เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 77
ตอนที่ 77
แก้วตาราเทวีถูกปลุกจากภวังค์เมื่อขบวนใกล้ถึงจุมภะเข้าไปทุกขณะ เทวีน้อยแหวกม่านโปร่งทอดพระเนตรออกไปภายนอกแดดยามเช้าทอแสงอ่อนๆ อีกไม่นานจะเข้าเขตกำแพงเมืองแล้ว จะต้องเปลี่ยนมาทรงคชสารเข้าประตูนครอย่างสมเกียรติ จึงรู้สึกตื่นเต้นนัก
จะไม่หยุดพักให้เปลี่ยนมาประทับช้างแทนรึ? พระนมแปลกใจเมื่อไม่เห็นทีท่าว่าจะหยุดขบวนลงที่ใด จึงชะโงกหน้าไปถามทหารคุ้มกันที่เลียบม้าอยู่ข้างเกวียน
เจ้าราชบุตรว่ามิต้อง ให้เข้าไปข้างในก่อนค่อยขึ้นทรงช้างตอนเสด็จเข้าวังทีเดียว
ไฉนเป็นอย่างนั้นเล่า แบบนี้มิผิดทำเนียมรึ? พระเทวีของข้าสมควรได้รับการแห่แหนเข้าประตูเมืองสิ! นางนมขมวดคิ้วเสียงเริ่มดังขึ้น
พระนมประตูบูรพาทิศนี้ มิได้ผ่านบ้านเรือนดอก เห็นจะมีแต่ชาวป่าชาวดอยนำของมาขายข้างทาง ในวันที่มีตลาดเท่านั้น นอกนั้นก็มีแต่ทางเกวียนขนส่งเสบียงเท่านั้น สู้ไปผลัดม้าผลัดช้างในศาลาข้างในดีกว่า จะได้ล้างหน้าล้างตากันด้วย พระนมอยากโต้แย้งแต่นึกหาคำเถียงมิได้ จึงผลุบหน้ากลับเข้าไปในเกวียน นึกกังวลไปไกลเห็นทีการมาครั้งนี้จะมิได้รับการต้อนรับด้วยการเต็มใจจากจุมภะเป็นแน่แท้
เขาว่ายังไงบ้างนม
เอ้อ...พ่อคนนั้นว่าเดี๋ยวพอขบวนผ่านประตูไปจะไปพักที่ศาลาข้างในสักครู่ ให้พระเทวีได้พักสักครู่เพคะ แล้วก็จะเปลี่ยนเป็นขึ้นช้างเผือกเข้าไปในวัง เทวีน้อยสดับแล้วพยักพักรับเรียบๆ มิได้คิดสิ่งใดไปไกลมากมายเช่นนางนม
ก็ดีเหมือนกัน...ข้าปวดเบา ถ้าได้หยุดขบวนก่อนเข้าวังจะดียิ่ง
จริงด้วยเพคะ สะดวกกว่าตั้งมากมาย มิเช่นนั้นแล้ว....
มีหวังได้วิ่งไปหลังพุ่มไม้สินะ ฮ่า ฮ่า แก้วตาราเทวีแย้มสรวลออกมา ความสดใสของพระองค์ทำให้นางนมและนางกำนัลที่ติดตามมาพากันเราะไปด้วย
นั่นสิเพคะ เจ้าราชบุตรช่างรอบครอบนัก ผลัดขบวนข้างในดีกว่าเป็นไหนๆ พระนมกล่าวแล้วค่อยโล่งใจขึ้นเมื่อพบว่าความกังวลของตนเองนั้นทำให้คิดมากเกินไป
ไม่นานนักขบวนเสด็จจึงผ่านประตูเวียงด้านนอกเข้าไปสู่ภายใน เกวียนเทียมวัววิ่งเหยาะๆ ได้ราบเรียบขึ้นกว่าหนทางภายนอกเป็นอันมาก ผู้คนในเวียงที่อยู่ประตูด้านบูรพาทิศนั้นมีไม่มากเท่าประตูทักษิณ กับประตูหน้าเวียงด้วยเหตุว่าด้านนั้นมีตลาดริมน้ำ ผู้คนที่ด้านในเวียงนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่สองข้างทาง ด้วยมีทหารคอยถือหอกคอยยืนกำกับเป็นระยะ
จนขบวนนั้นห่างกลุ่มคนออกไปเกวียนก็วิ่งเร็วขึ้น ตามม้านำขบวนที่เร่งฝีเท้าไปจนถึงประตูเมืองชั้นที่สอง เมื่อได้รับสัญญาณบานทวารไม้สักขนาดใหญ่โตก็เปิดออก หทัยของแก้วตาราเทวีเต้นแรงขึ้น เมื่อทอดพระเนตรเห็นขบวนทัพย่อยๆ ตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่ที่ประตูนี้ แต่ละแถวมีตุง [1]ทำจากผ้าปักลายสวยงามยิ่งเมื่อต้องลมก็พัดไสว
เสียงแตรงา [2]ดังขึ้นเมื่อแลเห็นหัวขบวนเจ้าสาว จากนั้นมโหรีก็บรรเลงทั้งเครื่องดีด เครื่องสี ตี เป่า กลอง แตรสังข์ กังสดาล หรทึกกึกก้อง นักฟ้อนออกมารำ ระบำ ฟ้อน และโปรยดอกไม้อำนวยพร สรรพเสียงประสานเป็นดุริยคีตาน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก เมื่อขบวนเสด็จเข้ามาใกล้ หัวขบวนแหวกออกเป็นช่อง ม้านำขบวนหลบไปสองข้างทาง เปิดทางให้นางรำมาฟ้อนอยู่หน้าเกวียนด้วยลีลาชดช้อย จวบจนสรรพเสียงรื่นเริงซาลง นางนักฟ้อนเหล่านั้นจึงจบท่ารำลงด้วยการหมอบกราบลงบนพื้นหน้าเกวียน ก่อนจะลุกแยกตัวออกไปปล่อยให้บุรุษผู้หนึ่งก้าวมาเบื้องหน้า
เชิญเสด็จเถิด...เทวีแห่งปาลปุระ ท่านมาถึงจุมภะแล้ว
ความแก้วตาราเทวีสดับแล้วก็พลันตื่นเต้นไม่ต่างกับนางกำนัลที่ติดตามมา แต่ละคนเผลอชะโงกไปทางม่านจนถูกพระนมตีแขนเป็นเชิงตำหนิ เทวีน้อยเพ่งพระเนตรผ่านม่านโปร่งบางออกไปเห็นร่างเงาของชายผู้หนึ่ง แม้มีม่านอำพรางแต่กรอบโครงนั้นบอกได้ว่าเป็นบุรุษทรงสง่า น้ำเสียงห้าวใหญ่นั้นก็ทรงอำนาจเรียกหทัยเทวีน้อยให้สั่นระรัว
เมื่อมาถึงแล้วไฉนจึงไม่เสด็จออกมา พระนางน้อยยังนิ่งงันคล้ายดังต้องมนต์สะกด
หากเป็นเช่นนั้น หม่อมฉันขออัญเชิญด้วยตนเอง เจ้าของสุรเสียงยื่นหัตถ์มาแหวกม่านให้เปิดออก
เทวีแห่งปาลปุระมิอาจกะพริบดวงเนตรได้แม้แต่น้อย เมื่อเห็นดวงพักตร์เจ้าของหัตถ์อย่างเต็มเนตร บุรุษตรงหน้าเลอลักษณ์ดังเทวาบันดาล ผิวผ่องนวลลออดังทองทาง ดวงเนตรพรายระยับดังมฤคมองมาที่พระนางด้วยแววอารีย์ ริมโอษฐ์บางแย้มสรวลได้งามจับตานัก
ศรียศาเทวี หม่อมฉันคือภูวิษะ เป็นราชบุตรเขยในพระเจ้าสิทธิเสณ ได้รับโองการให้มาอัญเชิญพระเทวีเข้าวังพะยะค่ะ น้ำเสียงนั้นสุภาพนุ่มนวลนัก เมื่อเห็นเทวีน้อยยังตะลึงลานยามเมื่อสบเนตรเจ้านาคราช ภูวิษะเจ้าจึงตรัสเรียกอีกคำ
เชิญเสด็จลงจากเกวียนเถิด
พระเทวีเพคะ เมื่อนางนมกระซิบข้างหูแก้วตาราเทวีจึงรู้สึกองค์ ทรงประหม่ามิกล้าสบเนตรว่าที่พระสวามีซ้ำ อีกทั้งยังแสดงกิริยาเอียงอายอย่างเด็กหญิงอ่อนวัย
นาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นเข้าก็นึกขำ ดูซิแม่คุณ...ยังอ่อนวัยด้อยเดียงสานัก แล้วเช่นนี้หรือจะมาถวายตัวเป็นข้าบาทบาริจาริกาแห่งเรา
มาเถิดเทวี เมื่อตรัสซ้ำคล้ายว่าองค์เทวีจึงค่อยได้ยิน
พะ...เพคะ
ภูวิษะเจ้ายื่นหัตถ์ให้นางเกาะกุมยามเมื่อพยุงวรกายก้าวลงจากเกวียน แก้วตาราเทวีมีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ วางหัตถ์จ้อยลงบนมือใหญ่ด้วยความเขินอายเป็นกำลัง เมื่อหญิงทุกนางลงมายืนเบื้องหน้าพระพักตร์แล้ว จึงพากันน้อมกายถวายความเคารพ
ถวายพระพรเพคะ หม่อมฉันแก้วตารา...เอ้อ..ศรียาศาเพคะ นาคเจ้าแย้มสรวลด้วยเข้าใจว่าพระนามศรียศานั้นเพิ่งจะเถลิงยศ เจ้าตัวคงยังไม่คุ้นเคยด้วยซ้ำ นางเทวีย่อวรกายถวายพระพร แล้วจึงค่อยยืนขึ้นเต็มความสูงก็ยังคงสูงเพียงพระอุระของว่าที่พระสวามีเท่านั้น
เสด็จมาไกลคงเหนื่อยล้า อย่างไรก็พักผ่อนกันสักครู่แล้วค่อยเสด็จเข้าเฝ้าพระบาทเจ้า
รับสั่งรวดเดียวแล้วพยักพักตร์ให้นางกำนัลมาถวายน้ำดื่ม พร้อมทั้งผายมือให้เข้าไปประทับในศาลา จากนั้นทรงปลีกกายไปเจรจาความกับคณะผู้ติดตามถึงลำดับพิธีการต่างๆ ทุกอิริยาบถนั้นหาได้หลุดจากสายพระเนตรของแก้วตาราเทวีเลย
นม...เจ้าพี่ของข้างามนัก! ทรงบีบมือนางนมด้วยความตื่นเต้น ข้า...ข้าคงไม่ใช่คนโชคร้ายนัก
เพคะ...ทรงเป็นบุรุษรูปงามนักดังเทวาประทาน ท่วงท่าหรือก็องค์อาจผึ่งผาย
ทรงสง่างามนัก แววเนตรเทวีน้อยฉายแววปลาบปลื้ม
เพคะ...ราวหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ คงเป็นลูกเจ้าลูกนายพระองค์ใดเป็นแน่ แม้ในประวัติที่ทราบมาจะมิได้ระบุชาติตระกูลมากไปกว่าการเป็นราชบุตรเขยแห่งจุมภะก็ตาม แต่ในตานางนมแล้วบุรุษผู้นี้มิใช่คนสามัญธรรมดาเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ดีใจในบุญวาสนาของเทวีแห่งนาง
ข้าได้ยินจากเสด็จน้าว่าเขารูปงาม มิคาดว่างามกว่าคำเล่าลือนัก ดวงเนตรล่องลอยความทุกข์ในพระทัยเลือนหาย ดวงพักตร์จึงมีรอยแย้มสรวลปรากฏออกมา
พระเทวีทรงมีบุญมากเพคะ ได้พระสวามีรูปงามถึงเพียงนี้ นางนมกล่าวชื่นชมตาม พลอยหลงลืมเรื่องที่กังวลไปด้วยอีกคน
ทุกอย่างดูราบรื่นไปหมดแก้วตาราเทวีหมดสิ้นความโศกเศร้า ด้วยเข้าใจว่าพระสวามีนั้นนอกจากเป็นบุรุษรูปงามแล้วดูเมตตาพระองค์ คงจะประทับอยู่ที่จุมภะปุระแห่งนี้ได้อย่างเป็นสุข ทรงหลงลืมสตรีอีกผู้หนึ่งที่ต้องไปถวายความเคารพแล้ววางองค์นอบน้อมให้แก่นางไปเสียสนิท
หากเสด็จพี่ภูวิษะทรงเอ็นดูเราแล้วกระนั้นชายาของพระองค์คงจะมิกล้ามาระราน หากยอมสยบแก่นางตั้งแต่ต้นคงจะได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ถ้ามหิตาเทวีผู้นั้นมีเมตตาต่อเราดังเช่นเสด็จพี่ภูวิษะแล้วละก็ แก้วตารานี้จะยกย่องนางประดุจพี่สาวร่วมอุทร
นั่นเป็นดำริในใจทรงเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมา หากทรงวางตัวอ่อนๆ แต่ต้น คงไม่เป็นที่รังเกียจรังงอนของมหิตาเทวีนัก เมื่อดำริดังนั้นจึงเกิดความเบิกบานเสด็จขึ้นประทับบนหลังคชสารเผือกด้วยสีพระพักตร์ประดับด้วยรอยแย้มสรวล ต่างกับตอนเสด็จออกจากปาลปุระนัก
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หัวรุ่งก่อนที่มหิตาเทวีจะเสด็จออกจากอาศรมสตรีนั้น มีดอกไม้และเครื่องบำบวงชุดใหญ่ถูกขนถ่ายมาด้วยโขลนวังกลุ่มหนึ่ง นางกำนัลที่ออกมารับคือปทุมมา ก็นึกประหลาดใจเมื่อได้รับแจ้งว่าภูวิษะเจ้าประสงค์ให้พวกนางนำพานดอกไม้บูชานำขบวนเสด็จไปยังศาลเทวภูมิ เพื่อถวายสักการะให้เป็นมิ่งมงคลก่อนจะเสด็จกลับตำหนัก
ขอบใจพวกเจ้ามาก ดอกไม้นี่คุณท้าวจันทร์หอมเป็นผู้เตรียมให้รึ?
ข้อนั้นข้ามิทราบ แต่นางกำนัลเป็นผู้มอบหมายมา
กระนั้นรึ...เมื่อวานนางกำนัลจากตำหนักที่นำภูษาทรงมาส่งให้ที่นี่ ยังไม่เห็นมีผู้ใดพูดถึงเรื่องนี้เลย
ข้าก็มิทราบ โขลนวังตอบสั้นกระชับ แล้วขอตัวกลับไม่เปิดโอกาสให้ซักถามสิ่งใดอีก ปทุมมาคิดว่าอาจเป็นพระประสงค์ที่ดำริขึ้นกะทันก็เป็นได้ จึงมิได้ติดใจสงสัยสิ่งใดอีก
เมื่อถึงเวลาเสด็จในมือของทุกนางจึงมีดอกไม้บูชาและเครื่องบำบวงต่างๆ พร้อมสรรพ ในขณะที่เคียงฟ้าไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไร หล่อนเข้าใจตามที่ได้รับฟังไหนๆ ก็มาบวงสรวงมหาวิษณุเทพแล้ว ถ้าไปบวงสรวงยังศาลเทวภูมิอีกที่ก็ไม่เห็นเป็นไร ดีเสียอีกจะได้ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกป้องจุมภะ จึงขึ้นนั่งเสลี่ยงไปโดยไม่รู้ว่ามีสิ่งใดรอคอยอยู่ข้างหน้า
พี่ปทุมมา เสด็จพี่ภูวิษะจะมาสักการะพระเทวภูมิพร้อมเราหรือไม่?
เอ้อ...หม่อมฉันก็ลืมถามพวกโขลนไปเพคะ สีหน้าปทุมมาไม่ดีนักด้วยกลัวจะถูกตำหนิที่บกพร่อง
อย่างนั้นหรือ... แม้บอกตนเองว่าเขาไม่มาด้วยก็ไม่เป็นไร แต่ในใจหล่อนก็อดคิดไม่ได้หากได้ไหว้ขอพรพร้อมกันก็คงดีไม่น้อย จึงทอดถอนหายใจออกมา
พระเทวีหม่อมฉันไม่รอบครอบเอง โปรดทรงอภัย
ไม่เป็นไรพี่ปทุมมา... เคียงฟ้าตอบเบาๆ แล้วไม่ให้ความสนใจนางอีก
หม่อมฉันเตรียมภูษาที่จะผลัดตอนเข้าไปศาลเทวภูมิให้เรียบร้อยแล้วเพคะ ภูวิษะเจ้าคงดำริกะทันหันคุณท้าวเลยลืมเตรียมเศวตอาภรณ์ [3]ชุดใหม่มาให้ ดีที่ว่าตอนมาที่นี่หม่อมฉันเตรียมมาเกินกำหนดวัน
หือ?...ต้องเปลี่ยนชุดด้วยรึ?
อ้าว..? ก็ต้องเปลี่ยนสิเพคะ ทรงลืม?
ปทุมมาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ แต่ไม่นานนักก็นึกขึ้นได้ว่าแต่ไหนแต่ไรมหิตาเทวีเป็นผู้มีอภิสิทธิ์ที่จะเข้าสู่นาคาลัย หลายๆ ครั้งก็ตรงขึ้นไปด้วยทางลัดเฉพาะองค์ ด้วยความทรงแก่นแก้วนักเมื่อวัยเยาว์จึงมิได้ทำการสักการะที่ศาลเทวภูมิเบื้องหน้าก่อน
ครั้งนี้มาเป็นขบวนมิใช่มาเป็นการส่วนพระองค์ ต้องเปลี่ยนภูษาทรงเป็นภูษาสีขาวที่ใหม่และสะอาดเพคะ หากเป็นโบราณราชประเพณีจะต้องลงสรงที่สระเสียก่อนด้วยนะเพคะ แต่เดี๋ยวนี้แค่ผลัดภูษาแล้วล้างพระพักตร์ พระกร กับพระบาท เป็นอันเรียบร้อยไม่มากพิธีเท่า
โห...ขืนทำตามพิธีโบราณกว่าจะได้ไหว้มิปาไปครึ่งค่อนวันเชียวรึ หญิงสาวบนเสลี่ยงหัวเราะออกมาเบาๆ ในขณะที่นางกำนัลที่เดินอยู่นั้นก็เล่าถวายต่อ
ตรงนั้นถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นเศียรของจุมภะ ผู้ที่ผ่านการชำระแล้วเท่านั้นจึงจะเข้าสู่ศาลเทวภูมิได้
เฮ้อ...กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะผลัดผ้า กว่าจะถวายดอกไม้เสร็จ...นี่ถ้าต้องขึ้นไปนาคาลัยมิต้องใช้เวลา 3 วัน 3 คืนกันเทียวรึ? ปทุมมาฟังแล้วก็หัวเราะออกมา
ที่นั่นมิใช่ใครก็ได้ที่ขึ้นไปได้นี่เพคะ แม้เป็นเจ้าราชบุตรหากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่อาจขึ้นไปได้ แล้วผู้หญิงเยี่ยงเราเล่าเพคะ...ยิ่งยากกว่านั้น แต่เพราะด้วยบุญบารมีของพระเทวี จึงเป็นที่ทรงโปรดของพญามหิทธราบดี จะทรงขึ้นไปบนนาคาลัยเมื่อไรก็ได้ พราหมณ์หลวงยังมิอาจขัด
เคียงฟ้ารู้สึกได้ว่าริมฝีปากของหล่อนเผยอยิ้มออกมาเองโดยอัตโนมัติ ใจทั้งใจอิ่มเอมด้วยความภาคภูมิ เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาในใจ
นั่นเพราะว่าข้าคือชายาของเสด็จพี่ภูวิษะ เจ้าราชบุตรแห่งนครบาดาลอย่างไรเล่า ข้าเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวจากทั้งแผ่นดินที่ได้รับเกียรติยศนี้
เคียงฟ้าเบิกตาค้างด้วยความพิศวง...เสียงนั่น ไม่ผิดแน่มหิตาแน่ๆ นี่หล่อนปลาบปลื้มภาคภูมิใจถึงขนาดที่เสียงในใจดังแทรกขึ้นมาเลยรึ หญิงสาวกรอกตาไปมาด้วยความอ่อนใจ มิน่าเล่าเจ้าภูเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอนี่เอง ทั้งหัวใจ ทั้งเกียรติยศ ทั้งความภาคภูมิใจ ถึงได้หวงนักหวงหนา
พระเทวี...เมื่อครู่ตรัสว่ากระไรนะเพคะ?
อ๋อ...ไม่มีอะไร ข้าแค่รำพึงน่ะ แค่คิดว่าถ้าเมื่อก่อนมีธรรมเนียมให้ไหว้มาตั้งแต่ประตูนอกเวียงมาถึงนาคาลัยนี่ ปาเข้าไปเจ็ดชั้น มิต้องรอกันจนเพลียเลยรึ?
รอก็ต้องรอเพคะ มันเป็นหน้าที่ของพวกหม่อมฉัน อีกอย่างจุมภะแห่งนี้พญามหิทธราบดีทรงรังสรรค์ขึ้นมา พระพ่อเจ้าผู้สร้างเวียงก็ต้องจัดตำแหน่งประตูตามตำนานโบราณเพคะ [4]เปรียบเหมือนยอดภูเขาในชั้นฟ้ากว่าจะถึงสวรรค์ชั้นสูงสุดก็ต้องผ่านภูเขาอีกเจ็ดลูกจึงเข้าถึงได้
เพราะงั้นประตูเวียงจนไปถึงนาคาลัยจึงต้องมีเจ็ดชั้นสินะ
เพคะ นับแต่ประตูนอกเวียงเป็นด่านแรกขึ้นมา จนถึงศาลเทวภูมินั้นก็สี่ด่านแล้ว นั่นเป็นด่านสุดท้ายที่คนทั่วไปจะเข้าถึงแต่ก็ได้รับพระราชทานอนุญาตเสียก่อน ตามธรรมเนียมแล้วหากแขกบ้านแขกเมืองจะมาก็ต้องมาถวายสักการะพระเทวภูมิตรงนี้
หากจะบำบวงพญามหิทธราบดี ก็ต้องตั้งบวงสรวงชุดใหญ่กันตรงหน้าลานแต่ไม่อาจขึ้นไปด้านบนได้ จากตรงนั้นไปเป็นเขตต้องห้ามเพคะ อย่าว่าแต่คนภายนอกเลยแม้คนในยังยากที่จะเข้าไปได้
นั่นสินะ แดนศักดิ์สิทธิ์ที่คนนอกห้ามเข้า...เว้นแต่คนผู้นั้น เป็นที่โปรดปราน เป็นพิเศษของพญามหิทธราบดีเท่านั้น ใครก็ขวางไม่ได้แม้แต่พระบาทเจ้าก็เถอะ
สุรเสียงมาดมั่นเปี่ยมด้วยความภาคภูมิ มหิตาเทวีประทับนิ่งพระปฤษฎางค์ [5]เหยียดตรง ท่วงท่าสง่างามราวนางพญา ดวงเนตรฉายประกายกล้าพราวระยับ ปทุมมาแหงนหน้ามามองในใจเกิดความตื่นตะลึง วันนี้พระเทวีของนางดูงามสง่าและทรงอำนาจยิ่งนัก พระบารมีฉายฉานออกมาจากวรกายเลยทีเดียว ภาพตรงหน้าข่มให้นางกำนัลคนสนิทเงียบเสียงลงมิกล้ากราบทูลใดๆ ต่อไปอีก
ในขณะที่เคียงฟ้ารู้สึกราวมีสถิตไฟฟ้าจำนวนมากอยู่ภายในร่าง หล่อนแข็งค้างไปชั่วขณะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่มหิตาเทวีตรัสออกมาบอกเล่าถึงความพิเศษอันเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของพระนาง ราวกับมีพลังมากมายฮึกเหิมอยู่ภายในจนหล่อนได้แต่นิ่งงันไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ดวงจิตจากอนาคตกาลถูกเก็บซ่อนไว้ในร่างอย่างมิดชิด ปล่อยให้มหิตาเทวีก้าวนำออกมาสู่โลกภายแล้วครอบครองการเคลื่อนไหวทั้งหมดจนสิ้น
เกิดอะไรขึ้น?! ทำไมเป็นอย่างนี้ ขยับไม่ได้!!
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แตรงา แตรทำจากงาช้าง
เศวตอาภรณ์ ชุดขาว
ตามคติพราหมณ์สร้างเลียนแบบเขาพระสุเมรุซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแกนจักรวาล มีทิวเขาและทะเลล้อมรอบสลับกันได้ 7 ชั้นแบ่งสวรรค์และพิภพออกจากกัน พญามหิทธราบดีได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเหนือเมืองดังนั้นจึงสร้างนาคาลัยไว้บนจุดสูงสุดของเมืองและสร้างทางขึ้นให้เหมือนขึ้นไปสู่ยอดเขานั่นเอง
พระปฤษฎางค์ หลัง
Create Date : 12 กรกฎาคม 2559 |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2559 15:51:29 น. |
|
2 comments
|
Counter : 3775 Pageviews. |
|
|