จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 14

ตอนที่ 14
สัญญา




                หญิงสาวนั่งพักสายตาอยู่นานจนเผลอสัปหงกไป มารู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงคุ้นเคยปลุกเรียกอยู่ข้างกาย เคียงฟ้าปรือตาขึ้นมาพบดวงหน้านวลผ่องดังจันทร์วันเพ็ญนั่งอยู่ข้างกาย เจ้าของร่างนั้นเป็นหญิงงามที่สะสวยคมคายยิ่งนัก หล่อนแต่งแต้มเปลือกตาด้วยด้วยผงถ่านสีเข้มแลดูงดงามแปลก คนตรงหน้าปล่อยผมยาวสลวยเหยียดตรงสีดำสนิทดังขนกาให้ยาวเคลียไหล่เปลือยนั้น ยิ่งมองยิ่งงามพิศวงดุจดังสาวงามในวรรณคดีมีชีวิตอยู่ตรงหน้า


                'นางในวรรณคดี...' หล่อนทวนคำอยู่ในห้วงคำนึง 


                แล้วจึงเพ่งมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง ก็พบว่าหญิงงามผิวเนียนลออเหลืองนวลราวบ่มด้วยขมิ้นนั้น แต่งกายด้วยด้วยผ้าแถบชิ้นเล็กมัดพันไขว้ปิดแค่ทรวงอก กับผ้าซิ่นยาวสีหมากสุกทอลาย มีผ้าผืนยาวคล้องคอไว้อีกผืน คลับคล้ายที่เคยเห็นในละครย้อนยุค แต่ชุดนี้เปิดเผยเรือนกายกว่าที่เคยเห็นในโทรทัศน์นัก ร่างระหงนั้นขยับเข้ามาใกล้แล้วส่งเสียงเรียกซ้ำ 


                "พระเทวี...ตื่นเถิดเพคะ เผลอบรรทมไปท่านี้มหาเทวีเห็นเข้าจะไม่งาม"
น่าแปลกหญิงสาวรู้สึกคุ้นเคยกับหญิงในชุดโบราณตรงหน้า อีกทั้งยังไม่คิดจะคัดค้านคำเรียกหานั้นอีกด้วย


                "มีอะไรรึ? พี่กุสุมาลย์" หล่อนย้อนถาม


                "มหาเทวีเพคะ กำลังจะเสด็จมาที่นี่" คนที่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้นสะดุ้งพรวดขึ้นทันที


                "เสด็จแม่มารึ? โอ้ย....ประเดี๋ยวมาถึงก็จะทรงตรัสเรื่องเดิมอีก...น่าเบื่อจริง บอกว่าเรานี้หาอยู่ไม่จะได้ไหมพี่กุสุมาลย์"


                "คงไม่เหมาะกระมังเพคะ มหาเทวีเสด็จมาถึงด้านนอกแล้วเพคะ" หญิงงามนามกุสุมาลย์ยิ้มเจื่อน 


                "เฮ้อ..." เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวีทอดถอนหายใจ


                "งั้นก็เตรียมตัวต้อนรับเสด็จแม่กันเถอะ"


                กุสุมาลย์พยักหน้าแล้วขยับเข่าคลานถอยหลังออกไป เรียกหานางกำนัลคนอื่นๆ มาช่วยจัดเตรียมสถานที่และกระยาหารว่างรับรองมหาเทวี


                ไม่นานนักมหาเทวีกมุทราพระแม่เจ้าแห่งจุมภะปุระ ก็เสด็จมาถึงตำหนักของพระธิดา มหิตาเทวีก้มกราบแทบบาท นางกำนัลบ่าวไพร่นั้นต่างพากันก้มหน้าจรดพื้นมิกล้าเงยหน้าขึ้น ยังรีรอจวบจนมหาเทวีพยุงพระธิดาให้ลุกขึ้นจึงค่อยเงยหน้าขึ้นได้


                "หม่อมฉันมิทราบว่าพระแม่เจ้าจะเสด็จมา จึงมิได้เตรียมการต้อนรับให้สมประเพณี โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ"


               "ไม่เป็นไรดอกมหิตา...ลูกรัก แม่นี้มิได้ต้องการพิธีรีตอง เพียงแต่ต้องการพบหน้าเจ้าเท่านั้น" มหิตาเทวีประคองพระแม่เจ้ากมุทราไปประทับบนแท่น


               "อันที่จริงพระแม่เจ้ามิต้องลำบากเสด็จมาเลย เพียงให้คนมาบอกกล่าวหม่อมฉันจะรีบไปเข้าเฝ้าตามรับสั่งทันที" ตรัสจบก็ทรงสวมกอดบั้นพระองค์พระมารดา ดังเช่นเคยทำมาแต่ครั้งยังอ่อนชันษา


                มหาเทวีทรงแย้มสรวลในความช่างประจบประแจงของพระธิดายิ่งนัก ยิ่งพิศดูก็ยิ่งทอดพระเนตรเห็นว่า มหิตาเทวีนั้นงดงามดังดอกไม้แรกแย้มที่กำลังคลี่กลีบบาง อีกไม่นานคงบานสะพรั่งส่งกลิ่นเย้ายวนจนบุรุษทุกผู้ต้องใจปองเป็นแน่ เมื่อทรงดำริถึงพระชนม์มายุของพระธิดานั้นก็นับได้ 18 ชันษา จะกล่าวไปก็ล่วงผ่านวัยสยุมพรมาหลายเพลาแล้ว แต่มหิตาเทวียังไม่เคยตรัสถึงเรื่องการมีคู่ครองแต่อย่างใด เมื่อแรกนั้นพระแม่เจ้าทรงเข้าพระทัยไปว่า อันกุลสตรีดีงามคงเอียงอายนักหากเอ่ยถึงบุรุษเพศก่อน จึงคอยเลียบเคียงถามก็ไม่พบว่าพระธิดาหาบุรุษที่พึงใจไม่ แต่กระนั้นก็ทรงผัดผ่อนเรื่องสยุมพรออกไป ทุกครั้งที่พระมารดาหรือพระบาทเจ้าสิทธเสณผู้เป็นบิดาเอ่ยถึง


                ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์มหิตาเทวีนั้น ทรงฉายแววอัปสราพิลาสลักษณ์มาเนิ่นนาน ยิ่งทรงเจริญวัยก็ยิ่งสะคราญโฉมเลิศล้ำ แม้แต่พระภคินีร่วมอุทรทั้งห้าขององค์เองยังมิอาจเปล่งประกายเท่า ประหนึ่งเป็นเพียงดวงดาราประดับราตรีคอยโน้มส่งพระสิริโฉมขององค์ขนิษฐาแห่งตน ให้ฉายเด่นดังเดือนหยาดบาดหทัย ดวงหน้าเยาวมาลย์นั้นหวานล้ำกระจ่างใส ผิวพรรณผุดผ่องดังทองทา สองปรางสีระเรื่อเจือโลหิตวัยดรุณี พระขนงคมเข้มโก่งงามดังศร ดวงเนตรดั่งนิลเม็ดโตสุกสกาวพราวแสง พระนาสิกเล็กพริ้มเพรารับกับดวงพักตร์ พระโอษฐ์อิ่มสีชาดนั้นมีรอยแย้มสรวลอยู่เสมอ ยิ่งเพ่งพิศยิ่งผุดผาดจับใจ ประกอบกับจริยาวัตรอันแช่มช้อย มหิตาตาเทวีนั้นสดใสรื่นเริงประหนึ่งนกน้อย และยังเป็นธิดาองค์สุดท้องที่ทรงโปรดปรานยิ่งนัก อีกทั้งยังไม่ถือองค์ทรงเมตตาบ่าวไพร่และปกครองตำหนักด้วยความปราณี จึงเป็นที่รักใคร่ของทุกผู้คนทุกชนชั้น 


                "เขมมินีพี่สาวเจ้าตั้งครรภ์แล้วรู้ไหม?" ตรัสไปก็ทรงลูบเศียรพระธิดาอย่างอ่อนโยน


                "เสด็จพี่เขมมินีทรงครรภ์แล้วหรือเพคะ?...งั้นหม่อมฉันจะก็มีคนมาเรียกขานเป็นพระมาตุจฉา *(น้า) เพิ่มอีกคนแล้วสินะเพคะ" เทวีน้อยทรงตรัสด้วยความตื่นเต้น

"มิได้แล้ว บัดเดี๋ยวจะต้องไปเยี่ยมพระพี่นางบ้างแล้ว เสด็จแม่ทรงดำริว่าหลานจะเป็นหญิงหรือชายเพคะ?"


                 "เขมมินีครรภ์ยังอ่อนนัก ยังมองไม่ออกหรอก ว่าแต่เจ้าเถิด...เมื่อใดแม่จะได้ชื่นใจเช่นนี้บ้าง? พี่สาวของเจ้าก็ได้สยุมพรครองคู่ไปกันหมดแล้ว จะให้แม่รออีกสักเท่าใดมหิตา? " พระธิดาผู้เลอโฉมทรงหลุบพระเนตรลงต่ำไม่กล้าสบดวงเนตรที่พิมพ์ประพายคล้ายองค์เองของพระแม่เจ้า


                "ลูก...ยังมิได้คิดเรื่องนี้เลยเพคะ..."


                "ลูกรัก...ลูกมิใช่เด็กน้อยแล้ว จะครองตัวอยู่เดียวดายอีกนานสักเท่าใด? นี่ก็นับว่าล่วงเลยเกินวัยมานานหลายปีดีดักแล้วหนา...แม่เจ้าเองก็สยุมพรกับพระบาทเจ้าสิทธเสณตั้งแต่อายุได้ 14 ปี แล้วเจ้าเล่าปาเข้าไปเท่าใดแล้ว แม่เป็นห่วงเจ้านักหนารู้หรือไม่ ใครเขาต่างก็พูดเล่าบอกกล่าวกันไปต่างๆ นานา เป็นที่น่าสงสัยว่าลูกแม่มีเหตุอันใดจึงไม่มีพิธีสยุมพรเสียที ทั้งที่เจ้าก็โฉมโสภาหาได้ด้อยกว่าผู้ใดไม่ อีกทั้งเป็นลูกที่แม่เฝ้าถนอมมายิ่งกว่าธิดาคนใด แม่ย่อมอยากให้เจ้าประสบสุข เสด็จพ่อเองอยากให้ลูกสยุมพรกับบุรุษอันควรคู่เสมอลูกแม่ มหิตาเอ๋ย..หญิงเราควรมีบุรุษปกป้องดูแล หรือที่ยังรีรอเพราะต้องใจผู้ใดเข้า? บอกแม่มาเถิดหากผู้นั้นไม่ต่ำต้อยจนเกินไป เสด็จพ่อก็คงไม่ขัดขวาง" มหิตาเทวีเงยพระพักตร์ขึ้นดวงเนตรเบิกค้าง ด้วยว่าพระมารดาเข้าพระทัยผิดไปใหญ่โต จึงรีบตรัสแก้ต่างทันที


                "มิใช่เสด็จแม่ ลูกมิได้ถูกตาต้องใจอยู่กับบุรุษใดเลย เพียงแต่ลูก...ยังอยากรับใช้เสด็จพ่อเสด็จแม่ให้นานที่สุด หากลูกสยุมพรไปแล้วก็ต้องปรนนิบัติสวามี ไหนเลยจะมีเวลามาช่วยราชกิจ แล้วผู้ใดจะอารักษ์จารึกอักษรให้เสด็จพ่อกันเล่าเพคะ"


                 "นี่...เจ้ากังวลด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้เองหรือ? บ้านเมืองเราออกใหญ่โตทั่วหล้าหากขาดเจ้าแล้วจะหาปราชญ์เมธีอื่นใดมิได้เลยหรือ? ฮะ ฮะ" พระแม่เจ้าทรงสรวลออกมาด้วยความขบขัน


                 "หามิได้เสด็จแม่...เพียงแต่...ลูก..."


                 "เอาเถิดไม่ต้องแก้ตัวแล้ว แม่เข้าใจว่าเจ้าเกรงกลัวการสยุมพรใช่หรือไม่?"
ยิ่งแลเห็นพระธิดาทรงอึดอัดอิดเอื้อนมิอาจตอบพระประสงค์ได้ ก็ยิ่งแน่พระทัยว่ามิได้ผิดไปจากที่ทรงเข้าพระทัยไว้

                 "ลูกแม่...การครองคู่หาได้เป็นเรื่องน่ากลัวไม่ ชายที่จะมาเป็นสวามีเจ้าจะต้องรักทะนุถนอมเจ้าอย่างแน่นอน ก็ลูกแม่พริ้มเพราถึงเพียงนี้ผู้ใดเล่าจะหักใจมิให้รักเจ้าได้" ว่าแล้วก็ทรงเชิดหนุพระธิดาขึ้นแล้วพิศเนตรเพ่งมอง


                 "เชื่อแม่เถิด...การณ์นี้แม่กับพระบาทเจ้าทรงตรึกตรองดีแล้ว พระองค์ทรงให้มหาปุโรหิตทำนายดวงชะตาทายทักว่าอย่างไรปีนี้ลูกของแม่จะมีพิธีสยุมพร"


                 "สยุมพรเหรอเพคะ?" 


                 เสียงอุทานนั่นมิใช่สุรเสียงของมหิตาเทวี แต่เป็นนางศรีดารานางกำนัลคนสนิท ซึ่งเป็นบุตรีของขุนพลมหัทธนะถวายตัวข้ามาเป็นข้ารับใช้ แต่ศรีดาราผู้นี้มีนิสัยกระโดกกระเดก ตรงกันข้ามกับกุสุมาลย์พระพี่เลี้ยงโฉมงาม


                 "ศรีดารา มีอะไรรึ?"


                 "ไม่มีเพคะ..."


                 "ไม่มีแล้วส่งเสียงขึ้นมาทำไม?" พระแม่เจ้าขมวดพระขนงจ้องมองลงมาด้วยสายพระเนตรตำหนิ


                 "ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ"


                 "ศรีดารา ระวังกิริยาบ้างนะ ข้าจะคุยกับลูกข้าอย่าได้รบกวน"
ศรีดารารีบก้มหน้าหมอบกราบลงไปแทบพื้น มิกล้าเงยหน้าขึ้นสบสายพระเนตรทรงอำนาจของพระแม่เจ้าอีก


                "มหิตา อบรมนางกำนัลของเจ้าบ้าง ให้รู้ว่าเวลาใดควรไม่ควร เข้ามาอยู่ในวังตั้งสองปีแล้ว กิริยามารยาทหาได้ดูนุ่มนวลขึ้นเลย ดูท่าขุนพลมหัทธนะคงมัวแค่คุมเรื่องยุทธพิชัยไม่มีเวลาดูแลบุตรี มิน่าเล่าจึงมิมีบุรุษใดมาทาบทามจนต้องมาเป็นต้นห้องให้เจ้า"


                 ศรีดาราได้ยินพระดำรัสแล้วชะงักไป นางเงยหน้าขึ้นขยับริมฝีปากคล้ายจะทูลคัดค้านไปตามนิสัย แต่ถูกกุสุมาลย์ลอบหยิกขาเสียก่อนจึงไม่กล้าส่งเสียงอีก


                "เสด็จแม่เพคะอย่าสนใจพี่ศรีดาราเลย ทรงตรัสเรื่องเมื่อครู่ต่อดีกว่าเสด็จพ่อทรงมีรับสั่งประการใดกับเรื่องนี้เพคะ" มหิตาเทวีรีบหันเหความสนใจของพระมารดาก่อนจะทรงกริ้วไปมากกว่านี้


                 "หืม...เจ้าใคร่รู้ด้วยรึ?" พระแม่เจ้ายกหัตถ์ขึ้นลูบนวลปรางพระธิดา


                 "ก็เป็นเรื่องของหม่อมฉันนี่เพคะ"


                 "อืม...แม่ดีใจที่เจ้าสนใจเรื่องนี้ มหาปุโรหิตทำนายทายทักว่าลูกแม่จะได้คู่ครองเป็นผู้มีบารมีสูง ซึ่งบุรุษผู้นี้จะมาปรากฏแก่เจ้า พระบาทเจ้าทรงดำรัสว่าจะจัดพิธีเลือกคู่สยุมพรเพื่อเปิดทางให้"


                 "อ้า...เอ้อ...เสด็จแม่เพคะ มันกะทันหันเกินไหมหม่อมฉันไม่ทันเตรียมใจ"


                 อย่าว่ามหิตาเทวีเลยแม้แต่นางกำนัลทั้งสองนางยังเผลอตนอุทานออกมา เมื่อรู้สึกตนจึงรีบก้มหน้าหลบสายพระเนตรมหาเทวีที่จ้องมองมา


                 "มหาบุรุษผู้นี้นอกจากมากบารมี จะเป็นศรีแก่จุมภะปุระนำพานครเราไปสู่ความรุ่งเรือง แต่...เฮ้อ" สุรเสียงกมุทรามหาเทวีแผ่วลงราวกับหนักพระทัย


                 "มีสิ่งใดทำให้พระแม่เจ้าไม่สบายพระทัยหรือเพคะ?"


                 "ก็...มหาปุโรหิตกล่าวว่า การณ์มงคลนี้เป็นดังทิวาราตรี"


                 "หม่อมฉันไม่เข้าใจ?" พระธิดาทูลถามด้วยความประหลาดพระทัย


                 "ก็นี่อย่างไรเล่า นำจารึกมาซิมาลาวรรณ"


                 นางกำนัลชื่อมาลาวรรณซึ่งตามเสด็จมาแต่ตำหนักหลวง ก็ถวายพานที่วางจารึกใบลานนั้นแก่มหิตาเทวี ภายในมีใจความว่า


‘เปรียบทิวาอาบอุ่นอรุณฉาน

ตราบนี้นานนับไปในภายหน้า

         ทั้งวังเวียงเรียงตัวทั่วประชา              

จะผันพาผาสุกเลิกทุกข์ทวี

              

 ดั่งจันทราอุ่นอ่อนช่วยผ่อนหนัก            

ทุกอาณาจะพร้อมภักดิ์เกรงศักดิ์ศรี

ทุกแหล่งหล้าจะมานบน้อมไมตรี

ทุกเวลาจะไม่มีที่อาลัย                   

 

หากการณ์ดีดีจะเสริมช่วยเติมสุข

ปราศจากถ้วนทุกข์ทั้งยุคสมัย

แม้นการณ์ร้ายจะร้ายแรงด้วยเพทภัย  

พิบัติไร้ปรานีจะมีมา...’  [1]

 


 

[1] แต่งโดย อรุโณชา

 

                "เป็นคำทายทักที่ประหลาดจริงๆ หม่อมฉันไม่ใคร่เข้าใจนักเพคะเสด็จแม่" เมื่อทอดพระเนตรแล้วพระธิดาก็ตรัสถามมหาเทวีด้วยความสงสัย


                "คำทำนายนี้ว่าไว้ หากเป็นการณ์ดีจุมภะจะได้กุมชัยเหนือทุกแดนดิน แต่ถ้าพลิกผันต้องชะตาร้ายความวิบัติจะเกิดแก่เวียงเรา ทั้งนี้...ขึ้นอยู่กับพิธีเลือกคู่สยุมพรของเจ้าแล้วลูกเอ๋ย"


                "ฟังดูน่ากลัวจังเลยเพคะ" มหิตาเทวียกหัตถ์ขึ้นทาบอุระ ส่วนศรีดารานั้นเหลียวไปสบตากับกุสุมาลย์


                "บางทีเหตุร้ายจะไม่บังเกิดหากเจ้าเลือกคนที่ถูกที่ควร แม่เชื่อว่าเจ้าเป็นมิ่งขวัญแห่งจุมภะ จงเตรียมตัวไว้เถิดลูกเอ๋ย หากกำหนดฤกษ์ได้เมื่อใดเจ้าจะได้เข้าพิธีเลือกคู่สยุมพร"


                พระแม่เจ้าคลี่ยิ้มสวยสดแล้วจึงลูบหัตถ์ลูบพักตร์พระธิดาอย่างรักใคร่ หากแต่สีพระพักตร์มหิตาเทวีกลับซีดเผือดลง มิกล้าตรัสทูลคัดค้านประการใดอีก ในเมื่อทุกสิ่งถูกกำหนดเตรียมการไว้แน่นอนแล้ว เหลือเพียงรอฤกษ์งามยามดีเท่านั้น


                เมื่อคล้อยหลังกมุทรามหาเทวีเสด็จกลับไปแล้ว พระธิดาผู้ทรงสิริโฉมก็ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความไม่สบายพระทัย แล้วจึงหันมาตรัสกับพระพี่เลี้ยงทั้งสอง


               "พี่กุสุมาลย์ พี่ศรีดารา เราจะทำยังไงดี ? " ทั้งสองมิอาจตอบคำได้ในทันที มหิตาเทวีก็ทรงดำเนินไปมาด้วยความหทัยอันร้อนรุ่ม ก่อนจะตัดสินพระทัยได้


                "เราจะไปเทวะสถานพญามหิธราบดีเดี๋ยวนี้!!"



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                 มหิตาเทวีก้าวดำเนินอย่างเร่งรีบจนต้องรั้งชายภูษาขึ้นเพื่อให้เสด็จขึ้นบันไดนาคราช เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์พระนางมักนับขั้นบันไดด้วยความสนุกสนานจากขั้นแรกจนไปถึงขั้นสุดท้าย เนื่องด้วยมีตำนานเล่าขานว่าขั้นบันไดเทวะสถานนี้นับได้ด้วยเลขคี่เสมอ แต่หากเมื่อใดที่ก้าวขึ้นมาแล้วนับได้เลขคู่วันนั้นจะเกิดเหตุอัศจรรย์ ยามนั้นมหิตาเทวีใช้การนับขั้นบันไดเป็นการทำนาย ว่านาคเจ้ามหิทธราบดีจะทรงประทับอยู่หรือไม่ เป็นหมายลับอันสำคัญระหว่างพระเทวีกับพญานาคราช มหิทธราบดีมิได้ทรงปรากฏกายให้เห็นทุกคราไป แต่หากบันไดนับได้เป็นขั้นคู่เมื่อใดพระนางจะรับรู้สารจากนาคเจ้าได้ด้วยดวงจิต แต่มาบัดนี้ทรงร้อนหทัยจนไม่สนพระทัยจะนับขั้นบันไดอีกต่อไปแล้ว และรีบเสด็จดำเนินไปให้ถึงจุดมุ่งหมายให้เร็วที่สุด


                พราหมณ์ประจำเทวะสถานนั้น เมื่อเห็นพระเทวีเสด็จมาก็โน้มกายโค้งคารวะ แต่นางผู้สูงศักดิ์หาได้สนพระทัยไม่ และไม่มีผู้ใดกล้าขวางทางเสด็จอีกด้วย เนื่องด้วยเหล่าพราหมณ์จารย์นั้นเชื่อว่ามหิทธราบดีนาคราชทรงโปรดปราน และประทานพรให้กับพระธิดาน้อย และทรงเลือกมหิตาเทวีเป็นพระแม่เจ้ารั้งเมืองสืบต่อจากมหาเทวีกมุทราตั้งแต่หลายปีก่อน โดยปกติแล้วเทวะสถานมิใช่สถานที่ที่สตรีพึงเข้ามา และหากไม่มีพระบรมราชานุญาตจากพระบาทเจ้าสิทธเสณ แม้เป็นเชื้อพระวงศ์ทรงศักดิ์ก็มิอาจผ่านเข้าออกได้โดยง่าย ทว่ามหิตาเทวีนั้นข้ามพ้นกฎเกณฑ์นั้น หากผู้หาญบังอาจขวางทางจะต้องสาปให้ตัวแข็งทื่อ มิอาจขยับเขยื้อนไปได้บัดชั่วยามเลยทีเดียว


                พระเทวีเสด็จผ่านโคปุระ*(ประตู)จำหลักหน้าเกียรติมุข* (รูปสลักเหนือบานประตู)เข้าไปภายใน ผ่านกำแพงรูปสลักนูนสูงรูปนางอัปสราร่ายรำไปจนสุดทางเดิน จึงก้าวลงบันไดที่ลดหลั่นลงสู่โถงกว้างเบื้องล่าง แล้วจึงเข้าสู่คูหาที่จัดเป็นห้องบูชาพญานาเคนทร์ไป ในขณะที่ศรีดาราหอบหิ้วตะกร้าใส่ผลลูกไม้สุกไว้ในมือ ท่าทางเดินไม่ทะมัดทะแมงเหมือนเช่นเคย คล้ายไม่อยากตามเสด็จเข้าไปในห้องนั้น ตรงกันข้ามกับกุสุมาลย์ที่เดินนำหน้าแต่ทว่ากลับเลี่ยงไปนั่งเงียบๆ ที่หน้าประตู ปล่อยให้บุตรีขุนพลตามเสด็จเข้าแต่ผู้เดียว เป็นเหตุให้นางส่งสายตาเขม่นมองมายังพระพี่เลี้ยงที่สูงวัยกว่า แต่อีกฝ่ายกลับเมินหน้าหนีมิได้สนใจสายตาตำหนิของศรีดาราเลย


                "หม่อมฉันคอยที่นี่นะเพคะ" มหิตาเทวีสดับแล้วมิได้รับสั่งอันใดตอบกุสุมาลย์ แต่หันมาเร่งศรีดาราที่กำลังมีสีหน้าประหวั่นให้ตามมาโดยไว


                "พี่ศรีดาราเร่งฝีเท้าหน่อยได้ไหม?" ตรัสได้แค่นั้นก็เสด็จนำลิ่วไป


                "เพคะๆ พี่กุสุมาลย์จำไว้นะ..." นางหันมาแค่นเรียกได้แค่นั้นก็จำต้องตามเสด็จไป


                ในคูหากว้างนั้นมีกลิ่นหอม จากการเผาเครื่องหอมถวายพญานาคราชลอยอบอวลชวนเคลิบเคลิ้ม หากไม่คำนึงถึงสิ่งหนึ่งที่อยู่กลางสระเบื้องหน้า สระทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านั้นมีน้ำอยู่กึ่งหนึ่ง มหิตาเทวีมิได้ก้าวไปถึงริมขอบสระแต่ทรงหยุดประทับแล้วส่งสุรเสียงกังวาน


               "จิตตะ เรามาแล้ว"


               สิ้นสุรเสียงหวานล้ำนั้น น้ำในสระพลันกระเพื่อมเคลื่อนไหวคล้ายมีมือยักษ์จุ่มลงกวน ไม่นานนักร่างใหญ่ยาวห่อหุ้มด้วยเกล็ดสีขาวพราวหยาดน้ำราวมณีน้ำบุษย์ ก็แหวกน้ำพุ่งขึ้นมาจากสระนั้นด้วยความเร็ว แล้วปราดเข้าเลื้อยรัดวรกายพระเทวีด้วยร่างอสรพิษใหญ่ยักษ์ของมัน


              "จิตตะเจ้าอย่าทำเยี่ยงนี้สิ เราเปียกหมดแล้วเห็นไหม? ฮะ ฮะ"
เสียงสรวลระคนคู่ไปกับคำตรัสติเตียนอย่างไม่เป็นจริงเป็นจังนัก เจ้างูเผือกยักษ์นั้นก็หาทำอันตรายมหิตาเทวีไม่


              "รู้ไหมจิตตะเรานำสิ่งใดมาฝากเจ้าบ้าง? พี่ศรีดาราส่งลูกไม้สุกมาสิ"
ศรีดารานั้นครั่นคร้านไม่กล้าขยับไปใกล้เพราะหวาดหวั่นงูยักษ์นั่น นางนึกกล่าวโทษกุสุมาลย์ที่เลี่ยงขอรออยู่ด้านนอก


               "พี่...ส่งลูกไม้ให้เราหน่อยสิ เจ้าจิตตะรัดเสียขยับไม่ได้แบบนี้คงจะไปหยิบเองไม่ได้"


                เมื่อได้ยินพระเสาวนีย์ที่ทรงรับสั่งซ้ำอีกครั้ง จึงจำต้องบังใจให้หาญกล้ายื่นตะกร้าทูลถวาย แต่จิตตะงูยักษ์นั้นราวกับดูท่าทีนางกำนัลออก จึงยืดร่างนำพาหัวอันใหญ่โตของมันไปงับลูกไม้ในมือศรีดาราทันที เป็นเหตุให้นางตกใจทิ้งตะกร้าวิ่งถอยล่าไปสุดมุมห้อง


                "พี่ศรีดารานี่ล่ะก็....ป่านนี้ยังไม่เลิกกลัวจิตตะอีกหรือ? จิตตะไม่ทำอันตรายใครดอก ดูซิมันออกจะน่ารักน่าชังปานนี้ ซ้ำยังเป็นงูเจ้ารับทานแต่ผลลูกไม้ ผิดกับงูสามัญยังต้องกลัวอีกหรือ?" นางศรีดาราทรุดกายนั่งลงกับพื้นโถง แล้วยกสองมือขึ้นพนมไหว้จนท่วมศรีษะ


                "พระเทวี หม่อมฉันเป็นคนสามัญมิใช่ผู้มีเชื้อสายนาคอย่างพระองค์ อย่างไรก็กลัวพญางูเผือกนั้นอยู่ดีเพคะ ขออย่าทรงเรียกหม่อมฉันไปป้อนอาหารจิตตะเลยนะเพคะ"


                "โธ่เอ๋ย...พี่ศรีดารา...เฮ้อ ไม่ไหวเลยพี่เป็นนางกำนัลแห่งเราก็ควรจะชินได้แล้วนะ"


                ตรัสไปก็ทรงลูบศีรษะงูเผือกนั้นอย่างรักใคร่ พระเทวีนั้นมิได้สืบสายโลหิตมาจากพญานาคราชจริงๆ อย่างที่ศรีดารากล่าว แต่พระหน่อวงศ์กษัตริย์ผู้ครองจุมภะปุระนั้น ถือเป็นตัวแทนนาคาเทพลงมาจุติตามคติความเชื่อแต่ปุราณกาล


                "ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ไหวจริงๆ แค่นี้ก็ประหวั่นจวนจะเป็นลมแล้ว เรียกพี่กุสุมาลย์คนเก่งมาแทนดีกว่าไหมเพคะ" คำพูดนั้นประหวัดไปถึงอีกนางที่อยู่นอกคูหา


                "ฮ่า ฮ่า พี่ศรีดารานี่ล่ะก็...ถ้ากลัวนักก็นั่งอยู่ตรงนั้นเถอะ เราจะให้อาหารจิตตะเอง" เมื่อตรัสจบก็ทรงย่อพระวรกายนั่งลง พญางูเผือกจึงค่อยคลายกายพันรัดวรกายออกแล้วเลื้อยลงมาอยู่บนพื้นข้างพระเทวี


                "จิตตะ คิดถึงเราใช่หรือไม่...เราก็คิดถึงเจ้า"


                พระนางแย้มสรวลพลางฉวยเก็บลูกไม้ที่ร่วงตกพื้นมาปัดแล้วจึงป้อนให้งูยักษ์ ในขณะที่นางศรีดาราข่มตาลงด้วยความกลัว แต่เมื่อเห็นว่าทรงเพลิดเพลินกับพระสหายเกล็ดขาวนั่น จึงฉวยโอกาสคลานถอยออกไปรอนอกคูหา ปล่อยทิ้งพระเทวีโฉมงามอยู่ภายในแต่เพียงผู้เดียว


                "จิตตะ...เรากลุ้มใจ" พญางูหันหัวอันใหญ่โตของมันมาจ้องมองพระนาง


                "เสด็จแม่จะให้เราสยุมพร...." พูดได้แค่นั้นน้ำอัสสุชลก็หลั่งริน จิตตะหยุดขยับเข้ามาใช้ศีรษะวางพาดบนอังสาพระเทวีแทนการปลอบใจ


                "มหิทธราบดีเล่าท่านอยู่ ณ ที่แห่งใด เรามิได้พบท่านมานานกว่า 3 ปีแล้ว ฤาจะลืมคำสัตย์ที่ให้แก่เรา...หรือนั่นเป็นแค่เพียงลมลวงเท่านั้นหรือ? "


                 ยิ่งตรัสความในพระทัยพรั่งพรูออกไปเท่าใด ก็ทรงกรรแสงมากขึ้นเท่านั้น พระเทวีทรงโอบกอดพญางูเผือกต่างพระอุระพญามหิทธราบดี


                 "ฤาทรงไม่ต้องการมหิตาผู้นี้แล้ว...." 


                 เสียงสะอื้นไห้ลอยไปตามสายลม จนภาพพระเทวีผู้ทรงสิริโฉมโสภาที่กำลังกรรแสงจนหยาดอัสสุชลรินอาบแก้มอยู่ข้างงูยักษ์นั้น ลอยห่างไกลออกไปทุกที หากแต่ความเศร้าโศกกลับมิได้จางหายตามไปด้วย แม้แต่หญิงสาวที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงก็พลอยรับเอาอารมณ์อันเศร้าสร้อยในภาพฝันซึมซาบเข้าดวงใจ จึงเผลอร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้สึกตัว




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 20 ตุลาคม 2555
Last Update : 20 ตุลาคม 2555 4:51:25 น. 0 comments
Counter : 2822 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.