เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 7
ตอนที่ 7 นางบาป ช่วยด้วย.....ย !! เสียงกรีดร้องโหยหวนยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท หญิงสาวตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวจนต้องยกมือขึ้นปิดหู หล่อนย่อตัวลงนั่งคุดคู้ก้มหน้าคล้ายต้องการหนีความจริง เพราะไม่ต้องการรับรู้สิ่งใด จนกระทั่งเสียงร้องของผู้คนเหล่านั้นลอยห่างไกลออกไป และถูกแทนที่ด้วยเสียงน้ำซัดสาดดังโครมใหญ่ราวคลื่นยักษ์อยู่เป็นนาน กว่าทุกอย่างจะสงบลง หล่อนจึงค่อยคลายมือที่ปิดหูออกแล้วลืมตาขึ้นมอง พบว่าตัวเองตกอยู่ในความมืดมิด มืดยิ่งกว่าความมืดใดทั้งมวล นางบาป !! เพราะเจ้าทุกคนจึงต้องตาย สมใจหรือยัง? เสียงชายแปลกหน้าตวาดดังก้องขึ้นแทรกผ่านความมืดเข้ามาในโสตประสาท ฉันไม่ได้ทำ !! ฉันไม่รู้เรื่อง....ไม่รู้อะไรเลย หญิงสาวส่ายหน้าไปมาด้วยความหวาดกลัว ดวงตาคู่งามมีแต่น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มจนนองหน้าไปหมด เจ้าหนีบาปที่ได้ก่อไปไม่พ้นหรอก เจ้าต้องชดใช้!! ก็ฉันไม่รู้เรื่อง จะมาให้ฉันชดใช้เรื่องอะไร ? หล่อนตะโกนผ่านความมืดออกไป เสียงชายผู้นั้นจึงลดโทสะลงบ้าง ดื้อดึงไม่เคยเปลี่ยน!! หรือเจ้าไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่กระทำลงไป กี่คน กี่ชีวิตต้องพลีเพราะเจ้า? น้ำเสียงนั้นแม้ดุดันแต่แฝงไปด้วยความเศร้าสลด หญิงสาวคลายความกลัวลงได้บ้าง แต่มิใช่ทั้งหมดที่ทำอยู่มีเพียงได้แค่กะพริบตาถี่ๆ เงี่ยหูคอยฟังคำ จงสำนึกเสีย...แม้จะสายไปบ้างก็ตาม สุดท้ายชายผู้นั้นจบประโยคลง สำนึกอะไร ? หล่อนละล่ำละลักถาม แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบ ฉับพลันกลับมีเสียงแย้งขึ้นมา เลิกเจรจากับนางบาปเสียทีเถิด !! สิ้นเปลืองถ้อยคำโดยเปล่าปลี้ นางผู้นี้มิเคยสำนึกผิดในสิ่งที่ได้กระทำ มิว่าชาติภพไหนคนบาปหนาอย่างนางหาได้มีสำนึกไม่ ขอท่านอย่าได้เพียรพยายามกล่อมเกลานางเลย เสียงแหลมสูงเกรี้ยวกราดของผู้หญิงอีกคนดังแทรกขึ้นมา ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งพรวดทันทีที่ได้ยิน ใครน่ะ? หล่อนถามออกไป คลับคล้ายว่าเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ใดมาก่อน ทว่าน้ำเสียงนั้นเคยนุ่มนวลอ่อนหวาน ไม่เกรี้ยวกราดดุร้ายดังเช่นหนนี้ ผู้ที่เจ้าก่อบาปสร้างกรรมให้อย่างไรเล่า!!? เสียงนั้นตอบกลับมา หมายความว่ายังไง? ฉันไม่เข้าใจ? ฉันทำอะไรบอกมาสิ? หล่อนตะโกนถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่มีเสียงใดอธิบายกลับมาให้กระจ่างเลย คงมีแต่เสียงทอดถอนอันหนักหน่วงของชายผู้แรก พร้อมคำพูดตัดรอนของหญิงนางนั้น หากนางสำนึกเสียใจแม้สักเพียงนิด นางคงมิลืมเลือนมันง่ายดายเช่นนี้ดอก...ไปเถิด อย่าเสียเวลาจำนรรจากับนางอีกเลย หญิงสาวผวาตามเสียง หล่อนลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนร้องห้าม แต่เหมือนคนทั้งคู่ยิ่งห่างไกลออกไปจนหายลับ ทิ้งให้หล่อนอยู่ในความมืดเพียงเดียวดาย "เดี๋ยวก่อน...เดี๋ยว กลับมาก่อน อย่าเพิ่งไป บอกฉันทีฉันทำอะไรผิด?!!" เคียงฟ้าสะดุ้งจนสุดร่าง เมื่อผุดลุกขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่บนเตียงในห้องนอนอันคุ้นเคย เหงื่อกาฬแตกชุ่มไปทั่วกาย ร่างบางของหล่อนหอบสะท้านหายใจถี่ เมื่อตั้งสติได้ก็เปิดไฟแล้วลุกขึ้นหยิบผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ แล้วหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวม หญิงสาวอดลอบมองไปทั่วห้องด้วยความหวาดระแวงไม่ได้ แต่ก็พบเพียงห้องมืดมิดจึงขยับกายไปเปิดโคมไฟหัวเตียง พลางมองไปที่นาฬิกาซึ่งบอกเวลาใกล้รุ่งเท่านั้น อีกชั่วโมงกว่าฟ้าจะสาง ทุกอย่างในห้องดูปกติดี แอร์คอนดิชันเนอร์ยังทำงานอยู่ สายลมเย็นถูกปล่อยออกมาจนเย็นฉ่ำ แต่หล่อนกลับร้อนรุ่มจนเหงื่อโชกไปทั้งตัว "เฮ้อ...อีกแล้วเหรอ?" เคียงฟ้าถามคำถามนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายปี ตั้งแต่เล็กจนโตแต่มิเคยมีคำเฉลยในปลายสุดของความฝันเลยแม้แต่ครั้งเดียว หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง ตั้งแต่เด็กมาหล่อนฝันเรื่องราวซ้ำซากวกวนไปมาเช่นเดิม ภาพฝันนั้นชัดเจนเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือนั่น โหยหวนหลอกหลอนจนกระทั่งตื่นจึงได้เงียบหายไป แต่ในความทรงจำเสียงนั้นยังดังอยู่ข้างหูไม่ไปไหน ภาพน้ำหลากท่วมท้นขึ้นมากลืนผู้คนและบ้านเรือนหายไป เหลือแต่เพียงมือที่ไขว่คว้าขึ้นมาพ้นน้ำ ความฝันนั้นช่างติดตาราวกับว่าหล่อนอยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วย เคียงฟ้าดิ้นรนให้หลุดจากความฝันอันน่าสะพรึงกลัวนั้น จนกระทั่งเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เรื่องราวกลับกลายเป็นว่าหล่อนไม่ได้ตื่นขึ้นมาจริงๆ หญิงสาวพบว่าตนเองนั้นตกอยู่ในห้วงทุกข์อันมืดมิด มีเพียงเสียงของผู้ที่ไม่เคยปรากฏกายให้เห็น ก่นด่าสาปแช่งดังขึ้นจากทุกทิศ บางครั้งจำนวนเสียงนั้นก็มากมายมหาศาล บางคราก็ได้ยินเพียงแค่เสียงของชายหญิงคู่นั้น แต่เสียงที่หล่อนคุ้นเคยที่สุดคือเสียงของฝ่ายชาย เสียงนั้นทุ้มนุ่มลึกหากแต่กำลังโกรธเกรี้ยวของชายที่ไม่เคยพบหน้า นับครั้งไม่ถ้วนที่เขาตวาดด้วยเสียงอันดังดุจจะฉีกร่างหล่อนออกเป็นชิ้นๆ แต่อีกหลายคราเช่นกันที่เสียงนั่นก็เศร้าโศกเหมือนตรอมตรมอยู่นาน เคียงฟ้าพยายามถามถึงเหตุผลที่ทำให้เขาโกรธหล่อน แต่ไม่เคยได้คำตอบกลับมา ความฝันจบลงตรงที่หล่อนตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกครั้ง "ฟ้า!! เป็นอะไรหรือเปล่าลูก?" เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา หญิงสาวลุกไปเปิดก็พบมารดายืนหน้าซีดอยู่หน้าประตู "แม่..." เมื่อเห็นหน้ามารดา เคียงฟ้าก็โผเข้ากอด "เป็นอะไรฝันร้ายอีกแล้วหรือลูก?" หญิงวัยกลางคนโอบไหล่บางของหล่อน พากันเข้ามานั่งปลอบประโลมในห้อง "แม่หนูกลัวจังเลย เขาว่าหนูอีกแล้ว" มารดาฟังเข้าก็พยักหน้าพลางถอนหายใจออกมา "หมู่นี้ฝันถี่จังเลยนะลูก" หล่อนพยักหน้าแทนคำตอบ หล่อนฝันเรื่องนี้ติดกันมาตลอดสัปดาห์แล้ว "ฟ้าวันนี้แม่ว่าหนูอย่าไปรับน้องเลยดีไหม? ฝันร้ายติดๆ กันแบบนี้แล้วยังต้องเดินทางไกลอีกแม่เป็นห่วง" เคียงฟ้าผละออกจากวงแขนของมารดาและหันมาทำตาโต "ไม่ได้หรอกค่ะ....นี่มันครั้งหนึ่งในชีวิตเชียวนะคะแม่" "แต่ว่า...." "หนูอยากจะเก็บไว้เป็นความทรงจำค่ะ อุตส่าห์เอ็นฯ ตั้งสองรอบซิ่วไปปีหนึ่งกว่าจะเข้าคณะนี้ได้ นะคะแม่...ให้หนูไปเถอะคงไม่มีอะไรหรอก อย่างมากคนอื่นเขาคงรำคาญหนูนอนละเมอเท่านั้นแหละ" ยุพาพักตร์อยากจะค้าน แต่เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปรับน้องที่ต่างจังหวัดของลูกสาวแล้วก็จำต้องเงียบไว้ หญิงสาวเห็นเข้าก็พอจะเข้าใจความเป็นห่วงของมารดาจึงกล่าวเสริมขึ้นมาอีก "ที่จริงไม่ไปก็ได้ค่ะ...ถ้าแม่เป็นห่วง" เสียงของเคียงฟ้าอ่อยไปบ้าง "แต่ต้องยกเลิกแต่เนิ่นๆ ตอนนี้คงไม่ทันแล้ว อีกอย่างหนูเป็นเหรัญญิกของปีด้วย ถ้าหนูไม่อยู่สักคนคงวุ่นวาย" หล่อนพยักยิ้มให้มารดาอย่างออดอ้อน เมื่อเจอลูกไม้นี้เข้ายุพาพักตร์ก็ไม่อาจทำเสียงแข็งได้อีก "แม่เป็นห่วงน่ะ...ไปตั้งไกล แต่ว่าเอาเถอะคงไม่มีอะไรหรอก หนูก็ฝันแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาฝันนี่เนอะ" หล่อนหัวเราะติดตลกขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่ "ค่ะ...บางทีหนูอาจจะตื่นเต้นที่ได้ไปรับน้องมากไปเลยฝันร้ายน่ะค่ะ" "อืม...ก็อาจเป็นได้ แต่นี่ก็จะตี 5 อยู่แล้ว ไหนๆ ก็ลุกขึ้นมาแล้วถ้างั้นใส่บาตรก่อนไปดีไหมลูก" "ก็ดีค่ะ ถ้างั้นหนูไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวเจอกันข้างล่าง" หญิงสาวลุกขึ้นท่าทางกระปรี้กระเปล่าผิดกับเมื่อครู่ ยุพาพักตร์จึงคลายใจปล่อยลูกสาวไปอาบน้ำ ส่วนหล่อนแยกไปจัดเตรียมของใส่บาตร +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ตะวันรอนซ่อนกายอยู่หลังก้อนเมฆ ทอดแสงอ้อยอิ่งเป็นสีส้มนวลตา อากาศยามโพล้เพล้เมื่อฟ้าใกล้เปลี่ยนสีนั้นไม่ร้อนเท่ายามเที่ยงวัน ที่ลานหน้าวัดใกล้มหาวิทยาลัยของเคียงฟ้า ยามนี้คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาน้องใหม่ที่พร้อมใจกันใส่เสื้อยืดสีขาวตามที่นัดหมายกันไว้ กำลังนั่งรวมกลุ่มกันอยู่โดยแต่ละคนมีป้ายห้อยคอซึ่งเขียนชื่อเล่นกำกับเอาไว้ ในขณะที่รุ่นพี่พากันห้อยป้ายสต๊าฟและใส่เสื้อสีดำเพื่อให้สังเกตเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน "โห...ทำไมมาสายนักล่ะน้องฟ้า พระอาทิตย์ง่วงจนหาวแล้วหาวอีกจนจะลาไปนอนอยู่แล้วนะเนี่ย?" ชายหนุ่มร่างท้วมหนาโครงสร้างใหญ่ พาเอาหุ่นสูงใหญ่คล้ายหมีนั้นเดินลงมาจากรถโค้ชบัสคันใหญ่ที่จอดอยู่ทันทีที่เห็นหน้าหล่อน "ขอโทษค่ะพี่ตรี" หล่อนยกมือขึ้นไหว้เขา ตรีภูมิเป็นรุ่นพี่ชั้นปี 5 ที่ตกค้างมาจากการเรียนจบพร้อมเพื่อนรุ่นเดียวกันในรอบก่อน ประกอบกับรูปร่างใหญ่โตนั่นเขาจึงดูโตเกินวัยกว่าคนรุ่นเดียวกัน และยังเป็นหัวโจกในการหาสถานที่รับน้องครั้งนี้ด้วย "แม่ให้ฟ้าเขาไปทำสังฆทานที่วัดใกล้บ้านก่อนมาน่ะ แล้วก็คุยกับหลวงพ่อเพลินจนเย็น กว่าจะมาถึงนี่รถติดเหลือเกิน " ยุพาพักตร์แทรกขึ้นมาก่อนที่ลูกสาวจะโดนตำหนิ "อุ้ย! คุณแม่สวัสดีครับ" ตรีภูมิเพิ่งจะเห็นมารดาของรุ่นน้องจึงยกมือขึ้นไหว้ทักทายโดยเร็ว "คุณแม่เป็นห่วงน่ะค่ะ ก็เลยไปทำบุญกันก่อน...เลยช้าหน่อย" "โถ...คุณแม่ครับ คุณแม่ใจตรงกับผมเปี๊ยบเลย นี่ผมนัดที่วัดแทนที่จะเป็นมหา'ลัย ก็เพราะกะว่าจะให้น้องๆ ไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยก่อนออกเดินทางน่ะครับ" หนุ่มตัวใหญ่แต่ขี้ประจบ รีบออดอ้อนมารดาของรุ่นน้องราวกับรู้จักกันมานานปี "ก็ดีจ้ะ...งั้นแม่ฝากดูแลน้องด้วยนะ ถ้ายัยฟ้าสร้างปัญหาอะไรก็โทรหาแม่ได้นะ" "โอ้ย..น้องฟ้าออกจะเป็นคนเรียบร้อย ผมถึงได้วานให้น้องเขาเป็นเหรัญญิกไงครับ" "นั่นไม่ใช่เพราะฟ้าจับฉลากได้เหรอคะพี่?" หญิงสาวค้านขึ้นมาด้วยความขบขัน แต่ถูกตรีภูมิส่งสายตาตำหนิมาว่าอย่าขัดคอ หล่อนจึงหัวเราะคิกคักออกมา "แม่ไว้ใจพี่ๆ แต่ว่ายัยฟ้าเขามีปัญหาเรื่องนอนละเมอเสียงดัง กลัวคนอื่นเขาจะรำคาญเอาน่ะ" ตรีภูมิฟังแล้วเหลียวมองหน้ารุ่นน้องแว่บหนึ่ง ก่อนจะหันมาสนทนากับยุพาพักตร์ต่อ "คงไม่เป็นไรมั้งครับ ผมเองก็นอนกรน เพื่อนมันก็บ่นๆ ไปงั้นแหละครับ ยังไม่เห็นมีใครลุกขึ้นมาเอาหมอนอุดหน้าผมตอนหลับสักที" มารดาของเคียงฟ้าฟังแล้วเผลอขบขันตามไปด้วย "แต่ยัยฟ้าไม่ใช่ละเมอเสียงค่อยๆ นะจ๊ะ เสียงดังจนแม่ยังตกใจตื่นเลย นึกว่าโจรขึ้นบ้าน" "ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะแจกสำลีให้ น้องๆ ที่นอนห้องเดียวกับน้องฟ้าดีไหมครับ" เขายิ้มเผล่ออกมาทำเอายุพาพักตร์ต้องหัวเราะเสียงดังออกมา "ถ้างั้นแม่ก็เบาใจล่ะจ้ะ ฝากฟ้าด้วยนะแม่ไปล่ะ" ทั้งสองจึงไหว้ลาหล่อน "ขอโทษนะคะพี่ตรี คุณแม่เขาเป็นห่วงก็เลยจู้จี้หน่อย" หล่อนกังวลว่ารุ่นพี่จะตำหนิจึงรีบออกตัวก่อน "โอ๊ย...แค่นี้จิ๊บๆ ก็แค่ฝากฝังตามเรื่องแหละ น้องฟ้ายังไม่เคยเห็นผู้ปกครองเป็นห่วงแบบโคตรอภิมหาเป็นห่วง แล้วน้องฟ้าจะบอกคุณแม่น่ะชิดซ้ายตกขอบไปเลย" "เห?...มีพ่อแม่ใครวุ่นวายขนาดนั้นด้วยเหรอคะ?" หล่อนเหลียวซ้ายแลขวามองไปยังกลุ่มเพื่อน ในขณะที่นพชัยรุ่นพี่อีกคนที่กำลังนำป้ายชื่อมาคล้องคอให้หล่อนพูดขึ้นว่า "ก็พี่เจ้าไงน้องฟ้า...พ่อพี่เจ้านะสุดๆ ไปเลย" เขาพูดพลางหันไปขอเสียงสนับสนุนจากตรีภูมิ "พี่เจ้าไหนคะ? " หล่อนแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจึงถามซ้ำ "เจ้าวิมุตติ เจ้าของไร่ที่จะให้เราไปพักไงล่ะ!!" เคียงฟ้าฟังนิ่งอึ้งไปรู้สึกสะดุดใจกับชื่อที่เพิ่งได้ยินไปหมาดๆ "...เอ เหมือนพี่ยอดจะบอกว่าพี่เขาชื่อ วิมุต ไม่ใช่เหรอคะ? แล้วเขาเป็นเจ้าหรือคะ?" รุ่นพี่ทั้งสองได้ยินเข้าก็พร้อมใจกันส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น "ไอ้ยอดมันคงอ่านชื่อผิดน่ะ เขียนคล้ายๆ กัน วิ-มุต-ติ ไม่ใช่ วิมุต เจอแล้วก็เรียกชื่อให้ถูกด้วย ประเดี๋ยว เด็จพ่อมันไม่ปลื้มขึ้นมา พวกเราจะพากันอดอยาก" "อุ้ย ! ทำไงดีล่ะคะ ฟ้าไม่เก่งราชาศัพท์เสียด้วย จะไปพูดผิดพูดถูกให้ท่านเคืองเอาหรือเปล่าเนี่ย? " เมื่อเห็นรุ่นน้องมีสีหน้าวิตกกังวลเป็นจริงเป็นจัง เขาก็ยิ่งตะเบ็งเสียงหัวเราะที่ว่าดังอยู่แล้วให้ดังขึ้นไปอีก ก่อนจะอธิบายคร่าวๆ "เดี๋ยวน้องฟ้าเห็นแล้วก็รู้เองแหละว่าทำไมถึงเรียก 'เจ้า' ก็ไอ้คุณพี่วิมุตติคนนี้น่ะ....มันขี้เก๊กเหลือประมาณ ไม่ใช่จ้งใช่เจ้าจริงๆ หรอก" "อ้าว?...โธ่เอ๋ย...แล้วก็พูดซะให้กังวลหมดเลยพี่ตรีนี่ก็..!!?" "ฟ้า พี่ตรีเขาไม่ได้อำเล่นนะ..กับพี่เจ้าน่ะอย่าทำเป็นเล่นไป จะมาเฮฮาเล่นหัวเหมือนพวกพี่ๆ ขี้หมูขี้หมาแถวนี้ไม่ได้ คนนั้นน่ะผู้ดีแท้ๆ ห้ามเล่นลามปาม...ยิ่งโดยเฉพาะคุณพ่อพี่เจ้าเขาเคร่งมาก แค่ไหนต้องให้พี่ตรีเล่า...เขารุ่นเดียวกับพี่ตรี แถมพี่เจ้ากลายเป็นตำนานรับน้องของภาคเราเลยนะ" "มีเรื่องอะไรขนาดนั้นเลยเหรอคะ? รับน้องรุ่นพี่ตรี?" "แหม...ก็ระดับเจ้าวิมุตติมันอุตส่าห์เสด็จไปรับน้องกับเขา จะธรรมดาได้ยังไงใช่ไหมวะไอ้นพ" ตรีภูมิตบไหล่รุ่นน้องผัวะๆ โดยหลงลืมไปว่าตนเองนั้นฝ่ามือหนาหนักเพียงใดทำเอานพชัยเซไปเลย "รับน้องปีนั้นเรานัดกันหน้าคณะ พอถึงเวลาขบวนเบนซ์มาจอดเทียบหน้าตึก มีบอดี้การ์ดเปิดประตูให้ด้วยนะเฟ้ย!!" "...คุณพ่อพี่เขาคงเป็นคนใหญ่โต?" เคียงฟ้าทำตาโต คาดเดาเอาว่าบิดาของวิมุตติคงเป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศ "เอาราชรถมาส่งลูกน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่ที่สุดยอดน่ะคือพ่อไอ้เจ้ายึดบัตรประชาชนรุ่นพี่สต๊าฟปีนั้นไว้จนเรากลับถึงกรุงเทพฯ นั่นแหละ" "หา?!!" คำบอกเล่านั้นทำเอาหญิงสาวอ้าปากค้าง "ก็เขาเป็นห่วงลูกเขาน่ะ ตามจริงเขาจะให้บอดี้การ์ดไปด้วย แต่ไอ้เจ้ามันไม่ยอมก็เลยขอยึดบัตรประชาชนเอาไว้ก่อน" "เว่อร์ไปหรือเปล่าคะ?" "ก็นั่นแหละถึงบอกว่าสุดยอด" ตรีภูมินั้นแม้จะเป็นคนเล่าเรื่องแล้วชอบเติมรสชาติเข้าไป แต่เรื่องการรับน้องเข้ามหาวิทยาลัยปีแรกของวิมุตตินั้นไม่ได้เกินเลยไปแม้แต่น้อย และยังเบาบางกว่าความเป็นจริงเสียด้วยซ้ำ เพราะเหตุการณ์วันนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียดของรุ่นพี่สต๊าฟ ไม่ได้มีอารมณ์ขบขันอย่างที่ชายหนุ่มเล่าเลยด้วยซ้ำ (จบตอนที่ 7) +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 25 กันยายน 2555 |
Last Update : 25 กันยายน 2555 15:58:47 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2234 Pageviews. |
|
|