เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 1
คุยก่อนอ่านสักนิด
ไม่ได้มาลงนิยายเสียนานเกือบปีแล้ว(หรือว่าปีกว่าหว่า) มีนิยายมาให้อ่านเรื่องหนึ่งค่ะ นิยายเรื่องนี้มีแรงบันดาลใจมากตำนาน และเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงผสมกันออกมา เป็น "เวียงนาคินทร์" เรื่องนี้ค่ะ มีเรื่องมากมายอยากเล่า อยากพูดคุย เกี่ยวกับแรงบันดาลใจ และเกร็ดต่างๆ ของเรื่อง ก็คิดอยู่ว่าจะเกริ่นนำเปิดเรื่องอย่างไรดี คิดจนรู้สึกกดดันไปเลย ในที่สุด...สุดท้ายแล้วก็เหลือแค่ประโยคเดียว ที่จะบอกผู้อ่านค่ะ...
. . . . "กรุณาอ่านด้วยนะคะ" . . . .
เฮ้อ...เหลือแค่นี้แหละค่ะ เนื่องจากนึกมากเกินไปสมองตีบตัน เอาเป็นว่า ถ้าอ่านไป 1 พารากราฟแล้วถ้าไม่ชอบปิดไปเลยค่ะ ไม่ต้องอ่านจนจบบทหรอกไม่ว่ากัน แต่ถ้าอ่านแล้วชอบ ช่วยอ่านจนจบบทที่ 1 ด้วยนะคะ แล้วเราค่อยคุยกัน ต่อท้ายจากนี้ดีกว่าค่ะ กลัวคำนำจะกลายเป็นเรื่องสั้นไป จะค่อยๆ ทยอยเล่า ระหว่างเรื่องไปเรื่อยๆ ค่ะ
และหากพึงพอใจกับนิยายเรื่องนี้ล่ะก็ ช่วยคอมเม้นท์สักเล็กน้อยนะคะ
***************************************************
อนึ่งข้าพเจ้าขออุทิศนิยายเรื่องนี้แด่ คุณภู คุณกุสุมาลย์ และคุณมหิตา รวมไปถึง ตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ ที่ได้อุทิศชีวิตของตนเป็นครูให้ข้าพเจ้าได้นำมาถ่ายทอด ดัดแปลงเป็นนิยาย ขอให้ทุกท่านประสบแต่ความสุข หลุดพ้นความทุกข์อันเป็นบ่วงที่รัดไว้ ทุกประการ ได้รับสงบทั้งกายและใจ นับแต่นี้ต่อไปเถิด
***************************************************
เวียงนาคินทร์ ภาค บุพนิมิต
ตอนที่ 1 เทพบุตรจำแลง
ชายฉกรรจ์เชื้อสายจีนนั่งนิ่งคอแข็งอยู่บนเก้าอี้โซฟา ในห้องรับแขกเพียงลำพังคนเดียว ดวงตารียาวคู่นั้นไหวระริกไปด้วยความเคืองแค้นระคนไปกับความเจ็บปวด นายสรวงไม่ได้เปิดไฟในบ้านยกเว้นบริเวณที่เขานั่งอยู่เท่านั้น อีกทั้งยังไล่แม่บ้านที่ทำหน้าที่ดูแลความสะอาดบ้านกึ่งออฟฟิศในตัวแบบเช้าไปเย็นกลับนี้ ให้กลับไปรวมทั้งพนักงานคนอื่นๆ ก็สั่งให้เลิกงานกลับบ้านไปก่อนเวลาเลิกงาน โดยกำชับว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานอีกด้วย
เป็นเวลากว่านานที่เขานั่งจมอยู่กับเก้าอี้ด้วยความว้าวุ่นสับสน จนแยกแยะไม่ออกว่าความรู้สึกด้านใดมีมากกว่ากัน ระหว่างเคียดแค้นชิงกับกับโศกเศร้าเสียใจในความจริงที่ได้รับรู้ มือใหญ่กำแน่นอยู่นานจนเส้นเลือดนูนขึ้นเป็นริ้วเห็นได้ชัดค่อยคลายออก มันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬเช่นเดียวกับใบหน้าของเขา ซึ่งบัดนี้ซีดเผือดไร้สีสันใดๆ
เสียงลมหายใจระบายออกมาโดยแรงคล้ายว่าเจ้าของร่างหายใจติดขัด มือซีดเซียวสั่นเทานั่นค่อยๆ บรรจงหยิบซองเอกสารสีขาวที่ถูกทิ้งไว้ตรงหน้ามานาน ตั้งแต่เขามานั่งอยู่ตรงนี้จนเวลาทอดผ่านไปหลายชั่วโมงขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง คำภาวนาของสรวงไม่เป็นผลทุกตัวอักษรยังคงยืนยันผลดังเดิม กระดาษบางแผ่นนั้นหลุดจากมือไปอย่างเลื่อนลอย เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งสรวงก็เริ่มร่ำไห้ออกมา เมื่อแรกมันเป็นเพียงแค่ความร้อนที่ขอบตาแล้วหลั่งรินออกมาเรื่อยๆ จนน้ำตานองหน้าราวทำนบทลาย
สรวงจมอยู่กับอารมณ์ของตนจนไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาในห้อง จนกระทั่งมือเล็กบอบบางของเด็กชายตัวน้อยหยิบเอกสารเมื่อครู่ขึ้นอ่าน เขาจึงค่อยรับรู้ว่ามีคนอื่นล่วงเข้ามา
"โอม!! กลับเข้าไปในห้องเดี๋ยวนี้!!?" เสียงของเขาห้วนจนกลายเป็นตวาดดังลั่นด้วยความโกรธ แต่เมื่อเหลือบเห็นผ้าพันแผลที่ยังพันรอบศีรษะเด็กชายตัวน้อย จึงค่อยลดเสียงให้อ่อนลง
"ไปนอนซะเดี๋ยวก็ปวดหัวอีกหรอก" ว่าแล้วจึงดึงเอกสารคืน และเก็บซ่อนมันเข้าไปในซองที่มีตราโรงพยาบาลอย่างมิดชิด
เด็กชายตัวเล็กวัยเพียงแค่ 4 ขวบไม่ได้ตอบอะไร แต่ดวงตาโตสีน้ำตาลใสคู่นั้นจ้องมองนายสรวงผู้เป็นบิดาอย่างเงียบงัน จนชายหนุ่มสะท้อนใจวาบประโยคพูดต่อมาจึงนิ่มนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"มีอะไรรึ...ลูก" เสียงท้ายประโยคไม่เต็มเสียงนัก ราวกับเขากลั่นมันออกมาอย่างยากเย็น แต่เด็กชายไม่ตอบ
"หิว? หรือว่าปวดหัว?" เมื่อไม่ได้คำตอบอีกเช่นเคย เขาก็เริ่มโมโหขึ้นมา
"ทำไมหรือว่าจะหาแม่? เฮอะ...แม่เราน่ะป่านนี้ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว !!"
เมื่อเอ่ยถึงพราวแสงภรรยาคนสวยที่เขาภูมิใจมาตลอดนั้น ความเจ็บแปลบก็เกิดขึ้นกะทันหันดุจดังเข็มปลายแหลมทิ่มสะกิดเข้า สรวงและพราวแสงแต่งงานกันมาเกือบห้า ปี ทำไมเขาไม่เอะใจเอาเสียเลยกับอายุของเด็กชาย หรือเพราะที่ผ่านมาชีวิตราบรื่นเกินไปเขาและภรรยารักใคร่กันดี จะมีก็เพียงหล่อนยังรักการทำงานเซลที่บริษัทดั้งเดิมที่ทำมาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน จึงเดินทางไปต่างจังหวัดอยู่บ่อยๆ ในขณะที่เขาดำเนินกิจการเล็กๆ ของตัวเองโดยใช้บ้านต่างออฟฟิศ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีเรียบง่ายทว่างดงาม เพียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่งดังเช่นมนุษย์ปุถุชนทั่วๆ ไปต้องการ
"ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวก็ปวดหัวขึ้นมาอีกหรอก"
สรวงรักเด็กชายโอมเป็นอันมาก เขาเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กชายถือกำเนิด จะว่าไปแล้วเขาเองเสียอีกที่เป็นฝ่ายเลี้ยงดูบุตรชายมาตลอด ด้วยเหตุผลด้านเวลาและเขาอยู่กับบ้านมากกว่า เด็กชายตัวน้อยเองก็น่ารักสดใสสร้างความสุขให้เขามากมาย แต่เมื่อไม่ถึงครึ่งวันมานี้เอง เมื่อโรงเรียนอนุบาลโทรมาแจ้งว่าลูกชายของเขาตกบันได สรวงจึงรีบไปโรงพยาบาล เด็กชายโอมไม่เป็นอะไรมากเพียงแค่หัวแตกและมีไข้เล็กน้อย ทว่ากรุ๊ปเลือดของเด็กชายที่แพทย์แจ้งให้ทราบกลับทำให้เขาแปลกใจ เมื่อพบว่ามันไม่ตรงกับเขาหรือแม่ของเด็กเลยแม้แต่น้อย นายแพทย์ผู้รักษาปลอบใจเขาว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นกรุ๊ปเลือดแฝง แต่นั่นก็สะกิดปมบางอย่างในใจซึ่งสรวลไม่เคยใส่ใจ หรือจงใจมองข้ามมาตลอดขึ้นมา
พราวแสงไม่ได้มีพฤติกรรมให้ชวนสงสัยนัก เพียงแต่หล่อนไม่ยอมเลิกขายประกัน แล้วมาเป็นแม่บ้านให้กับเขาอย่างเดียว หรือแม้แต่มาทำงานที่ออฟฟิศของครอบครัวหล่อนก็ไม่ยอม อ้างว่าหล่อนไม่ได้ใช้ความสามารถ หล่อนเป็นหญิงยุคใหม่ที่คล่องแคล่วว่องไวและสดใสอยู่เป็นนิจ จึงทนอุดอู้อยู่แต่บ้านไม่ได้ เขาเข้าใจเรื่องนี้ดีเพราะเขาเองก็หลงรักความปราดเปรียวนี้นัก เมื่อภรรยาเดินทางไปต่างจังหวัด เดือนละหนสองหน หรือแม้แต่ไปไกลถึงต่างประเทศเขาจึงไม่ติดใจสงสัยอะไร
แต่กับเด็กชายโอมยิ่งนานวันก็ยิ่งฉายแววว่าภายในไม่กี่ปีข้างหน้า จะต้องเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีแน่ๆ โอมไม่เหมือนเขาซึ่งมีเชื้อสายจีนจึงมีผิวเหลืองดวงตารียาวตามบรรพบุรุษ หากแต่เด็กชายเองไม่ได้เหมือนมารดาไปเสียทีเดียว ผิวของหนูน้อยขาวผ่องนวลสวยดังขมิ้นทา ต่างกับผิวสีน้ำผึ้งของมารดา ดวงหน้านั้นรับเค้าโครงของพราวแสงมาบ้างแต่ไม่ชัดเจนนัก โดยเฉพาะดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสดังลูกแก้ว ที่ประดับไปด้วยแพขนตายาวเหมือนแขกขาวนั่น อีกทั้งจมูกโด่งตั้งแต่ยังเป็นทารกตัวจ้อย ริมฝีปากสีระเรื่อบางเฉียบเป็นเส้นตรง ผมสีอ่อนจนมองเห็นเป็นสีช็อคโกแล็ตเช่นนี้ เด็กชายไม่เหมือนเขาหรือมารดา จนมีคนพูดเข้าหูขึ้นมาบ้างทุกๆ ครั้งพราวแสงจะโกรธ และเขาต้องปลอบโยนให้ใจเย็น หล่อนบอกเขาว่าย่าของหล่อนมีเชื้อสายต่างประเทศ ซึ่งอาจจะตกทอดข้ามรุ่นมายังบุตรชาย สรวงเองก็เชื่อเช่นนั้นมาตลอดไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร และยังคอยเป็นกำแพงป้องกันให้กับหล่อนอีกด้วย
แต่ครั้งนี้ใบรับรองผลตรวจกรุ๊ปเลือดมันสั่นคลอนใจของเขาอย่างรุนแรง นายแพทย์แนะนำว่าหากสรวงไม่สบายใจก็ให้ตรวจ DNA ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาทำตามคำแนะนำนั่นด้วยใจอันสั่นหวิว ยังมีเวลาอีกหลายวันนักกว่าผลตรวจ DNA จะออกมา แต่กระนั้นเขาแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เขาคิดกำลังจะเป็นจริง โดยไม่ต้องใช้วิทยาศาสตร์เข้าช่วยแต่อย่างใด ใครบางคนที่เขาไม่เคยเชื่อว่ามีตัวตนผุดขึ้นมาให้เห็นลางๆ ในความทรงจำ นี่เองเป็นคำตอบที่เขาแน่ใจยิ่งกว่าสิ่งใด สรวงเสียใจกับเรื่องนี้นักหนาพอๆ กับความโกรธแค้น แต่เขากลับแยกแยะไม่ได้ว่าความรู้สึกด้านใดมีน้ำหนักมากกว่ากัน และยิ่งสับสนว่าจะทำอย่างไรต่อไป เขาอับอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งนัก อับอายกับเสียงติฉินนินทาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้นยังงุนงงสงสัยว่าทำไมพราวแสงจึงทำร้ายเขาได้ถึงเพียงนี้
เมื่อไม่มีคำตอบใดกระจ่างชัด เขาก็ทิ้งตัวเองจมดิ่งลงในอารมณ์สับสนและคำถามที่วนเวียนไปมา แต่ใจหนึ่งก็นึกสงสารเด็กชายโอม สรวงรู้ตัวว่าเขาไม่อาจรักเด็กน้อยได้ดังเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่ด้วยความที่อุ้มชูมากับมือความเวทนาจึงหยุดความเกรี้ยวกราดของเขาลง ไม่ให้กระทบกับหนูน้อยผู้มิได้รู้เรื่องราวใดด้วย
"ไปนอนเถอะโอม...พ่อปวดหัวน่ะ อย่าเพิ่งเข้ามาเลยเดี๋ยวจะติดหวัด" เขาไม่แน่ใจนักว่าเด็กชายจะจับน้ำเสียงฝืนๆ นั้นได้ไหม ว่าพรุ่งนี้มันจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
"ท่านสรวง...เราเข้าใจถึงเหตุอันเป็นทุกข์ของท่าน แต่ขออย่าได้โทษตัวเองเลย การณ์นี้เราเห็นใจท่านนัก"
พลันเสียงเล็กๆ นั้นดังขึ้นก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปแตะแขนเด็กน้อย สรวงเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ สีหน้าของเด็กชายโอมนิ่งสนิท ดวงตาคู่นั้นจ้องมองตรงมาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
"ท่านคงขัดข้องขุ่นใจ ว่าท่านมีสิ่งใดไม่ดีงาม ไยนางถึงทำกับท่านเช่นนี้ ? "
"โอม!!"
"นั่นเป็นเพราะท่านยึดติดกับตัวเอง ว่าไฉนสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นกับท่าน ทั้งที่ท่านมั่นใจว่าไม่เคยประพฤติไม่ดีกับนางพราวแสง"
หลังได้ยินคำพูดของเด็กน้อย สรวงรู้สึกได้ถึงก้อนแข็งฝืดที่ติดอยู่ในลำคอ จึงชะงักไปทำให้เขาไม่สามารถเอ่ยอะไรได้ในทันที
"เหตุนี้มิใช่เพราะเป็นท่านดอกนางจึงได้กระทำ หรือจงใจทำให้ท่านเจ็บปวด แต่นั่นเป็นเพราะนางมิได้สำนึกตนว่าออกเรือนแล้ว ควรหยุดประพฤติอยู่ที่คู่ของตน ดังนั้นมิว่าผู้ผัวนางจะเป็นผู้ใดเรื่องราวก็ยังคงเป็นเช่นเดิมอยู่ดี"
"....."
คำพูดเกินวัยไร้เดียงสานั้นออกมาจากปากเล็กๆ นั่นอย่างไม่ติดขัด ดวงตาคู่นั้นมิได้มีแววสดใสช่างหยอกล้อดังเดิม แต่ฉายแววลุ่มลึกและไม่ได้สะท้อนความรู้สึกใดออกมา สรวงได้แต่อึ้งไปด้วยความฉงนเขาไม่อาจตอบโต้เด็กชายได้ในทันที อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
"หากท่านมั่นใจว่าท่านเป็นผู้ประพฤติดีแล้ว ขอจงมั่นใจในความดีงามของตนเองเถิด มิต้องสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นเพราะเหตุใด ที่ท่านเป็นทุกข์เพราะท่านยึดติดถือมั่นเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จึงเกิดคำถามว่าไฉนจึงต้องเป็นท่าน ไฉนทุกข์จึงเกิดแก่ท่าน ทั้งที่ท่านประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งดีงาม สร้างแต่กุศลกรรมแล้ว"
"คุ...คุณเป็นใคร?"
ชายหนุ่มหลุดจากอาการตะลึงพรึงเพริดได้ ก็ร้องถามขึ้นมา เขามั่นใจแล้วว่าผู้ที่พูดอยู่ตรงหน้าไม่ใช่เด็กน้อยที่เขาเคยเลี้ยงดูมา แต่เป็นใครบางคนที่สวมคราบเด็กน้อยกำลังบอกกล่าวกับเขาอยู่
"คุณไม่ใช่น้องโอม!!" คนถูกถามไม่ตอบคำถามในทันที มีเพียงรอยยิ้มที่แย้มเพียงเล็กน้อยบนใบหน้านั่น
"เรามิใช่...แต่ก็ใช่ ขึ้นอยู่กับท่าน"
"มะ...หมายความว่ายังไง?" ลมหนาวมิได้พัดผ่านหากแต่อากาศในห้องเย็นยะเยือกขึ้นกะทันหัน เรื่องประหลาดตรงหน้าทำให้สรวงหนาวเหน็บไปทั่วสรรพางค์กาย
"ละ...แล้วน้องโอมไปไหน? หรือว่า...." ชายหนุ่มหน้าซีดลงไปอีก หรือเด็กน้อยจะจากไปตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุกันนะ หากดูเหมือนร่างตรงหน้าจะรู้เท่าทันความคิดจึงแย้มยิ้มออกมาก่อนจะกล่าว
"เด็กน้อยนั่นอยู่ที่นี่ ยังมิได้ไปไหน"
"ผมไม่เข้าใจ? "
"กายหยาบนี้เป็นทางผ่านให้เรามายืนอยู่ ณ เบื้องหน้าท่าน ให้เราได้สถิตในภพนี้ จนกว่าจะสิ้นอายุขัยของร่างนี้อีกครั้ง เราจึงจะกลับไป" คำเฉลยทำเอาเขาต้องอุทานออกมา ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปาก
"หมายความว่า....คุณมาเกิดเป็นน้องโอม" ร่างเล็กนั้นพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ
"น้องโอม...เอ้อ คุณ...ผมสับสนไปหมดแล้ว"
"เราเข้าใจ....เราเองก็เพิ่งระลึกได้ว่าเรามาที่นี่เพื่อภารกิจอย่างหนึ่ง เมื่อได้ชำระกิจนั้นให้เสร็จสิ้นแล้ว จึงจะกลับไปได้"
"คุณกำลังจะบอกว่า....คุณมาเกิด เพื่อจะ...ทำ..เอ่อ...เรื่องอะไรบางอย่างใช่ไหม?" เด็กน้อยนั้นพยักหน้าอีกครั้ง
เป็นไปไม่ได้ นี่ผมกำลังฝันไปใช่ไหม? ใช่สินี่ต้องเป็นความฝัน
ชายผู้เคยเป็นบิดาของเด็กชายโอมหันหน้าหนี เขาพยายามตบแก้มตนเองโดยแรง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความจริงตรงหน้าเปลี่ยนไปแต่อย่างใด
ท่านสรวงโปรดสงบใจ แล้วฟังเราด้วยเถิด ร่างเล็กนั่นเห็นท่าทางตื่นตระหนก ของนายสรวงแล้วจึงกล่าวต่ออย่างสงบเยือกเย็น
เราทราบว่า..เรื่องนี้เหลือเชื่อยิ่งนัก เกินกว่ามนุษย์สามัญธรรมดาจะเข้าใจได้ เมื่อแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฝัน ชายหนุ่มก็ลุกพรวดขึ้นยืนและก้าวถอยหลังไปจนสุดมุมห้อง
คุณต้องการอะไร? เสียงถามของเขาแสดงความหวั่นไหวออกมาโดยไม่ปิดบัง
เราไม่ทำร้ายท่านหรอก อย่าได้กลัวเราเลย เด็กน้อยขยับเข้ามาหาเขา ด้วยท่วงท่านุ่มนวลราวกับลอยเลื่อนมิใช่เดินเหินดังเช่นคนปกติเลย
ท่านสรวง...ด้วยเมตตาแห่งอริยะเจ้าเป็นที่ตั้ง เรากับท่านมิใด้พบเจอกันโดยบังเอิญ แต่เป็นแรงบุญที่มีร่วมกันมาระหว่างเราทั้งสอง...ที่แล้วมาท่านจึงอุปถัมภ์เลี้ยงดูจุนเจือเรามา....ครานี้ก็เช่นกันเราจึงร้องขอต่อท่าน...โปรดจงช่วยเหลือเรา เสียงอธิบายนั้นนุ่มนวลยิ่งนัก จึงทำให้นายสรวงคลายใจลงบ้าง ว่าผู้อยู่ตรงหน้ามิได้มามุ่งร้าย
"แล้วคุณจะให้ผมทำอะไร? ผะ...ผมเป็นคนธรรมดา ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร...แล้วผมจะช่วยคุณได้ยังไง" เมื่อรวบรวมสติได้เขาจึงถามออกไป
"ขอบคุณที่เอ่ยถาม...ท่านสรวง ท่านเป็นคนมีจิตเมตตา หากเป็นคนทั่วไปคงปฏิเสธก่อนที่เราจะทันได้บอกกล่าวเสียด้วยซ้ำ" คนพูดมีแววขบขันออกมานิดหน่อย
"เอ่อ....มันเหลือเชื่อจริงๆ ผมไม่ได้ฝันใช่ไหม ? ความสับสนยังอยู่ในใจชายหนุ่มอย่างครบถ้วน
แล้วความเจ็บปวดในใจท่าน ใช่เป็นความฝันด้วยหรือไม่ ?
คำถามที่ย้อนกลับมานั้นทำให้สรวงต้องนิ่งไปอีกครั้ง ใช่! สรวงบอกตนเองเขาอยากให้ความจริงที่พราวแสงมีชู้นั้นเป็นแค่ฝันร้ายไป แต่ความจริงตรงหน้าไม่อาจลบเลือนได้ เขาจึงพยายามตั้งสติแล้วถามออกไป
แล้วผมจะทำอะไรให้คุณได้กันล่ะ ? "
เมื่อเริ่มบังคับใจให้มีสติได้ สรวงก็เลี่ยงมาทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างหมดเรี่ยวแรง พลางถอนหายใจออกมาอย่างอัศจรรย์กับเรื่องที่เกิดขึ้น คืนนี้ช่างเป็นคืนอันแปลกประหลาดน่าพิศวงยิ่งนัก ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแปลงอารมณ์ไปมาชนิดพลิกขั้ว จนแม้ตนเองยังปรับตัวเตรียมใจไม่ทัน
"ท่านมองดูเราให้เต็มตาสิ ร่างของเรานี้เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น" ชายหนุ่มไร้คำโต้เถียงได้แต่พยักหน้าตาม
"มันยากยิ่งต่อการที่เราจะกระทำกิจใดโดยไม่มีผู้ใดสงสัย....อีกทั้งเราอุบัติเป็นมนุษย์ เราจำต้องดำเนินชีวิตตามวิถีมนุษย์ จนกว่าจะถึงวาระที่เรารอคอย...ซึ่งเพลานั้นยังอีกยาวนานยิ่งนัก"
"นี่แปลว่า...." สรวงหัวใจกระตุก เขาเริ่มต่อเรื่องราวบางอย่างได้รางๆ ในสมองของตน
"เราจำเป็นต้องมีผู้ให้การอนุบาล อุปถัมภ์ค้ำจุนเราจนกว่า...จะถึงเพลานั้น...."
"คุณ...ต้องการให้ผม....ดูแลคุณจนกว่าจะถึงเวลาที่คุณรองั้นเหรอ?" ร่างเล็กพยักหน้า ไร้รอยยิ้มอีกต่อไป
"ท่านจะก่อกุศลกรรมนี้แก่เราได้หรือไม่? "
"ผะ...ผมน่ะเหรอ? แต่...ผมไม่ใช่...."
เขาเกือบจะหลุดไปแล้ว ว่าเขาไม่ใช่บิดาผู้ให้กำเนิดอันแท้จริงของร่างนี้ แต่คล้ายว่าผู้มาจุติจะทราบล่วงหน้าก่อนเขาจะเอ่ยมันออกมา
"เราร้องขอแก่ท่าน...เพราะท่านเป็นผู้สูงด้วยสุจริตธรรม หาใช่เพราะท่านเป็นเจ้าของเชื้อสายที่ให้เรากำเนิดมา หากท่านปรานีเรา...ขอให้เราได้กราบท่านเป็นบิดาเถิด"
"อย่าใช้คำว่าปรานีเลย...คำสูงไป...คุณมาจากฟ้าไม่ควรใช้คำนั้น" สรวงแน่ใจว่าเขาสันนิษฐานถิ่นที่มาของวิญญาณในร่างไม่ผิดแน่ เด็กน้อยคลี่ยิ้มบางออกมาอีกครั้ง ชายหนุ่มใจเต้นไม่เป็นส่ำเขากำลังจะได้รับหน้าที่สำคัญยิ่ง จึงตอบออกไปด้วยเสียงตะกุกตะกัก
มะ....มันจะดีรึ? ผมก็แค่....คนธรรมดาทั่วๆ ไป
เขาแน่ใจว่าตนเองนั้นสามัญธรรมดา ดังมนุษย์เดินดินที่พบเห็นได้เป็นแสนเป็นล้านเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เหตุไฉนผู้มาจากแดนฟ้าจึงเลือกเขา ร่างเล็กนั่นจ้องมองสีหน้าตื่นตระหนกทั้งสับสนทั้งตื่นตะลึงนั้น ด้วยแววตาเจือความขบขัน เด็กน้อยไม่ได้ตอบสิ่งใดออกมา เพียงแต่เยื้อนยิ้มน้อยๆ อย่างๆ เยือกเย็นเป็นการยืนยันคำตอบเดิม ทำให้สรวงต้องกลืนน้ำเหนียวฝืดในช่องปากนั้นลงคอไปอีกครั้ง เพราะแน่ใจว่าไม่อาจหนีความจริงอันแสนอัศจรรย์พันลึกนี้ไปได้อีกแล้ว ทุกสิ่งชะตากำหนดลงมาที่เขาทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย จึงถูกถ่ายทอดให้เขาได้รับรู้ด้วยฝีมือคนตัวเล็กตรงหน้า จึงกลั้นใจถามออกไป
ทำไมต้องเป็นผม? อีกฝ่ายไม่ได้ตอบโดยทันทีเขาจึงถามต่อ
เพราะคุณไม่มีตัวเลือกอื่นอย่างนั้นหรือ?
ท่านไม่ต้องการรับหน้าที่นี้?
ก็...ก็ไม่เชิง แต่ผมไม่แน่ใจผมดีพอจะดูแลคุณได้งั้นรึ ? สรวงรีบละล่ำละลักปฏิเสธเหมือนเกรงอีกฝ่ายจะขุ่นเคือง
เรารู้จักมนุษย์ไม่มากนัก แต่เรามั่นใจว่าท่านเป็นผู้มีเมตตาธรรมสูงเกินใครคนใดที่เราพบเจอมาในช่วงกึ่งวันนี้....อีกทั้งร่างนี้มีท่านเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย ความเหมาะสมทุกประการนี้เป็นเหตุให้เราร้องขอแก่ท่าน
สิ้นคำตอบชายหนุ่มเบิกตากว้างและกลั้นลมหายใจโดยอัตโนมัติ อุณหภูมิในร่างลดต่ำลงฉับพลันจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว สรวงนิ่งอยู่เป็นนานจึงได้ระบายลมหายใจยาวออกมา นี่อาจจะเป็นรอยกรรมที่เวียนบรรจบมาถึงคราวที่เขาชดใช้ จึงเกิดเรื่องทุกข์ทรมานใจจนแทบแดดิ้น แต่ชะรอยผลบุญเองก็มีกงล้อแห่งโชคชะตาเช่นเดียวกันกับกรรม สัจธรรมทั้งสองจึงหมุนเวียนมาหยุดลงที่เบื้องหน้าเขาในคราเดียวกัน
สรวงถามตนเองต่อไปว่าถ้าหากมิได้เกิดเหตุการณ์อันแสนมหัศจรรย์นี้ขึ้น เขาจะทำอย่างไรกับพราวแสงและเด็กชายโอม คำตอบนั้นถูกเติมเต็มไปด้วยโทสะจริตอันเผาผลาญสิ่งดีงามในใจไปหมดสิ้น และเติมเต็มไปด้วยความดำมืดอันลึกสุดหยั่ง เขาอาจจะทำในสิ่งที่แม้แต่ตนเองยังคาดไม่ถึง และผลสรุปของมันคงจบลงอย่างไม่ใช่เรื่องดีนัก อาจถึงขั้นเป็นตราบาปในใจไปตลอดชีวิตก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วชายหนุ่มนึกกลัวใจตนเองจนต้องยกมือขึ้นลูบหน้า ปาดเหงื่ออันชุ่มโชกที่ไหลย้อยลงเป็นจำนวนมาก เขายังคงนิ่งอยู่นานในใจพะวงไปถึงผู้มาจากแดนไกลตรงหน้า หรือนี่จะเป็นสิ่งที่รากแก้วแห่งความประเสริฐส่งมาเพื่อหยุดเพลิงโทสะในใจเขา ก่อนจะก่อบาปสร้างเวรใดๆ ขึ้นมาในอนาคต
สรวงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง นี่คงเป็นเส้นทางที่เขาต้องเลือกแล้ว นับว่าเขายังโชคดีกว่าผู้อื่นมากมายนัก ที่มีโอกาสได้เลือก มีบุคคลอันเป็นพยานถึงความดีงามอันเป็นเจตคติ ที่ทุกคนได้เรียนรู้จากคำสอนต่างๆ ในรูปของนามธรรมมาช้านาน หากแต่ไม่เคยได้สัมผัสอย่างเป็นรูปธรรมเช่นเขา เมื่อตัดสินใจได้ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมา
"หาก...คุณคิดว่าผมเหมาะสม...ล่ะก็" เขายังตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ทว่าเด็กน้อยคลี่ยิ้มออกมาอย่างปรีดานัก
"กุศลที่ท่านจะก่อกับเรานี้...เราจักตอบแทน สิ่งใดที่ท่านเสียไปท่านจะได้รับกลับคืนเป็นเท่าทวีคูณ เราสัญญา" สัจจะวาจาท้ายประโยคนั่นดังกึกก้อง ยืนยันคำกล่าวนั้นอย่างหนักแน่น
"ผมไม่ได้เรียกร้อง...คือว่า...."
สรวงยังกล่าวไม่ทันจบดี ร่างเล็กก็คุกเข่าลงเบื้องหน้า ยกมือขึ้นบรรจบพนมแนบอก ท่วงท่าหมดจดงดงามราวเทพบุตรเมืองแมน
"นับแต่นี้เราขอกราบท่านเป็นบิดา ขอสรรเสริญท่านไว้เหนือเกล้า กุศลกรรมที่กระทำต่อเรานี้ เราจักมิลืมเลือน"
กล่าวจบผู้มาจากแดนสุขาวดีก็ก้มกราบลงแทบเท้านายสรวง ชายหนุ่มหลุดจากอาการตกตะลึงได้ก็รีบดึงร่างเล็กนั้นให้ลุกขึ้น นัยน์ตาของเขายามนี้พราวไปด้วยน้ำใสอาบอุ่นที่หลั่งลงรดแก้ม การร้องไห้ครั้งนี้มิใช่เกิดจากความผิดหวังเสียใจอย่างรุนแรงดังเช่นเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ แต่เป็นน้ำตาที่ไหลออกจากความปลื้มปิติ
"ผมจะช่วยท่าน ทุกอย่างที่ผมทำได้ ผมสัญญา"
"พ่อท่าน ท่านเป็นบิดาเราแล้ว อย่าได้เรียกเราว่าท่านอีกเลย"
"แล้วจะให้ผมเรียกท่าน เอ้อ...คุณว่าอะไร? น้องโอมอย่างเดิมรึ?"
"ไม่...นามนั้นเป็นคำเรียกหาแห่งพระผู้ควรสรรเสริญ มิใช่สำหรับเรา..." คนจากแดนฟ้าปฏิเสธ
"แล้วจะเรียกยังไงดีล่ะคุณ?"
"วิมุตติ" ร่างเล็กตอบ เสียงนั้นหนักแน่นช้าชัดและก้องกังวานยิ่งนัก
"นามของเราคือ วิมุตติ วิทยาธร แห่ง หิมวันต์ "
(จบตอนที่ 1) +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 05 กันยายน 2555 |
|
19 comments |
Last Update : 5 กันยายน 2555 0:54:18 น. |
Counter : 5572 Pageviews. |
|
|
|