จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
232425262728 
 
18 กุมภาพันธ์ 2557
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 64

ตอนที่ 64



            “มหิตา!! เจ้าอยู่ที่ไหน?!! ออกมาหาเราบัดนี้!!!”





            สุรเสียงห้าวใหญ่ดังกังวาน มหิตาเทวีเงยพักตร์ขึ้นด้วยดีพระทัยเป็นนัก ทรงจดจำได้ในทันทีว่าเป็นเสียงของผู้ใด วรกายอ้อนแอ้นผุดลุกขึ้นต้อนรับการกลับมาของพระสวามี พระนางใคร่โผไปซบพระอุระด้วยความห่วงหามิทันได้สังเกตสีพระพักตร์ที่ถมึงทึง เมื่อเอื้อมหัตถ์ไปยังมิทันถึงองค์ ก็ถูกภูวิษะเจ้าก็ผลักจนล้มลงไปกองกับพื้น





            “อย่าคิดว่าไม่รู้ ว่าเจ้ากระทำสิ่งใด!!?” มหิตาเทวีได้สดับดังนั้นสีพระพักตร์ก็ซีดเผือดลงทันที ทรงประเมินพระสวามีต่ำเกินไป





            “สะ..เสด็จพี่..ทรงรู้ !!!” ริมโอษฐ์อิ่มสั่นเทา





            “มหิตาเสียแรงนัก...เสียแรงที่รักเจ้ายิ่งชีวีของเรา”





            “ทรงอภัยให้หม่อมฉันเถิดเพคะ” ตรัสแล้วก้มลงกราบแทบเบื้องบาท แต่ความพิโรธมิได้คลายตัวลงเลย เคียงฟ้าซึ่งวิ่งตามมาด้วยความยินดี พอเห็นเข้าหล่อนก็ปรับเปลี่ยนสีหน้าไม่ทัน





             “เจ้าภู ใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน” หล่อนตรงเข้าไปขวางกลางระหว่างคนทั้งคู่ หากภูวิษะเจ้ามองไม่เห็นหล่อน แล้วกวาดหัตถ์เหวี่ยงออกไปจนหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายหลบ





             “เคียงฟ้า ออกมา! อย่าไปยุ่ง” ร่างสูงใหญ่ของวิทยเทพดึงหล่อนออกมาจากการวิวาทของสามีภรรยา





            “อาจารย์คะ แต่ว่า...” หล่อนยังไม่พูดจบดี ผอบใส่เครื่องหอมก็ลอยเฉียดศีรษะไป





            “ว้าย!!” หญิงสาวร้องได้แค่นั้นแล้วก็จำใจต้องหลบ





            “อาจารย์คะ เขาจะฆ่ากันตายไหม?”





            “เฮ้อ...ยังไงตายจนมาเกิดเป็นเธอแล้วนี่แม่คุณ” คำตอบนั้นดูยียวนนักจนเคียงฟ้าหันมาค้อนขวับ คิ้วเรียวของหล่อนขมวดมุ่นไม่เข้าใจผู้เป็นอาจารย์แต่ยังอดปากไว้มิกล้าเถียง





            “ปล่อยให้เป็นเวทีของเขาสองคนเถิด” รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นเหมือนนึกขำ แล้วจึงจัดแจงลากตัวลูกศิษย์สาวไปอีกมุมห้อง





            “เจ้าทำร้ายเรา!!”





            “ไม่เพคะ หม่อมฉันรักเสด็จพี่!!”





            “นี่หรือรัก เจ้าทำของสกปรกใส่เรา จิตใจเจ้ามันโสมมนัก ต้องการสิ่งใดกันหรือคิดต้องการควบคุมเราทั้งร่างกายและจิตใจ ต้องการอยู่เหนือเราอย่างนั้นใช่ไหม?”





            “มิใช่เพคะ เสด็จพี่อย่าเข้าใจเช่นนั้น” มหิตาเทวียังคงหมอบอยู่บนพื้น ดวงพักตร์นองไปด้วยน้ำพระเนตร ในหทัยเจ็บปวดไม่แพ้กัน





             “แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด จึงทำเช่นนี้” ริมโอษฐ์อิ่มกลับเงียบไม่ตรัสตอบสิ่งใดกลับมา สร้างความขุ่นพระทัยให้ภูวิษะเจ้ายิ่งนักถึงขั้นกระชากวรกายบอบบางนั้นขึ้นมาเขย่าไปมาด้วยโทสะ





            "บอกมาเดี๋ยวนี้!!!" สิ้นสุรเสียงตวาดก้องมหิตาเทวีก็หวีดร้องออกมา ก่อนจะกระท่อนกระแท่นตรัสตอบทั้งน้ำอัศสุชล





           “ทรงโปรดเถิดเพคะ น้องทำลงไปด้วยรักทั้งสิ้น” ตรัสจบก็ทิ้งวรกายลงกับพื้น สองกรยังกุมชายภูษาพระสวามี





           “รัก? กระทำเยี่ยงนี้หรือเรียกว่ารัก” ดวงเนตรส่อแววเจ็บปวดพระทัยยิ่งนัก





            “รักแล้วใยจึงทำเช่นนี้ รักแล้วไฉนจึงทำร้ายเรา นี่หรือคำว่ารักของเจ้า...มันมีความหมายเช่นนี้เองรึ?”





            “เสด็จพี่!! ฮือ..จะตบตีน้องอย่างไรก็อย่าได้ประณามหยามเหยียดกันเช่นนี้เลย”





           “แล้วจะให้มองอย่างไร หญิงที่ทำเสน่ห์ผัวตนเองนั้น มีแต่หญิงแพศยาเท่านั้น!!” ยิ่งสดับถ้อยดำรัสเผ็ดร้อนที่กรีดย้ำลงในพระทัย น้ำพระเนตรก็ไหลนองออกมาดังทำนบทลาย





          “น้องมิใช่หญิงแพศยา แต่เป็นเพียงหญิงที่มีรักเดียวเท่านั้น"





          "ข้าไม่เข้าใจ?"





          “น้องรักเสด็จพี่ มิต้องการให้เสด็จพี่ไปศึกเมืองปาลเพียงเท่านั้นเพคะ” สุรเสียงที่เล่าทูลถวายกระท่อนกระแท่นไปด้วยเสียงสะอื้น





            “เหตุผลเล่า?” ดวงพักตร์งามล้ำบัดนี้ถมึงทึงยิ่งนัก จนเหล่าบริวารหวาดกลัวมิมีผู้ใดกล้าเข้ามาห้ามปราม





           "น้องเพียงต้องการรั้งเสด็จพี่เอาไว้เท่านั้น มิได้ต้องการทำร้ายเสด็จพี่”





           "เพื่อการณ์ใด?"





           “โหรหลวงทำนายว่าไปศึกครั้งนี้ผู้นำทัพจะมีดวงวิวาห์ แล้วจะเป็นผู้ใดไปได้นอกจากเสด็จพี่ หากนำนางหญิงเมืองปาลกลับมาเป็นบำเหน็จสงครามแล้วน้องจะอยู่ได้อย่างไร จะทำเช่นไร มีแต่ต้องตรอมใจตายเท่านั้น” ตรัสจบก็ทุบพระทรวงตนเองโดยแรง ด้วยความอัดอั้นตันพระทัย





            “โง่เง่า....!!” ทรงครางออกมาด้วยด้วยสุรเสียงเหลือเชื่อกับสิ่งที่ได้สดับ





            “เราหายไปแล้วใครจะเป็นผู้สั่งการนำทัพ!!” ดัชนีชี้มายังวงพักตร์หวานด้วยความกริ้วเป็นนัก





            “น้องไม่มีทางออก จึงคิดแต่เพียงว่าหน่วงเหนี่ยงเสด็จพี่ไว้เท่านั้น หากเสด็จพี่ไม่ไปร่วมกองทัพ ผู้อื่นก็คงออกรบแทนเพียงเท่านี้เองเพคะ”





            ด้วยแรงพิโรธกับสิ่งที่ได้สดับจึงฟาดหัตถ์ลงบนนวลปางนั้นทันทีจนวงพักตร์โสภาสะบัด มหิตาเทวีล้มถลาลงไปกองกับพื้นโดยแรง นางเทวีได้ยกหัตถ์ขึ้นกุมพระปางอันบวมช้ำแล้วกรรแสงสะอึกสะอื้น มิไยพระสวามีมิได้มีใจสงสารให้แก่นางเลย ซ้ำยังตะคอกด้วยสุรเสียงอันดัง ทรงเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยตลอดพระชนม์ชีพ มหิตาเทวีทราบได้ในทันทีว่าหนนี้มิใช่เรื่องเล็กน้อยเมื่อทำให้พิโรธถึงเพียงนี้





           “มหิตา...เจ้าทำอย่างไร? รู้หรือไม่นี่เป็นอาญาแผ่นดิน เจ้ามันบ้านัก!” สีพระพักตร์รวดร้าวยิ่งนักยามที่ตรัส





           บรรดานางกำนัลและรับทหารรับใช้ที่รายล้อมอยู่มิมีผู้ใดกล้าขยับเขยื้อนหรือเข้าห้ามปราม ได้แต่มองดูด้วยความตื่นตระหนกแม้คุณท้าวผู้ชราก็เช่นกัน ปทุมมากอดกับนางกำนัลอื่นด้วยความหวาดกลัว นายเหนือหัวของพวกนางไม่เคยแสดงกิริยาอันดุร้ายเช่นนี้





            “กี่วัน...เราอยู่กับเจ้ามากี่วันแล้ว” เมื่อระลึกขึ้นได้สีพระพักตร์ที่แดงก่ำด้วยความพิโรธเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวโดยฉับพลัน มหิตาเทวีมิกล้าทูลตอบ เจ้านาคราชขัดพระทัยนักจึงหันไปถามคุณท้าวจันทร์หอมแทน





           “สะ...สามวันแล้วเพคะ”





           “สามวัน...!!!?” วรองค์สูงโปร่งแทบทรุดลงทันที





           “บัดซบ...บัดซบที่สุด” หยาดเสโทผุดขึ้นมาพร้อมกับความวิตกกังวล ศรีดาราเห็นเข้าก็หวั่นเกรงจะมาลงกับพระเทวีของนางอีก จึงรีบทูลห้าม





           “ท่านภูวิษะอย่าพิโรธเลยเพคะ พระเทวีสำนึกแล้ว”





          “สำนึกแล้วแก้ไขอันใดได้อย่างนั้นรึ?” ตรัสตวาดห้วนห้าว





            “มหิตา...เจ้าเตรียมใจไว้เถิด หัวของผัวเจ้าคงต้องตัดถวายพระบาทเจ้าเพื่อไถ่โทษเสียแล้ว”





            “ไม่! ไม่นะเพคะ!!” มหิตาเทวีผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีพระพักตร์ซีดเผือดไม่ต่างกัน





           “น้องจะทูลขอร้องเสด็จพ่อ สะ..เสด็จพ่อทรงโปรดปรานข้า ต้องยกโทษให้แน่เพคะ” ในพระทัยมิได้เชื่ออย่างที่ตรัสไปเลย แต่พยายามจะปลอบพระทัยพระสวามี เมื่อหัตถ์เรียวบางเข้าลูบวรองค์กลับถูกสะบัดทิ้งอย่างไม่ไยดี





           “เจ้าจะไปทูลพระบาทเจ้าว่าอย่างไร? ตอบมาสิ!!! ตอบมา!” ยิ่งตรัสสุรเสียงยิ่งดังขึ้นจนกลายเป็นตวาด จนรอบข้างหวาดหวั่นมิกล้าสบดวงเนตร





           “ ใคร? บอกข้ามาใครเป็นคนยุยงเจ้าให้ทำเสน่ห์ ”





          “ไม่มีเพคะ! ไม่มี!!!” มหิตาเทวีส่ายพระพักตร์แล้วถอยหลังกรูด หากถูกลุกล้ำเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงพระองค์





           “บอกมาเดี๋ยวนี้!!”





           วรกายงดงามถูกเขย่าจนสั่นคลอนไปทั้งองค์จนน่ากลัวว่าบุบสลายคาหัตถ์พระสวามี นางเทวีก้าวถดถอยจนสุดทางเมื่อรู้ตัวแผ่นปฤษฏางค์ก็ปะทะเข้ากับฝาเรือน ภูวิษะเจ้าก็พิโรธจนลืมเลือนพระสติ หลงลืมไปว่าแน่งน้อยในอุ้งหัตถ์บอบบางเพียงใด





           “ท่านภูวิษะ พอแล้วเพคะ ปล่อยพระเทวีเถิด” ศรีดาราเป็นผู้แรกที่รู้สึกตัวแล้วตรงเข้าห้ามปาม พยายามที่แยกทั้งสองออกจากกัน เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้สติขึ้นมา





           “ไปให้พ้น!!” นางคนสนิทถูกแรงสะบัดละลิ่วไปอีกทาง





           “คุณท้าวจับนางไว้อย่าให้มายุ่งอีกเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าศรีดารา อย่างไรก็ต้องความทั้งหมดในวันนี้ มหิตาเจ้าพูดมา พูดเดี๋ยวนี้!!” ร่างอรชรในอ้อมพระกรยังเม้มโอษฐ์แน่นมิกล้าทูล แต่เป็นนางคนสนิทที่ทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายเฉลยเสียเอง





           “ท่านภูวิษะเป็นข้าเอง! ข้าเองที่นำยาเสน่ห์ให้พระเทวี”





           “ศรีดาราเจ้าอย่าพูดเพ้อเจ้อ เดี๋ยวก็โดนโบยดอก!!” คุณท้าวจันทร์หอมรีบดึงนางออกมา แต่ศรีดาราปัดมือนางแล้วคุกเข่านั่งลงเบื้องหน้าเจ้านาคราช สองมือยกขึ้นพนมดวงหน้านองไปด้วยน้ำตา





           “พระเทวีหรือจะรู้เรื่องมนตราได้ หม่อมฉันเห็นพระเทวีกลุ้มพระทัยเลยคิดแผนการนี้ขึ้นมา”





          “ศรีดารา อย่ามดเท็จ! เจ้าหรือจะบังอาจ ท่านภูวิษะอย่าไปฟังนางเพคะ” คุณท้าวรีบทูลห้ามเกรงว่าเรื่องบานปลายไปใหญ่โต





            “คุณท้าวข้ามิได้มดเท็จ...ข้ากับพระเทวี แค่คิดว่าหาวิธีถ่วงท่านภูวิษะให้อยู่ที่ตำหนักเอาไว้ก็พอ จากนั้นพระเทวีก็จะไปทูลพระบาทเจ้าว่าท่านภูวิษะประชวรจึงไม่อาจนำทัพได้ แต่ไม่รู้จะถ่วงได้อย่างไร ข้าก็เลย...ก็เลยไปหายาเสน่ห์ให้พระเทวี แต่ไม่คิดว่ายาเสน่ห์ของหมอผีกะลอนั่นจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ หม่อมฉันขอประทานอภัยหม่อมฉันผิดไปแล้ว” เมื่อสารภาพจบก็ก้มหน้าลงหมอบกราบทันที เจ้านาคราชนิ่งอึ้งแข็งทื่อไปทั้งวรกาย





          “ศรีดาราเจ้าทำอย่างนี้ได้ยังไง รู้หรือเปล่าว่าเรื่องมนตรา คุณไสยฯ ทั้งหลายเป็นของต้องห้าม มีตราไว้ในกฎมณเฑียรบาล นางคนไม่รักดี เจ้ายุยงพระเทวีไปได้อย่างไร นางหญิงชั่ว!” คุณท้าวเสียอีกที่ผิดหวังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นางตบตีศรีดาราเป็นการใหญ่ ซึ่งนางตัวดีได้แต่ปัดป้องเป็นพัลวัน





           “ก็ข้าอยากช่วยพระเทวี ไม่ได้คิดว่าเรื่องมันจะใหญ่โตขนาดนี้ ข้าขอโทษ ข้ามิได้ตั้งใจ”





           “เจ้าเป็นคนสนิทกลับยุยงส่งเสริมเช่นนี้ นางคนสารเลว!!” คุณท้าวร่ำไห้ “เรื่องทีเกิดขึ้นเจ้ารับผิดชอบไหวรึ? ใช้ทำให้พระเทวีเสื่อมเสียแท้ๆ”





           “คุณท้าว ท่านภูวิษะ ข้า...ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง อย่าได้ตีพระเทวีเลย” การสารภาพของศรีดาราในเวลานี้ทั้งมหิตาเทวีทั้งเคียงฟ้าหรือแม้แต่คุณท้าวก็ไม่เห็นว่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับยิ่งยั่วยุโทสะเจ้านาคราชให้โหมกระหน่ำยิ่งขึ้น





            “ศรีดาราเจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใด สำเหนียกหรือไม่? แม้มีสิบหัวเจ้าก็หาได้รับผิดชอบไหว! ท่านภูวิษะเพคะอย่าได้ถือโทษโกรธนางเลยเพคะ นางเป็นเพียงหญิงโง่ที่ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้นเพคะ”





            คุณท้าวทรุดลงข้างกายนางแล้วยกมือขึ้นพนมท่วมศีรษะเพื่อร้องขอให้ทรงคลายโทสะลง แต่ไม่เป็นผลภูวิษะเจ้าสั่นเทิ้มไปทั้งวรกาย นัยน์ตานั้นเกรี้ยวกราดยิ่งนัก มิมีคำตรัสใดหลุดออกมาอีก ไรทนต์ขบจนแน่น ผู้ใดมองเห็นก็รู้ว่าพิโรธจนมิกล้ากราบทูลสิ่งใดอีก





           พระหัตถ์แกร่งละจากพระชายาหันไปคว้าตัวนางศรีดาราแล้วลากออกไปนอกพระตำหนัก ทรงผลักไสนางจนล้มกลิ้งลงบนพื้นหน้าลาน นางตัวดีบัดนี้กลัวจนลนลานด้วยไม่ทราบว่าจะเจออาญาใดบ้าง





            “เอาลิ่มมาตอกพื้น แล้วมัดนางไว้ข้าจะโบยนาง เร็ว!!!”





             ประกาศิตนั้นทำให้ทุกผู้คนคลายจากอาการตกตะลึงพึงเพริด พลทหารก็รีบทำตามรับสั่งจัดแจงหาไม้ลิ่มมาตอกลงบนพื้น แล้วจับศรีดาราคว่ำหน้าลง มัดข้อมือทั้งสองข้างผูกไว้กับลิ่ม ภูวิษะเจ้ายื่นหัตถ์ไปรับหวายที่ถวายมา แล้วหวดลงไปทันที!!



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2557 3:10:58 น. 0 comments
Counter : 1962 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.