จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
26 พฤศจิกายน 2555
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 21

ตอนที่ 21
อาจารย์คนใหม่





                 เคียงฟ้าเพ่งสายตามองไปหน้าชั้นเรียน พร้อมสีหน้าตะลึงพรึงเพริดไปยังร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำสนิทที่ยืนอยู่เบื้องหน้า พร้อมๆ กับมิรันตีและเพื่อนเพื่อนคนอื่นๆ ที่พากันมองอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วกระซิบกระซาบต่อกันด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นวิมุตติมายืนอยู่หน้าโพเดียมแทนที่อาจารย์ผู้สอนคนเดิม


                 "สวัสดีนักศึกษาทุกคน ผมวิมุตติ เหมวัต จะมาเป็นสอนพวกคุณแทน อ.พิจักษณ์ ความจริงแล้วผมต้องเข้าสอนเทอมหน้าแต่เนื่องจาก อ.พิจักษณ์ป่วยกะทันหัน ผมเลยต้องมารับหน้าที่เร็วกว่ากำหนด "


                 เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบตัวทันที บางคนก็นึกประหลาดใจแม้การเจ็บป่วยจะสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ก็ตาม แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าอาจารย์คนใหม่จะเป็นเจ้าของไร่ที่เพิ่งไปรับน้องมานั่นเอง ในขณะที่มิรันตีและหญิงสาวอีกหลายคนพากันดีใจ คงมีแต่เคียงฟ้าเท่านั้นที่รู้สึกถึงความไม่ปกติบางประการ


                "ฉันว่ามันแปลกๆ นะแอน"


                "แปลกอะไร? ดีซะอีกมีอาจารย์หล่อๆ มาแทนอาจารย์แก่ๆ ไม่ดีตรงไหน?"


                "ใช่ย่ะ...เจริญหูเจริญตาดีออก" เพื่อนสาวประเภทสองอีกคนยื่นหน้ามาพูดก่อนจะหันกลับไปหัวเราะคิกคักกับกลุ่มของตน


                "จู่ๆ ก็มาสอน ตอนไปรับน้องไม่เห็นบอกอะไรเลย"


                "คิดมากจริงยัยฟ้านี่ ไม่เห็นเป็นไรเลยเซอร์ไพรส์ดีออก" มิรันตีตำหนิแล้วก็ไม่สนใจหล่อนอีก แต่กลับส่งเสียงหวานไปทักทายวิมุตติ


                "พี่เจ้าคะ...อุ้ย! ไม่ใช่สิ ต่อไปนี้ต้องเรียกอาจารย์เจ้าสิคะ" สิ้นประโยคเสียงโห่ล้อเลียนของเพื่อนในชั้นดังขึ้นเป็นทิวแถว


               "นอกชั่วโมงเรียนจะเรียกอย่างไรนั้นไม่สำคัญหรอกครับ แต่ในชั่วโมงเรียนเรียกอาจารย์ก็ดี เดี๋ยวทางคณะจะหาว่าผมวางตัวไม่เหมาะสม"


               สำหรับวิมุตติแล้วตำแหน่งที่เรียกขานไม่ใช่สิ่งสำคัญนัก แต่ในยุคสมัยปัจจุบันนักศึกษามักใช้สิทธิเสรีภาพมากเกินขอบเขต คำว่า "อาจารย์" จึงเป็นคำเตือนให้รู้สถานะระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ไม่ให้เกิดการสนิทสนมจนลามปามเอาได้


               "ค่าาาาา...า อาจารย์เจ้าาาา..า" หญิงสาวแกล้งลากเสียงยานคางตอบรับ ทำให้เพื่อนร่วมห้องพากันหัวเราะออกมา


               "เรารู้จักกันเรียบร้อยแล้ว ผมขอเช็คชื่อหน่อย ให้ยืนขึ้นเมื่อถึงชื่อนะครับ"


               การแนะนำตัวดำเนินไปแบบที่ควรจะเป็นในห้องเรียน ทำเอานักศึกษาสาวหลายคนหน้ามุ่ยไปบ้าง เมื่อพบว่าอาจารย์รูปงามคนใหม่ ไม่ช่างเล่นและยังเคร่งในการทำหน้าที่เสียด้วย คงมีแต่มิรันตีที่ยังยิ้มกริ่มตามเป็นประกายมีความหวังบางอย่างขึ้นมาในใจ


               เคียงฟ้ามองเห็นสีหน้าของเพื่อนแล้วใจหนึ่งก็นึกอยากเตือนว่า หล่อนไม่ควรเล่นกับคนๆ นั้น วิมุตติไม่ใช่ผู้ชายที่ควรเข้าใกล้ แต่หญิงสาวไม่มีหลักฐานใดจะอธิบายลางสังหรณ์ของตนเอง ครั้นจะพูดออกไปก็คงจะโดนอารมณ์เกรี้ยวกราดของเพื่อนต่อว่ากลับมาจึงนิ่งเสีย


               "ผมไม่ทราบว่า อ.พิจักษณ์ สอนไว้ถึงตรงไหน? แต่นี่เพิ่งเปิดเทอมมาได้ไม่กี่อาทิตย์เท่านั้น ผมขอเริ่มใหม่เลยดีกว่า" อาจารย์คนใหม่สรุปความ


                "สำหรับทุกคนในที่นี้ซึ่งเป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์อยู่แล้ว คงจะรู้จักคำว่า "รหัสนัย" เป็นอย่างดีใช่ไหมครับ? " คนพูดเว้นช่วงรอฟังเสียงตอบรับครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ


                "รหัสนัย คือ รหัส บวกกับคำว่า นัยยะ นั่นหมายถึง ความนัยหรือเครื่องหมายสัญลักษณ์ที่ทิ้งไว้ให้ค้นหา หรือซ่อนตัวจากสิ่งแวดล้อม พูดให้ง่ายเข้าก็คล้ายๆ รหัสลับดาวินชี่ ของ Dan Brown นั่นแหละครับ"


                เท่านั้นเองเสียงหัวเราะขบขันก็ดังขึ้นจากนักศึกษาทั้งห้อง แม้แต่เคียงฟ้าเองก็รู้สึกผ่อนคลายอาการจับผิดเมื่อแรกลงไปมาก และเริ่มคิดว่าบางทีหล่อนอาจจะคิดมากไปเองก็ได้


                "รหัสลับทางประวัติศาสตร์หลายครั้งก็แฝงมารูปแบบของ Myths หรือ Regional of literature นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม เรื่องเล่าและตำนานต่างๆ นั้นล้วนแต่แฝงไปด้วยรหัสนัย ยิ่งเป็นเมืองโบราณในประวัติศาสตร์ต่างๆ ยิ่งเต็มไปด้วย Myths เทวตำนานจึงมีผลต่อคติชน และสะท้อนออกมาในรูปแบบของศิลปะ ดังที่พบเห็นในโบราณสถานต่างๆ


                 นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีบางครั้งใช้เวลากับรูปปั้นรูปเดียวเป็นเวลาหลายเดือน เพื่อศึกษาลวดลายและศิลปะบนรูปปั้นนั้น ให้บอกเล่าความเป็นมาของตนเอง" อาจารย์คนใหม่นั้นสอนได้ราบรื่นกว่าที่คาด ไม่มีอาการประหม่ากับท่าทางล้อเลียนของลูกศิษย์แต่อย่างใด


                 "นอกจากนั้นแล้วตำนานยังเป็นตัวบ่งบอกความเชื่อและวัฒนธรรมว่าเผยแพร่ไปไกลแค่ไหน สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคงเป็นศาสนาซึ่งพื้นที่แถบอุษาคเนย์นั้น รับความเชื่อมาจากพราหมณ์คติก่อนจะปรับประยุกต์ให้เข้ากับพุทธ แล้วกลมกลืนลงตัวในปัจจุบัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างพราหมณ์คติและพุทธคติได้อย่างลงตัว พวกคุณคิดว่านั่นคืออะไร?"



                 "เทพเจ้ามั้งคะ? อย่างตรีมูรติ" นักศึกษาบางคนตอบขึ้นมา


                 "ทางพุทธคติรับพระวิษณุมาครับ แต่ไม่ใช่ทั้ง 3 องค์ ไม่นับรวมพระศิวะ พระพรหม แต่เทพฮินดูยังแฝงอยู่ประเพณีไทยเสมอ ถึงมีประโยคที่ว่า 'ทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิต' เพราะศาสนเทพเดิมไม่ได้ถูกกลืนหาย แต่เป็นการปรับเข้าด้วยกันกับวัฒนธรรมที่คนต่างถิ่นนำมาเข้ามาในไทย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ต่างๆ ทางฮินดู หรือเทพทางจีน แต่ตัวเชื่อมนี้ผมหมายถึงสิ่งที่ทั้งฮินดู พราหมณ์ พุทธ มีร่วมกัน นั่นคือ...พญานาค!"


                "นาค!!" เคียงฟ้าฟังแล้วเผลออุทานเสียงดังออกมาจนเพื่อนร่วมชั้นพากันหันมามอง หล่อนจึงเงียบเสียงแล้วรีบก้มหน้าลง


               "ใช่แล้วครับ นาค หรือ พญานาค หรือพญางูใหญ่ พญานาคนั้นแฝงอยู่ในทุกอณูของศาสนาจนเป็นความเคยชินของชาวพุทธทีเดียว ไม่ว่าจะรูปเขียน หรือบันไดนาค หรือธงนาค การบวชนาค และตำนานต่างๆ รวมถึงบั้งไฟพญานาคอีกด้วย ถ้ามองย้อนไปในบรรพกาลก่อนศาสนาพุทธจะเข้ามามีบทบาท


               นาคเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเก่าแก่โบราณในฐานะผู้สร้าง ผู้รักษา และผู้ทำลาย ไปในตัว แต่เมื่อพุทธศาสนาแพร่เข้ามาในอุษาคเนย์ นาคเองก็ปรับเปลี่ยนบทบาทไปเป็นผู้รับใช้ศาสนา หลายตนมีชื่อในตำนานในชาดกต่างๆ"


                "อาจารย์ครับถ้านาคเป็น ผู้สร้าง ผู้รักษา และผู้ทำลาย ก็เหมือนตรีมูรติเลยสิครับ" นักศึกษาชายถามแทรกขึ้นมา อาจารย์หนุ่มจึงยิ้มรับและค่อยอธิบายต่อ


                "ในยุคสมัยหนึ่งที่นาคเป็นเทพสูงสุดของอาณาจักรโบราณเท่านั้นครับ ชาวอาณาจักรเหล่านั้นแทนตัวว่าเป็นชาวเมืองนาค ดังตำนานพระเจ้าขี้เรื้อน พระทอง ธิดานาค หรืออื่นๆ ฯลฯ ตามเทวสถานจึงมีรูปนาคปรากฏอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบันไดนาคหรือรูปปั้น แต่นาคนั้นโด่งดังในฐานะ Myths มากกว่า Myths ที่ว่ามักจะมาพร้อมตำนานรักแบบโศกนาฏกรรมเสียด้วยสิ" พูดถึงตรงนี้นักศึกษาในวัยหนุ่มสาวพากันส่งเสียงครางกันเป็นแถบ


                "แบบเรื่องผาแดงนางไอ่ใช่ไหมคะอาจารย์"


                "ใช่ครับ ท้าวผาแดงกับนางไอ่คำ และพญานาค เป็นรักสามเส้าจบลงด้วยความพินาศของชาวเมือง นอกจากคู่นั้นแล้ว ก็ยังมีตำนานของเมืองโยนกนาคพันธุ์ที่คล้ายคลึงกับเรื่องของผาแดงมากเช่นกัน มีจุดร่วมอยู่ตรงที่ว่าชาวเมืองจับสัตว์สีขาวได้ และนำมากินกันทั้งเมืองเป็นเหตุให้เมืองถูกน้ำท่วมล่มสลายไป เรื่องของผาแดงนั้นเป็นกระรอกเผือก แต่เรื่องของเวียงโยนกฯ เป็นปลาไหลเผือก


                 เหล่านี้เป็นตำนานพื้นบ้านซึ่งถ้ามองให้ลึกลงไปแล้ว จะพบว่าเหตุเกิดที่ภาคอีสานกับเหนือคนละทิศกันเลย แต่พวกเขารับความเชื่อเดียวกันคือเป็นเมืองที่บูชานาคมาก่อน นอกจากสองเมืองนี้แล้ว ยังมีอาณาจักรอื่นๆ รอบบริเวณกินพื้นที่เข้าไปทั้งทางลาว และเขมร ต่างก็มีตำนานคล้ายคลึงกัน คือนาคสร้างเมืองและนาคล่มเมือง ดังนั้นปราสาทต่างที่มีความเชื่อในเรื่องนาคาเทพ ก็สร้างรูปเคารพของนาคไว้ตามที่ต่างๆ รวมทั้งบาราย และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเทวสถาน แสดงถึงวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาน้ำเป็นใหญ่อีกด้วย


                 การเรียนประวัติศาสตร์ทำให้เราเป็นคนช่างสังเกตช่างคิด ไม่ใช่แค่มองผ่านเอาแต่ความสวยงามของสถานที่อย่างฉาบฉวย บางครั้งคิดแล้วก็ต้องใส่จินตนาการตามไปด้วย และที่สำคัญ....มอง คิด และเยี่ยมเยือน ขอให้อยู่ภายใต้คำว่า "ให้เกียรติ" นะครับ ไม่ใช่ใส่จินตนาการกันเลยเถิดเลอะเทอะ จินตนาการเป็นสิ่งสำคัญของทุกพื้นฐานวิชาการบนโลกนี้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องยืนอยู่บนฐานของความเป็นจริง ไม่อย่างนั้นก็เป็นได้แค่เรื่องเพ้อเจ้อ แต่ถ้าไม่มีจินตนาการเลยเราก็ไม่ค้นหา และว่าด้วยจินตนาการนี้ผมเลยว่าจะให้พวกคุณทำรายงาน"


                 จบประโยคอันยืดยาวที่นักศึกษาทั้งห้องพากันตั้งใจฟังมาตลอดนั้น กลับตบท้ายด้วยเสียงอุทาน เมื่อรู้ว่ามีรายงานต้องทำกันตั้งแต่ชั่วโมงแรกในการสอนของวิมุตติเลย


                 "โห....'จารย์ มาถึงก็สั่งรายงานเลยเหรอ?" เสียงโอดครวญนั้นดังระงมไปทั่วห้อง ทำเอาคนสั่งทำนึกขำ


                "จะได้รู้ลึกไงครับ"


                "แล้วรายงานเรื่องอะไรเหรอคะ?" มิรันตีคงจะเป็นคนเดียวที่ยกมือขึ้นถามด้วยความกระตือรือร้น


                "ก็เรื่องนาคนี่แหละครับ...หากนาคสร้างเมือง...แล้วต้องล่มเมืองที่ตัวเองสร้างมากับมือ คุณคิดว่าเขาจะเจ็บปวดขนาดไหน....เคียงฟ้าช่วยตอบหน่อยครับ"
หญิงสาวสะดุ้งเฮือกทำไมวิมุตติต้องเจาะจงถามเรื่องนี้กับหล่อน ทั้งที่มิรันตีที่นั่งอยู่ข้างเคียงแสดงท่าอยากตอบคำถามถึงขนาดนั้น


               "ก็....เพราะเขาเป็นคนสร้างถ้าจะพังทิ้ง เขาคงคิดว่าเป็นสิทธิ์ของเขามั้งคะ? ในเมื่อเขาเป็นเทพเหนือเมืองอยู่แล้ว จะทำยังไงก็ได้!!"


              "หือ?....เหตุผลง่ายๆ แค่นั้นเหรอครับ? ถ้าสมมติว่าเราสร้างประติมากรรม ขึ้นมาสักชิ้น เราคงต้องรักและภูมิใจกับมันใช่ไหมครับ แล้วจะทุบทิ้งกันง่ายๆ แบบนั้นเลยหรือ?"


              "ได้สิคะ....ถ้าของชิ้นนั้นไม่ถูกใจเทพอย่างเขาแล้ว ถ้าปั้นมาแล้วไม่สวยก็คงอยากทำใหม่มากกว่า เพราะมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย" หล่อนตอบด้วยใบหน้าที่เริ่มบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ


              "ขยายความมากกว่านั้นได้ไหมครับ? "


              "ก็แค่...คงจะมีคนในเมืองนั้นทำอะไรไม่ถูกใจพญานาคสักอย่าง เขาก็แสดงอิทธิฤทธิ์ให้รู้ไปเสียบ้างว่าใครใหญ่"


              "ฟังดูเหมือนอันธพาลเลยนะครับนั่น" วิมุตติจ้องหน้าหล่อนด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง ก่อนจะเสไปถามคนอื่นบ้าง


              "แล้วคนอื่นๆ ล่ะครับคิดว่ายังไง?"


              "น่าจะมีเหตุผลมากกว่านั้นนะฮะอาจารย์ แค่ไม่ถูกใจแล้วพังเมือง...มันดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย" นักศึกษาชายคนหนึ่งตอบออกมา แล้วตามด้วยนักศึกษาหญิงอีกคนหนึ่ง


              "ตามคำโบราณสงสัยต้องเกิดอาเพศอะไรสักอย่างมากกว่า"


              "ตอบได้ตรงประเด็นดีครับ อาเพศ คือ รหัสนัย ที่เราต้องค้นหาไงครับ คนโบราณนั้นแทนสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นการกระทำของธรรมชาติ อาเพศนั้นคือการเกิดสิ่งไม่ดีขึ้นมาจากการทำผิดข้อห้ามธรรมเนียมประเพณีอันเป็นวัตรปฏิบัติ ในปัจจุบันเราก็ยังเชื่อเรื่องพวกนี้กันอยู่ แต่เราแทนคำว่าอาเพศด้วยคำว่าความผิดอื่นๆ ไปแล้ว ตรงนั้นแหละที่ผมอยากให้วิเคราะห์เจาะลึก Myths ของพญานาคที่มีผลกับ Culture ของผู้คนในสมัยโบราณอย่างไรบ้าง"


              "โห.......'จารย์ ทำไมมันยากอย่างนี้ล่ะ"


              "สิ้นเทอมค่อยส่งก็ได้ครับ ยังมีเวลาให้ค้นหาคำตอบอีกนาน ตำนานมีส่วนสำคัญกับประวัติศาสตร์มันมักจะอิงมาจากเรื่องจริงเสมอ แต่เมื่อเล่ากันปากผ่านปากแบบ spread widely จึงถูกเพิ่มเติมเข้าไปจนเหนือจริง ผู้สร้าง ผู้รักษา ผู้ทำลาย จึงเป็นนัยยะของตัวแทนสมมุติแบบรหัสนัย นาค เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นกษัตริย์ เป็นชายคนรัก ใน Myths อาจจะเป็นคนๆ เดียวกัน เมื่อเป็นบุคคลจึงมีเหตุผลและอารมณ์ความรู้สึก เรื่องจึงมีเบื้องลึกมากกว่านี้....คงไม่ใช่เหตุผลแค่ว่าเขามีนิสัยอันธพาลหรอกนะครับเคียงฟ้า"


                คนถูกเรียกชื่อนิ่วหน้าไม่ยอมสบตา แต่เพื่อนรอบข้างพากันขบขันหล่อนกันเป็นแถบ มิรันตีเองก็คิดว่าหล่อนอายที่ถูกตำหนิแบบนิ่มๆ เช่นนี้ มิได้เข้าใจว่าหญิงสาวไม่อยากฟังคำอธิบายเรื่องพวกนี้ จิตสำนึกของหล่อนคัดค้านสิ่งที่วิมุตติกำลังพยายามนำเหตุผลมาอ้าง หากไม่ติดว่านี่เป็นชั่วโมงเรียนแล้วล่ะก็หล่อนคงลุกหนีไปดื้อเป็นแน่ๆ


                เคียงฟ้าเองไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ในใจจึงมีปฏิกิริยากับเรื่องเล่าพวกนั้น ราวกับว่ากำลังถูกใครบางคนขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตมาต่อว่าหล่อน พอหมดคาบเรียนปุ๊บหญิงสาวก็รีบผุดลุกขึ้น แล้วเดินออกจากห้องไปก่อนใครเพื่อนโดยไม่สนใจคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งสายตาของอาจารย์คนใหม่ที่มองมายังหล่อนเลยสักนิด


                'ภูวิษะ...เห็นท่าคงอีกนาน...กว่าเทวีของท่านจะยอมรับฟัง' วิทยาธรเทพในร่างอาจารย์เห็นเข้าก็ทอดถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กับถ้อยรำพึงในใจ



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




Create Date : 26 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2555 0:45:36 น. 0 comments
Counter : 1699 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.