เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 10
ตอนที่ 10 มหิตาเทวี
ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูกนั้น รบกวนจิตใจเคียงฟ้าอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวลุกลี้ลุกลนจนเพื่อนๆ ต้องถามว่าเป็นอะไร หล่อนไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะผู้ชายที่นั่งเป็นประธานงานรับน้องครั้งนี้อยู่ข้างๆ ตรีภูมิอย่างไรเล่า!
ก่อนหน้าที่วิมุตติจะปรากฏตัวนั้น คณะนักศึกษาจากกรุงเทพฯ พากันยกเจ้าของสถานที่ขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาเป็นการใหญ่ ถึงสถานที่อันสวยงามและการต้อนรับที่เขาจัดเตรียมไว้ให้นั้น ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เพราะทุกอย่างมันสะดวกสบายเกินกว่าจะเป็นการรับน้องทั่วๆ ไป
ตั้งแต่เมื่อกลางวันมาแล้วที่หล่อนพบเขาโดยบังเอิญ วิมุตติที่ใครๆ พูดถึงนั้นรูปงามดังคำร่ำลือ ทว่าเคียงฟ้าไม่ชอบสายตาคู่นั้นเลย มันคมกริบราวกับจะมองทะลุและยิ้มเย้ยหล่อนตลอดเวลา หญิงสาวรู้ตัวว่ามันไม่มีเหตุผลพอในความอคตินี้ เมื่อแยกจากกันไปหล่อนค่อยหายใจโล่งขึ้นมาบ้าง
แต่เมื่อถึงเวลาอาหารมื้อเย็นนั้นความอึดอัดยิ่งทบทวีขึ้น เรือนใหญ่ที่ใช้เป็นโรงรับประทานอาหารนั้นกว้างใหญ่พอจะงานสังสรรค์ได้ พื้นไม้กว้างเป็นลานยาวขันโตกหลายชุดถูกจัดให้นักศึกษาที่แบ่งกลุ่มนั่งเป็นวงนั้นอย่างทั่วถึง ทุกคนมองอาหารที่จัดให้อย่างประณีตงดงาม แล้วต้องสบตากันคล้ายจะถามคำถามว่า 'หรูเกินไปหรือเปล่า?' อีกทั้งยังวงดนตรีพื้นบ้านแต่งกายอย่างชาวล้านนามาบรรเลงขับกล่อมอีกด้วย
"กินๆ ไปเถอะน่า เขามีอะไรให้กินก็กินไปเถอะ อย่าเรื่องมาก" นั่นเป็นคำตอบที่ตรีภูมิเอ็ดรุ่นน้องกลับมา เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์
"ไม่ได้เรื่องมากนะพี่แต่ว่า...มัน หะ-หรู หะ-หรา เหมือนรับแขกบ้านแขกเมืองหรือทริปทัวร์แน่ะ"
"ก็พวกเอ็งไงทริปทัวร์มาจาก 'มหาลัย ฮ่า ฮ่า" คนที่ไม่เคยรู้สึกว่าสิ่งรอบตัวแปลกประหลาด ก็ยังคงเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องตลกตามเคย
"ที่นี่ไม่ใช่รีสอร์ทแน่นะพี่ ไม่ใช่วันกลับเจอบิลล์มาอ้วกเลยล่ะ"
"อุวะ! ไอ้พวกนี้อยากจ่ายค่าที่พักนักใช่ไหม?"
รุ่นน้องพากันส่ายหน้าปฏิเสธกันเป็นทิวแถว ก่อนจะก้มหน้าตักอาหารแต่ไม่ทันที่ช้อนจะถึงจานกับข้าวก็โดนพงศ์เทพรุ่นพี่ปี 4 ตบเข้าที่หลังมือ
"ไอ้พวกไม่มีมารยาท อย่าตะกละรอเจ้าภาพก่อน" บรรดาเฟรชชี่จึงไม่มีใครกล้าแตะต้องอาหารอีก จนกว่าจะได้รับสัญญาณให้เริ่มรับประทานได้
"ตรี เจ้าล่ะเมื่อไรจะมา?"
"เดี๋ยวคงมามั้ง? หิวกันแล้วรึ? งั้นเดี๋ยวข้าไปตามก็ได้"
ตรีภูมิเตรียมขยับจะลุกขึ้น แต่เมื่อเห็นร่างสูงของคนที่กำลังถามหาเดินเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกลก็ชะงักค้าง เสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่ก็พลันหยุดลง นักดนตรีพากันวางเครื่องดนตรีลงแล้วยกมือไหว้ชายผู้เข้ามาใหม่โดยพร้อมเพรียง ชายหนุ่มร่างสูงปรายตามองแล้วจึงพยักหน้าเยื้อนยิ้มให้แทนการรับไหว้ เขาสวมรับเสื้อคอกว้างที่ทำจากฝ้ายป่านสีขาวนวลประดับตกแต่งด้วยแผ่นเงิน กับกางเกงเตี่ยวยาวทอลาย อันเป็นชุดพื้นเมืองเช่นเดียวกับคนในไร่คนอื่นๆ ใส่กัน จะแตกต่างแค่ว่ากางเกงที่สวมอยู่นั้นยาวคลุมถึงข้อเท้า ไม่ใช่เตี่ยวสะดอสั้นครึ่งแข้งเหมือนผู้อื่น
หากแต่ท่วงท่าอากัปกิริยานั้นบ่งบอกว่ามิใช่บ่าวอ้ายในโรงเรือน ดวงหน้าคมคายดวงตาเป็นประกาย เส้นผมสีอ่อนจางกว่าคนทั่วไปนั้นมิได้ถูกรวบไว้ดังเช่นทุกครั้ง แต่ปล่อยลงมาเคลียไหล่ รับกับผิวเนียนกระจ่างอย่างคนไม่เคยทำงานหนัก ภาพตรงหน้าสะกดผู้คนในเรือนให้หยุดนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะส่งเสียงครางออกมา
"หล่อจัง" หญิงสาวหลายคนพึมพำออกมา
"มิน่าถึงเรียกเจ้า บอกว่าเป็นเจ้าก็เชื่อนะเนี่ย" อีกหลายคนพากันวิพากษ์วิจารณ์
"ไอ้เจ้า เจ้าเว้ย!!"
เป็นตรีภูมิที่ยืนขึ้นส่งเสียงโหวกเหวก ทำลายบรรยากาศเงียบงันเมื่อครู่ลงโดยสิ้นเชิง วิมุตติเหลียวหาที่มาของเสียงแล้วจึงส่งยิ้มเป็นกันเองมาให้ ในขณะที่เพื่อนตัวใหญ่ของเขาวิ่งโครมครามเข้าไปหา
"เบาหน่อย เดี๋ยวเรือนทลาย"
หนุ่มรูปทองตำหนิแต่ริมฝีปากบางนั่นยังเจือรอยยิ้มอยู่มิคลาย จากนั้นจึงพากันไปนั่งที่วงขันโตกว่างซึ่งจัดเตรียมไว้บนลานยกพื้น สำหรับเจ้าของไร่เหมวัตและรุ่นพี่กรรมการรับน้องเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
"เอ้า! น้องๆ รู้จักกันหน่อย นี่พี่เจ้า วิมุตติ เจ้าภาพหนนี้" แต่เมื่อเห็นรุ่นน้องจ้องมองกันเงียบไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ตรีภูมิจึงต้องเป็นฝ่ายกระตุ้นเสียเอง
"ตบมือต้อนรับหน่อยเว้ย!!" จึงเรียกสติทุกคนในที่นั้นได้จากการตบมือนำร่องของหนุ่มร่างใหญ่นั่นเอง
"ไอ้เจ้า ให้โอวาทหน่อยเด๊ะ" วิมุตติเลิกคิ้วขึ้นมองเพื่อนเล็กน้อย แล้วจึงค่อยเปล่งเสียงออกไป
"สวัสดีครับน้องๆ ผมวิมุตติ ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ไร่เหมวัตแห่งนี้ หวังว่าการต้อนรับครั้งนี้คงไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องไป"
"ให้อยู่ฟรีกินฟรีนี่ก็บุญแล้วเว้ย! ใครจะกล้าบ่นอะไรวะ" เสียงที่ขัดขึ้นกลางปล้องของตรีภูมิ ทำเอารุ่นน้องที่ฟังอยู่ลอบหัวเราะคิกคักกันเป็นทิวแถว
"ขอให้การรับน้องครั้งนี้เป็นไปอย่างสวัสดิภาพ มีความสำราญกันทุกคนทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมก็ขอให้บอก...ผมอยากให้ไร่เหมวัตเป็นความทรงจำที่ประทับใจสำหรับทุกคนครับ"
สิ้นคำกล่าวต้อนรับนพชัยที่นั่งอยู่อีกด้าน ก็เตือนรุ่นน้องให้ขอบคุณเจ้าของสถานที่บ้าง คำขอบคุณจึงดังเซ็งแซ่ไปหมด ชายหนุ่มแค่ยิ้มรับแล้วบอกให้เริ่มรับประทานอาหารกันได้ ก่อนจะหันไปโบกมือให้วงดนตรีบรรเลงอีกครั้ง
"ไปเอามาจากไหนวะ วงสะล้อ ซอ ซึง นั่นน่ะ ที่จริงไม่ต้องต้อนรับพวกมันดีนักหรอกแค่ให้ที่นอนที่กินก็ถมถืดแล้ว อย่างงี้พวกข้าก็ต้องจ่ายค่าวงดนตรีด้วยดิ" วิมุตติยังไม่ทันได้ตอบ ตรีภูมิก็รีบชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
"เฮ้ย! อย่าบอกไม่เอานะเว้ย!! แค่นี้ก็รบกวนแย่แล้ว"
"วงนั่น...มาจากโรงเรียนที่พ่อท่านอุปถัมภ์น่ะ ไม่ได้เสียเงินจ้าง แต่ถ้าอยากให้ค่าขนมเด็กนักเรียนก็เอาสิ"
"โอ้...เหรอวะ...ได้ๆ เดี๋ยวจัดให้ แหม...แต่ต้อนรับไอ้พวกนี้ดีเกินเหตุกลับไปต้องเหลิงแน่ๆ เลย" หนุ่มร่างใหญ่บ่นอุบอิบ
"ก็ดีแล้วนี่...เขาจะได้ไม่หาว่าเอาน้องมาทรมานแบบที่เป็นข่าวกันบ่อยๆ"
"ทรมง ทรมาน อาร้ายยยย...ย แทบจะทูนหัวทูนเกล้า วาแต่แกเหอะ...ผมหายไปไหนครึ่งหนึ่งวะ เมื่อกลางวันเห็นมัดอยู่เลยไม่ได้สังเกต" หลายปีมาแล้วที่วิมุตติไว้ผมยาวถึงกลางหลัง แต่มาวันนี้ผมสวยนั้นถูกซอยสั้นเหลือเพียงแค่ประบ่าเท่านั้น
"ปีที่แล้วบวชน่ะ" ชายหนุ่มตอบเรียบๆ
การสนทนาเป็นไปอย่างเป็นกันเอง ระหว่างอาหารมื้อนั้นวิมุตติมักจะจ้องมองผ่านรุ่นน้องคนอื่นๆ ไปยังกลุ่มของเคียงฟ้าเป็นระยะ จนหญิงสาวกลุ่มนั้นรู้สึกตัว พวกหล่อนพากันส่งยิ้มแล้วหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น มีแต่เคียงฟ้าเท่านั้นที่ก้มหน้าหลบสายตาคมกริบคู่นั้น
"นี่ๆ พี่เจ้าเขามองมาทางนี้แน่ะ ปิ๊งใครหรือเปล่า?"
"บ้าเหรอ? เพิ่งเจอหน้ากันหนแรกไม่ใช่ปลากัดนะยะ"
ฟังคำค้านแล้วทั้งกลุ่มก็พากันหัวเราะ คงมีแต่เคียงฟ้าเท่านั้นที่ค้านอยู่ในใจว่าไม่ใช่หนแรก ในขณะที่เพื่อนหญิงคนอื่นๆ พากันหัวเราะต่อกระซิบถึงหนุ่มรูปงามนั่น หญิงสาวยิ่งรู้สึกอึดอัดจึงรีบรวบรัดการรับประทานอาหารให้เสร็จโดยไว
"นี่พวกเธอ...ถ้าฉันจะจีบพี่เขา พวกเธอต้องช่วยเชียร์นะ"
แอน หรือมิรันตี สาวใจกล้าประจำกลุ่มเอ่ยจับจองขึ้นมาเป็นคนแรก หน้าตาของหล่อนสวยเก๋ในสไตล์สาวรุ่นใหม่ จึงเป็นที่ชื่นชอบของหนุ่มรุ่นเดียวกันอยู่ไม่น้อย
"ฉันกลับห้องพักก่อนนะ" เมื่ออยู่ๆ เคียงฟ้ากล่าวตัดบทขึ้นมา สาวๆ ทั้งกลุ่มพากันชะงักและหันมามองผู้พูดเป็นตาเดียว
"อิ่มแล้วเหรอ? ของหวานยังไม่มาเลยนะ"
"ฉันปวดหัวน่ะ ขอไปนอนก่อนนะ"
"เป็นอะไรมากหรือเปล่า? เอายาไหม?" เพื่อนบางคนยังมีแก่ใจถามไถ่
"ไม่เป็นไรจ้ะ" หญิงสาวพูดได้แค่นั้นแล้วปลีกตัวออกไปทันที
"นี่เขาโกรธอะไรใครน่ะ? หน้าบึ้งเชียว? หรือไม่พอใจที่ฉันบอกจะจีบพี่เจ้า?"
มิรันตีทำหน้าเหรอหรา แต่เพื่อนๆ พากันบอกว่าหล่อนคิดมากเกินไป เคียงฟ้าคงจะไม่สบายอย่างที่บอกเท่านั้น เมื่อหญิงสาวพ้นสายตาไปแล้วพวกหล่อนก็ไม่สนใจจะพูดถึงอีก และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่นแทน ในขณะที่การกระทำของหล่อนในสายตาของวิมุตติทั้งหมด ชายหนุ่มเบนสายตากลับมาก่อนที่ใครจะทันสังเกตเห็น เขาตักอาหารรับประทานอีกสองคำจึงค่อยลุกขึ้นตามหญิงสาวไป
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แสงไฟสลัวจากเสาโคมทรงสวยที่ติดตั้งไว้เป็นระยะๆ ตั้งแต่ถนนทางเดินจวบจนถึงตัวบ้านพัก หญิงสาวเดินจ้ำพรวดๆ ในใจนึกถามตนเองว่าเป็นอะไร เหตุใดจึงไม่ชอบสายตาคู่นั้นของชายหนุ่มเสียมากมาย แต่ก็หาคำตอบไม่ได้จึงตัดสินกลับไปนอนพักผ่อนที่เรือนเล็ก ลับหลังร่างบางนั้นเสียงแหบพร่าคล้ายเสียงโหยไห้ของใครบางคนก็ดังขึ้นมา
"มาแล้ว....นางมาแล้ว...ว"
เสียงครางแผ่วเบาลอยตามลมมา เคียงฟ้าได้ยินเข้าก็หยุดชะงัก แต่เมื่อเหลียวไปมองรอบกายก็ไม่พบเห็นใคร หญิงสาวปลอบใจตนเองว่าหูแว่วไปเท่านั้น แต่บรรยากาศมืดมิดและเปลี่ยวร้างรอบข้าง ทำเอาหล่อนหนาวยะเยือกจนขนลุกชันจึงรีบเร่งฝีเท้าขึ้นอีก
หญิงสาวเดินจากไปไกลแล้ว แต่ในความมืดของราตรีกาลนั่นมีสายตาคู่หนึ่งส่องประกายสีทองวาวโรจน์ เพ่งมองไปในทิศที่หล่อนเพิ่งเดินไป
"มาจนได้นะ....เรารอเจ้ามานานเหลือเกิน มหิตาเทวี!" เสียงทุ้มกังวานแฝงด้วยโทสะอีกเสียงหนึ่ง ดังแทรกความมืดขึ้นมาประสานรับกับเสียงแรก
"นางมาแล้...ว...อีกไม่นานแล้...ว ภูวิษะเจ้..า.."
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เรือนไม้หลังน้อยของเคียงฟ้าค่อยๆ มีแสงไฟกระจ่างขึ้น เมื่อหล่อนก้าวเข้าไปภายใน หญิงสาวยืนพิงประตูแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน หล่อนรู้สึกเพลียอย่างบอกไม่ถูกทั้งจากกิจกรรมตลอดวันที่ผ่านมา และจากความไม่สบายใจอย่างไร้สาเหตุนั่น เป็นชนวนเพิ่มความเครียดอีกด้วย เคียงฟ้าเดินไปนั่งพักบนเตียงชั่วครู่ แล้วรื้อกระเป๋าเป้นำเสื้อผ้าออกมาจัดแขวนใส่ตู้เสื้อผ้าที่มุมห้อง ระหว่างนั้นสายตาก็พลันเหลือบเห็น 'บางสิ่ง' เคลื่อนไหวอยู่ใต้โต๊ะเครื่องแป้ง หล่อนชะงักและต้องอ้าปากค้างทันทีเมื่อพบว่าเป็นอะไร
ร่างยาวเลื้อยคืบคลานออกมาให้เห็นชัดเจน งูสีดำลำตัวยาวมีเกล็ดเป็นประกายมะเมื่อมเมื่อต้องแสงไฟ บัดนี้มันเลื้อยมาหยุดตรงหน้าหล่อน และชูคอขึ้นมาพลางส่งเสียงขู่ฟ่อ หญิงสาวยืนตัวแข็งไปด้วยความตกใจกลัว หล่อนอ้ำอึ้งไม่รู้จะทำอย่างไรอีกทั้งไม่กล้าเคลื่อนไหวด้วย งูดำนั่นคล้ายจะรู้ว่าหล่อนกลัวมัน ก็ยิ่งย่ามใจเลื้อยเข้ามาใกล้ทุกขณะ
"มหิตา...เรารอเจ้ามาแสนนาน..."
ดวงตาของงูจ้องมองมายังหล่อนเรืองแสงสีทองขึ้นอย่างกลัว หญิงสาวพยายามขยับตัวหนีแต่ร่างกายนั้นแข็งทื่อราวโดนสะกด ไม่ยอมฟังคำสั่งหล่อนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งน่าประหลาดใจไปกว่านั้นเมื่อเคียงฟ้ารู้สึกราวได้ยินเสียงงูนั้น พูดเป็นภาษามนุษย์ดังก้องอยู่ในสมองของหล่อน น้ำเสียงนั้นคลับคล้ายว่าเคยได้ยินที่ใดมาก่อน แต่ในยามวิกฤตปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้ หล่อนไม่อาจรำลึกได้ในทันทีว่าเป็นเสียงของใคร
"ชะ....ช่วยด้วย!" ร่างบอบบางนั่นพยายามขืนตนเต็มที่ เสียงเล็กเปล่งออกมาจากลำคออย่างยากเย็น
"คะ...ใครก็ได้..." แต่ไม่มีผลอะไรมากไปกว่าเสียงพึมพำในลำคอ งูดำนั้นเลื้อยสวบสาบเข้ามาใกล้หล่อนขึ้นเรื่อยๆ
"เจ้าเรียกหาใครช่วย? จะมีผู้ใดยินยอมช่วยเจ้าดอกฤา นางบาป!?" สิ้นประโยคนั้นเคียงฟ้าสะดุ้งเฮือก
"นางบาป? คุณเองรึ?" ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้หล่อนถามออกไปอย่างนั้น
"ยังจำเราได้ฤา...." .
หญิงสาวหลับตาปี๋พยายามสวดมนต์ภาวนา และบอกตนเองว่านี่คือฝันร้ายเหมือนทุกๆ ครั้งเท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรอสรพิษตัวนั้นยังคงอยู่เบื้องหน้าหล่อน
"ช่วยด้วยใครก็ได้ช่วยด้วย!! ฉันยังไม่อยากตาย!!" หญิงสาวร่ำร้องอยู่ในใจ
"แล้วผู้อื่นอยากตายหรือไรเล่า ?" เสียงนั่นถามกลับมาด้วยความเย็นชา
"ฉันไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น" ร่างบางดิ้นรนปฏิเสธ เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มหน้าเนียนใสนั่น
พญามัจจุราชเยื้องย่างเข้ามาใกล้ทุกขณะจิต หญิงสาวหมดสิ้นเรี่ยวแรงสำเหนียกว่าไม่อาจหลีกหนีความตายได้แล้ว จึงร่ำไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา อสรพิษสีดำดุจนิลนั่นเห็นเข้าจึงชะงักไปชั่วครู่คล้ายกำลังรีรอคำสั่งอยู่ อีกอึดใจต่อมามันจึงเลื้อยถอยห่างออกไป ทิ้งไว้เพียงเสียงของกล่าวอาฆาตมาดร้ายของชายผู้นั้น
"เรายังมิให้เจ้าม้วยมรณ์ง่ายดายนักหรอก...มหิตาเอ๋ย!"
(จบตอนที่ 10) +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 06 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 7 ตุลาคม 2555 16:50:06 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2570 Pageviews. |
|
|
วคะ