จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
11 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 47

ตอนที่ 47


ในราตรีนั้นดวงจันทร์หลบซ่อนกายอยู่หลังม่านเมฆผืนนภาสลัวมัวไปด้วยเมฆฝน น้ำฟ้าพรำไปทั่วจุมภะ ราวกับจะหลั่งน้ำตาให้กับกุสุมาลย์หญิงงามผู้อาภัพ ผู้คนในตำหนักล้วนพากันโศกเศร้า ภูวิษะเจ้ากับมหิตาผู้เป็นชายาสิ้นไร้คำพูดต่อกันแม้สักครึ่งคำก็มิได้ตรัสต่อกัน ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบเก็บงำความในใจเอาไว้ จนในที่สุดนาคเจ้าเป็นฝ่ายสิ้นความอดทนเสียเอง


“มหิตา..เจ้ามีอะไรจะบอกพี่ไหม?”


เจ้าหญิงแห่งจุมภะเหลียวมาสบเนตรพระสวามีแล้วยิ่งเงียบงันในพระทัยกริ่งเกรงไปสารพัด เจ้านาคราชรู้สิ่งใดบ้าง แล้วจะพิโรธเพียงใด หากพิโรธแล้วจะสิ้นรักพระนางหรือไม่ดำริได้เพียงนี้วรกายอันแช่มช้อยก็แข็งทื่อเหมือนถูกสาป ในขณะที่ภูวิษะเจ้านิ่งรอฟังคำสารภาพจากพระชายาเมื่อเห็นพระนางยังคงนิ่งเงียบมิประสงค์จะแถลงไข ก็ทรงถอนหทัยด้วยความผิดหวัง

“ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะบอกพี่งั้นก็นอนเสียเถิด” ตรัสจบก็ลุกขึ้นตระเตรียมเสด็จออกห้องบรรทม

“เสด็จพี่จะไปไหนเพคะ?”

ภูวิษะเจ้ามิได้ตรัสตอบแต่ทรงดำเนินออกไปเงียบๆแล้วจึงร้องสั่งให้นางกำนัลจัดห้องบรรทมให้พระองค์ใหม่ยังปีกด้านตะวันออกของตำหนัก ทิ้งความฉงนและขมขื่นพระทัยให้แก่มหิตาเทวี แต่พระนางก็มิได้ตรัสถามหรือเอ่ยห้ามสิ่งที่ทรงทำมีเพียงกรรแสงเงียบๆ กับความห่างเหินที่พระสวามีมีให้ในฤทัยมีแต่ความอ้างว้างเดียวดาย ราวกับทุกอย่างสลายไปตรงหน้าวันคืนที่เคยสดใสจากไปพร้อมกับความตายของกุสุมาลย์ ซึ่งมีค่าเพียงนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


อรุณรุ่งแย้มแสงสาดเข้ามาทางบานบัญชรมหิตาเทวีประทับเดียวดายอยู่บนพระแท่น พระพักตร์หมองดวงเนตรแห้งผากด้วยพระทัยอันว้าวุ่นจึงมิอาจข่มเนตรให้บรรทมได้ แต่เมื่อภูวิษะเจ้าเสด็จมาร่วมรับพระกายาหารเช้าด้วยกันอย่างที่เคยปฏิบัติเป็นกิจวัตรพระนางจึงค่อยแย้มสรวลออก


“เสด็จพี่...”พระนางตรัสเรียกด้วยสุรเสียงหวาน แต่พระสวามีเพียงพยักพักตร์รับเท่านั้นมิได้ตรัสตอบอันใด ทำให้พระนางน้อยเก้อเขินไป จึงได้แต่ประทับเงียบๆ ไปตลอดการเสวยนั้น


“ท่านภูวิษะพระเทวีเพคะ” มหิตาเทวีเงยพักตร์ขึ้นเมื่อเห็นนางกำนัล คลานมาหมอบทูลตรงหน้า


“มีอะไรรึ?”


“พระนมขอเข้าเฝ้าเพคะ”


“พระนม? แม่กรรณิการ์?”เทวีน้อยอุทานออกมา


“ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าไหมเพคะ? พระนมมาคอยแต่รุ่งสางแล้ว แต่หม่อมฉันให้พระนมรอจนกว่าจะเสวยเสร็จเพคะ”มหิตาเทวีอยากปฏิเสธด้วยยังมิพร้อมจะเผชิญหน้ากับมารดาของกุสุมาลย์ผู้ซึ่งเป็นพระนมขององค์เองอีกด้วย


“ให้เข้ามา”เป็นภูวิษะเจ้าที่ประทานอนุญาต ก่อนที่พระเทวีจะทันได้ปฏิเสธเมื่อไม่อาจทัดทานพระสวามีได้จึงได้แต่วิตกกังวลในพระทัย


ไม่นานนักนางกำนัลวัยกลางคนผู้เป็นพระนมก็ก้าวเข้ามาใบหน้าตลอดจนท่วงท่านางกรรณิการ์คลับคล้ายกุสุมาลย์อยู่ไม่น้อยเพียงแต่ใบหน้านั้นมิได้หวานแช่มช้อยเท่าบุตรสาว ดวงหน้านางคมเข้มกว่าหญิงในจุมภะปุระเนื่องจากพราหมณ์จารย์ผู้เป็นบิดาได้หญิงจากแดนใต้มาเป็นภริยาเมื่อครั้งไปจาริกบุญยังแดนไกลเชื้อสายนี้ส่งไปถึงกุสุมาลย์นางจึงมีโฉมสะคราญแตกต่างจากผู้อื่นในนครแล้วความงามอันแตกต่างนี้เองเป็นที่มาของเภทภัย


เมื่อมารดาของกุสุมาลย์มาเข้าเฝ้าองค์เทวีจึงประหวั่นในพระทัยยิ่งนัก ทว่าท่าทางของพระนมกลับนิ่งสงบปราศจากสีหน้าและแววตาแห่งความเคียดแค้นอย่างที่มหิตาเทวีคาดไว้จึงได้แต่ละอายพระทัยจนต้องก้มพักตร์หลบนางนม ปล่อยให้พระสวามีเป็นผู้ตรัสถาม


“ถวายพระพรเพคะท่านภูวิษะ พระเทวี”


“พระนมอย่ามากพิธีท่านมีความใด จึงมาเข้าเฝ้าแต่เช้า?”


“คือว่า...” พระนมมีทีท่าลำบากใจที่จะทูลนาคเจ้าเห็นดังนั้นจึงตรัสถามเสียเอง


“พระนมหรือมีเรื่องต้องการทูลเทวีเพียงลำพังก็จงบอกกล่าวแก่เราอย่าได้กริ่งเกรง”


“มิได้เพคะ...มิได้ หม่อมฉันเพียงแต่...ลำบากใจที่จะทูล”นางกรรณิการ์รีบหมอบกราบ


“พระนม...มีเรื่องอันใด หากมีสิ่งใดอยากได้เราช่วยเหลืออย่าได้ลังเลบอกมาเถิด”มหิตาเทวีค่อยคลายพระทัยว่ามารดาของกุสุมาลย์มิได้มากล่าวโทษพระองค์จึงตั้งพระทัยว่าหากนางต้องการสิ่งใดพระนางจะประทานให้จะดูแลนางให้ดีเพื่อเป็นการขมาแก่กุสุมาลย์


“หม่อมฉัน...”นางนมเงยหน้าสบพระเนตร แววตานั้นทอประกายอันล้ำลึกส่งมอบให้แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจกราบทูล


“หม่อมฉันจะมาทูลลาเพคะ”


“ทูลลา?หมายความว่ายังไง?”


“หม่อมฉันเองก็อายุมากแล้วตอนนี้กุสุมาลย์ก็ไปดีแล้ว พระเทวีของหม่อมฉันก็ทรงมีพระสวามีที่ดีงามหม่อมฉันไม่มีห่วงอันใดที่จุมภะอีกแล้วเพคะ...ในชีวิตหม่อมฉันก็จะเหลือคนที่ห่วงอีกเพียงผู้เดียวคือบิดาผู้เป็นพราหมณ์อยู่ที่เมือง ตารตรึงษา[1][1] เท่านั้น..ท่านก็อายุมากแล้ว หม่อมฉันอยากจะไปปรนนิบัติรับใช้ท่าน” บิดาของนางเคยเป็นพราหมณ์หลวงแต่เมื่อถึงวัยชราก็ปลดระวางจากงานต่างๆ แล้วหลีกลี้ไปอยู่ยังหัวเมือง


“ทำไมกะทันหันเยี่ยงนี้?”


“หม่อมฉันคิดไว้นานแล้วเพคะ เพียงแต่กุสุมาลย์ไม่อยู่แล้วหม่อมฉันก็หมดห่วง”

“พระนม!!!” มหิตาเทวีถลาจากพระแท่นลงไปนั่งเสมอนางนมแล้วเกาะกุมมือนางเอาไว้ในขณะที่สองพระเนตรเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา


“พระเทวีอย่ากรรแสงไปเลยเพคะ” นางกรรณิการ์ยกมือขึ้นป้ายน้ำพระเนตรให้องค์เทวี


“พระนมไม่ไปไม่ได้รึ?เสด็จแม่คงไม่ยินดีเป็นแน่ ถ้ารู้ว่าพระนมตัดสินใจอย่างไร”


“หม่อมฉันทูลมหาเทวีตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเพคะท่านทรงประทานอนุญาต เช้านี้หม่อมฉันจึงมาทูลลาพระเทวี”


“อะไรนะ?!! นี่หมายความว่าเราไม่มีทางรั้งพระนมเอาไว้ได้แล้วอย่างนั้นรึ?”มหิตาเทวีตรัสออกมาด้วยสุรเสียงเจือสะอื้น


“พระเทวีมีพระสวามีคอยดูแลอยู่แล้วหม่อมฉันจึงหมดห่วง โปรดประทานอนุญาตเถิดเพคะ”


“พระนม...เราเป็นห่วงพระนมอย่าไปเลยจะได้ไหม?” นางกรรณิการ์นิ่งมองพระพักตร์องค์เทวีที่เลี้ยงดูมาแต่ยังเป็นกุมารีแล้วก็หน่วยน้ำนัยตาก็คลอออกมาอย่างไรนางก็รักหญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าไม่ต่างกับบุตรีในอุทรจึงไม่อาจระงับความเศร้าโศกได้


“พระเทวี...หม่อมฉันไม่อยู่แล้วทรงดูแลตัวเองดีๆ นะคะเพคะ” ว่าแล้วก็ดึงวรองค์บอบบางมาสวมกอดไว้ด้วยความอาลัย


“พระนม...”มหิตาเทวีทรงแน่พระทัยว่าอย่างไรก็รั้งพระนมกรรณิการ์เอาไว้มิได้ จึงได้แต่สวมกอดนางแล้วกรรแสงออกมา หญิงต่างศักดิ์ต่างวัยพากันโทมนัสเป็นที่โศกาแก่ผู้พบเห็น เหล่านางกำนัลที่เฝ้าคอยถวายการรับใช้จึงอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาตาม


“พระนม...อย่าห่วงมหิตาเลย เราจะคอยดูแลนางเองนางอยู่ที่นี่สุขสบายดีทุกอย่าง...ท่านสิอายุก็มาแล้วแล้วยังต้องเดินทางตรากตรำ ถ้าอย่างนั้นเราจะจัดให้ทหารนำรถเทียมม้าไปส่งให้จนถึงอโศกยาของบิดาท่านเอง”เจ้านาคราชเห็นแล้วยังอดสะท้านใจมิได้ จึงทรงประทานเมตตาแก่นางนม


“เป็นพระกรุณาเพคะ แต่หม่อมฉัน...”


“พระนมอย่าได้ปฏิเสธเลย ให้เรา..และเสด็จพี่ได้ตอบแทนพระนมบ้างเถิด พระนมเลี้ยงดูให้น้ำนมแก่เราจนเติบโตมาบัดนี้เรายังมิได้มีโอกาสตอบแทนเลย”


“พระเทวีอย่าตรัสเยี่ยงนั้นหม่อมฉันเป็นเพียงนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น การถวายการรับใช้ย่อมเป็นหน้าที่พึงกระทำอยู่แล้ว มิได้เป็นบุญคุณใดๆ ” นางกล่าวด้วยความเจียมตัวแต่มหิตาเทวีกลับน้อยพระทัยรู้สึกว่ามารดาของกุสุมาลย์ไม่เปิดโอกาสให้พระนางได้ไถ่โทษบ้าง


“แต่สำหรับเราพระนมเหมือนแม่คนที่สอง พี่กุสุมาลย์ก็เหมือนพี่สาวของเรา” เมื่อตรัสแล้วก็มิอาจกลั้นก้อนสะอื้นในอุระได้ทำนบอัสสุชลจึงทลายลงมา


“ขอบพระทัยเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงกรุณาหม่อมฉัน”หลังจากพยายามสะกดกลั้นอารมณ์มานานในที่สุด นางนมก็มิอาจทนไหวต้องร่ำไห้ออกมา จนในห้องทรงสำราญนั้นถูกครอบงำด้วยความเศร้าโศกมีเสียงสะอื้นไห้แทนคีตาบรรเลง เจ้านาคราชแม้มิใช่มนุษย์แต่ยังอดโทมนัสไปด้วยมิได้


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


“แม่ของข้าไปอยู่กับท่านตาที่ตารตรึงษากระนั้นรึ?”


ศาลาหกเหลี่ยมริมน้ำนั้นบัดนี้มีสาวงามซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งชีวิตแล้วกับชายหนุ่มร่างสูงกำลังนั่งสนทนากัน ครู่หนึ่งผีสาวเอ่ยออกมา โดยชายหนุ่มคู่สนทนาพยักหน้ารับ


“ใช่...การเดินทางเป็นไปด้วยดีมีทหารไปส่งนางถึงตารตรึงษาจากนั้นนางก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นคอยปรนนิบัติพรามหณ์ผู้เป็นบิดาแล้วก็ปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กัน โดยไม่ยึดติด..ไม่ห่วงหา ไม่โกรธแค้นใครนางอยู่ที่นั่นอีก 12 ปีจึงจากไปด้วยไข้หัวลม”


“แค่ไข้หัวลมไม่น่าทำให้ตาย” กุสุมาลย์ขมวดคิ้ว เพราะไข้หัวลมคืออาการไข้เมื่อเปลี่ยนฤดูกาลแล้วร่างกายปรับตัวไม่ทันเท่านั้น ในยุคสมัยปัจจุบันเรียกว่าไข้หวัด


“นางหมดอายุขัยแล้วอายุมากขึ้นธาตุไฟในตัวมอดไปเสียแล้ว ไม่สร้างความอบอุ่นใดแก่ร่างกายได้อีก พอแค่เป็นเพียงไข้เล็กน้อยก็จากไป”


“โธ่..แม่ ท่านบอกข้าสินางไม่ทรมานใช่ไหม?”


“ไม่...นางจากไปอย่างสงบ”เมื่อได้ฟังคำตอบกุสุมาลย์จึงถอนหายใจ ยกมือขึ้นปาดน้ำที่หางตา


“แล้วท่านตาเล่า?”


“ท่านพราหมณ์ยังอยู่อีกหลายปีก่อนจะเสียไปด้วยโรคชราในบั้นปลายท่านสุขภาพไม่ดีเคยเป็นไข้ป่าจากการเดินทางเมื่อวัยหนุ่มเมื่อถึงวัยชราร่างกายก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็...ไม่นานนักก็จากไป มีผู้คนร่วมพิธีศพด้วยความอาลัย ท่านเป็นที่น่าเคารพนับถือของชาวบ้านท้องถิ่น”หญิงงามพยักหน้าด้วยความพึงใจ อย่างน้อยๆคนที่นางรักก็มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขจนกระทั่งบั้นปลายชีวิต


“น่าเสียดาย...ที่ข้าไม่มีโอกาสดูแลแม่ ข้ามันลูกอกตัญญู” กุสุมาลย์รำพันออกมาถ้าหากตอนนั้นนางไม่ฆ่าตัวตาย ถ้าหากนางตามมารดาออกไปใช้ชีวิตนอกวัง บางที...วิญญาณของนางอาจจะไม่ต้องเจ็บแค้นข้ามกาลเวลาเช่นนี้บางทีนางอาจจะปล่อยวางทุกข์ลงก็เป็นได้


“เรื่องมันผ่านไปนานนับพันปีแล้วขอแม่คุณอย่าได้เศร้าโศกไป”


“เวลาผ่านมาเนิ่นนานจนป่านนี้...ไม่รู้ว่าแม่ไปอยู่ไหนเสียแล้วมาบัดนี้เหลียวไปรอบตัวข้าไม่เหลือใครเลย เว้นแต่ความแค้นของตนเอง” ท่าทางผีสาวอ่อนลงไปมาก ไม่คับแค้นจับจิตเช่นเดิม


“แม่อยากทราบความเป็นไปของมารดาหรือไม่?”กึ่งเทพรูปทองยิ้มให้หล่อน หญิงงามเงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยแววตาเป็นประกาย


“ท่านบอกข้าได้เถิด”


“หลังจากที่ตายแล้วนางก็ไปเกิดอีก 7 ครั้ง ในวรรณะต่างๆ ทั้งบุตรีอำมาตย์ ทั้งบุตรของพราหมณ์ บุตรพ่อค้า บุตรีของคนปั้นหม้อ เด็กกำพร้า บุตรตรีของทหารชั้นผู้น้อย จนกระทั่ง...ชาติปัจจุบัน”วิมุตติจงใจยุติการพูด แล้วมองสีหน้าของหญิงสาวแล้วรอยยิ้มลึกลับก็ทำงานเมื่อเห็นสีหน้าใคร่รู้ของหล่อน


“นางเป็นอย่างไร?”ความปิติยินดีจากห้วงดวงใจ ทำให้กุสุมาลย์รู้สึกประหนึ่งหัวใจเต้นอีกครั้ง

“ไปดูกันไหม? แต่ต้องให้สัญญาก่อน ว่าอย่าได้เข้าไปยุ่มย่ามในชีวิตของนางเพราะในชาตินี้นางมิใช่มารดาของแม่แล้ว”

“ข้าสัญญาวิทยเทพนำข้าไปเถิด” นางเอ่ยคำสัญญาโดยไม่ลังเล


กึ่งเทพยิ้มอีกครั้งก่อนจะยื่นมือไปให้แม่หญิงผู้หลงกาลเวลา กุสุมาลย์แม้เขินอายแต่ไร้ข้อกังขาใดๆจึงวางมืออันอ่อนนุ่มของตนลงบนฝ่ามือใหญ่แข็งแกร่งนั้น


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


อาคารหลังนั้นเป็นอาคารสามชั้นกรุด้วยกระเบื้องสีแดงหม่น ตัวตึกทอดตัวยาวออกไปเป็นปีกซ้ายและขวามีประตูทางเข้าอยู่ตรงกลาง เหนือประตูมีป้ายระบุว่าเป็นสถานที่ราชการ ในเวลานั้นอาทิตย์รอนแสงลงมาก บอกว่าใกล้เวลาเลิกงาน ผู้เข้าไปติดต่อในอาคารทยอยกันออกมาเหลือทิ้งไว้แต่เจ้าหน้าที่ประจำตึกเท่านั้น


“ที่นี่รึ?”ผีสาวหันมาถามชายหนุ่ม วิมุตติยิ้มรับแทนคำตอบ “เป็นที่หลวง วิญญาณอย่างข้าพระภูมิท่านจะยอมให้เข้าไปหรือวิมุตติ”


“ต้องยอมสิ! ลืมแล้วหรือเราเป็นสิ่งใด วิทยาธรอย่างไรเล่า เข้าไปกันเถิด”


ยามนั้นจิตเป็นทิพย์ของวิมุตตินำพาตนเองและกุสุมาลย์มาหยุดยืนอยู่หน้าตึกราชการ โครงทิพย์ร่างทองเรืองรองผุดผาดชุดที่สวมใส่ก็หาใช่ชุดที่ใส่ไปสอนนักศึกษาท่อนบนนั้นเปลือยเปล่าอวดแผงอกกำยำ มีเพียงสังวาลย์และเครื่องทรงใส่ประดับ ส่วนท่อนล่างนุ่งผ้าสีขาวนวลลออยาวคลุมเข่าชายผ้าด้านหน้าปักตราดอกสีแดงประจำกรมกองที่สังกัดเมื่อก้าวเดินนำวิญญาณหญิงงามก้าวผ่านเข้าไปภายในจึงไม่มีเทวภูมิองค์ใดออกมาขัดขวาง


“แม่ทำงานที่นี่งั้นรึ?”


“ใช่...ชาตินี้นางเป็นหญิงม่ายมีบุตรสาวคนหนึ่งอยู่ในวัยเล่าเรียน ส่วนสามีเลิกลากันไปนานโข นอกจากเงินเดือนที่ได้รับแล้วนางยังทำขนมมาขายในที่ทำงานเสริมรายได้อีกด้วย”


“นางขัดสนกระนั้นหรือ?”


“ไม่หรอกมีชีวิตอย่างพอมีพอกิน ไม่ได้เล่นกีฬา ยา บัตร มีเงินเดือน สวัสดิการ อดีตสามีก็ช่วยเหลือเงินทองบ้างรายได้พิเศษนี้นางหาเผื่อบุตรสาวไว้น่ะ เด็กคนนั้นอยู่ในวัยสาวอาจจะใคร่ได้ใคร่มีวัตถุประดับวัยอย่างที่คนอื่นมี”


“แม่...ไม่ว่าเมื่อไรก็เป็นแม่ที่ประเสริฐนัก”หญิงงามยิ้มด้วยความภูมิใจในตัวมารดา


“มาสิ...นางอยู่ในห้องนั้น”วิมุตติชี้ชวนให้เข้าไปห้องเบื้องหน้า


ในห้องนั้นมีโต๊ะเรียงรายเป็นแถวยาวข้าราชการแต่ละคนนั่งประจำยังโต๊ะของตนเอง บ้างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานบ้างก็หันไปคุยกับเพื่อนโต๊ะข้างเคียง บ้างก็กำลังเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน


“นางอยู่ที่นั่น...โต๊ะทางซ้าย”วิทยาธรหนุ่มชี้มือไปยังหญิงวัยกลางคนนางหนึ่ง


กุสุมาลย์เผยอยิ้มด้วยความตื่นเต้นนางกำลังจะได้พบมารดาในอดีตชาติแล้ว ความทรงจำดีงามต่างๆที่มารดาปฏิบัติต่อนางเยี่ยงแม่ที่ดีพึงกระทำต่อลูกทำให้ผีสาวปิติยิ่งนักกับการพบกันหนนี้ แม้นจะเป็นการพบเห็นข้างเดียวก็ตามที


“ในชาตินี้...นางชื่อยุพาพักตร์”เสียงบอกเล่าเรียบเรื่อยๆ แต่นัยน์ตากลับจ้องมองรอดูกิริยาอาการของผีสาว


ชื่อนั้นคุ้นหูนักแต่กุสุมาลย์ยังมิทันได้ตรึกตรองแต่เมื่อมองเห็นหญิงที่ได้ชื่อว่าเคยเป็นมารดาแล้ว นางก็ยืนนิ่งไปด้วยความตกตะลึงใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นคือใบหน้าที่นางเคยเห็นบ่อยๆ ใบหน้าที่แสดงความวิตกกังวลยามที่บุตรสาวร้องไห้มาบอกว่าฝันร้าย ยุพาพักตร์คนนี้จะคอยโอบกอดปลอบประโลมเสมอ


“ลูกสาวนาง...ชื่อเคียงฟ้า!”


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


“ไม่จริง!!”


กุสุมาลย์ตะโกนก้องยามที่ได้ยินจากปากวิมุตติว่าหญิงที่เคยเป็นมารดาในอดีตชาติ ครั้งนี้กลับกลายมาเป็นแม่ของเคียงฟ้าผู้หญิงที่หล่อนเฝ้าสาปแช่งข้ามกาลเวลานานนับพันปี


“เป็นไปไปมิได้ ?ข้าไม่เชื่อ!! วิมุตตินี่ท่านล้อเล่นใช่ไหม?”


“เราบอกกล่าวด้วยความสัตย์จริงนางยุพาพักตร์เคยเป็นมารดาของแม่หญิง แล้วบัดนี้ก็เป็นมารดาของเคียงฟ้า”


หล่อนอยากจะกรีดร้องโหยหวนแต่ไม่อาจทำได้ดังใจนึกเรือนกายไม่เป็นไปตามคำสั่งร่างที่ไร้โลหิตหมุนเวียนกลับยิ่งเย็นชืดไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หญิงงามถามตนเองนี่โชคชะตาเล่นตลกหรือกับนางหรืออย่างไรไฉนจึงต้องคอยซ้ำเติมครั้งแล้วครั้งเล่า มารดาผู้เป็นที่รักบัดนี้เป็นมารดาของหญิงน่าชังคนนั้นนัยน์ตาคู่งามหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว ทรวงอกของหล่อนสะท้อนไปมาโดยแรงมือเท้าคล้ายจะหมดเรี่ยวแรงอย่างกะทันหัน


“ทำไม? ทำไมถึงเป็นเยี่ยงนี้?”


“พระนมกรรณิการ์มิได้โกรธเคืองมหิตาซ้ำยังเวทนา แต่ก็โทมนัสยิ่ง คนหนึ่งก็บุตรสาวอุทร อีกคนหนึ่งก็บุตรสาวที่เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออกด้วยน้ำนมของตนเอง ดังนั้นไม่ว่ากุสุมาลย์หรือมหิตานางก็รักทั้งสิ้น รักโดยไม่มีข้อแม้ แต่นางไม่อาจทำใจได้เมื่อบุตรสาวคนหนึ่งเป็นเหตุให้บุตรสาวอีกคนต้องตาย จึงได้เดินทางออกจากนคร


ในขณะที่มหิตารู้สึกผิดต่อพระนมกรรณิการ์มาก นางเองก็รักใคร่พระนมประหนึ่งแม่คนที่สอง เมื่อเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับแม่หญิงแล้ว มหิตาตั้งจิตว่าจะปวารณาตัวเป็นบุตรสาวที่คอยดูแลรับใช้พระนมแทนแม่อย่างไรเล่า แต่ชาตินั้นไม่เป็นไปตามประสงค์ ทว่าคำอธิษฐานยังส่งผลอยู่ มันเป็นผลบุญเนื่องกันมาเกิดเป็นกุศลหนุนเนื่องให้ได้จุนเจือกันเป็นแม่ลูกกันในชาตินี้”


“ไม่...จริง”เสียงนั้นสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด กุสุมาลย์มองไปเบื้องหน้าเห็นยุพาพักตร์น้ำตาก็รินออกมาเป็นสาย


“บางทีอาจจะเป็นกรรมหนุนเช่นเดียวกัน...”


“กรรมกระไร!!แม่ไม่เคยก่อกรรม”


“พระนมกล่าวโทษตนเองว่านี่เป็นกรรมที่มิได้อบรมสั่งสอนมหิตาให้ดี จึงทำให้นางไม่อาจควบคุมจิตใจตัวเอง ถลำลึกไปเรื่อยๆ ประหนึ่งไร้สามัญสำนึกแยกแยะผิดชอบมันเป็นความรู้สึกติดค้างในใจพระนม หากว่าคราวหน้าได้เป็นแม่ของมหิตาอีกครั้ง หนนี้...จะสั่งสอนนางให้ดีไม่ให้เป็นคนไร้สติ ไม่ให้เป็นคนเอาแต่ใจไม่ให้เป็นคนที่ปิดตาปิดใจไม่ฟังคนรอบข้าง ไม่ให้เป็นคนยะโสโอหังจนวางตนไม่ลง เมื่อเปรียบตนเองกับแม่หญิงจึงรับไม่ได้อย่างไรเล่า...ความคิดฝ่ายมืดเฝ้ากระซิบบอกว่าตนแพ้ แพ้กาย แพ้ใจ แต่ไม่อยากแพ้ทั้งที่เรื่องแพ้ชนะหาได้มีอยู่จริงมันเป็นเพียงมายาที่สร้างขึ้นด้วยมโนของตนเองเท่านั้น


ระหว่างที่ปฏิบัติธรรมพระนมทราบข่าวเมืองจุมภะล่มสลาย นางเสียใจนัก เฝ้าโทษตนเองเป็นส่วนหนึ่งในความพิบัตินั้น ดังนั้น...นางจึงพยายามส่งกระแสกุศลไปให้วิญญาณของมหิตาไม่ให้ตกลงไปเบื้องต่ำพยายามขอให้นางได้มีโอกาสแก้ไข หาไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะเป็นนางเทวีที่ต้องสาปติดอยู่ในเมืองนั้นตลอดไปหาใช่ภูวิษะเจ้าไม่”


“แม่....!!” ผีสาวยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ได้แต่สะอึกสะอื้นเมื่อได้ฟังเรื่องราว


“แต่กรรมนั้นมิได้เสมอกัน...กุศลในชาติภพส่งให้พระนมกรรณิการ์เดินทางไปสู่ชาติภพที่ดีกว่าได้เสวยสมบัติมนุษย์ สมบัติภูมิเกิด มีความสุขสบาย จนบางครั้งก็หลงลืมไปบ้างทำผิดพลาดบ้าง เมื่อเดินทางต่อก็มีทั้งบุญทั้งกรรมเพิ่มขึ้นส่งต่อไปยังชาติต่อๆมา จนในที่สุด....มันถึงวาระ มหิตา...ได้มาเกิดนางจึงรับเอาดวงจิตนั้นไว้ในครรภ์”


“มันเป็นเรื่องบังเอิญ! มันบังเอิญเกินไป ต้องไม่ใช่ ต้องไม่ใช่แบบนี้!!?”


“กุสุมาลย์ในวงล้อแห่งกรรมความบังเอิญนั้นหามีไม่ ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยกรรมกำหนด มนุษย์ทุกคนมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นกิริยามีกรรมเป็นตัวชักนำให้เป็นไป เป็นเช่นนี้ทุกผู้คนไปไม่มีละเว้น...แม่ก็รู้ ไม่ว่ายุคไหน ศาสนาใด ก็สอนเช่นนี้...ในโลกนี้ไม่มีความบังเอิญมีเพียง กรรมที่ตนเองสร้างไว้เท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดโชคชะตาสร้างกรรมดีก็เสวยผลบุญ สร้างกรรมเลวก็รับวิบากไป นี่คือคำสอนในพระศาสนา ทั้งพุทธทั้งพราหมณ์ก็สอนเช่นนี้


หรือจะเอาศาสนาของฝรั่งมังค่า...ก็ไม่ต่างกันพวกฝรั่งบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามพระประสงค์ของผู้เป็นเจ้าหากอยู่ในวิถีที่พระเจ้าสอนจะไม่หลงทาง ไม่ฟังฝ่ายมืด แม้ในศาสนาคริสต์ก็ยังพูดเช่นนี้เลยเห็นไหม?มนุษย์..ศาสนาจารย์ต่างๆ รู้และเข้าใจเรื่องเหล่านี้กันมานาน พยายามจะสอนพยายามจะบอกเล่าให้มนุษย์ด้วยกัน แต่คนส่วนใหญ่ก็...เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้างไปตามจริตพิสัยของตนเอง” วิทยาธรเทพยักไหล่


ถ้อยคำเปรียบเทียบนั้นฟังดูน่าขำ แต่กุสุมาลย์ไม่แม้แต่จะหัวเราะออกมาเพียงสักครึ่งคำ นางตกตะลึงกับสิ่งที่ได้รับรู้ หญิงงามรู้ว่าวิทยาธรหนุ่มมิได้ล้อเล่น แต่มันยากนักที่จะยอมรับความจริงที่ได้รับรู้


“กุสุมาลย์...ยังมีโอกาสในฐานะลูก ให้สุขกับมารดาได้ ความสุขของยุพาพักตร์คือสิ่งใด..นั่นก็คือการได้เห็นลูกเจริญเติบโตไปในทางที่ดีงาม โอกาสนั้น...ขึ้นอยู่กับว่าแม่จะเลือกทางไหน จองเวรเพื่อตัวเอง...หรือปล่อยวางเพื่อมารดา”


“ท่านเอาแม่มาบีบข้า!!!?” หล่อนกรีดร้อง


“มิได้...ทั้งนี้แล้วแต่แม่จะตัดสินใจเถิด”


“คนอย่างท่าน!!มันไร้หัวใจ!!เพื่อให้งานลุล่วงท่านทำทุกวิถีทาง” หญิงสาวงามตวาดใส่หน้าเขาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งสับสนกับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้มา


“กุสุมาลย์...มันมิใช่เยี่ยงนั้น”


“ข้าไม่เชื่อ!!”


“หากแม่เปิดใจสักน้อยแม่จักเข้าใจ สิ่งที่เราเพียรพูด”


“ไหนเลยที่ท่านกล่าวว่าห่วงใยข้าคำนึงถึงความรู้สึกของข้ามาเป็นอันดับแรก แล้วนี่..จะให้เรียกว่าอย่างไรมิใช่อสัตย์หรือวิทยเทพ?”


“ความห่วงใยที่เราต่อแม่เป็นสัตย์จริง...แต่”


“แต่กระไร...งานของท่านสิเป็นสัตย์จริงเที่ยงแท้ยิ่งกว่าสิ่งใด หากมิใช่จงโต้แย้งมา”


“กุสุมาลย์...แม่กำลังบีบเราเช่นกัน”


“ข้าหรือบีบเค้นท่าน...ข้าเป็นเพียงวิญญาณจะมีเรี่ยวแรงอันใดไปต่อกรกับวิทยเทพเยี่ยงท่านได้เล่าวิมุตติ?”อาการตัดพ้อของสาวงามข่มความกล้าแกร่งทุกประการของวิทยาธรหนุ่มลงโดยสิ้นเชิงจนต้องวิทยฐานะใดๆ ก็ถูกปลดเปลื้องกองไว้แทบเท้าเหลือไว้แต่เพียงแต่ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวเท่านั้น


“กุสุมาลย์...เรามิได้...แม่กำลังเสียใจไว้รอแม่อารมณ์ดีเสียก่อน เราค่อยพูดจากันเถิด อย่าเพิ่งคิดมาก อย่าเพิ่งโกรธเคืองเราเลย” วิทยาธรเทพอับจนคำพูดไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร หรือจะปลอบใจนางงามอย่างไรดี นางจึงเข้าใจจึงได้แต่เข้าประชิดตัวพยายามจะปลอบประโลม


“อย่ามายุ่งกับข้า!” ผีสาวสะบัดตัวใส่และถอยห่างออกไปทั้งยังน้ำตานองหน้า


            “กุสุมาลย์ อย่าเพิ่ง...” กล่าวยังไม่ทันจบคำแม่หญิงผู้ข้ามกาลเวลามา ก็หายวับไปจากครองจักษุเสียแล้ว


            “เฮ้อ....”วิมุตติจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง


            “ถ้าเราเลือกได้เราคงกันนางออกจากวงล้อกรรมนี้ไปแล้ว....แต่ในความเป็นจริงหาทำเช่นนั้นได้ไม่”กึ่งเทพรูปทองบ่นพึมพำก่อนจะถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง แล้วจึงพากายทิพย์เคลื่อนย้ายไปจากสถานที่นั้นกลับสู่กายเนื้อ


              เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งวิมุตติพบว่าตนเองนั่งพิงเสาในศาลาริมน้ำแล้วหลับตาอยู่เป็นเวลานาน ดวงตะวันจวนเจียนจะลับฟ้าแล้วแสงสนธยาสีแดงส้มย้อมอาบไปทั่วผืนฟ้า ชายหนุ่มเดินออกมาจากศาลาแหงนหน้ามองฟ้าก็พอคำนวณได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วเมื่อเหลียวมองลงไปยังแม่น้ำเบื้องหน้าก็ยังคงนิ่งสงบปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆเช่นกัน


               “ภูวิษะ...ขอให้สำเร็จเถิด!”


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



[1] เมื่อเทียบเวลาในเรื่องแล้วเมืองนี้ ณ เวลานั้นยังเป็นเมืองเล็กๆ ที่เป็นแหล่งผ่านทางการค้า สำหรับเดินทางขึ้นภาคเหนือด้วยทางเกวียนมีเพียงวัดและชุมชนเล็กๆก่อนจะกลายเป็นเมืองที่มีไชยภูมิสมบูรณ์แก่การสร้างเมืองและสถาปนาขึ้นเป็นนครแห่งใหม่ในอีกเกือบร้อยปีต่อมาในฐานะที่บทประพันธ์นี้จัดเป็นนวนิยายผู้เขียนจึงไม่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ที่พบในเวลาต่อมาของเมืองนี้ ซึ่งจะมีตำนานเมืองเป็นของตนเองกลายเป็นนครโบราณอีกแห่งที่ทิ้งร่องรอยไว้ให้ค้นหาจึงขอเปลี่ยนชื่อเมืองทั้งนี้เพื่อความบันเทิงในฐานะนวนิยาย








Create Date : 11 มิถุนายน 2556
Last Update : 11 มิถุนายน 2556 14:25:00 น. 1 comments
Counter : 1546 Pageviews.

 
^_____^


โดย: Maru FC IP: 223.27.209.34 วันที่: 12 มิถุนายน 2556 เวลา:4:02:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.