เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 47
ตอนที่ 47
ในราตรีนั้นดวงจันทร์หลบซ่อนกายอยู่หลังม่านเมฆผืนนภาสลัวมัวไปด้วยเมฆฝน น้ำฟ้าพรำไปทั่วจุมภะ ราวกับจะหลั่งน้ำตาให้กับกุสุมาลย์หญิงงามผู้อาภัพ ผู้คนในตำหนักล้วนพากันโศกเศร้า ภูวิษะเจ้ากับมหิตาผู้เป็นชายาสิ้นไร้คำพูดต่อกันแม้สักครึ่งคำก็มิได้ตรัสต่อกัน ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบเก็บงำความในใจเอาไว้ จนในที่สุดนาคเจ้าเป็นฝ่ายสิ้นความอดทนเสียเอง
มหิตา..เจ้ามีอะไรจะบอกพี่ไหม?
เจ้าหญิงแห่งจุมภะเหลียวมาสบเนตรพระสวามีแล้วยิ่งเงียบงันในพระทัยกริ่งเกรงไปสารพัด เจ้านาคราชรู้สิ่งใดบ้าง แล้วจะพิโรธเพียงใด หากพิโรธแล้วจะสิ้นรักพระนางหรือไม่ดำริได้เพียงนี้วรกายอันแช่มช้อยก็แข็งทื่อเหมือนถูกสาป ในขณะที่ภูวิษะเจ้านิ่งรอฟังคำสารภาพจากพระชายาเมื่อเห็นพระนางยังคงนิ่งเงียบมิประสงค์จะแถลงไข ก็ทรงถอนหทัยด้วยความผิดหวัง ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะบอกพี่งั้นก็นอนเสียเถิด ตรัสจบก็ลุกขึ้นตระเตรียมเสด็จออกห้องบรรทม เสด็จพี่จะไปไหนเพคะ? ภูวิษะเจ้ามิได้ตรัสตอบแต่ทรงดำเนินออกไปเงียบๆแล้วจึงร้องสั่งให้นางกำนัลจัดห้องบรรทมให้พระองค์ใหม่ยังปีกด้านตะวันออกของตำหนัก ทิ้งความฉงนและขมขื่นพระทัยให้แก่มหิตาเทวี แต่พระนางก็มิได้ตรัสถามหรือเอ่ยห้ามสิ่งที่ทรงทำมีเพียงกรรแสงเงียบๆ กับความห่างเหินที่พระสวามีมีให้ในฤทัยมีแต่ความอ้างว้างเดียวดาย ราวกับทุกอย่างสลายไปตรงหน้าวันคืนที่เคยสดใสจากไปพร้อมกับความตายของกุสุมาลย์ ซึ่งมีค่าเพียงนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อรุณรุ่งแย้มแสงสาดเข้ามาทางบานบัญชรมหิตาเทวีประทับเดียวดายอยู่บนพระแท่น พระพักตร์หมองดวงเนตรแห้งผากด้วยพระทัยอันว้าวุ่นจึงมิอาจข่มเนตรให้บรรทมได้ แต่เมื่อภูวิษะเจ้าเสด็จมาร่วมรับพระกายาหารเช้าด้วยกันอย่างที่เคยปฏิบัติเป็นกิจวัตรพระนางจึงค่อยแย้มสรวลออก
เสด็จพี่...พระนางตรัสเรียกด้วยสุรเสียงหวาน แต่พระสวามีเพียงพยักพักตร์รับเท่านั้นมิได้ตรัสตอบอันใด ทำให้พระนางน้อยเก้อเขินไป จึงได้แต่ประทับเงียบๆ ไปตลอดการเสวยนั้น
ท่านภูวิษะพระเทวีเพคะ มหิตาเทวีเงยพักตร์ขึ้นเมื่อเห็นนางกำนัล คลานมาหมอบทูลตรงหน้า
มีอะไรรึ?
พระนมขอเข้าเฝ้าเพคะ
พระนม? แม่กรรณิการ์?เทวีน้อยอุทานออกมา
ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าไหมเพคะ? พระนมมาคอยแต่รุ่งสางแล้ว แต่หม่อมฉันให้พระนมรอจนกว่าจะเสวยเสร็จเพคะมหิตาเทวีอยากปฏิเสธด้วยยังมิพร้อมจะเผชิญหน้ากับมารดาของกุสุมาลย์ผู้ซึ่งเป็นพระนมขององค์เองอีกด้วย
ให้เข้ามาเป็นภูวิษะเจ้าที่ประทานอนุญาต ก่อนที่พระเทวีจะทันได้ปฏิเสธเมื่อไม่อาจทัดทานพระสวามีได้จึงได้แต่วิตกกังวลในพระทัย
ไม่นานนักนางกำนัลวัยกลางคนผู้เป็นพระนมก็ก้าวเข้ามาใบหน้าตลอดจนท่วงท่านางกรรณิการ์คลับคล้ายกุสุมาลย์อยู่ไม่น้อยเพียงแต่ใบหน้านั้นมิได้หวานแช่มช้อยเท่าบุตรสาว ดวงหน้านางคมเข้มกว่าหญิงในจุมภะปุระเนื่องจากพราหมณ์จารย์ผู้เป็นบิดาได้หญิงจากแดนใต้มาเป็นภริยาเมื่อครั้งไปจาริกบุญยังแดนไกลเชื้อสายนี้ส่งไปถึงกุสุมาลย์นางจึงมีโฉมสะคราญแตกต่างจากผู้อื่นในนครแล้วความงามอันแตกต่างนี้เองเป็นที่มาของเภทภัย
เมื่อมารดาของกุสุมาลย์มาเข้าเฝ้าองค์เทวีจึงประหวั่นในพระทัยยิ่งนัก ทว่าท่าทางของพระนมกลับนิ่งสงบปราศจากสีหน้าและแววตาแห่งความเคียดแค้นอย่างที่มหิตาเทวีคาดไว้จึงได้แต่ละอายพระทัยจนต้องก้มพักตร์หลบนางนม ปล่อยให้พระสวามีเป็นผู้ตรัสถาม
ถวายพระพรเพคะท่านภูวิษะ พระเทวี
พระนมอย่ามากพิธีท่านมีความใด จึงมาเข้าเฝ้าแต่เช้า?
คือว่า... พระนมมีทีท่าลำบากใจที่จะทูลนาคเจ้าเห็นดังนั้นจึงตรัสถามเสียเอง
พระนมหรือมีเรื่องต้องการทูลเทวีเพียงลำพังก็จงบอกกล่าวแก่เราอย่าได้กริ่งเกรง
มิได้เพคะ...มิได้ หม่อมฉันเพียงแต่...ลำบากใจที่จะทูลนางกรรณิการ์รีบหมอบกราบ
พระนม...มีเรื่องอันใด หากมีสิ่งใดอยากได้เราช่วยเหลืออย่าได้ลังเลบอกมาเถิดมหิตาเทวีค่อยคลายพระทัยว่ามารดาของกุสุมาลย์มิได้มากล่าวโทษพระองค์จึงตั้งพระทัยว่าหากนางต้องการสิ่งใดพระนางจะประทานให้จะดูแลนางให้ดีเพื่อเป็นการขมาแก่กุสุมาลย์
หม่อมฉัน...นางนมเงยหน้าสบพระเนตร แววตานั้นทอประกายอันล้ำลึกส่งมอบให้แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจกราบทูล
หม่อมฉันจะมาทูลลาเพคะ
ทูลลา?หมายความว่ายังไง?
หม่อมฉันเองก็อายุมากแล้วตอนนี้กุสุมาลย์ก็ไปดีแล้ว พระเทวีของหม่อมฉันก็ทรงมีพระสวามีที่ดีงามหม่อมฉันไม่มีห่วงอันใดที่จุมภะอีกแล้วเพคะ...ในชีวิตหม่อมฉันก็จะเหลือคนที่ห่วงอีกเพียงผู้เดียวคือบิดาผู้เป็นพราหมณ์อยู่ที่เมือง ตารตรึงษา[1] เท่านั้น..ท่านก็อายุมากแล้ว หม่อมฉันอยากจะไปปรนนิบัติรับใช้ท่าน บิดาของนางเคยเป็นพราหมณ์หลวงแต่เมื่อถึงวัยชราก็ปลดระวางจากงานต่างๆ แล้วหลีกลี้ไปอยู่ยังหัวเมือง
ทำไมกะทันหันเยี่ยงนี้?
หม่อมฉันคิดไว้นานแล้วเพคะ เพียงแต่กุสุมาลย์ไม่อยู่แล้วหม่อมฉันก็หมดห่วง พระนม!!! มหิตาเทวีถลาจากพระแท่นลงไปนั่งเสมอนางนมแล้วเกาะกุมมือนางเอาไว้ในขณะที่สองพระเนตรเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
พระเทวีอย่ากรรแสงไปเลยเพคะ นางกรรณิการ์ยกมือขึ้นป้ายน้ำพระเนตรให้องค์เทวี
พระนมไม่ไปไม่ได้รึ?เสด็จแม่คงไม่ยินดีเป็นแน่ ถ้ารู้ว่าพระนมตัดสินใจอย่างไร
หม่อมฉันทูลมหาเทวีตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเพคะท่านทรงประทานอนุญาต เช้านี้หม่อมฉันจึงมาทูลลาพระเทวี
อะไรนะ?!! นี่หมายความว่าเราไม่มีทางรั้งพระนมเอาไว้ได้แล้วอย่างนั้นรึ?มหิตาเทวีตรัสออกมาด้วยสุรเสียงเจือสะอื้น
พระเทวีมีพระสวามีคอยดูแลอยู่แล้วหม่อมฉันจึงหมดห่วง โปรดประทานอนุญาตเถิดเพคะ
พระนม...เราเป็นห่วงพระนมอย่าไปเลยจะได้ไหม? นางกรรณิการ์นิ่งมองพระพักตร์องค์เทวีที่เลี้ยงดูมาแต่ยังเป็นกุมารีแล้วก็หน่วยน้ำนัยตาก็คลอออกมาอย่างไรนางก็รักหญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าไม่ต่างกับบุตรีในอุทรจึงไม่อาจระงับความเศร้าโศกได้
พระเทวี...หม่อมฉันไม่อยู่แล้วทรงดูแลตัวเองดีๆ นะคะเพคะ ว่าแล้วก็ดึงวรองค์บอบบางมาสวมกอดไว้ด้วยความอาลัย
พระนม...มหิตาเทวีทรงแน่พระทัยว่าอย่างไรก็รั้งพระนมกรรณิการ์เอาไว้มิได้ จึงได้แต่สวมกอดนางแล้วกรรแสงออกมา หญิงต่างศักดิ์ต่างวัยพากันโทมนัสเป็นที่โศกาแก่ผู้พบเห็น เหล่านางกำนัลที่เฝ้าคอยถวายการรับใช้จึงอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาตาม
พระนม...อย่าห่วงมหิตาเลย เราจะคอยดูแลนางเองนางอยู่ที่นี่สุขสบายดีทุกอย่าง...ท่านสิอายุก็มาแล้วแล้วยังต้องเดินทางตรากตรำ ถ้าอย่างนั้นเราจะจัดให้ทหารนำรถเทียมม้าไปส่งให้จนถึงอโศกยาของบิดาท่านเองเจ้านาคราชเห็นแล้วยังอดสะท้านใจมิได้ จึงทรงประทานเมตตาแก่นางนม
เป็นพระกรุณาเพคะ แต่หม่อมฉัน...
พระนมอย่าได้ปฏิเสธเลย ให้เรา..และเสด็จพี่ได้ตอบแทนพระนมบ้างเถิด พระนมเลี้ยงดูให้น้ำนมแก่เราจนเติบโตมาบัดนี้เรายังมิได้มีโอกาสตอบแทนเลย
พระเทวีอย่าตรัสเยี่ยงนั้นหม่อมฉันเป็นเพียงนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น การถวายการรับใช้ย่อมเป็นหน้าที่พึงกระทำอยู่แล้ว มิได้เป็นบุญคุณใดๆ นางกล่าวด้วยความเจียมตัวแต่มหิตาเทวีกลับน้อยพระทัยรู้สึกว่ามารดาของกุสุมาลย์ไม่เปิดโอกาสให้พระนางได้ไถ่โทษบ้าง
แต่สำหรับเราพระนมเหมือนแม่คนที่สอง พี่กุสุมาลย์ก็เหมือนพี่สาวของเรา เมื่อตรัสแล้วก็มิอาจกลั้นก้อนสะอื้นในอุระได้ทำนบอัสสุชลจึงทลายลงมา
ขอบพระทัยเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงกรุณาหม่อมฉันหลังจากพยายามสะกดกลั้นอารมณ์มานานในที่สุด นางนมก็มิอาจทนไหวต้องร่ำไห้ออกมา จนในห้องทรงสำราญนั้นถูกครอบงำด้วยความเศร้าโศกมีเสียงสะอื้นไห้แทนคีตาบรรเลง เจ้านาคราชแม้มิใช่มนุษย์แต่ยังอดโทมนัสไปด้วยมิได้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แม่ของข้าไปอยู่กับท่านตาที่ตารตรึงษากระนั้นรึ?
ศาลาหกเหลี่ยมริมน้ำนั้นบัดนี้มีสาวงามซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งชีวิตแล้วกับชายหนุ่มร่างสูงกำลังนั่งสนทนากัน ครู่หนึ่งผีสาวเอ่ยออกมา โดยชายหนุ่มคู่สนทนาพยักหน้ารับ
ใช่...การเดินทางเป็นไปด้วยดีมีทหารไปส่งนางถึงตารตรึงษาจากนั้นนางก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นคอยปรนนิบัติพรามหณ์ผู้เป็นบิดาแล้วก็ปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กัน โดยไม่ยึดติด..ไม่ห่วงหา ไม่โกรธแค้นใครนางอยู่ที่นั่นอีก 12 ปีจึงจากไปด้วยไข้หัวลม
แค่ไข้หัวลมไม่น่าทำให้ตาย กุสุมาลย์ขมวดคิ้ว เพราะไข้หัวลมคืออาการไข้เมื่อเปลี่ยนฤดูกาลแล้วร่างกายปรับตัวไม่ทันเท่านั้น ในยุคสมัยปัจจุบันเรียกว่าไข้หวัด
นางหมดอายุขัยแล้วอายุมากขึ้นธาตุไฟในตัวมอดไปเสียแล้ว ไม่สร้างความอบอุ่นใดแก่ร่างกายได้อีก พอแค่เป็นเพียงไข้เล็กน้อยก็จากไป
โธ่..แม่ ท่านบอกข้าสินางไม่ทรมานใช่ไหม?
ไม่...นางจากไปอย่างสงบเมื่อได้ฟังคำตอบกุสุมาลย์จึงถอนหายใจ ยกมือขึ้นปาดน้ำที่หางตา
แล้วท่านตาเล่า?
ท่านพราหมณ์ยังอยู่อีกหลายปีก่อนจะเสียไปด้วยโรคชราในบั้นปลายท่านสุขภาพไม่ดีเคยเป็นไข้ป่าจากการเดินทางเมื่อวัยหนุ่มเมื่อถึงวัยชราร่างกายก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็...ไม่นานนักก็จากไป มีผู้คนร่วมพิธีศพด้วยความอาลัย ท่านเป็นที่น่าเคารพนับถือของชาวบ้านท้องถิ่นหญิงงามพยักหน้าด้วยความพึงใจ อย่างน้อยๆคนที่นางรักก็มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขจนกระทั่งบั้นปลายชีวิต
น่าเสียดาย...ที่ข้าไม่มีโอกาสดูแลแม่ ข้ามันลูกอกตัญญู กุสุมาลย์รำพันออกมาถ้าหากตอนนั้นนางไม่ฆ่าตัวตาย ถ้าหากนางตามมารดาออกไปใช้ชีวิตนอกวัง บางที...วิญญาณของนางอาจจะไม่ต้องเจ็บแค้นข้ามกาลเวลาเช่นนี้บางทีนางอาจจะปล่อยวางทุกข์ลงก็เป็นได้
เรื่องมันผ่านไปนานนับพันปีแล้วขอแม่คุณอย่าได้เศร้าโศกไป
เวลาผ่านมาเนิ่นนานจนป่านนี้...ไม่รู้ว่าแม่ไปอยู่ไหนเสียแล้วมาบัดนี้เหลียวไปรอบตัวข้าไม่เหลือใครเลย เว้นแต่ความแค้นของตนเอง ท่าทางผีสาวอ่อนลงไปมาก ไม่คับแค้นจับจิตเช่นเดิม
แม่อยากทราบความเป็นไปของมารดาหรือไม่?กึ่งเทพรูปทองยิ้มให้หล่อน หญิงงามเงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยแววตาเป็นประกาย
ท่านบอกข้าได้เถิด
หลังจากที่ตายแล้วนางก็ไปเกิดอีก 7 ครั้ง ในวรรณะต่างๆ ทั้งบุตรีอำมาตย์ ทั้งบุตรของพราหมณ์ บุตรพ่อค้า บุตรีของคนปั้นหม้อ เด็กกำพร้า บุตรตรีของทหารชั้นผู้น้อย จนกระทั่ง...ชาติปัจจุบันวิมุตติจงใจยุติการพูด แล้วมองสีหน้าของหญิงสาวแล้วรอยยิ้มลึกลับก็ทำงานเมื่อเห็นสีหน้าใคร่รู้ของหล่อน
นางเป็นอย่างไร?ความปิติยินดีจากห้วงดวงใจ ทำให้กุสุมาลย์รู้สึกประหนึ่งหัวใจเต้นอีกครั้ง ไปดูกันไหม? แต่ต้องให้สัญญาก่อน ว่าอย่าได้เข้าไปยุ่มย่ามในชีวิตของนางเพราะในชาตินี้นางมิใช่มารดาของแม่แล้ว ข้าสัญญาวิทยเทพนำข้าไปเถิด นางเอ่ยคำสัญญาโดยไม่ลังเล
กึ่งเทพยิ้มอีกครั้งก่อนจะยื่นมือไปให้แม่หญิงผู้หลงกาลเวลา กุสุมาลย์แม้เขินอายแต่ไร้ข้อกังขาใดๆจึงวางมืออันอ่อนนุ่มของตนลงบนฝ่ามือใหญ่แข็งแกร่งนั้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อาคารหลังนั้นเป็นอาคารสามชั้นกรุด้วยกระเบื้องสีแดงหม่น ตัวตึกทอดตัวยาวออกไปเป็นปีกซ้ายและขวามีประตูทางเข้าอยู่ตรงกลาง เหนือประตูมีป้ายระบุว่าเป็นสถานที่ราชการ ในเวลานั้นอาทิตย์รอนแสงลงมาก บอกว่าใกล้เวลาเลิกงาน ผู้เข้าไปติดต่อในอาคารทยอยกันออกมาเหลือทิ้งไว้แต่เจ้าหน้าที่ประจำตึกเท่านั้น
ที่นี่รึ?ผีสาวหันมาถามชายหนุ่ม วิมุตติยิ้มรับแทนคำตอบ เป็นที่หลวง วิญญาณอย่างข้าพระภูมิท่านจะยอมให้เข้าไปหรือวิมุตติ
ต้องยอมสิ! ลืมแล้วหรือเราเป็นสิ่งใด วิทยาธรอย่างไรเล่า เข้าไปกันเถิด
ยามนั้นจิตเป็นทิพย์ของวิมุตตินำพาตนเองและกุสุมาลย์มาหยุดยืนอยู่หน้าตึกราชการ โครงทิพย์ร่างทองเรืองรองผุดผาดชุดที่สวมใส่ก็หาใช่ชุดที่ใส่ไปสอนนักศึกษาท่อนบนนั้นเปลือยเปล่าอวดแผงอกกำยำ มีเพียงสังวาลย์และเครื่องทรงใส่ประดับ ส่วนท่อนล่างนุ่งผ้าสีขาวนวลลออยาวคลุมเข่าชายผ้าด้านหน้าปักตราดอกสีแดงประจำกรมกองที่สังกัดเมื่อก้าวเดินนำวิญญาณหญิงงามก้าวผ่านเข้าไปภายในจึงไม่มีเทวภูมิองค์ใดออกมาขัดขวาง
แม่ทำงานที่นี่งั้นรึ?
ใช่...ชาตินี้นางเป็นหญิงม่ายมีบุตรสาวคนหนึ่งอยู่ในวัยเล่าเรียน ส่วนสามีเลิกลากันไปนานโข นอกจากเงินเดือนที่ได้รับแล้วนางยังทำขนมมาขายในที่ทำงานเสริมรายได้อีกด้วย
นางขัดสนกระนั้นหรือ?
ไม่หรอกมีชีวิตอย่างพอมีพอกิน ไม่ได้เล่นกีฬา ยา บัตร มีเงินเดือน สวัสดิการ อดีตสามีก็ช่วยเหลือเงินทองบ้างรายได้พิเศษนี้นางหาเผื่อบุตรสาวไว้น่ะ เด็กคนนั้นอยู่ในวัยสาวอาจจะใคร่ได้ใคร่มีวัตถุประดับวัยอย่างที่คนอื่นมี
แม่...ไม่ว่าเมื่อไรก็เป็นแม่ที่ประเสริฐนักหญิงงามยิ้มด้วยความภูมิใจในตัวมารดา
มาสิ...นางอยู่ในห้องนั้นวิมุตติชี้ชวนให้เข้าไปห้องเบื้องหน้า
ในห้องนั้นมีโต๊ะเรียงรายเป็นแถวยาวข้าราชการแต่ละคนนั่งประจำยังโต๊ะของตนเอง บ้างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานบ้างก็หันไปคุยกับเพื่อนโต๊ะข้างเคียง บ้างก็กำลังเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน
นางอยู่ที่นั่น...โต๊ะทางซ้ายวิทยาธรหนุ่มชี้มือไปยังหญิงวัยกลางคนนางหนึ่ง
กุสุมาลย์เผยอยิ้มด้วยความตื่นเต้นนางกำลังจะได้พบมารดาในอดีตชาติแล้ว ความทรงจำดีงามต่างๆที่มารดาปฏิบัติต่อนางเยี่ยงแม่ที่ดีพึงกระทำต่อลูกทำให้ผีสาวปิติยิ่งนักกับการพบกันหนนี้ แม้นจะเป็นการพบเห็นข้างเดียวก็ตามที
ในชาตินี้...นางชื่อยุพาพักตร์เสียงบอกเล่าเรียบเรื่อยๆ แต่นัยน์ตากลับจ้องมองรอดูกิริยาอาการของผีสาว
ชื่อนั้นคุ้นหูนักแต่กุสุมาลย์ยังมิทันได้ตรึกตรองแต่เมื่อมองเห็นหญิงที่ได้ชื่อว่าเคยเป็นมารดาแล้ว นางก็ยืนนิ่งไปด้วยความตกตะลึงใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นคือใบหน้าที่นางเคยเห็นบ่อยๆ ใบหน้าที่แสดงความวิตกกังวลยามที่บุตรสาวร้องไห้มาบอกว่าฝันร้าย ยุพาพักตร์คนนี้จะคอยโอบกอดปลอบประโลมเสมอ
ลูกสาวนาง...ชื่อเคียงฟ้า!
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่จริง!!
กุสุมาลย์ตะโกนก้องยามที่ได้ยินจากปากวิมุตติว่าหญิงที่เคยเป็นมารดาในอดีตชาติ ครั้งนี้กลับกลายมาเป็นแม่ของเคียงฟ้าผู้หญิงที่หล่อนเฝ้าสาปแช่งข้ามกาลเวลานานนับพันปี
เป็นไปไปมิได้ ?ข้าไม่เชื่อ!! วิมุตตินี่ท่านล้อเล่นใช่ไหม?
เราบอกกล่าวด้วยความสัตย์จริงนางยุพาพักตร์เคยเป็นมารดาของแม่หญิง แล้วบัดนี้ก็เป็นมารดาของเคียงฟ้า
หล่อนอยากจะกรีดร้องโหยหวนแต่ไม่อาจทำได้ดังใจนึกเรือนกายไม่เป็นไปตามคำสั่งร่างที่ไร้โลหิตหมุนเวียนกลับยิ่งเย็นชืดไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หญิงงามถามตนเองนี่โชคชะตาเล่นตลกหรือกับนางหรืออย่างไรไฉนจึงต้องคอยซ้ำเติมครั้งแล้วครั้งเล่า มารดาผู้เป็นที่รักบัดนี้เป็นมารดาของหญิงน่าชังคนนั้นนัยน์ตาคู่งามหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว ทรวงอกของหล่อนสะท้อนไปมาโดยแรงมือเท้าคล้ายจะหมดเรี่ยวแรงอย่างกะทันหัน
ทำไม? ทำไมถึงเป็นเยี่ยงนี้?
พระนมกรรณิการ์มิได้โกรธเคืองมหิตาซ้ำยังเวทนา แต่ก็โทมนัสยิ่ง คนหนึ่งก็บุตรสาวอุทร อีกคนหนึ่งก็บุตรสาวที่เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออกด้วยน้ำนมของตนเอง ดังนั้นไม่ว่ากุสุมาลย์หรือมหิตานางก็รักทั้งสิ้น รักโดยไม่มีข้อแม้ แต่นางไม่อาจทำใจได้เมื่อบุตรสาวคนหนึ่งเป็นเหตุให้บุตรสาวอีกคนต้องตาย จึงได้เดินทางออกจากนคร
ในขณะที่มหิตารู้สึกผิดต่อพระนมกรรณิการ์มาก นางเองก็รักใคร่พระนมประหนึ่งแม่คนที่สอง เมื่อเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับแม่หญิงแล้ว มหิตาตั้งจิตว่าจะปวารณาตัวเป็นบุตรสาวที่คอยดูแลรับใช้พระนมแทนแม่อย่างไรเล่า แต่ชาตินั้นไม่เป็นไปตามประสงค์ ทว่าคำอธิษฐานยังส่งผลอยู่ มันเป็นผลบุญเนื่องกันมาเกิดเป็นกุศลหนุนเนื่องให้ได้จุนเจือกันเป็นแม่ลูกกันในชาตินี้
ไม่...จริงเสียงนั้นสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด กุสุมาลย์มองไปเบื้องหน้าเห็นยุพาพักตร์น้ำตาก็รินออกมาเป็นสาย
บางทีอาจจะเป็นกรรมหนุนเช่นเดียวกัน...
กรรมกระไร!!แม่ไม่เคยก่อกรรม
พระนมกล่าวโทษตนเองว่านี่เป็นกรรมที่มิได้อบรมสั่งสอนมหิตาให้ดี จึงทำให้นางไม่อาจควบคุมจิตใจตัวเอง ถลำลึกไปเรื่อยๆ ประหนึ่งไร้สามัญสำนึกแยกแยะผิดชอบมันเป็นความรู้สึกติดค้างในใจพระนม หากว่าคราวหน้าได้เป็นแม่ของมหิตาอีกครั้ง หนนี้...จะสั่งสอนนางให้ดีไม่ให้เป็นคนไร้สติ ไม่ให้เป็นคนเอาแต่ใจไม่ให้เป็นคนที่ปิดตาปิดใจไม่ฟังคนรอบข้าง ไม่ให้เป็นคนยะโสโอหังจนวางตนไม่ลง เมื่อเปรียบตนเองกับแม่หญิงจึงรับไม่ได้อย่างไรเล่า...ความคิดฝ่ายมืดเฝ้ากระซิบบอกว่าตนแพ้ แพ้กาย แพ้ใจ แต่ไม่อยากแพ้ทั้งที่เรื่องแพ้ชนะหาได้มีอยู่จริงมันเป็นเพียงมายาที่สร้างขึ้นด้วยมโนของตนเองเท่านั้น
ระหว่างที่ปฏิบัติธรรมพระนมทราบข่าวเมืองจุมภะล่มสลาย นางเสียใจนัก เฝ้าโทษตนเองเป็นส่วนหนึ่งในความพิบัตินั้น ดังนั้น...นางจึงพยายามส่งกระแสกุศลไปให้วิญญาณของมหิตาไม่ให้ตกลงไปเบื้องต่ำพยายามขอให้นางได้มีโอกาสแก้ไข หาไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะเป็นนางเทวีที่ต้องสาปติดอยู่ในเมืองนั้นตลอดไปหาใช่ภูวิษะเจ้าไม่
แม่....!! ผีสาวยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ได้แต่สะอึกสะอื้นเมื่อได้ฟังเรื่องราว
แต่กรรมนั้นมิได้เสมอกัน...กุศลในชาติภพส่งให้พระนมกรรณิการ์เดินทางไปสู่ชาติภพที่ดีกว่าได้เสวยสมบัติมนุษย์ สมบัติภูมิเกิด มีความสุขสบาย จนบางครั้งก็หลงลืมไปบ้างทำผิดพลาดบ้าง เมื่อเดินทางต่อก็มีทั้งบุญทั้งกรรมเพิ่มขึ้นส่งต่อไปยังชาติต่อๆมา จนในที่สุด....มันถึงวาระ มหิตา...ได้มาเกิดนางจึงรับเอาดวงจิตนั้นไว้ในครรภ์
มันเป็นเรื่องบังเอิญ! มันบังเอิญเกินไป ต้องไม่ใช่ ต้องไม่ใช่แบบนี้!!?
กุสุมาลย์ในวงล้อแห่งกรรมความบังเอิญนั้นหามีไม่ ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยกรรมกำหนด มนุษย์ทุกคนมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นกิริยามีกรรมเป็นตัวชักนำให้เป็นไป เป็นเช่นนี้ทุกผู้คนไปไม่มีละเว้น...แม่ก็รู้ ไม่ว่ายุคไหน ศาสนาใด ก็สอนเช่นนี้...ในโลกนี้ไม่มีความบังเอิญมีเพียง กรรมที่ตนเองสร้างไว้เท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดโชคชะตาสร้างกรรมดีก็เสวยผลบุญ สร้างกรรมเลวก็รับวิบากไป นี่คือคำสอนในพระศาสนา ทั้งพุทธทั้งพราหมณ์ก็สอนเช่นนี้
หรือจะเอาศาสนาของฝรั่งมังค่า...ก็ไม่ต่างกันพวกฝรั่งบอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามพระประสงค์ของผู้เป็นเจ้าหากอยู่ในวิถีที่พระเจ้าสอนจะไม่หลงทาง ไม่ฟังฝ่ายมืด แม้ในศาสนาคริสต์ก็ยังพูดเช่นนี้เลยเห็นไหม?มนุษย์..ศาสนาจารย์ต่างๆ รู้และเข้าใจเรื่องเหล่านี้กันมานาน พยายามจะสอนพยายามจะบอกเล่าให้มนุษย์ด้วยกัน แต่คนส่วนใหญ่ก็...เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้างไปตามจริตพิสัยของตนเอง วิทยาธรเทพยักไหล่
ถ้อยคำเปรียบเทียบนั้นฟังดูน่าขำ แต่กุสุมาลย์ไม่แม้แต่จะหัวเราะออกมาเพียงสักครึ่งคำ นางตกตะลึงกับสิ่งที่ได้รับรู้ หญิงงามรู้ว่าวิทยาธรหนุ่มมิได้ล้อเล่น แต่มันยากนักที่จะยอมรับความจริงที่ได้รับรู้
กุสุมาลย์...ยังมีโอกาสในฐานะลูก ให้สุขกับมารดาได้ ความสุขของยุพาพักตร์คือสิ่งใด..นั่นก็คือการได้เห็นลูกเจริญเติบโตไปในทางที่ดีงาม โอกาสนั้น...ขึ้นอยู่กับว่าแม่จะเลือกทางไหน จองเวรเพื่อตัวเอง...หรือปล่อยวางเพื่อมารดา
ท่านเอาแม่มาบีบข้า!!!? หล่อนกรีดร้อง
มิได้...ทั้งนี้แล้วแต่แม่จะตัดสินใจเถิด
คนอย่างท่าน!!มันไร้หัวใจ!!เพื่อให้งานลุล่วงท่านทำทุกวิถีทาง หญิงสาวงามตวาดใส่หน้าเขาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งสับสนกับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้มา
กุสุมาลย์...มันมิใช่เยี่ยงนั้น
ข้าไม่เชื่อ!!
หากแม่เปิดใจสักน้อยแม่จักเข้าใจ สิ่งที่เราเพียรพูด
ไหนเลยที่ท่านกล่าวว่าห่วงใยข้าคำนึงถึงความรู้สึกของข้ามาเป็นอันดับแรก แล้วนี่..จะให้เรียกว่าอย่างไรมิใช่อสัตย์หรือวิทยเทพ?
ความห่วงใยที่เราต่อแม่เป็นสัตย์จริง...แต่
แต่กระไร...งานของท่านสิเป็นสัตย์จริงเที่ยงแท้ยิ่งกว่าสิ่งใด หากมิใช่จงโต้แย้งมา
กุสุมาลย์...แม่กำลังบีบเราเช่นกัน
ข้าหรือบีบเค้นท่าน...ข้าเป็นเพียงวิญญาณจะมีเรี่ยวแรงอันใดไปต่อกรกับวิทยเทพเยี่ยงท่านได้เล่าวิมุตติ?อาการตัดพ้อของสาวงามข่มความกล้าแกร่งทุกประการของวิทยาธรหนุ่มลงโดยสิ้นเชิงจนต้องวิทยฐานะใดๆ ก็ถูกปลดเปลื้องกองไว้แทบเท้าเหลือไว้แต่เพียงแต่ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวเท่านั้น
กุสุมาลย์...เรามิได้...แม่กำลังเสียใจไว้รอแม่อารมณ์ดีเสียก่อน เราค่อยพูดจากันเถิด อย่าเพิ่งคิดมาก อย่าเพิ่งโกรธเคืองเราเลย วิทยาธรเทพอับจนคำพูดไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร หรือจะปลอบใจนางงามอย่างไรดี นางจึงเข้าใจจึงได้แต่เข้าประชิดตัวพยายามจะปลอบประโลม
อย่ามายุ่งกับข้า! ผีสาวสะบัดตัวใส่และถอยห่างออกไปทั้งยังน้ำตานองหน้า
กุสุมาลย์ อย่าเพิ่ง... กล่าวยังไม่ทันจบคำแม่หญิงผู้ข้ามกาลเวลามา ก็หายวับไปจากครองจักษุเสียแล้ว
เฮ้อ....วิมุตติจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
ถ้าเราเลือกได้เราคงกันนางออกจากวงล้อกรรมนี้ไปแล้ว....แต่ในความเป็นจริงหาทำเช่นนั้นได้ไม่กึ่งเทพรูปทองบ่นพึมพำก่อนจะถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง แล้วจึงพากายทิพย์เคลื่อนย้ายไปจากสถานที่นั้นกลับสู่กายเนื้อ
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งวิมุตติพบว่าตนเองนั่งพิงเสาในศาลาริมน้ำแล้วหลับตาอยู่เป็นเวลานาน ดวงตะวันจวนเจียนจะลับฟ้าแล้วแสงสนธยาสีแดงส้มย้อมอาบไปทั่วผืนฟ้า ชายหนุ่มเดินออกมาจากศาลาแหงนหน้ามองฟ้าก็พอคำนวณได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วเมื่อเหลียวมองลงไปยังแม่น้ำเบื้องหน้าก็ยังคงนิ่งสงบปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆเช่นกัน
ภูวิษะ...ขอให้สำเร็จเถิด!
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 11 มิถุนายน 2556 |
Last Update : 11 มิถุนายน 2556 14:25:00 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1546 Pageviews. |
|
|