจกเปรต วันๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่แย่งมัคนารีผลกันอยู่ใต้ต้นไม้นั่นแหละ หรือไม่ก็ไปแอบดูคู่บ่าวสาวเข้าหอ จนเขาต้องว่าคาถากันวิทยาธรก่อนเข้าห้องหออะไรแบบนี้เป็นต้น สรุปความได้ว่า ดีๆ ทั้งนั้นนนนนนนน...น (ช่างต่างกับคุณวิมุตติราวฟ้ากับเหว)


              ตอนที่จะเขียนเจ้าแก้วก็กรีดร้อง...ม่ายยย..ย คุณวิมุตติไม่ได้เป็นคนแบบนั้นนนนน...น ดังนั้นก็ต้องตามหาวิทยาธรดีๆ ไปเรื่อย (หายากจริงๆ ) ชักนอกเรื่อง กลับเข้ามาที่วิทยาธรชื่อดังสุดๆ คนนี้ ดังเพราะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยคดีครุฑนาคตีกันค่ะ แน่นอนว่าท่านเป็นวิทยาธรที่ดีถูกกล่าวถึงในทางดีงาม ไม่ใช่แนวอนาจารที่กล่าวมาข้างต้น โดยเรื่องการสงบศึกนี้มีอยู่ในนิทานเวตาล เรื่องที่ 16


              ตามท้องเรื่องเจ้าเวตาลนั้นเล่านิทานทายปริศนาธรรมกับพระเจ้าตริวิกรมเสน เล่ามาถึงเรื่องที่ 16 ก็เป็นเรื่องของ “เจ้าชายวิทยาธร ชีมูตวาหน” เจ้าชายท่านก็อาศัยอยู่ในเมืองชื่อ กนกนคร อยู่แถวๆ เขาหิมวัต มีพระบิดาชื่อชีมูตวาเกตุครองเมืองอยู่ ในเมืองมีต้นไม้วิเศษขออะไรก็ได้อยู่ต้นหนึ่งคือต้นกัลปพฤกษ์ 


              ดังนั้นชาวเมืองจึงชินกับการขอกับต้นกัลปพฤกษ์ไม่ต้องทำอะไรก็มีกินว่างั้นเถอะ ก็เลยหวงแหนต้นนี้มาก ไม่แบ่งให้ใครอื่นมาขอกันเลย เจ้าชายเห็นแล้วก็เหนื่อยๆ ประชาชนชินกับประชานิยมเหลือเกิน แถมยังไม่รู้จักกันการแบ่งบัน ศีลธรรมเริ่มตกต่ำ ก็ดำริว่าถ้าไม่มีต้นกัลปพฤกษ์จะทำอย่างไร อยากฝึกให้พวกเขาพึ่งพาตัวเองบ้างจัง แต่ความคิดนี้เป็นง่อยไปประชามติไม่เห็นชอบ ไม่ผ่าน ครม.ค่ะ 


               วันดีคืนดีเจ้าชายเดินเล่นอยู่ในอุทยานก็คุยกับต้นกัลปพฤกษ์ 

เจ้าชายชีมูตวาหน : ต้นไม้จ๋า มีแต่คนขอเจ้า ขอๆๆๆๆ แล้วก็ขอทั้งวัน เบื่อไหม?
ต้นกัลปพฤกษ์ : เบื่อมากเลยท่าน แต่มันเป็นหน้าที่ทำไงได้
เจ้าชายชีมูตวาหน : แล้วเจ้าอยากได้อะไรบ้างไหม?
ต้นกัลปพฤกษ์ : เอ๋..? เราขอได้ด้วยเหรอท่าน? 


               เจ้าชายพยักหน้า ขอสิ ถ้าให้ได้เราจะให้จริงๆ นะเออ ต้นกัลปพฤกษ์ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เลยขอไปแบบเผื่อฟลุ๊ค


 ต้นกัลปพฤกษ์ : เราอยากกลับสวรรค์น่ะ
เจ้าชายชีมูตวาหน : ของ่ายๆ แค่นั้นเองเหรอ? นึกว่าจะอยากได้อะไรใหญ่โต มั่งมี มีอำนาจ มีเกียรติยศ มีชื่อเสียง มีหน้ามีตา ไปประกวดมิสต้นไม้หรืออะไรแบบนี้เสียอีก
ต้นกัลปพฤกษ์ : โธ่ท่าน...เราเป็นแค่ต้นไม้ จะมั่งมีไปทำไรฟร้า? มิสต้นไม้ก็ไม่อยากเป็น เรารู้ตัวว่าเราสวยไม่ต้องมีตำแหน่งก็ยังสวย 


               ต้นไม้ว่าดังนั้น...เจ้าชายก็ยิ้ม แล้วตอบตกลง อยากได้จัดให้ แต่ขอไปขออนุญาตเสด็จพ่อก่อนนะ ถ้าท่านโอเคเจ้าก็ไปได้ ว่าแล้วก็ไปทูลขอกับพระราชา ซึ่งพระเจ้าชีมูตวาเกตุถามกลับมาสั้นๆ แค่ประโยคเดียว


พระราชา : ไม่เสียดายเหรอลูก?
เจ้าชายชีมูตวาหน : ไม่หรอก เรามั่งมีเกินพอแล้ว ต้นกัลปพฤกษ์ให้เราเกินกว่าที่ควรจะได้รับเสียด้วยซ้ำ

                พระราชาผู้พอเพียงได้ฟังดังนั้นก็เลยอนุมัติ เจ้าชายก็วิ่งไปบอกต้นกัลปพฤกษ์ว่าเจ้ากลับสวรรค์ได้ล่ะ ต้นไม้ดีใจมากจึงเดินทางกลับ ณ บัดนาว (สงสัยกลัวเขาเปลี่ยนใจ) รากต้นไม้ติดเทอร์โบเหินฟ้า...ฟิ้วววววววววว...ววว กลับไปทันที


                 ย้อนกลับมาที่ญาติวงศ์พอรู้เรื่องเข้าเท่านั้นแหละ แต่ละคนเต้นเป็นเจ้าเข้า โมโหมากมาย ความโลภความเสียดายเข้าครอบครองจิตใจ ลืมบุญคุณที่ปกหัวจนหมดสิ้น จึงพากันก่อม็อบประท้วง เตรียมกำลังบุกเข้ายึดวัง ปลดกษัตริย์ กล่าวหาว่าไม่มีความเหมาะสมจะครองราชย์ เอาเปรียบประชาชน พอเพียงบ้าบออะไรกัน เอาต้นกัลปพฤกษ์คืนมา


                 แต่ก็ยังมีผู้จงรักภักดีอยู่กลุ่มหนึ่งพร้อมต่อสู้เพื่อปกป้องพระราชา แต่เจ้าชายชีมูตวาหนตรัสถามว่าเราจะยกทัพไปสู้กระนั้นหรือ? ม็อบนั้นก็ประชาชน ที่ปกป้องเราก็ประชาชน ถ้าสู้กันมีแต่ล้มตาย เลือดนองแผ่นดินก็ล้วนแต่เป็นเลือดสีเดียวกันทั้งสิ้น มันคุ้มแล้วหรือ? แล้วใครเล่าจะเป็นผู้รับผิดชอบ ก็ต้องเป็นเราผู้ที่เป็นกษัตริย์ 


พระราชาชีมูตวาเกตุ : ลูกเอ๋ย...พ่ออยากรักษาเมืองไว้ให้เจ้าซึ่งเป็นรัชทายาทเท่านั้น ตัวพ่อไม่อยากได้อะไร พ่อพอแล้ว

เจ้าชายชีมูตวาหน : ‘เด็จพ่อ เราจะเกณฑ์กำลังคนไปสู้กับพวกเขาเราก็ทำได้ แต่นั่นหมายถึงสงครามและการเสียเลือดเนื้อ ถ้าคนใจกว้างมีความปรารถนาจะครองอาณาจักรแล้วละก็ เขาจะต้องฆ่าฟันพวกญาติพี่น้องของเขาตายเป็นเบือ เพียงเพื่อสนองความปรารถนาของเขาเท่านั้นหรือ
ดังนั้นราไชศวรรย์จะมีประโยชน์อันใดแก่เราสองพ่อลูกอีกต่อไปเล่า 

ลูกว่าเราควรจะเป็นฝ่ายจากไปดีกว่า ไปหาที่อยู่ใหม่ที่ไม่วุ่นวาย เป็นที่สงบสุขเหมาะแก่การบำเพ็ญพรตภาวนา ปล่อยให้พวกญาติที่น่าสงสารเหล่านั้นผจญกันเอง เพราะความโลภเป็นสาเหตุ เขาอยากได้อาณาจักรก็ให้เขาเอาไปเถอะ"



                   เมื่อเป็นดังนั้นเสด็จพ่อกับเสด็จลูกก็ตกลงกันได้ว่า งั้นเราสละบัลลังก์ดีกว่าประชาชนจะได้ไม่ต้องฆ่ากันตาย หากต่อไปเขาไม่พอใจผู้ปกครองใหม่แล้วเกิดปฏิวัติขึ้นนั่นเป็นเรื่องของเขา เรื่องที่เขาได้เลือกเองแล้ว เป็นกรรมที่เขาเลือก หาใช่เพราะเราบกพร่องต่อหน้าที่กษัตริย์แล้ว จึงพากันเดินทางออกจากเมืองไปสามพ่อแม่ลูก ไปอาศัยอยู่ในภูเขามาลยะ


                   แล้ววันที่กามเทพแผลงศรก็มาถึงเจ้าชายชีมูตวาหนเดินเล่นอยู่ในป่าลัดเลาะไปจนถึง อาศรมพระแม่อุมาก็พบหญิงงามสูงศักดิ์พร้อมด้วยข้ารับใช้ของนางมาทำการสักการะด้วยการบรรเลงพิณถวาย เจ้าชายเห็นหน้าหญิงนั้นปุ๊บก็ศรรักปักอกข้างฝ่ายสาวเจ้าก็เช่นกัน ศรรักแทงหัวใจดังจึ้กถึงขั้นทิ้งพิณในมือ


                   หายตะลึงก็ถึงได้ถามไถ่ชื่อแซ่กัน ปรากฏว่าหญิงนั้นคือเจ้าหญิงมลยวตี เป็นธิดาของวิศวาวสุราชาแห่งนักสิทธิ์ และเป็นน้องสาวของมิตราวสุสหายของพระองค์นั่นเอง ฝ่ายหญิงมีใจถึงขั้นกลับไปเพ้อว่าไม่แต่งกับคนนี้ชาติหนี้หนูไม่แต่งแล้ว แงๆๆ รุ่งขึ้นมลยวตีจึงเดินทางมาที่อาศรมพระแม่อุมาอีกครั้ง แต่นางไม่พบเจ้าชายเลยใจเสียคิดไปว่าคงไม่ได้เป็นคู่ ด้วยความที่ต้องมนต์กามเทพจึงร้อนรักถึงขั้นจะผูกคอตายตรงนั้น 


                  “หากลูกไม่ได้ครองคู่ จะขอไปรอชาติหน้า” .....ผู้ปกครองควรพิจารณา เด็กๆ ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะจ๊ะ


                   ทันใดนั้นก็เสียงปาฏิหาริย์มาห้าม เป็นเสียงพระแม่อุมานั่นเอง... “ลูกเอ๋ย...ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งด่วนตาย คนมันจะมีผัวยังไงก็ได้ผัวนะลูก คิดถึงพ่อแม่บ้างเลี้ยงมาจนนมโตปานนี้ จะให้เขาต้องร้องไห้เพื่อลูกสาวผูกคอตายเพราะกลัวไม่มีผัวรึ?”


                   เมื่อถูกด่าดังนี้เจ้าหญิงก็ทรงได้พระสติทันที และเมื่อเสียงด่านั้นสิ้นสุดลงเจ้าชายชีมูตวาหนก็ปรากฏตัววิ่งเข้ามาห้ามปราม เมื่อสบตากันก็ระลึกได้ว่าชาติก่อนเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน มิน่าถึงร้อนเสน่หานัก ข้างฝ่ายเจ้าชายก็ให้เด็จพ่อไปสู่ขอ เมื่อพึงใจกัน ชาติตระกูลเสมอกัน แม้ฝ่ายเจ้าชายบัดนี้จะเป็นยาจก แต่พ่อตาเห็นใจไม่ว่ากัน ยอมเป็นคนจนเข็ญใจเพื่อไม่ให้ประชาชนต้องฆ่ากันเอง แบบนี้ป๋าปลื้มคนดีๆ แบบนี้รับเป็นลูกเขยได้เลยไม่ต้องลังเล ด้วยเหตุนี้ก็เลยสมรักสมรสจัดงานแต่งใหญ่โตมโหฬาร เลื่องลือถึงขั้นลงหน้าหนึ่งไทยรัฐ


                  วันหนึ่งหลังแต่งงานมาสักระยะแล้ว เจ้าชายชีมูตวาหนก็ไปเที่ยวกับพี่เมีย (เจ้าชายมิตราวสุ) จากภูเขาไปถึงชายทะเล แทนที่จะเจอหินสวยน้ำใส ดันไปเจอกองกระดูกเกลื่อนกลาดเต็มหาด เจ้าชายวิทยาธรตกใจนักหันไปถามพี่เมียว่านี่มันอะไรกัน เจ้าชายมิตราวสุถอนหายใจก่อนจะเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องราวกาลครั้งเก่านานเน 


                  ว่าด้วยหญิงสองนางคือนางกัทรุและนางวินตา เป็นพี่น้องกันได้ผัวคนเดียวกัน วันๆ ก็อิจฉากันเอง ต่อมาก็เลยแข่งกันทายสีม้าของพระอาทิตย์ ใครทายผิดต้องเป็นทาสอีกฝ่าย แต่ฝ่ายทางกัทรุใช้กลโกง นางวินตาแพ้เลยต้องเป็นทาสรับใช้ถึง 500 ปี รวมไปถึงเวนไตยลูกชายผู้เป็นพญาครุฑของนาง เวนไตยก็เลยทำสัญญาเลิกทาสด้วยการไปขโมยน้ำอมฤตมาจากพระอินทร์ ซึ่งก็เป็นแผนหลอกล่อพอกันทั้งสองฝ่าย 


                 เมื่อสัญญายกเลิกทำให้ทั้งสองฝ่ายโกรธกันเป็นอันมาก (ไปหาอ่านแบบละเอียดเอาเองนะจ๊ะ) พี่ครุฑก็โจมตีพี่นาคแล้วจับกินมันเสียเลย...(ใจร้ายยย...ย) ยังผลให้นาคไส้แตกตายไปหลายหมื่นตน จนต้องย้ายเมืองหนี (กรุณาหาอ่านในนิยายเรื่อง เพรงวายุ นะคะ เล่าไว้อย่างละเอียด) แต่ก็ยังโดนตาราวีไม่เลิกไม่ราจนนาคแทบจะสูญพันธุ์ พญาวาสุกรีราชาแห่งนาคก็เลยทำสนธิสัญญาประนอมศึกขึ้นมา ว่าจะส่งนาคไปสังเวยวันละตน แลกกับการไม่บุกตีเมือง (ซึ่งตรงนี้มันมีรายละเอียดว่ามีนาคกี่ประเภทที่ครุฑห้ามกินด้วยค่ะ สรุปว่านาคที่กินได้โดยไม่ผิดกฎเทวะก็คือนาคชั้นประชาชนค่ะ) 


                  เจ้าชายชีมูตวาหนได้ฟังก็ทรงของขึ้น โมโห...ทรงพระกริ้วเป็นอันมาก ถึงขั้นออกปากด่าพญาวาสุกรี อะไรฟร้าตัวเองเป็นราชา ปล่อยให้ประชาชนไปตาย ขี้ขลาด บลาๆๆๆ แทนที่จะอาสายกตัวเองให้กินไปเสียสิ สละเพื่อคนส่วนใหญ่ทำไมไม่ทำ ว้ากๆๆๆ บลาๆๆ ครุฑก็เหมือนกันใจร้ายใจดำ ใจอมหิต ตัวเองมีศักดิ์สูง มีพลัง มีอำนาจ กลับรังแกคนอื่นๆ ชั่วร้ายเลวทราม บลาๆๆ แล้วก็บ่นอีกมากมายพี่เมียตอบคำเดียว....กรรมของเขา ทำไงได้ มันเป็นพี่น้องกันเอง ยังจะฆ่ากันตายเอง ไม่เรียกว่ากรรมก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วล่ะ =_=”


                 ระหว่างที่กำลังเมาท์กันอยู่เมามัน ทหารก็มาตามเจ้าชายมิตราวสุบอกว่าเด็จพ่อโปรดให้เข้าเฝ้าแน่ะ จึงจะเสด็จกลับ แต่น้องเมียซึ่งยังอินเนอร์อยู่ขอตัวอยู่ที่หาดนี้อีกพักหนึ่ง พลางบอกกับตัวเองว่า “ถ้าเรามีโอกาส...เราจะสละร่างตัวเองให้ครุฑเจี๊ยะไปเสีย แลกกับชีวิตนาคทั้งหมด มันจะได้เลิกรากันเสียที”


                  แล้วโอกาสนั้นก็มาถึงทันใจ เมื่อมีชายหนุ่มกับแม่แก่คู่หนึ่งเดินผ่านมา ชายหนุ่มเดินหน้าดำเคร่งเครียดปากก็บอกแม่กลับไปเถอะตัดใจซะ ลูกยิ่งเศร้าอยู่ๆ แม่อย่าร้องไห้ทำให้ลูกเสียใจที่ทำให้แม่ทุกข์ไปกว่านี้เลย แม่ไปเถิดเดี๋ยวครุฑมันจะมาแล้ว ส่วนแม่แก่เอาแต่ร้องไห้ขอร้องลูกว่าอย่าไปเลย แล้วแม่จะอยู่กับใคร ดูแล้วน่าเวทนานัก ทำให้เจ้าชายเดาออกว่าพ่อหนุ่มชื่อ ศังขจูฑะ นี้คงเป็นนาคแน่ๆ


                  ด้วยจิตกุศลอยากจะช่วยจึงเข้าไปอาสาจะให้ครุฑเจี๊ยะแทน สร้างความซาบซึ้งให้สองแม่ลูกมาก แต่ศังขจูฑะบอกว่าไม่ได้หรอก กรรมของตัวเองจะให้คนอื่นรับแทนไม่ได้ ไม่มีลูกผู้ชายดีๆ คนไหนเขาทำกัน ว่าแล้วก็ขอบคุณก่อนจะขอตัวไปบวงสรวงพระศิวะบนเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกลับมาให้ครุฑกิน ทิ้งแม่ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดอยู่ตรงนั้น เจ้าชายชีมูตวาหนสะเทือนพระทัยมาก จึงตัดสินใจว่ายอมให้ศังขจูฑะซึ่งมีแม่แก่ๆ ไปตายไม่ได้ ว่าแล้วก็ปีนขึ้นไปที่แท่นสังเวยแล้วนอนรอครุฑมากินแทน


                  ในสายตาของเจ้าแก้วนั้น...พี่ครุฑกินอะไรได้หลายอย่างไม่ใช่แค่ไขมันพุงของนาคเท่านั้น แต่จงใจกินเพราะความเกลียดชัง ในเมื่อพญาวาสุกรียอมมอบนาควันละตนเป็นเครื่องพลีกรรมแล้วไซร้...ครุฑตั้งฝูงมันจะอิ่มได้ยังไง แปลว่าครุฑที่มากินนั้นต้องมีเพียงหนึ่งเดียว และครุฑที่ผลัดกันมากินนั้นจะต้องเป็นคนสำคัญในวงศ์ครุฑ ง่ายๆ นะคะ เขาเป็นครุฑไฮโซค่ะ แล้วเขาจะคิวมากินกันยังไง...แล้วก็สันนิษฐานว่าท่าจะเล่นแชร์กันใครเปียแชร์ได้ก็ได้กินนาคไป


                   แล้วพี่ครุฑผู้โชคดี (ในตำนานไม่บอกว่าชื่ออะไร) เปียแชร์ได้เลยมากินโต๊ะจีนนาค ก็มาเจอเจ้าชายวิทยาธรนอนแอ้งแม้งให้รอกินอยู่ พอพี่ครุฑมาถึงเจ้าชายก็ตะโกนเชียร์ “กินเล้ยยๆๆๆๆ” สร้างความประหลาดใจแก่พี่ครุฑมาก เอ...ตามปกติแล้วนาคที่มากินต้องกลัวสิ แล้วร้องขอชีวิตไม่ใช่เหรอ? นี่มาเรียกให้กินเหยงๆ รู้สึกแปลกๆ นะตัวเอง ก็เลยถามไปว่า


พี่ครุฑ : เป็นนาคแน่เหรอ?

เจ้าชาย : อย่าคิดมากน่า กินๆ เข้าไปเหอะ

เหยื่อดันตอบซะอย่างนั้น แถมเหวี่ยงใส่ด้วย เหมือนอารมณ์เสียนอนรอตั้งนานเพิ่งมา เลยไม่กินในทันที ว่าแล้วก็ยกกรงเล็บขึ้นจิ้มพุงไปหนึ่งจึ้ก เจ้าชายร้องจ้ากกกกกกกก...ก


พี่ครุฑ : ว่าไง...ยังอยากให้กินไหม เราไม่กินทั้งตัวหรอก กินเฉพาะไส้ติ่งก็พอล่ะ
เจ้าชาย : แกจะกินตรงไหนแกก็กินเถอะ ไม่ต้องมาบอกหรอก

เมื่อถูกเหวี่ยงใส่อีกรอบ เลยลองเจาะพุงซ้ำอีกจึ้ก หนนี้เหยื่อไม่ร้องทำหน้าอดทนน่าดู พี่ครุฑเลยนึกสนุกจิ้มใหญ่เลย


พี่ครุฑ : แหมร้องหน่อยก็ไม่ได้ เราชอบแบบนั้นมากกว่าอ่ะ แบบว่าซาดิสม์น่ะ

เจ้าชาย : ไอ้ครุฑโรคจิต พ่อแม่ไม่เคยสอนหรือไงว่าอย่าเล่นของกินน่ะ!!

พี่ครุฑ : พอดีที่บ้านไม่เคร่งมารยาทน่ะ ^^

                 เมื่อถูกด่าถึงพ่อแม่พี่ครุฑเลยเริ่มมีน้ำโห คราวนี้เอาจะงอยปากทิ่มมันเสียเลย ไม่เล่นแล้ว โกรธ!! แต่เจ้าชายกลับบอกว่า


เจ้าชาย : ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก เจ้ามันก็แค่...นก! ต้องกินอาหารตามสัญชาตญาณ ต้องฆ่าเพราะมีความอำมหิตในเผ่าพันธุ์ ข้าให้อภัย จะไม่โกรธไม่แค้น เป็นตัวข้าที่เต็มใจสละตัวเองเป็นทานแก่พญานก ให้เขารู้จักอิ่ม รู้จักพอ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ตัวข้านั้นขออุทิศร่างกายเพื่อช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ แม้ข้าจะตายแล้วตายอีก เกิดแล้วเกิดอีกชั่วกัปแสนกัลป์อนันตชาติข้าก็ยินดีหากจะทำให้เขาพ้นทุกข์จากการหิวโหยนั้น...”


                 พี่ครุฑชะงักทันทีชักไม่แน่ใจแล้วว่านี่มันนาคแน่เหรอ อธิษฐานแบบนี้มีแต่ผู้มีใจสูงกว่าเท่านั้นถึงจะเมตตาผู้ที่คิดร้ายหมายชีวิตตนได้ ระหว่างที่กำลังพิจารณาดูอยู่นั้นเองก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหญ่แห่กันมา 


                 เนื่องจากเจ้าชายชีมูตวาหนหายไปนานผู้คนจึงออกตามหา แล้วมาพบกับศังขจูฑะผู้ซึ่งลงมาจากอาศรมพระศิวะพอดี ก็มาเจอแม่แก่บอกว่าเจ้าชายไปแทนแล้ว ทีนี้ทั้งเจ้าหญิงมลยวตี ทั้งพ่อแม่ตัว พ่อตาแม่ยาย พี่เมีย และอื่นๆ ก็เลยตื่นตระหนกพากันวิ่งตามหา ก็มาพบมงกุฎของเจ้าชาย เลยมั่นใจว่ามาถูกทาง พอถึงก็พบว่าเจ้าชายพุงแตกกำลังจะตายมิตายแหล่อยู่แล้วกำลังสนทนากับพี่ครุฑ


เจ้าชาย : ทำไมไม่กินเล่า? หิวก็กินเสียสิ เรายินดีให้กิน

พี่ครุฑ : เอ่อ..ข้าว่าท่านคงไม่ได้เป็นมาโซคิสม์ และไม่ได้เป็นนาคด้วย ตัวเองเป็นใครน่ะ?

เจ้าชาย : อย่าคิดมาก ตรงนี้เป็นแท่นสังเวยถ้าไม่ใช่นาคแล้วจะเป็นอะไรได้เล่า กินๆ ไปเถอะ

               เหยื่อยืนยันแบบนั้น แต่พี่ครุฑเริ่มกินไม่ลงแล้วมันแปลกประหลาดเกินไป ประจวบเหมาะกับคณะตามมาทันพอดี นาคหนุ่มศังขจูฑะซึ่งเป็นเครื่องสังเวยตัวจริงเห็นเข้าก็ตะโกนห้าม


ศังขจูฑะ : อย่ากินนนนนนนนนน!!! เขาไม่ใช่นาค ข้าสิเป็นนาค ท่านต้องกินข้าไม่ใช่เขา 


                เสียงบอกนั้นทำเอาพี่ครุฑตกใจ เอ๊ะ? มันยังไงกันนี่ 


ศังขจูฑะ : ดูนี่พี่ครุฑ ข้าเป็นนาคไม่ใช่เขา (ว่าแล้วก็คืนร่างแผ่พังพานให้ดู) ข้านี่แหละนาคตัวจริงของแท้ เขาไม่ใช่ ท่านกินเขาไม่ได้นะ ท่านเป็นครุฑย่อมต้องรักษาสัตย์ต้องกินนาคไม่ใช่กินผู้ประเสริฐคนนั้น


                 แม่แก่ของศังขจูฑะเห็นเข้าก็ร้องไห้พลางตะโกนเรียกร้องให้นางไปอีกคน


แม่แก่ : ไอ้ครุฑบัดซบ ถ้าอยากกินนาคนักก็กินลูกข้าซะ เขาเป็นเครื่องสังเวยของเข้า ถ้าไม่อิ่มก็กินข้าตามไปด้วยอีกคน ข้าแก่แล้วถ้าลูกตายก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม กินเราสองแม่ลูกเข้าไปเลย เจ้าบ่อยเขาซะ หาไม่แล้วเจ้าไม่ใช่พญานกเจ้ามันไม่ต่างกับเดรัจฉาน


            เจ็บสิคะ...โดนแม่แก่ด่าขนาดนี้ พี่ครุฑอึ้ง ชักน้ำตาคลอ โถ...มีแม่แก่ๆ ต้องเลี้ยงดู ยังมาให้กินเพราะรักษาคำพูด 


ศังขจูฑะ : ไม่ได้นะ ท่านกินข้าได้คนเดียว ห้ามกินแม่ข้า ห้ามกินคนอื่น อย่ากินผู้ไม่เกี่ยวข้อง สัญญาของเราสองเผ่าพันธุ์ท่านกินเฉพาะนาคเท่านั้น โปรดรักษาสัญญาด้วย ปล่อยคนอื่นไป กินแต่ข้าเถิด หากวันนี้ไม่อิ่มท่านค่อยมาใหม่ พรุ่งนี้ยังมีนาคมาให้ท่านกินอีก มะรืนนี้ก็เช่นกัน จนกว่าเราจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ยังมีอีกนับหมื่น ขอแค่วันนี้ปล่อยผู้ไม่เกี่ยวข้องเถิด


เจ้าชาย : ไม่ได้ๆๆ ท่านต้องกินข้า เจาะพุงข้าแตกแล้ว จะไปกินคนอื่นได้ไง กินข้านี่แหละ แล้วปล่อยพวกเขาไปเสีย

                ต่างคนตะโกนไปก็ร้องไห้กันไปเป็นที่น่าเวทนานัก ไทยมุงที่ตามมาก็พากันร้องไห้ ตะโกนด่า  ไอ้ครุฑใจร้าย! ไอ้ครุฑใจดำ! ไอ้ครุฑฆาตกร!!!!


               พี่ครุฑไม่ใช่คนหน้าด้าน ก่อนหน้านั้นไม่ได้คิดว่าตนเองทำอะไรผิด ก็แค่เปียแชร์ได้เลยมากินโต๊ะแชร์ มันก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัตินาคก็เป็นฝ่ายยอมนี่นา...แต่ว่าๆๆๆ โอ๊ย โดนด่าประณามแบบนี้ ใจไม่ด้านพอก็สะเทือนใจมากมาย


พี่ครุฑ : โอ๊ยยย..ย พอแล้ว หยุดด่าได้แล้ว ไม่กินแล้วเว้ย!! ไม่กินใครทั้งนั้นแหละ ไม่กินแล้ว!!!

เจ้าชาย : จริงนะ? ไม่กินนาคแล้วจริงๆ นะ

พี่ครุฑ : จริง ไม่กินนาค เจ้าข้าก็ไม่กิน ขืนกินไปบาปตายห่า ข้าไม่ใช่นกไร้อารยธรรมนะเว้ย!!

เจ้าชาย : ไม่กินวันนี้...แล้วพรุ่งนี้จะมากินอีกไหม?

พี่ครุฑ : ไม่กินแล้ว เลิกกินนาคถาวรเลย พอๆ ไม่ต้องพูดแล้ว 


                เจ้าชายได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มกว้างอย่างสบายใจ แล้วสิ้นใจไปเลย เจ้าหญิงมลยวตีเห็นเข้าก็ถลาเข้าไปหาร้องไห้


เจ้าหญิง : โอ้ สวามีผู้ประเสริฐของข้า...สละร่างเพื่อเป็นทานแก่ผู้อื่น ท่านช่างประเสริฐนัก โปรดให้ข้าติดตามท่านไปทุกชาติเถิด พี่ครุฑหม่ำข้าให้ตายตามสามีเถิด

พี่ครุฑ : อะไรกั๊นนนนนนนนน!!


               นอกจากเจ้าหญิงมลยวตีแล้ว ทุกคนพากันดาหน้ามาหา แล้วพากันพูดว่า กินข้าสิ ไอ้ครุฑชั่ว กินสิๆๆ กินพวกเราให้หมดทุกคนเลย ทำเอาพี่ครุฑสติแตกร้องไห้ตาม 


พี่ครุฑ : ข้ามันเลว ข้ามันชั่ว ข้าไม่ดีเอง ข้าทำให้เขาตาย แงๆๆๆ ข้ารู้แล้วข้าผิด ข้าจะชดใช้ด้วยชีวิต

               ว่าแล้วพี่ครุฑก็เสกไฟขึ้นมากองหนึ่ง แล้วทำท่าจะวิ่งเข้ากองไฟเป็นนกย่าง แต่ถูกราชาชีมูตวาเกตุร้องห้ามเสียก่อน


พระราชา : ครุฑเอ๊ย! อย่าทำอย่างนั้น ท่านตายไปแล้วได้อะไร ลูกเมียพ่อแม่ของท่านเล่าจะเสียใจไหม?

พี่ครุฑ : ก็ๆๆๆ...ข้าทำเขาตาย ข้าจะชดใช้ความผิดให้ไง

พระราชา : ข้าไม่โกรธท่าน ลูกชายของข้าเต็มใจให้ท่านกิน ท่านไม่ผิดหรอก เขายังให้อภัยท่านแล้วท่านเลยไฉนจะทำลายชีวิตตนเอง ให้อภัยตัวเองเถิด

                 คำขอพระราชาชีมูตวาเกตุสร้างความสั่นสะเทือนให้พี่ครุฑอย่างรุนแรง และบรรลุธรรมได้ในตอนนั้นนั่นเอง จึงเกิดสติขึ้น


พี่ครุฑ : ข้านึกออกแล้ว ถ้าข้าหาน้ำอมฤตมาได้ ข้าจะชุบชีวิตเขาได้ พวกท่านรอเดี๋ยวนะ

พระราชา : แล้วท่านจะไปเอาน้ำอมฤตมาจากไหน

พี่ครุฑ : ไปปล้นพระอินทร์ เวนไตยราชาแห่งเราเคยปล้นมาจากพระจันทร์ ต่อมาพระอินทร์เอาไปเก็บรักษาไว้ ดีล่ะ เราจะไปปล้นเขา รอก่อนนะทุกคน


                พูดจบพี่ครุฑก็เหินฟ้าบินขึ้นสวรรค์ไปเลย แล้วก็บินๆๆๆๆ ทะลุเมฆไปจนถึงชั้นดาวดึงส์ ก็ตะโกนเรียกพระอินทร์ออกมา แล้วกระโดดถีบพระอินทร์จากนั้นก็ไปคว้าเอาน้ำอมฤตไปทั้งไห แล้วบินกลับลงมาด้วยความรวดเร็ว แข่งกับเวลาเพราะหากพระอาทิตย์ตกล่ะก็จะชุบชีวิตเจ้าชายชีมูตวาหนไม่ได้ ระหว่างที่บินอยู่นั้นพระอาทิตย์เห็นเข้าก็เลยแกล้งนอนกลางวันหลังก้อนเมฆ บอกพระอรุณคนขับรถว่าปิกนิกกันก่อน ไม่ต้องรีบวิ่งไปตะวันตกหรอก...มันควรจะมีบางวันที่เราอู้บ้าง อิ อิ ดังนั้นพี่ครุฑจึงมาทันเวลาก่อนอาทิตย์จะลาลับฟ้าไป


               น้ำอมฤตเพียงหยดเดียวพี่พรมลงบนร่างของเจ้าชายชีมูตวาหน ก็สมานบาดแผลและคืนชีวิตให้เจ้าชายได้ ยังความยินดีแก่ทุกคน ที่เคยด่าๆ กันไว้ก็หันไปสรรเสริญพี่ครุฑเป็นการใหญ่ 


เจ้าชาย : เราขอบคุณท่านที่เมตตาเราและเหล่านาค แต่ว่าเราจะฟื้นขึ้นมาผู้เดียวก็หาควรไม่ เหล่านาคที่ตายไปแล้วนั้นน่าเวทนามิใช่น้อย ท่านจะช่วยเหลือได้หรือไม่

พี่ครุฑ : ได้สิ...มีน้ำอมฤตอยู่ตั้งไห

              ว่าแล้วก็เลยพรมรดไปทั่วกองกระดูกที่เกลื่อนกลาดบนหาด ทำให้นาคที่เสียชีวิตไปฟื้นคืนชีพขึ้นมาหมด พี่ครุฑเลยกลายเป็นฮีโร่ไป

เจ้าชาย : พี่ท่าน...แล้วครุฑอื่นต่อไปจะมากินโต๊ะแชร์นาคอีกหรือไม่
พี่ครุฑ : เราจะกลับไปรณรงค์ไม่กินนาค หันมากินเงาะแทน โปรดสบายใจได้


                 ศึกมหายุทธ์ครุฑา-นาค มิได้จบสิ้นในทันทีพร้อมกับเรื่องเล่านี้ พวกเขายังต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปี กว่าจะสิ้นสุดลงจนหมด ครุฑเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถือตนว่าสูงส่ง มิใช่เดรัจฉาน จึงให้คำสัตย์ไว้ ดังนั้น..ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพญาครุฑ ราชาแห่งนกละเลิกการกินนาค แต่ยังมีพวกที่ติดรสชาติไล่ตามกินอยู่ จึงถูกขับไล่ออกจากวงศ์วานกลายเป็นแค่นกเป็นแค่ทวิชาติที่หากินตามธรรมชาติ ฝ่ายบริวารนาคที่เป็นเพียงงูจึงต้องต่อสู้กับนก(บริวารครุฑ)ตราบจนวันนี้ แต่เป็นเพียงแค่กินตามธรรมชาติ มิได้ใจอาฆาตมาดร้ายต่อกัน จึงไม่ถือเป็นเรื่องของสองเผ่าพันธุ์ต่างก็ปล่อยวางลง 


                 แต่บุคคลผู้อุทิศตนอย่างแรงกล้า เพื่อยุติศึกมหายุทธ์ด้วยชีวิตตนนี้ จึงถูกยกย่องขึ้นในสากลโลก ต่อมาเจ้าชายชีมูตวาหนเถลิงราชสมบัติขึ้น “ราชาแห่งวิทยาธร” เป็นเจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งวิทยาธรเคหาสน์ เป็นผู้ซึ่งทั้งครุฑและนาคเกรงใจ ซึ่งวิทยาธรกลุ่มนี้ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้คน และเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่ยอมรับนักสิทธิ์ และยักษ์ หรือแม้แต่เผ่าต่างๆ เข้ามาร่วมสร้างกุศลในฐานะวิทยาธร (ไม่ใช่อาสาแล้วจะได้เป็นนะคะ กว่าจะเป็นได้ต้องสอบด้วย แถมต้องเรียนอีก 18 ศาสตร์) แต่...ตรงนี้เป็นเรื่องอีกยาว จบแค่นี้ดีกว่าเนอะ


                 แถมอีกนิด....ส่วนพระอินทร์ซึ่งปกติก็หน้าเขียวอยู่แล้ว หลังถูกกระโดดก็หน้าเขียวเข้าไปอีก(เพราะจุก) ก็ได้แต่บ่นพึมพรำ

พระอินทร์ : ขอดีๆ ได้ไหม? ครุฑมากี่ตนๆ มันก็ทำงี้ทุกที ตูเกลียดครุฑฑฑ...ฑ !!! (น่าสงสารพระอินทร์เนอะ)


จบจริงๆ แล้วค่ะ



ปล. มันอาจจะตลกไปนิดนะคะ แต่อยากให้อ่านกันด้วยภาษาง่ายๆ เข้าใจไม่ยาก และเห็นภาพ เรื่องของวิทยาธรมีหลายเรื่องมาก แต่ไม่แพร่หลาย ไม่เป็นที่รู้จักเท่ากับเรื่องเด็ดมัคนารีผล แต่เรื่องของพวกเขาเป็นเรื่องที่เจ้าแก้วต้องค้นคว้าก่อนจะเขียนเรื่องเวียงนาคินทร์น่ะค่ะ เลยอยากจะเล่าสู่กันฟัง แต่เล่าไปเล่ามาด้วยความขี้โม้ของเรา ดันเขียนยาวกว่านิยายตอนนี้เสียอีก...=_=”


ส่วนใครที่อยากรู้สึกครุฑนาคแบบละเอียด หาอ่านได้ในนิยายที่เคยโพสไปเรื่อง “เพรงวายุ” นะคะ ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ


บทที่ 1  
//topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2011/02/W10284014/W10284014.html
บทที่ 2 //topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2011/03/W10330736/W10330736.html
บทที่ 3 //topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2011/03/W10378214/W10378214.html
บทที่ 4 //topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2011/04/W10416238/W10416238.html
บทที่ 5 //topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2011/04/W10499753/W10499753.html
บทที่ 6 //topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2011/05/W10539694/W10539694.html







Create Date : 01 ตุลาคม 2556
Last Update : 2 ตุลาคม 2556 5:02:22 น. 4 comments
Counter : 3896 Pageviews.

 
ณ จุดนี้ ฮามากมายค่ะ 555555555555

ขอบคุณสำหรับสาระดีๆนะคะ ^ ^


โดย: สร้อยดอกหมาก IP: 110.49.250.250 วันที่: 1 ตุลาคม 2556 เวลา:19:43:20 น.  

 
"ฝ่ายบรินาคที่เป็นเพียงงูจึงต้องต่อสู้กับนาคตราบจนวันนี้"

ประโยคนี้หมายถึง ฝ่ายบรินาคที่เป็นเพียงงู จึงต้องต่อสู้กับครุฑตราบจนวันนี้ รึเปล่าคะ


โดย: dal IP: 182.52.149.103 วันที่: 1 ตุลาคม 2556 เวลา:22:26:38 น.  

 
dal : พิมพ์ผิดคร้าบ ขอบคุณที่ทักมาก ได้แก้ในบทความแล้วค่ะ ข้อความที่ถูกต้องคือ

"ฝ่ายบริวารนาคที่เป็นเพียงงู จึงต้องสู้กับนก(บริวารครุฑ)ตราบจนทุกวันนี้ค่ะ"


โดย: แก้วกังไส วันที่: 2 ตุลาคม 2556 เวลา:5:01:04 น.  

 
สนุกค่ะ ภาษาฮากลิ้ง


โดย: กุ้ง IP: 171.97.242.218 วันที่: 8 ตุลาคม 2558 เวลา:13:22:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.