ถ้าชาตินี้ใช้ไม่หมด...ก็ไปต่อเอาชาติหน้า ถ้าชาติหน้าเกิดเป็นสัตว์มิได้เกิดเป็นมนุษย์ก็รับไปอีกแบบ แตกดับแล้วไปต่อเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดกรรมเก่า
แล้วถ้ามีกรรมดีสร้างกุศลใหม่ขึ้นมาช่วยบรรเทาให้เบาบางลง ไม่ได้โดนเร่งรัดทวงหนี้กรรมในชาติเดียวดอก...นางคงไม่สามารถตอบแทนได้หมดจึงต้องค่อยๆ เป็นค่อยไป จนเจ้ากรรมนายเวรบ่นอุบไม่ทันใจกันเป็นทิวแถว ฮะ ฮะ ท้ายประโยคเจือด้วยเสียงหัวเราะ
มาครั้งหนี้เจ้าหนี้รายใหญ่อย่างท่าน...ถอนตัวออกไป นางก็คงร้อนรุ่มน้อยลง เมื่อไม่ประสงค์จะเอาความ...แต่อย่างไรก็ต้องชดใช้ จะด้วยวิธีไหน..หรือจะน้อยลงเท่าใดก็สุดแต่สิ่งที่นางเลือกในปัจจุบัน
ไม่มีทางอื่นอีกรึ...ถ้าเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายยกให้เป็นไปตามกฎ ไม่ประสงค์จะติดตามเอาความเองจะเป็นเช่นไร ทุกข์ร้อนของนางจะถูกปัดเป่าให้เจือจางลงหรือไม่
หากเป็นเช่นนั้น...คงต้องสรรเสริญทุกดวงวิญญาณที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร จิตวิญญาณจะกระจ่างขึ้นเส้นทางต่อไปข้างหน้าจะไม่ต้องผูกติดกับความทุกข์อันเหมือนโซ่ตรวนแล้ว ชีวิตใหม่วันเวลาใหม่เริ่มต้นใหม่อย่างแท้จริงเสียที จะเหลือก็แต่กรรมเก่าๆ ของใครของมัน แต่มหิตา..คงจะต้องทยอยใช้ไปในรูปแบบต่างๆ ทั้งชดใช้โดยตรงต่อเจ้าตัว หรือชดใช้ด้วยการรับเอาความลำบากยากเข็น ความทุกขเวทนาในรูปแบบต่างๆจะ มาให้เผชิญ
นอกจากอโหสิกรรมให้นางแล้ว เราทำสิ่งใดให้นางได้อีกบ้างหรือไม่? คำถามของนาคเจ้าทำเอาวิทยเทพยิ้มกริ่มออกมาด้วยความพอใจ
อโหสิกรรมให้ตนเอง...อย่าได้จองเวรตนเองอีกต่อไป
......!!!? ดวงเนตรคมคายเบิกค้าง
นั่นคือสิ่งที่มหิตาในชาตินี้ปรารถนา ถ้าท่านพ้นทุกข์นางก็หมดทุกข์ไปด้วย ภูวิษะเจ้ายังไม่ทันตรัสเถียงใดๆ วิทยาธรหนุ่มก็กล่าวต่อ
รวมไปถึง...แม่หญิงกุสุมาลย์ นางปรารถนาให้ท่านพ้นทุกข์ วิมุตติยุติการสนทนาไปชั่วครู่เพื่อสังเกตสีพระพักตร์ของภูวิษะเจ้า
หากท่านก้าวพ้นห้วงเหวแห่งทุกข์ได้ นั่นคือปรารถนาสูงสุดของนาง คงเป็นความมนัสยิ่งกว่าสิ่งใด..ยิ่งกว่าการได้จองเวรเคียงฟ้าเสียอีก
นี่นาง...
ไม่ใช่แค่นาง....นั่นล้วนแต่เป็นปรารถนาของชาวจุมภะ
ทั้งๆ ที่เราเป็นต้นเหตุให้พวกเขาต้องตายโดยมิทันได้ตั้งตัวกระนั้นรึ
ใช่... วิทยเทพเหลียวมองภูวิษะเจ้า
ไม่เข้าใจละสิ...หึ หึ
..... สุรเสียงค้างอยู่ในลำคออย่างฝืดฝืนเต็มที
เพราะท่านเป็นที่รักของพวกเขา เป็นสิ่งอันเคารพบูชา เปรียบไปก็เป็นจิตวิญญาณของเมือง ใครเล่าอยากจะให้เมืองอันเป็นบ้านเกิดของตนร่ำไห้อยู่ในความมืดนิรันดร์กันบ้าง พวกเขาอาจจะโกรธมหิตา โกรธท่าน...แต่สุดท้ายแล้วมันก็ต้องผ่านพ้น ทุกคนก็เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติไปตามวาระ ที่ยังไปไม่ได้ก็เฝ้าแต่ห่วงใยท่าน เป็นเช่นนี้แล้ว...ทำเพื่อคนอื่นบ้างไม่ได้รึ อภัยให้ตัวเองเถิดหนา..ผู้กำหัวใจของเมือง
เจ้านาคราช...นั่งนิ่งดังถูกสาปให้เป็นหิน วงพักตร์ปานเทวาสลักนั้นมิได้แสดงสีหน้าอันใดออกมา ยกเว้นเพียงประกายเนตรที่สั่นไหว อารมณ์อันตื้นตันและสับสนเอ่อล้นออมายังทำนบแห่งกรอบเนตร
ภูวิษะ...ท่านต้องการพักไหม เราสะกดท่านให้หลับได้ แต่ขอแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นนะ อย่านานนัก
ไม่! ไม่ต้อง..! สุรเสียงห้วนจัด หัตถ์ก็ยกขึ้นปิดบังดวงเนตร
ภูวิษะ....อโหสิกรรมให้ตนเองเถิด
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทุกข์ของใครก็เกิดแก่ใจผู้นั้น หามีผู้อื่นบำบัดได้...มีแต่ต้องชำระมันด้วยตนเอง ปัจจัยจากภายนอกแค่ช่วยบรรเทาชั่วครู่ชั่วยาม แต่ปัจจัยจากภายในต่างหากที่ต้องแสวงหาความสงบเอาเอง ภูวิษะเจ้าก็เช่นกัน...
เราไม่อาจทอดเวลาต่อไปได้ คงต้องรีบจัดการบางสิ่ง สุรเสียงทบทวนเหตุการณ์ในอดีต
เรื่องราวของพระองค์กับมหิตาเทวีก่อนที่เมืองจะล่มนั้นงวดเข้ามาทุกที ความตึงเครียดระหว่างกันยังมิทันได้คลี่คลายซ้ำร้ายมีแนวโน้มว่าแย่ยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะหาทรงรับเทวีคนใหม่มาเป็นชายาเพิ่ม นอกจากจะเสียสัจจะวาจาที่ให้ไว้แล้วยังอาจเสียดวงฤทัยทั้งดวงไปได้ จึงพยายามหาหนทางแก้ไขกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
ใช่เรื่องจะรับชายาองค์ใหม่จากเมืองปาลหรือไม่ คู่สนทนาถาม เมื่อผู้เล่าพยักหน้ารับจึงได้ปล่อยให้เล่าต่อไป
เราร้อนใจไม่ต่างกับมหิตาหรอก หมากตานี้ยากจะดิ้นหลุดได้ แต่เราจะไม่เสียสัตย์ที่ลั่นวาจาไว้กับนางเด็ดขาด จึงต้องหาทางออกให้เร็วที่สุด เมื่อตรองตกแล้วจึงตกลงใจไปพบสร้อยประพาฬเทวี
สร้อยประพาฬเทวี?
ใช่
ม้าตัวใหญ่รูปร่างพ่วงพีสามตัววิ่งตามกันมา ก่อนจะค่อยชะลอฝีเท้าลงจนหยุดสนิท ทหารที่หน้าตำหนักนั้นแลเห็นเข้าก็ตรงเข้ามือจับบังเหียนม้า วรกายองอาจเสด็จลงจากหลังม้าและปล่อยให้พาหนะของตนถูกจูงไปยังคอกพัก
รออยู่ที่นี่ เสียงใหญ่ทรงอำนาจตรัสเรียบๆ กับผู้ติดตาม ก่อนจะมองเข้าไปภายในตำหนักอย่างลังเล
พระเทวีอยู่หรือไม่ ทหารรักษาการหน้าตำหนักยังมิทันได้เอ่ยตอบ นางกำนัลสองนางก็มาหยุดลงเบื้องหน้าและถวายความเคารพ
พระเทวีให้มาเชิญเสด็จเพคะภูวิษะเจ้า เจ้านาคราชสะดุดบรรดาศักดิ์ท้ายประโยค มิใช่แค่ ท่านภูวิษะ อย่างที่ผู้อื่นเรียก แต่มิได้ตรัสถาม ก็ถูกนำเสด็จเสียก่อน
พระเทวีทราบได้อย่างไรว่าเราจะมา เป็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตเจ้านาคราชที่มีเหตุให้ฉงนพระทัย
พระเทวีรับสั่งว่าภูวิษะเจ้าจะเสด็จ ให้ทำขนมไว้รับรองด้วยเพคะ พวกนางเองมิได้ตอบตรงคำถาม ด้วยตัวเป็นบ่าวมิอาจกล้าย้อนถามสร้อยประพาฬเทวีรับสั่งสิ่งใดก็สนองตามพระประสงค์เท่านั้น
เมื่อทอดพระเนตรแล้วก็คร้านจะซักไซ้เอาความจากพวกนางอีกสู้ไปถามเทวีแห่งนางดีกว่า นางกำนัลนั้นมิได้นำเสด็จไปยังเรือนรับรองของตำหนัก แต่หากนำเสด็จมายังอุทยานภายในแทน
สตรีสูงศักดิ์วรกายอวบท้วมอย่างผู้มีวัยมิได้อรชรอ้อนแอ้นดังสาวสะคราญ แต่วงพักตร์ยังงดงามและที่เหนือไปกว่านั้นคือราศีแห่งความสง่า สร้อยประพาฬเทวีประทับอยู่บนศาลานั่งเล่นเล่นกลางอุทยาน ทรงชะงักถ้อยดำรัสที่กำลังตรัสกับนางกำนัลไปชั่วครู่เมื่อทอดพระเนตรเห็นผู้มาเยือน วรกายที่เอนพิงหมอนขวานอยู่ก็ขยับนั่ง ดวงเนตรจ้องมองตรงมาประสานในนัยน์ตากับเจ้านาคราชก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ ออกมาด้วยความเมตตา
แม้จะมิได้โอภาปราศรัยกันเลย และมิเคยสนิทสนมมากไปกว่าการทักทายเมื่อพบในกลุ่มพระญาติเท่านั้น สร้อยประพาฬเทวีเก็บองค์ไม่ใคร่ได้ออกสังคม จึงมิได้เป็นผู้ที่ทุกคนจดจำไปมากกว่าพระญาติผู้สูงวัยองค์หนึ่งเท่านั้น
ทว่ากลับเป็นบุคคลแรกที่ภูวิษะเจ้าระลึกถึง หลายปีที่ผ่านมาทรงได้รับการบวงสรวงด้วยจิตกุศลจากพระนาง กระแสเย็นจากจิตอันซื่อตรงในธรรมนี้เป็นเหตุให้เจ้านาคราชตัดสินใจมาพบสร้อยประพาฬเทวี
หากนับตามลำดับญาติวงศ์ก็ทรงเป็นพระปิตุจฉา**[ป้า] เพราะทรงเป็นชายาในเจ้าชายทยุติกร พระเชษฐาของพระบาทเจ้าสิทธิเสณราชบิดาของมหิตาเทวี ซึ่งประสูติในกับพระสนมของพระบาทเจ้าองค์ก่อน แม้มิได้มีสิทธิ์ขึ้นครองราชย์บัลลังก์แต่ก็ทรงงานเมืองช่วยราชการคอยค้ำจุนบัลลังก์ให้พระอนุชาจวบจนสิ้นอายุขัยในสนามรบ จึงถือเป็นผู้มีคุโนปกรณ์แก่จุมภะปุระเป็นอันมาก เมื่อพระสวามีสิ้นพระชนม์ไปแล้วสร้อยประพาฬเทวีทรงร้องขอแก่พระบาทเจ้า ให้ทรงประทานอนุญาตให้พระนางครองตัวเป็นม่าย มิต้องอภิเษกสมรสใหม่หรือเข้าถวายตัวเป็นพระชายาของพระบาทเจ้าสิทธิเสณตามราชประเพณี เมื่อพระเชษฐาหรือพระอนุชาสิ้นพระชนม์กะทันหัน ทั้งชายาและสนมก็จะถูกยกให้เป็นสมบัติแก่บุรุษอันพึงปกป้องพวกนางได้ ถวายพระพรพะยะค่ะ ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาให้เข้าเฝ้า เป็นที่ทราบกันว่าสร้อยประพาฬเทวีไม่โปรดให้ใครมาพบนัก หากจะพบพระนางเห็นจะต้องไปดักที่อโศกคยาเพราะทรงไปบำเพ็ญบุญบ่อยๆ เมื่อถือวิสาสะมาเข้าเฝ้าเช่นนี้หากได้รับการปฏิเสธก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด ภูวิษะเจ้าประทับลงเบื้องหน้าแล้วก้มลงกราบ เมื่อเงยพระพักตร์ขึ้นก็สบกับพระเนตรฉายแววชื่นชมอยู่ในดวงเนตรจึงชะงักองค์ไปบ้าง พระนางค่อยรู้องค์ว่าทอดพระเนตรจับจ้องอิริยาบถของผู้มาเยือนนานเกินไป ภูวิษะเจ้า..ขอบพระทัยที่เสด็จมาเยือนตำหนักท้ายวังแห่งนี้เพคะ ที่นี่ไม่มีใครมาพบหม่อมฉันนานแล้ว ทรงจำหม่อมฉันได้? ความรู้สึกแปลกประหลาดปรากฏขึ้นแก่เจ้านาคราช จริงอยู่ทรงเป็นราชบุตรเขยพระปิตุจฉาจะจดจำได้มิน่าใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกนี้ไม่ปรกติก็คือ สายพระเนตรที่จ้องมองมาราวกับรู้ล่วงหน้าว่าจะเสด็จมา เทวีผู้มากวัยแย้มสรวลแทนคำตอบ ในพระทัยนั้นอยากตรัสนัก...ผู้ใดเล่าจะจำภูวิษะเจ้าผู้ทรงลักษณ์มิได้บ้าง ถ้าได้เห็นพระองค์เพียงสักครั้ง ผู้ใดเล่าจะลืมลงบ้างเพคะ ที่ผ่านมาหม่อมฉันทำกิริยาไม่งาม ให้พระเทวีขุ่นเคืองใจจนเป็นที่จดจำหรือไม่พะยะค่ะ ไม่เพคะ ทรงสง่างามดี อย่าได้ทรงวิตก เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้นก็ค่อยคลายพระทัย ขอบพระทัยพระเทวี อย่าทรงเรียกอย่างห่างเหินเช่นนั้นเลยเพคะ เรียกหม่อมฉันว่า ป้า ดังที่มหิตาเรียกพอ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันที่ต้องขออภัย ที่มาโดยกะทันหัน มิต้องคิดมากเพคะ เสด็จมาก็นับว่าเป็นเกียรติแก่หม่อมฉันมากแล้ว ทรงทราบว่าหม่อมฉันจะมาหา ไม่มีคำตอบกลับมานอกจากพระพักตร์ของสร้อยประพาฬเทวีพยักรับช้าๆ ถ้าอย่างนั้นทรงทราบหรือไม่ หม่อมฉันมาด้วยเรื่องอันใด? รอยแย้มสรวลอ่อนบางปรากฏบนใบหน้านางเทวีแทนคำตอบ มิทราบเพคะ แต่หากเป็นเรื่องที่หม่อมฉันทำได้ก็ยินดีเพคะ พระเทวี.. ทรงเรียกหม่อมฉันว่า ป้า เช่นเดียวกับมหิตาเถิดเพคะ กระแสอ่อนโยนมาตามพระดำรัส ขอบพระทัยเสด็จป้า เสวยน้ำหน่อยเถอะเพคะ เสด็จมาเหนื่อยๆ ตรัสจบก็พยักหน้าให้นางกำนัลนำน้ำถวาย จากนั้นจึงโบกหัตถ์สั่งให้คนที่เหลือถอยห่างออกไป เหลือแต่เพียงนางกำนัลคนสนิทคอยโบกพัดให้ ครู่ใหญ่ผ่านไปสร้อยประพาฬเทวียังมิได้ปริปากตรัสถามถึงเรื่องที่ทำให้ภูวิษะเจ้าเสด็จมาถึงตำหนักเลย พระนางเพียงแค่ประทับนิ่งๆ แล้วพิศมองเจ้านาคราชด้วยแววตาโสมนัสยิ่ง เสด็จป้า มีรับสั่งใดเชิญตรัสเถิด ดวงเนตรคมนั้นจับจ้องไปที่นางเทวี มะ..มิได้เพคะ หม่อมฉัน..หม่อมฉันขอประทานอภัย หม่อมฉันเพียงแต่เพิ่งเคยเห็นพระองค์อย่างใกล้ชิด ก็อดมิได้ที่จะมอง ผู้มีศักดิ์เป็นหลานเขยนึกประหลาดใจ ทรงชินกับการถูกมองอย่างสงสัยใคร่รู้ หรือแม้แต่ชื่นชมในรูปโฉมอันทรงลักษณ์ แต่ไม่เคยถูกเพ่งพิศด้วยความปรีดาเช่นนี้ หม่อมฉัน...แต่งกายไม่สุภาพเป็นที่ขัดพระเนตรหรือไม่พะยะค่ะ มิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ดีใจเท่านั้น เจ้านาคราชนิ่งงันไม่เข้าพระทัยสิ่งที่พระปิตุจฉาตรัส นี่เป็นครั้งที่สามที่พบพักตร์พระองค์ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พินิจอย่างใกล้ชิด และเป็นครั้งแรกที่ได้ปราศรัยด้วยจึงอดมิได้ที่จะชื่นชม ฟังดังนั้นก็กราบลงอีกครั้ง หม่อมฉันขออภัย ที่ผ่านมิได้เคยมาเฝ้า แต่ยามเดือดร้อนกลับเร่งมาเฝ้าอย่ามิได้ทูลล่วงหน้า ภูวิษะเจ้าอย่างทรงทำเช่นนั้น หากทรงกราบหม่อมฉันอีกครั้งเดียว หม่อมฉันเห็นจะต้องระเห็จไปนั่งบนพื้นดินเบื้องล่าง ยิ่งสดับดำรับก็ยิ่งงุนงงไม่เข้าพระทัยแม้แต่น้อย บัวนวลออกไปก่อน นางกำนัลคนสนิทมีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็คลานออกไปจากศาลาไปรวมกลุ่มกับพวกที่ออกไปก่อนหน้านี้ ปลอดคนแล้ว ฝ่าพระบาทเชิญบัญชาสิ่งที่จะให้หม่อมฉันรับใช้มาได้เลยเพคะ ถ้อยดำรัสนั้นจริงจังจนน่าฉงน เจ้านาคราชจ้องมองเทวีตรงหน้าพระพักตร์ เสด็จป้า...ทรงรู้ว่าหม่อมฉันเป็นใคร? เพคะ ตั้งแต่เมื่อใด? ตั้งแต่วันที่พระองค์มาดูตัวกับมหิตาเพคะ ทำไมจึงทราบ? หลังจากสิ้นบุญสวามี หม่อมฉันได้แต่เก็บตัวปฏิบัติธรรม บางทีบุญที่สั่งสมมาอาจดลบันดาลให้หม่อมฉันได้แลเห็นพระองค์จริง สร้อยประพาฬเทวีตรัสด้วยดวงเนตรนิ่ง ในวันนั้นพระองค์ปะปนมาอยู่ในกลุ่มบุรุษเมื่อแรกหม่อมฉันมิทันได้สังเกต แต่เมื่อได้ยินเสียงผู้คนฮือฮากับหีบใส่ขนมที่ทรงนำมาให้มหิตาแล้ว หม่อมฉันก็อดแปลกใจมิได้แต่เมื่อเหลียวไปเห็นรอยยิ้มกับแววตาหยาดเยิ้มราวกับมีน้ำผึ้งอยู่ดวงตาของหลานสาว มันทำให้หม่อมฉันฉงนจนต้องจ้องมองไปยังบุรุษผู้นั้น พระองค์คงมิทันได้สังเกตเพราะทรงสบตาอยู่กับมหิตาเท่านั้น ภูวิษะเจ้าก้มพักตร์ลงด้วยทรงเขินอายเป็นกำลัง ใช่...ในเพลานั้นไม่ว่าผู้ใดก็มิได้อยู่ในสายตา ผู้คนมากมายมลายหายเป็นเพียงภาพเลือน ที่ชัดแจ้งอยู่เบื้องหน้ามีเพียงเจ้าหญิงองค์หนึ่งที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ทอง พระนามว่ามหิตาเทวีเพียงผู้เดียว บุรุษผู้นั้นทรงโฉมงดงามยากจะหาผู้ใดเสมอ แต่มิคาดคล้ายมีเงาบางอย่างปรากฏทับคนผู้นั้น ทีแรกหม่อมฉันเข้าใจไปว่าสายตาอาจพล่าเลือนด้วยสูงวัยแล้ว แต่เมื่อกะพริบตาภาพนั้นก็ยังซ้อนทับหม่อมฉันเห็นเงาพญานาครัศมีเรืองรุ้ง หม่อมฉันคงมิได้ตาฝาดไปใช่ไหมเพคะ ราชบุตรแห่งบาดาลนั่งนิ่งตัวแข็งไปชั่วขณะ เพียงพริบตาเดียวที่จิตสั่นไหวไปด้วยเสน่หาร่างที่จำแลงมาก็ถูกพบเห็นจึงทรงตำหนิตนเองอยู่ในพระทัย พญามหิทธราบดี หม่อมฉันดีพระทัยยิ่งที่ทรงเสด็จมายังเบื้องหน้าหม่อมฉัน เมื่อตรัสจบก็ก้มลงกราบแทบบาทของภูวิษะเจ้า นาคหนุ่มยกมือขึ้นกุมหัตถ์นั้น เสด็จป้า...หม่อมฉันเป็นเพียงราชบุตรของพญามหิทธราบดีเท่านั้น ยังเป็นเพียงผู้เยาว์ ประโยคที่ตอบมาถ่อมองค์ยิ่งนักในสายตาของสร้อยประพาฬเทวี ลุกขึ้นเถิด ใครเห็นเข้าจะเป็นที่ครหา พระปิตุจฉาได้ยินดังนั้นก็รีบยันพระวรกายขึ้นนั่งดั่งเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือดวงพักตร์แดงระเรื่อ ดวงเนตรเอ่อคลอไปด้วยอัสสุชน ขอบพระทัยที่ทรงเมตตา หม่อมฉันปลื้มปิติยิ่งนัก ในดำริของพระนางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงสักการะมาเนิ่นนานมิใช่แค่ตำนานบอกเล่า หากแต่มาปรากฏองค์อยู่เบื้องหน้าจึงทรงโสมมนัสเป็นอย่างยิ่ง เรื่องที่ท่านถวายพรแก่เรานั้นเราทราบ เสด็จพ่อของเราก็ทราบ ต้องขอบใจที่ยังเชื่อมั่นในพญามหิทธราบดี เวลาผ่านมากว่า 400 ปี นับแต่เสด็จพ่อยกแผ่นดินนี้ขึ้นจากน้ำให้สร้างเมือง มันยาวนานสำหรับมนุษย์จนเกือบจะ...ถูกลืม ใครเล่าจะลืม ชนรุ่นหลังสักการะเราตามชนรุ่นก่อน เป็นประเพณี เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง เราไม่อาจบังคับผู้ใดให้มาบำบวงเราได้ ศรัทธาเกิดแก่ผู้มีใจเท่านั้น และท่านเป็นหนึ่งในนั้น รอยแย้มสรวลนั้นงามจับใจนัก จนสร้อยประพาฬเทวีมิอาจกลั้นอัสสุชนได้ ขอบพระทัยเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาจุมภะ หม่อมฉันมีบุญยิ่งนักที่ได้พบพระองค์ พูดจบก็ทำท่าจะกราบลงอีกคราแต่ถูกรั้งไว้เสียก่อน เสด็จป้า...อย่าได้สร้างความลำบากแก่เรา สร้อยประพาฬเทวีถึงได้รู้พระองค์ โปรดทรงอภัยหม่อมฉันมัวแต่ปรีดา ไม่เป็นไร...เราเสียอีกที่กำลังจะนำเรื่องมาให้ท่านช่วยเหลือ นาคเจ้ารู้สึกโล่งพระทัยเรื่องที่จะตรัสต่อไปคงง่ายดายขึ้น ดูท่าเสด็จป้าจะเต็มพระทัยช่วยเหลือเป็นแน่ หากทำได้หม่อมฉันยินดีทุกประการเพคะ รอยสรวลงามแย้มยิ้มยิ่งกว่าเดิม เสด็จป้าทำได้แน่! +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมาท์หน่อย
สวัสดีค่ะ...สงสัยจะมีคนอ่านอุทานว่า โอ้โฮ! หายไปนาน แหะ แหะ ช่วงก่อนกำลังวุ่นวายเนื่องจากเปิดคาเฟ่แมวค่ะ ช่วงนี้พยายามจัดเวลามาเขียนนิยาย ไม่ได้ทิ้งเรื่องนี้นะคะ ช่วงนี้พยายามปั่นอยู่สะสมได้หลายตอนแล้วจะพยายามลงไม่ให้ขาดตอน และอวสานให้ได้ในเร็ววันค่ะ ขอแรงใจช่วยเชียร์ด้วยนะคะ ถ้าใครยังตามอ่านอยู่ช่วยคอมเม้นท์ทักทายกันหน่อยนะคะ สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าค่ะ