จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
6 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 16


ตอนที่ 16
บุรุษผู้โอหัง



                 เคียงฟ้านั่งตัวเกร็งอยู่ในวงอาหารเย็นจนเพื่อนๆ สังเกตเห็น ก็จะไม่ให้เกร็งได้อย่างไรเล่าเมื่อหล่อนถูกดวงตาทรงอำนาจคู่นั้นจับจ้องอยู่ตลอดเวลา เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว หญิงสาวถามตนเองอย่างไม่เข้าใจ เจ้าภูวิษะคนนั้นผูกใจเจ็บอะไรหล่อนนักหนา บางครั้งเขาก็มีสีหน้าเศร้าคล้ายมีเรื่องอยากบอกกล่าว แต่พอเคียงฟ้าหันไปสบตาเขากลับแสดงท่าทางยโสเย่อหยิ่งใส่หล่อนจนถูกมองหงุดหงิด


                 เมื่อตอนบ่ายแก่ๆ ก็เช่นกันกิจกรรมรับน้องเสร็จสิ้นเพียงแค่ครึ่งเช้าของวันที่สองเท่านั้น จากนั้นก็ปล่อยให้น้องๆ ทุกคนพักผ่อนกันตามสบาย หล่อนเลี่ยงตัวจากกลุ่มพวกผู้หญิง ที่เอาแต่จับกลุ่มพูดคุยเรื่องเจ้ารูปงามทั้งสองไปเดินเล่น ร่างบางเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ บนทางเดินเขียวขจี ไร่เหมวัตนั้นใหญ่โตเกินจำนวนผู้คนที่อาศัยอยู่ แม้จะถูกเพิ่มเติมด้วยนักศึกษาน้องใหม่อีกเกือบสี่สิบชีวิตก็ตามที แต่ก็ยังเหลือมุมสงบอีกมาก เคียงฟ้ามาหยุดยืนมองเรือนริมน้ำอันว่างเปล่าไร้ผู้คน ทั้งที่เมื่อตอนเที่ยงนี้ร่างสันทัดของใครบางคนยังนั่งเอนกายอยู่ตรงนี้


                 "เมี้ยว...ว" 

                 เสียงร้องดังขึ้นข้างตัวเมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นเจ้าตัวขาวขนปุยนั่นเอง มันกำลังเอาหัวกลมๆ เหมือนซาลาเปานั่นถูขาหล่อนอยู่ ท่าทางเหมือนต้องการผูกมิตรด้วย


                 "อ้าว?" หล่อนย่อกายลงอุ้มมันขึ้นมา

 
                 "วันนี้มาให้อุ้มเองเลยเหรอ? ว่าแต่ตัวนี้ชื่ออะไรน้า...หน้าเหมือนกันไปหมดเลย อุ๊ย! ตาสองสีด้วย" ไม่นานนักหล่อนก็เห็นแมวสีเดียวกันตัวอื่นๆ อยู่ในบริเวณนั้นอีกสี่ห้าตัว ทำเอาหญิงสาวนึกขำขึ้นมา


                 "ได้การล่ะ....เจ้าเหมียวฉันจับแกเป็นตัวประกันล่อพี่เจ้ามาดีไหม?" ว่าแล้วก็ขำจนเผลอหัวเราะออกมา 

 

                 "รู้ไหมสาวๆ เขากำลังหาทางกันอยู่เลย เห็นหน้าแกปุ๊บฉันนึกแผนนี้ขึ้นมาได้เลยล่ะ"

                 ระหว่างที่หล่อนกำลังขบขันกับความคิดของตนเองอยู่นั่น แมวขาวพวกนั้นก็พากันโก่งตัวจนขนฟูแล้วขู่ฟ่อขึ้นมา ในขณะที่เจ้าตัวตาสองสีที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นก็ดิ้นรนเป็นการใหญ่ เหมือนตกใจกลัวบางสิ่งจนต้องหนีไปให้พ้นบริเวณนั้น เคียงฟ้าทนแรงดิ้นถีบของมันไม่ไหวจำต้องปล่อย ข้างเจ้าตัวดีนั้นพอดิ้นหลุดก็วิ่งหนีไปแบบไม่คิดชีวิต จนหญิงสาวอุทานออกมาด้วยความเจ็บ เมื่อยกแขนขึ้นมาก็พบรอยถลอกเป็นทางยาวมีเลือดไหลซึมออกมาด้วย หล่อนความงุนงงกับอากัปกิริยาของแมวแต่ยังไม่ทันได้คลายความสงสงสัย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาทางด้านหลัง

                 "ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เขามีแผนจับผู้ชายกันแบบนี้แล้วรึ?"

                น้ำเสียงนั่นราบเรียบแต่คำพูดดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง เคียงฟ้าหันขวับกลับไปจ้องต้นเสียงทันที ร่างโปร่งในชุดกางเกงเตี่ยวห้าดูกยาว กรอมขาทอลายประณีต กับเสื้อฝ้ายคอจีนสีหม่น แค่มองก็รู้ว่าสั่งตัดมาเฉพาะมิใช่หาซื้อได้ทั่ว ที่สำคัญไปกว่านั้นหล่อนคิดว่าเขาเหมาะเสื้อผ้าแบบนี้ แต่คนสูงสง่านั่นหาได้พูดจาระรื่นหูเหมือนรูปกายชวนมองนั่นเลย

                 "คุณพูดอะไรน่ะเจ้าภูวิษะ!!?" ผู้ชายอวดดีคนนั้นไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ได้ตอบคำถามแต่ย่อตัวลงมานั่งข้างหล่อน

                 "ได้แผลเลยรึ? " ชายหนุ่มผู้ทรงศักดิ์จับข้อมือหล่อนขึ้นมาดู แต่หญิงสาวสะบัดมือหนีทันที

                 "เจ้าคะ...ในสังคมของเจ้าเขาไม่มีใครบอกเลยเหรอคะ ว่าไม่ควรจับมือถือแขนผู้หญิงง่ายๆ แบบนี้" หล่อนจ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ คิดว่าจะได้เห็นแววตาเอาเรื่องกลับมา ทว่าผลออกมาตรงกันข้ามนอกจากเจ้าภูวิษะจะไม่ถือสากับคำพูดนั้นแล้ว ริมฝีปากบางสีระเรื่อนั่นยังระบายรอยยิ้มอ่อนออกมา

                 "หากนั่นเป็นการเชิงชู้สาวล่ะก็ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง เราแค่จะพิศดูรอยแผลเท่านั้น"

                "ไม่ต้องหรอกค่ะ...แค่แผลถลอก" หญิงสาวบอกตนเองว่าอย่าไปสนใจสีหน้ากวนประสาทนั่น

                "ไปล้างแผลหน่อยก็ดี....ไม่คิดว่าเจ้าแมวนั่นจะทำให้...คุณได้เลือด" ยามนี้สายตาที่ส่งมานั้น ฉายแววห่วงไยตรงกันข้ามกับคำพูดเชือดเฉือนพวกนั้น


                "เป็นผู้หญิงได้แผลไปจะไม่งาม..."


                 "...." หญิงสาวขมวดคิ้วถามตนเองว่าเขาจะมาไม้ไหน เมื่อแรกก็ว่ากล่าวหล่อนด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน แต่ตอนนี้กลับแสดงความห่วงไยอ่อนโยนจึงสัมผัสได้


                 "แมวพวกนั้นมันกลัวเรา...แต่ไม่คิดว่ามันจะตกใจจนทำให้คุณได้แผล"


                 "หึ...สัตว์มันไวต่อความรู้สึกค่ะ บางคนไม่น่าคบมันก็ไม่ชอบน่ะสิคะ....ว่าแต่เจ้าเคยแกล้งอะไรพวกมันล่ะสิ ถึงได้กลัวฝังใจ" หล่อนอดที่จะเหน็บแหนมเขาไม่ได้ แต่คนตรงหน้ากลับทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน


               "มันกลัวด้วยสัญชาติญาณ ไม่ว่าสัตว์อะไรก็ไม่กล้าเข้าใกล้เราทั้งนั้นเว้นแต่...งู"
"ทำไมล่ะคะ? " หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความฉงน


                "เพราะสัตว์อื่นได้กลิ่นงูจากร่างเรา"

 
                "คุณเลี้ยงงู ? " เขาไม่ได้ตอบคำถามในทันทีแต่จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาหล่อน จนหญิงสาวร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความเขินอาย


                "จำไม่ได้รึ? งูสีขาวตัวใหญ่มันชื่อจิตตะ "


                "....จิตตะ...." เคียงฟ้าทวนคำมันช่างบังเอิญเหลือเกิน งูเผือกในความฝันของหล่อนก็ชื่อนั้น

 
               "ใช่....งูของเราชื่อจิตตะ เราเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวแม่ของมัน" เขาขยายความให้

 
               "ฉันไม่เคยรู้นี่คะว่าเจ้าเลี้ยงงู จะไปจำได้ยังไงล่ะคะ? เจ้าลืมไปหรือเปล่าเจ้าไม่เคยเล่าให้ฉันฟังสักหน่อย...ไม่สิ...เราไม่เคยคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำ" สิ้นประโยคหญิงสาวอยากจะบอกว่าหล่อนคิดไปเอง ว่าเห็นความผิดหวังในดวงตาคู่นั้น


               "นั่นสิเราไม่รู้จักกันนี่นะ" ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินจากไปทิ้งให้หล่อนยืนงงอยู่ตรงนั้น



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                หญิงสาวฝืนใจรับประทานอาหารให้เสร็จโดยไว แล้วขอตัวกลับเข้าบ้านพักโดยอ้างว่าต้องการพักผ่อน แท้จริงแล้วหล่อนทนสายตาคมกล้าที่จ้องมาไม่ได้ต่างหาก มันสร้างความรู้สึกอึดอัดกระอักกระอ่วนทั้งที่หล่อนไม่ได้ทำความผิดอันใด แต่เมื่อเหลียวมองไปทีไรก็พบสายตาตัดพ้อของเจ้าภูวิษะมองตอบมา เป็นคนอื่นอาจจะบอกว่าหล่อนคิดมากไปเอง แต่ใครจะรู้ดีกว่าเคียงฟ้ากันเล่า หญิงสาวมีอาการปั่นป่วนในช่องท้อง หัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำ อาการนี้จะเป็นเกิดเพราะอะไรนั้นหล่อนก็ตอบไม่ได้ รู้แต่เพียงว่าต้นเหตุคือผู้ชายคนนั้น


                 "ยัยฟ้านี่พิลึกจะรีบไปไหนของเขาน่ะ" มิรันตีมองตามร่างเพื่อนที่เดินลิ่วออกไปจากวงข้าว


                 "ยังไม่สบายอยู่หรือเปล่า?" เพื่อนอีกคนทักขึ้นมา


                 "คงงั้นมั้งไม่รู้สิ เมื่อกี้ก็ยังเห็นดีๆ อยู่นี่" หล่อนไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่านั้น

 
                 "เดี๋ยวเอายาไปเผื่อฟ้าหน่อยดีไหมแอน"


                "โอ้ย ยัยฟ้าน่ะเหรอจะเป็นอะไร มองผู้ชายจนอิ่มน่ะสิถึงได้กินอะไรไม่ลงแล้ว เมื่อกี้ไม่เห็นหรือไงกินข้าวไปนั่งมองเจ้าภูวิษะไป โธ่เอ้ย...เห็นหงิมๆ ที่แท้ก็เล็งไว้เหมือนกัน" เจ้าหล่อนแสดงอาการไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง จนเพื่อนๆ ต้องเบือนหน้าหนี ในขณะที่อีกคนแกล้งแหย่มิรันตีขึ้นมา


                "แอนเจ้ามองมายิ้มเร็ว" เท่านั้นแหละหล่อนเลิกทำหน้าหงิก แล้วเปลี่ยนมาเป็นยิ้มหวานขึ้นมาทันที จนกระทั่งรู้ตัวว่าถูกหลอกจึงหันมาตีแขนเพื่อน


                "นี่ยัยนิ่มหลอกฉันเหรอ?" แล้วทั้งกลุ่มก็ส่งเสียงหัวเราะกันยกใหญ่


                เคียงฟ้ากลับมาถึงเรือนพักหลังน้อย หล่อนควานหายาดมมาดมอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาดังๆ แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง พลางถามตัวเองว่าเป็นอะไรไปถึงได้ติดใจสายตาผู้ชายคนนั้นเหลือเกิน เมื่อตอบตนเองไม่ได้หญิงสาวก็ส่ายหน้าสลัดความคิดนั้นทิ้งไปแล้ว และพยายามข่มตาลงนอนเป็นนานกว่าที่หล่อนจะหลับได้ เพราะความรู้สึกต่างๆ มันตีซ้อนกันขึ้นมาจนยุ่งเหยิงไปหมด


                 ความรู้สึกสงบยามหลับยังดำเนินไปได้ไม่เท่าใดนัก พลันได้ยินเสียงอื้ออึงเหมือนผู้คนพากันส่งเสียงด้วยความสับสนและตกตะลึง เรียกเอาความสนใจของเคียงฟ้าขึ้นมา เบื้องหน้ามีชายหนุ่มรูปงามหมดจดแต่งกายประหลาดนักแลดูคล้ายคนโบราณ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หล่อนตะลึงพรึงเพริดเกินไปกว่า ใบหน้าคมเข้มนั้นพิมพ์ประพายเดียวกันกับเจ้าภูวิษะกำลังจ้องมองมาที่หล่อน หัวใจของหญิงสาวเต้นดังจนได้ยินออกมานอกอก


                 'นี่เราฝันไปเหรอ?'

                หล่อนถามตนเองพลางยกมือขึ้นทาบอก จากนั้นจึงพบว่ามืองามนั้นผิดแผกแตกต่างไปจากมือตนเอง แหวนทองยอดมณีวงใหญ่เท่าหัวแม่โป้งประดับอยู่บนนิ้ว อีกทั้งยังกำไลทองสลักลายเถาไม้เลื้อยอีกหลายวง เมื่อก้มมองดูตนเองก็พบว่าเสื้อผ้าที่นุ่งห่มอยู่นี้ ไม่ใช่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่เคยใส่อยู่เป็นประจำ แต่เป็นภูษาชิ้นงามสีเขียวอมฟ้าเกาะพันอยู่แค่ทรวงอก ปล่อยเว้นให้ช่วงเอวคอดกิ่วเปลือยเปล่าเผยผิวนวล บนร่างยังมีทับทรวงเส้นใหญ่สีทองอร่าม ประดับไปด้วยแก้วมณีสีเขียวแซมสลับลายทอง อวดอยู่โฉมอยู่บนลำคอพาดยาวมาถึงอกอูม ท่อนล่างจึงเป็นผ้าลายทอเล่นสีโทนเขียวแต่คนละเฉดกับท่อนบน เคียงฟ้าพบว่าตนเองนั่งอยู่บนตั่งสีทองพื้นไม้ด้านบนตั่งทาสีแดงดังชาด

 

               ถัดออกไปข้างกายมีหญิงสาวแปลกหน้าอีกสองคนนั่งอยู่เคียงข้างฝั่งละคน คนแรกนั้นนั่งอยู่ด้านขวาดวงหน้าหวานผุดผาดดังเดือนแสงฉายส่องหล้า กิริยานุ่มนวลอ่อนช้อยแม้ยามตกใจ ตรงกันข้ามกับหญิงที่นั่งอยู่ข้างตั่งฝั่งซ้าย หญิงนางนี้เกล้าผมขึ้นเป็นมวยแล้วปักปิ่นเรียบๆ ประดับ ดวงหน้าไม่งดงามเท่านางคนแรกแต่โดดเด่นด้วยคิ้วเข้มหนาดังบุรุษกับดวงตาสุกใส หญิงสาวจำได้ว่าเคยเห็นพวกหล่อนในความฝันก่อนหน้านี้ แต่ก่อนที่หล่อนจะตกตะลึงอึ้งค้างไปนานกว่านี้ เสียงผู้คนก็ฮือฮาขึ้นมาอีกเมื่อบุรุษผู้นั้นกล่าวขึ้นมาว่า


                 "ข้ายังมิอาจเข้าพิธีสยุมพรกับพระธิดามหิตาเทวีได้"

                 สิ้นคำนั้นดวงใจของเคียงฟ้าปวดแปล่บ จนต้องถลันกายไปด้านหน้า ท่ามกลางเสียงวิจารณ์มากมายหญิงสาวสั่นไหวจนแทบทรงกายไว้ไม่อยู่ น้ำอุ่นไหลเอ่อคลอขอบตาจนต้องส่งสายตาตัดพ้อไปยังเขาคนนั้น

                "เพราะเหตุใดเล่า? ในเมื่อเจ้ามาเข้าพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยเอง แล้วไยจึงปฏิเสธลูกข้า มหิตามีสิ่งใดให้เจ้าติติงได้" สุรเสียงตวาดด้วยโทสะของกมุทรามหาเทวีดังกังวานขึ้นสยบทุกเสียงในท้องพระโรง

                 "นั่นสิทำไม?" เสียงที่สองเป็นสุรเสียงของพระบาทเจ้าสิทธเสณ ที่เพิ่งหลุดจากอาการตกพระทัยตรัสถามขึ้นมาบ้าง

                 "หามิได้พระเจ้าข้า" บุรุษรูปงามทรุดกายคุกเข่าลงกับพื้นแล้วพนมมือขึ้นไหว้เหนือศีรษะ
 

                 "พระธิดามิมีสิ่งมีสิ่งใดด้อยเลยแม้แต่น้อย ทรงเลอลักษณ์ทุกประการ หากแต่กระหม่อม...."

                 "ทำไม?" พระแม่เจ้ากมุทราตรัสขึ้นแทรกด้วยความร้อนพระทัย

                 "เมื่อแรกนั้นกระหม่อมต้องการอาสามาเป็นทหารถวายการรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท จึงต้องการดำเนินเจตนาเดิม บัดนี้จุมภะปุระมีศึกรบติดพันกับเมืองเวสารัชที่รุกมาเหนือแม่น้ำแล้ว ข้าพระองค์ขันอาสาไปปราบศึกหากได้ชัยกลับมาจึงขอเข้าพิธีสยุมพรกับพระเทวี ทั้งที่เพื่อพิสูจน์ตนว่าคู่ควรกับพระธิดาอีกด้วย" ดวงตาคมกล้าคู่นั้นส่องประกายหมายมาดออกมา มหิตาเทวีจึงค่อยแย้มสรวลออกมาได้



                "แล้วถ้าแพ้เล่า? อย่างนี้น้องข้ามิต้องค้างเติ่งรอเจ้าอยู่บนตั่งไปเรื่อยรึ?"
สุรเสียงที่ดังแทรกขึ้นมานั้นเป็นของพินทุมณีเทวีพระภคินีของมหิตาเทวี ที่เสด็จมานั่งประทับอยู่ที่บัลลังก์ทองอีกด้าน แต่บุรุษที่ตรัสถามมิได้ตอบคำ อีกทั้งมิได้เหลือบตามองไปที่พระนางอีกด้วย

                "พินทุมณี นี่มิใช่กิจสตรีจงเก็บถ้อยคำของเจ้าไปเสีย" เมื่อพระบาทเจ้าสิทธเสณตรัสเช่นนี้ พระธิดาพินทุมณีจึงจำต้องเก็บโอษฐ์ไปด้วยพระพักตร์งอง้ำ

                 "เจ้ามีความมั่นใจอันใด จึงกล้าประกาศเช่นนี้"

                "กระหม่อมมีความรักในแผ่นดินจุมภะเช่นเลือดในกาย และจงรักปักใจแน่วแน่กับพระธิดามหิตา การศึกครั้งนี้กระหม่อมทุ่มเทด้วยชีวิต" ไม่มีผู้ในส่งเสียงวิพากษ์ขึ้นมาอีก แม้แต่พระบาทเจ้าเองก็ทรงนิ่งอึ้งดำริชื่นชมในพระทัย

                 "ดี! ถ้าอย่างนั้นข้าจะแต่งเจ้าเป็นแม่ทัพนำทัพไปพิชิตศึกเวสารัช จงนำชัยกลับสู่จุมภะปุระเถิดภูวิษะ!!"

                 ประกาศิตตรัสลงมาพร้อมตำแหน่งจอมทัพ นำความรู้สึกต่างๆ ผิดแผกแตกต่างกันมาจู่โจมผู้คนในท้องพระโรง ไม่ว่าจะเป็นพินทุมณีเทวีซึ่งเบิ่งเนตรค้างอยู่ยามนั้น พระแม่เจ้ากมุทราฉายแววเนตรชื่นชมออกมาไม่ต่างกับพระบาทเจ้าสิทธเสณ ในขณะที่นางงามบนตั่งทองนั้น นั่งนิ่งสบประสานสายตากับบุรุษผู้อาจหาญ ดังดวงฤทัยได้ประสานกันเป็นดวงเดียวกันแล้ว เจ้าของนามภูวิษะคลี่รอยยิ้มเยื้อนส่งมาตรงมายังโฉมสะคราญแทนถ้อยถวิลหา แววตานั้นก็กล่าวขานจำนรรจาต่อกันโดยมิต้องเอื้อนเอ่ยวจี พระนางก็ทรงก็เข้าพระทัยในทันที

                "ข้าจะรอท่าน ภูวิษะของข้า" เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวีเอ่ยออกมาแผ่วเบา



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



                "คิดว่าคนยโสโอหังนั่นจะนำชัยกลับมาสู่จุมภะปุระจริงๆ รึ? มหิตาน้องพี่"
ถ้อยคำนั้นทำให้พระขนิษฐาของพินทุมณีเทวีต้องเบิกดวงเนตรกลมโตนั้นค้างไว้ ด้วยไม่เข้าพระทัยถึงพระเสาวนีย์

                "เสด็จพี่หมายความว่าอย่างไรเพคะ?"
 
             

                มหิตาเทวีทรงประหลาดพระทัยมิใช่น้อย เมื่อพินทุมณีเทวีเสด็จมาหาตั้งแต่แสงนภายังฉายอ่อน ยามปรกติแล้วพระภคินีมิค่อยได้เสด็จมาถึงตำหนักของพระองค์ หากมีพระประสงค์อันใดก็จะส่งนางกำนัลรับใช้ให้ทูลเชิญเสด็จไปพบ

               "ก็หมายความตามที่ถามอย่างไรเล่า? เจ้านี่ช่างเข้าใจเชื่องช้าดังเคยต้องให้ข้าพูดซ้ำหรือ?"

                "หม่อมฉันไม่เข้าพระทัยจริงๆ เพคะ ว่าตรัสถึงผู้ใด" พระขนิษฐาลุกขึ้นทูลดำเนินไปประทับบนตั่ง

                "โธ่เอ๋ย....น้องเรา"

                 พินทุมณีเทวีทรงถอนหทัย ในขณะที่นางกำนัลของพระองค์ลอบหัวเราะขบขัน แต่เมื่อศรีดาราเห็นเข้าก็ถลึงตาจ้องมอง จนอีกฝ่ายชักเกรงเพราะรู้ฤทธิ์เดชนางแก่นกะโหลกผู้นี้ดี จึงจำต้องนิ่งเงียบไม่กล้าหัวเราะอีก

                 "ข้าหมายความถึงว่าที่สวามีของเจ้าน่ะสิ"

                "ท่านภูวิษะน่ะหรือเพคะ?" มหิตาเทวีตรัสถามในขณะที่กุสุมาลย์ประคองจอกเสวยถวายแด่พระพี่นาง

                "จะมีใครเสียอีกล่ะ" ทรงรับจอกมาจิบเสวยเล็กน้อย ก่อนจะส่งให้นางบัวลออนางกำนัลคนโปรดที่ติดตามมาแต่ตำหนักนั้นรับไป

                "ไฉนเสด็จพี่ตรัสเช่นนั้นเล่าเพคะ น้องมิเห็นว่าภูวิษะผู้นั้นจะแสดงตนใหญ่โตโอหังอันใดเลย เสด็จพี่เข้าพระทัยผิดไปหรือเปล่าเพคะ?"

                "น้องพี่เจ้านี่ช่างไร้สายตามองคนจริงหนอ ถึงขนาดปฏิเสธการเข้าสยุมพรกับเจ้าแต่ขอไปรบก่อน นี่มิใช่ประกาศว่าต้องการตำแหน่งจอมทัพ ส่วนเจ้านั้น...เป็นแค่บำเหน็จกระนั้นหรือ?"
นางกุสุมาลย์ที่เคยเยือกเย็นนักฟังดำรัสนี้เข้ายังต้องนิ่งอึ้ง และหันมองดูสหายร่วมตำหนักก็พบว่าศรีดารานั้นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดดังคนปวดท้อง

                "ขอบพระทัยเสด็จพี่ทรงกังวลแทนน้อง แต่น้องกลับคิดว่า...เขาตั้งใจสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ก่อนที่จะเข้าพิธีสยุมพรกับน้อง จะได้ไม่มีผู้ใดจับจ้องตำหนิว่าไร้ศักดิ์สกุลมากกว่าเพคะ"
พระขนิษฐาผู้ทรงสิริโฉมแย้มสรวลพลางตรัสตอบนุ่มนวล แต่กระนั้นก็ทำให้พระพี่นางพินทุมณีพระพักตร์ขึงตึงด้วยความไม่พอพระทัยขึ้นมาได้ ส่วนนางศรีดาราฟังแล้วต้องยิ้มเย้ยออกมาด้วยความชอบใจโดยไม่ปิดบังอารมณ์ จนนางบัวลออที่นั่งอยู่แทบบาทพระเทวีแห่งตนนั้นถลึงตาโตเข่นเขี้ยวตอบโต้กลับไป

               "เจ้านี่ช่างมองผู้ใดก็ดีงามไปหมด ถ้าอยากจะเชื่ออย่างนั้นก็ตามใจ แต่ระวังตัวไว้เถิดชายผู้นั้นไม่มีใครรู้เป็นผู้ใดมาจากไหน อาจจะมุ่งมาที่จุมภะเราด้วยมีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝง" เมื่อหยอดเชื้อไฟไปในคำดำรัสได้ พินทุมณีเทวีก็แย้มสรวลออกมา ในแววเนตรนั้นหาได้เป็นห่วงพระน้องยาดังคำกล่าวไม่

                "เพคะ น้องจะระวัง"


                มหิตาเทวีเฉยชากับถ้อยดำรัสร้อนบาดหูของภคินีมาแต่เยาว์วัย สิ่งใดที่ไม่น่าจดจำก็ทรงปล่อยผ่านแล้วผ่านเลย หาได้ถือสาเก็บถ้อยคำของพินทุมณีเทวีมาเป็นทุกข์ไม่ ครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อแสดงองค์ไม่รู้ร้อน และยังคงจำนรรจาไปเรื่อย พระพี่นางเมื่อมิได้ดังพระทัยหมายก็ทรงเบื่อหน่ายไปเอง

                "ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นพี่ก็เบาใจ งั้นข้าจะกลับล่ะ..ว่าแต่...ศรีดาราเป็นอย่างไรบ้าง? ปฏิบัติตนให้เข้ากับระเบียบในรั้วในวังได้แล้วหรือยัง? เข้ามาอยู่ในตำหนักก็นานนมแล้วนี่"


                ทรงเอ่ยถึงนางศรีดาราแต่ มิได้ชายพระเนตรมองไปที่เจ้าของชื่อเลย พินทุมณีเทวีนั้นหาได้โปรดปรานในนิสัยแข็งกร้าวไม่ยอมใครของศรีดาราไม่ เพราะนางมักจะออกหน้ารับแทนมหิตาเทวี ที่เป็นพระสหายร่วมชั้นเรียนมาแต่เล็กแต่น้อย และติดที่ว่าศรีดาราเป็นบุตรตรีคนเดียวของขุนพลมหัทธนะ จึงมิอาจทำอะไรได้ถนัดถนี่นัก

                "เพคะ พี่ศรีดาราเป็นคนเรียนรู้รวดเร็ว จดจำกฎระเบียบต่างๆ ได้แม่นยำนัก"

                "จำได้แต่ปฏิบัติได้ดีหรือไม่....ข้าได้ยินว่าขาดความสำรวมจนเสด็จแม่ตรัสติติงไปเมื่อไม่นานนี้มิใช่หรือ?" ตรัสไปพลางเหลือบปลายพระเนตรมองนางศรีดาราไปพลาง

                "ขาดๆ เกินๆ อย่างนี้ให้บัวลออมาช่วยสอนให้เอาไหมล่ะ? นางกำนัลของข้านั้นอบรมมาดีนัก คงดัดจริตจะก้านนางศรีดาราให้งามได้"

                "ขอบพระทัยเพคะ หากบัวลออมาแล้วผู้ใดจะรับใช้เสด็จพี่ได้ถูกพระทัยเท่านางกันเล่าเพคะ อีกทั้งที่นี่ยังมีพี่กุสุมาลย์ที่คอยดูแลสอนระเบียบให้ได้อยู่ทั้งคน เสด็จพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเพคะ" เมื่อมหิตาเทวีปฏิเสธดังคาดหมาย พระภคินีพินทุมณีจึงมิรั้งรออยู่ต่อ

               "ก็ดี...ถ้าอย่างนั้นข้ากลับก่อนนะน้องพี่"
ตรัสแล้วก็ลุกขึ้นเสด็จดำเนินไป นางบัวลออและนางกำนัลอื่นๆ อีกสองสามคนที่ตามมาเป็นขบวนก็ จึงคลานเข่าตามไปถึงบานทวารแล้วจึงค่อยลุกขึ้นก้าวตามพระธิดาพินทุมณีไป

               "น้อมส่งเพคะ" พระเทวีเจ้าของตำหนักเสด็จดำเนินส่งจนพระพี่นางลับบานทวารไปแล้ว จึงค่อยย้อนกลับมาประทับบนตั่งดังเดิม 


               "พระเทวีเพคะ" นางศรีดารารีบคลานเข่าเข้ามาอยู่เบื้องหน้ามหิตาเทวี แล้วกุมหัตถ์พระนางเอาไว้

               "อย่าไปฟังพระพี่นางนะเพคะ นี่คงโดนนางบัวลออเท็จทูลอะไรให้พระทัยไม่สงบอีก จึงเสด็จมาหาเรื่องถึงที่นี่ได้"

               "ไม่มั้ง...คิดมากไปหรือเปล่าพี่ศรีดารา เสด็จพี่คงเป็นห่วงเราจริงๆ นั่นแหละ ก็เรากำลังสยุมพรกับชายแปลกหน้าในสายพระเนตรเสด็จพี่นี่นะ"
ตรัสไปก็ทรงแย้มยิ้มสรวลอย่างสบายพระทัย จนศรีดาราอ่อนใจและคิดไปว่าพระเทวีของนางไม่ทันพระภคินีตามเคย

              "แต่ว่า..."
 

              "เสด็จพี่ภูวิษะ...ต้องนำชัยชนะกลับมาสู่จุมภะปุระได้แน่ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกพี่ศรีดารา" ดวงพระเนตรยามตรัสถึงบุรุษที่ทรงถวิลหานั้น ส่องประกายแวววับฉายแสงแห่งความสุขจนเห็นได้ชัด

               "หม่อมฉันก็หวังเช่นนั้น แต่การศึกการสงครามนั้นเอาแน่เอานอนมิได้ แล้วยิ่งท่านภูวิษะคนนั้นแลดูสะโอดสะอง ผิวพรรณผุดผ่องดั่งคนไม่เคยกรำแดดเสียด้วยซ้ำ ท่วงท่าประดาบเป็นอย่างไรเราก็มิเคยได้แลเห็น พ่อของหม่อมฉันยังมิอาจคะเนผลศึกครั้งนี้ได้เลย"
พูดไปก็หวั่นใจเกรงว่าหากพ่ายศึกเวสารัชนี้ พระธิดาของนางคงต้องแบกพระพักตร์กล้ำกลืนฝืนทน ให้พินทุมณีเทวีและพระภคินีองค์อื่นๆ กล่าวถ้อยคำย้ำซ้ำให้เจ็บหทัยเป็นแน่

               "ต้องชนะสิ...เสด็จพี่ของข้าตรัสสิ่งใดแล้ว ย่อมเป็นไปตามนั้นเสมอมิเคยผิดคำพูด"
ศรีดาราฟังพระดำรัสแล้วก็ต้องแปลกใจ ด้วยว่ามิเคยเห็นภูวิษะผู้นั้นได้ใกล้ชิดตรัสสิ่งใดเป็นการส่วนตัวกับพระเทวีเลยด้วยซ้ำ

               "ใช่เพคะ ท่านภูวิษะต้องชนะแน่นอนเพคะ บุรุษผู้คุ้มครองจุมภะปุระไม่มีทางพ่ายแพ้ผู้ใดเป็นแน่ ระหว่างนี้ทรงเตรียมวรกายให้งดงามสมกับจะเข้าพิธีสยุมพรกันดีกว่านะเพคะ พอท่านภูวิษะกลับมาจะได้ตะลึงในความงามของพระเทวีว่าทวีขึ้นเท่าใด"

                กุสุมาลย์แทรกสำทับขึ้นมาด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม แววตาฉายความมั่นใจมิผิดอันใดกับมหิตาเทวีเลยแม้แต่น้อย ทำให้ศรีดาราประหลาดใจยิ่งนัก แต่ครั้งจะเอ่ยถามนางกำนัลโฉมงาม ก็ชักชวนพระเทวีสวนเสไปเรื่องการประทินโฉมไปเสียแล้ว จึงได้แต่มึนงงสงสัยอยู่ผู้เดียว แต่ชั่วประเดี๋ยวก็ปรับตัวเข้ากับหัวข้อสนทนาได้และลืมเลือนเรื่องนี้ไปในที่สุด



[จบตอนที่16]


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




Create Date : 06 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2555 14:07:14 น. 0 comments
Counter : 2475 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.