เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 26
ตอนที่ 26 ผู้เจรจา
นาคเจ้าในร่างจำแลงสะดุ้งสุดตัว และผุดลุกขึ้นยืนเหลียวมองออกไปนอกตัวบ้าน การกระทำนั้นอยู่ในสายตาของวิมุตติตลอดทุกอิริยาบถ ดังนั้นเมื่อภูวิษะเจ้าตั้งท่าจะก้าวเท้าออกนอกอาคารไป วิทยาธรเทพก็ผุดลุกขึ้นยืนขวาง
"จะไปไหน?"
"มหิตามีอันตราย เราต้องไปเดี๋ยวนี้"
"เป็นฝีมือผู้ใด?" นาคราชจำแลงมิได้ตอบคำถาม แต่ผลักไสวิมุตติให้พ้นทาง
"ท่านเพิ่งรับปากเราว่าจะไม่ทำการใดโดยพละการ งานนี้ให้เราไปเอง"
"นี่มันเรื่องเร่งด่วน เราไม่อยากต่อคำกับท่าน!"
ตรัสจบก็ผลุนผลันออกไปแต่พอถึงหน้าประตู ก็สัมผัสถึงรัศมีของพลังบางอย่างจนต้องชะงักฝีเท้า เมื่อเหลียวไปมองอีกฝ่ายก็พบร่างสูงส่งยิ้มน้อยๆ อันน่าชิงชังกลับมา ภูวิษะเจ้าหาได้สนใจสีหน้ายั่วยุของอีกฝ่าย แต่เมื่อจะเปิดประตูออกไป กลับมีขุมพลังแผ่ซ่านออกมาเป็นเปลวร้อนผ่าว จนไม่อาจแตะต้องบานประตูได้
"วิมุตติ!!" สุรเสียงคำรามเล็ดลอดออกมาจากไรพระทนต์ บ่งบอกความไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
"นี่มิใช่เรื่องล้อเล่น!!"
"เราหาได้ล้อเล่นกับท่านไม่ หากจะฝืนออกไปก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงท่านดอก...เพียงแต่ท่านลืมสิ่งใดไปหรือไม่? " นาคราชรูปงามหาได้กล่าวโต้เถียงไม่ เพียงแต่ถลึงดวงเนตรทรงอำนาจคู่นั้นจนส่องแสงสีทองเรืองรองออกมา
"หน้าที่ของวิทยเทพมิใช่มีไว้เพื่อการนี้รึ ? ไม่ว่าจะเป็นท่าน เทวีน้อย แม่หญิงกุสุมาลย์ หรือแม้แต่คนอื่นๆ ซึ่งผูกเวรจองกรรมกันมาในครั้งนั้นก็ล้วนเป็นหน้าที่ของเรามิใช่รึ ?" เมื่อเห็นนาคเจ้าไม่โต้ตอบ ก็คาดว่าคงรำลึกสิ่งที่ย้ำเตือนไปเมื่อครู่นี้ได้แล้ว
ท่านไม่มีสิทธิ์ ในการจัดการผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หาไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นท่านเสียเองที่ทำผิดกฎสวรรค์ !!
...... ภูวิษะเจ้าสดับฟังแล้วก็ทรงนิ่งงันไป มิได้แย้งสิ่งใดออกมาอีก แสงเรืองในดวงเนตรเมื่อครู่ค่อยยอแสงลงตามกระแสอารมณ์
ภูวิษะเจ้าโปรดเข้าใจด้วย หากท่านไปก็มีแต่จะสร้างบาปเพิ่มเวรแก่ตนเองเท่านั้น!
แล้วจะปล่อยให้มหิตาถูกกุสุมาลย์ฆ่าตายหรืออย่างไรเล่า?!!
"ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามามัวแต่โต้แย้งกับเราให้เสียเวลาเลย เทวีน้อยของท่านกำลังรอความช่วยเหลืออยู่มิใช่รึ?"
พูดจบชายหนุ่มก็ก้าวยาวๆ ไปที่เก้าอี้นวม แล้วทิ้งกายนั่งลงเอนหลังพิงพนักก่อนจะหลับตาลงจนสนิท มิช้านานร่างนั้นก็เข้าสู่ภวังค์แห่งจิต อึดใจต่อมาแสงสว่างเรืองรองสีเงินยวงค่อยๆ ก่อตัวขึ้น และทอรัศมีอ่อนๆ ออกจากร่างของวิทยาธรหนุ่ม ภูวิษะเจ้าเห็นเข้าก็คลายพระขนงที่ขมวดมุ่นเมื่อครู่ออกพลางถอนหทัยโดยแรง แล้วเสด็จดำเนินมาหยุดเบื้องหน้าร่างของวิมุตติ ก่อนจะตรัสออกมาด้วยสุรเสียงขุ่นเคืองนัก
"หากนางเป็นอะไรไปท่านต้องรับผิดชอบ !!"
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หญิงสาวดิ้นทุรนทุรายอยู่ในความมืดเพียงลำพัง อากาศในปอดเหลือน้อยเต็มที วิญญาณของกุสุมาลย์ตั้งใจจะฆ่าหล่อนจริงๆ เสียด้วย เคียงฟ้ากลัวจนจับขั้วหัวใจหล่อนยังไม่อยากตายตอนนี้ ที่สำคัญหล่อนกำลังจะตายโดยไม่รู้สาเหตุด้วยซ้ำ ว่าเหตุใดกุสุมาลย์ถึงได้เคียดแค้นชิงชังหล่อนขนาดนี้ เท่าที่เคยเห็นในความฝันหล่อนจำได้ว่ามหิตาเทวีกับกุสุมาลย์นั้น รักใคร่ปรองดรองกันเสียยิ่งกว่าพี่น้องร่วมอุทรแท้ๆ ของพระเทวีผู้ทรงศักดิ์เสียอีก
"ทะ...ทำไม?" คำถามนี้ผุดขึ้นมากลางใจ แต่ไม่มีคำตอบกลับมา
กุสุมาลย์ก็ดูจะขาดสติไปเสียแล้ว นางถูกความอาฆาตแค้นเข้าครอบคลุมจนลืมจิตใจอันผ่องแผ้วไปเสียสนิท ไม่มีใจสงสารให้เคียงฟ้าหรือแม้กระทั่งจะยอมฟังคำอ้อนวอนใดๆ อีกต่อไป แต่ก่อนที่จะเข้าภาวะตรีทูตคนแรกที่เคียงฟ้าเรียกหาให้ช่วยกลับไม่ใช่มารดา แต่เป็นผู้ชายที่หล่อนชังน้ำหน้าคนนั้น
"เจ้าภูวิษะช่วยด้วยยยย!!"
"กระทำกับท่านถึงเพียงนั้น ยังมีหน้ามาเรียกให้ภูวิษะเจ้าช่วยอีกหรือนางบาป !!?"
สิ่งที่วิญญาณของกุสุมาลย์ตวาดกลับมาทำให้หญิงสาวต้องเบิ่งตาค้าง ลืมความหวาดกลัวไปชั่วครู่ แล้วต้องถามตนเองอีกครั้งนี่หล่อนทำอะไรไม่ดีลงไปหรือ ไม่สิมหิตาเทวีต่างหากทำเรื่องร้ายแรงอะไรลงไป แถมยังทำร้ายสวามีที่รักสุดหทัยอีกด้วยอย่างนั้นเหรอ?!
"ข้าสู้อุตส่าห์รอเจ้ากลับมาเกิด รอจนถึงเวลาชดใช้กันเสียที อย่าหวังว่าจะรอดไปเลย !! "
วิญญาณอาฆาตข้ามภพข้ามชาติส่งเสียงเกรี้ยวกราด และเพิ่มแรงบีบลงไปที่คอของเคียงฟ้า จนหล่อนขาดอากาศหายใจและคิดว่าคงไม่รอดแล้ว ในขณะที่สติของหญิงสาวเลือนรางเต็มที่ เงาร่างสูงสง่าของบุรุษก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังกุสุมาลย์ แล้วดึงเอาวิญญาณหญิงงามออกไปให้พ้นร่างหล่อน
เคียงฟ้าจึงมีโอกาสสูดหายใจเข้าปอดได้อีกครั้ง แม้รอดตายอย่างหวุดหวิดแต่ไม่มีสติพอจะลุกขึ้นมาดูว่าใครเป็นผู้ช่วยเหลือ สายตาที่พร่ามัวมองไปในความมืดก็เห็นเพียงบุรุษในชุดโบราณ สวมผ้านุ่งแปลกตาผืนยาวเลยหน้าแข้งลงเกือบถึงข้อเท้า ลักษณะคล้ายกางเกงโธตีของอินเดียสีขาวสะอาดตา แต่มีชายผ้าทับด้านหน้าซึ่งยาวละมาจากขอบเอวลงมาปิดหัวเข่าด้านซ้าย บนชายผ้าผืนนั้นยังปักประดับเป็นดอกตราสีแดง เรือนกายท่อนบนนั้นเปลือยเปล่าอวดแผงอกกว้าง เขากำลังดึงกึ่งลากคนที่เกือบปลิดชีพหล่อนลอยห่างออกไป จากนั้นร่างบางที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อก็หมดสติไปบนเตียงนอนของตนนั่นเอง
"ปล่อยข้านะ!!"
วิญญาณนางกำนัลคนงามกึ่งตวาดกึ่งสั่ง และพยายามดิ้นรนให้พ้นจากวงแขนที่พันธนาการตนอยู่ นางกำลังตกอยู่ในโทสะจริตจึงไม่ทันสังเกตว่าเป็นผู้ใด ที่ดึงตัวนางออกมาก่อนได้ก่อกรรม แต่มิอาจแผลงฤทธิ์ออกเดชได้อย่างที่ทำกับเคียงฟ้า เพราะผู้มาใหม่นั้นมีฤทธิ์อำนาจสูงกว่า
"ถ้าปล่อยก็จะไปทำร้ายเทวีน้อยอีกสิ!"
เสียงบุรุษที่ตอบมานั้นไม่คุ้นหูและมิใช่เจ้านาคราชอย่างแน่นอน อีกทั้งยังฉายแววขบขันมิได้โกรธขึ้งในสิ่งที่นางกระทำลงไป กุสุมาลย์จึงหยุดดิ้นนิ่งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ดวงหน้าดุร้ายนั้นค่อยคืนกลับเข้าสู่สภาพอันงดงาม เหมือนก่อนจะถูกจิตพยาบาทเข้าครอบงำ วิทยาธรเทพเห็นเข้าก็คลี่ยิ้มออกมา
"แม่รู้ตัวไหม? ยามแม่ไม่โกรธขึ้งถือเคืองนั้น แม่ช่างงามกระจ่างดังจันทร์วันเพ็ญ"
สำนวนชมโฉมอันตกยุคย้อนกาลเวลา แถมยังแสนเชยในความรู้สึกของกุสุมาลย์ ทำให้หญิงงามต้องขมวดคิ้วเรียวเข้าหากันด้วยความฉงน ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ นางจึงกางเล็บยาวสีชาดขึ้นข่วนแขนบุรุษแปลกหน้าอย่างแรงทันที ด้วยเหตุผลที่ว่าจู่ๆ ก็มาถือวิสาสะแตะต้องเนื้อตัวสตรี อีกทั้งยังเกี้ยวพาราสีนางเอาดื้อๆ อีกต่างหาก จนกระทั่งได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้องโอดโอย และยอมปล่อยลำแขนบอบบางของนางจากการเกาะกุมแล้ว เมื่อสาแก่ใจกุสุมาลย์จึงเอ่ยถามออกไป
"เป็นผู้ใดกันจึงบังอาจมาสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของข้า!" โฉมงามเงยหน้าขึ้นจ้องบุรุษตรงหน้าด้วยความไม่พอใจยิ่งนัก
" เฮ้อ..เราเป็นผู้รับอาสามาเจรจาความ...อูยยย...ย " คนตอบยกแขนขึ้นดูรอยข่วนก็แลเห็นโลหิตไหลซิบๆ อยู่รำไร
"นี่มิใช่เรื่องของเจ้า!!" วิญญาณนางกำนัลตอบด้วยสุ้มเสียงขุ่นเคือง พลางคลี่ยิ้มเย้ยรอยแผลที่ฝากไว้บนท่อนแขนอีกฝ่าย
"จริงอยู่แม่หญิงนี่มิใช่เรื่องของเรา หากแต่เป็นหน้าที่อันต้องปฏิบัติ เพราะเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนความแล้ว โดยมีเรา 'วิมุตติ' ผู้นี้เป็นผู้ดูแลจัดการตามเห็นสมควร" บุรุษแปลกหน้าแนะนำตนเอง และตอบคำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับนี่หาใช่เรื่องสลักสำคัญไม่ เพียงแต่เป็นงานชิ้นหนึ่งเท่านั้น ถ้อยเจรจาอันดูเรื่อยเฉื่อยนี้ยิ่งทวีความขุ่นใจให้หญิงงาม
"กระบวนความ? วิทยเทพงั้นรึ ? เรามิต้องการความช่วยเหลือจากท่าน"
กุสุมาลย์ปฏิเสธทันที และเพ่งมองพิจารณาบุรุษตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก็พอจะเชื่อได้อยู่หรอกว่ามิได้โป้ปดมดเท็จใส่นาง โดยเฉพาะตราปักดอกสีแดงที่อาภรณ์บนเรือนร่าง บ่งบอกถึงตำแหน่งหน้าที่ได้เป็นอย่างดี แม้บุรุษหนุ่มมิได้ทรงเครื่องครบยศ อีกทั้งยังมาพูดจาเกี้ยวพาราสีใส่นางในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
"เฮ้อ...แม่วนเวียนอยู่ร่วมพันปี เพื่ออาฆาตคนๆ เดียวไม่เหนื่อยบ้างรึ? ไยไม่ยกเรื่องนี้ให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม" ดวงตาคมกล้าสีสนิมเหล็กนั่นทอแสงอ่อนโยนยามที่มองมา แต่กุสุมาลย์กลับตีความไปว่ากึ่งเทพผู้นี้กำลังสมเพชนาง จึงยิ่งบันดาลโทสะตัดพ้อต่อว่า นำเอาความรู้สึกต่างๆ ทั้งเคืองแค้นทั้งเจ็บปวดระบายออกมาในคำพูด
"รอมาแสนนานข้ายังรอได้ แล้วอีกนิดเดียวเท่านั้นจะบรรลุเป้าหมายแล้ว ไยจึงต้องพึ่งพากฎอันใดอีกเล่า ยามข้ายังมีชีวิตอยู่มิเห็นผู้ใดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ หรือจะกล่าวว่านั่นเป็นผลที่ข้าสมควรได้รับแล้วกระนั้นหรือ?"
สีหน้านางงามคล้ายจะร้องไห้อีกทั้งยังเคืองแค้นต่อชะตาชีวิตยิ่งนัก วิมุตติแลเห็นแล้วก็ได้แต่เกิดจิตเวทนา มิกล้าหักหาญด้วยความรุนแรง วิทยาธรเทพจึงถอนหายใจให้ความน่าสังเวชของชีวิต
"....น่าเสียดายที่เราพบกันช้าไปแม่หญิงกุสุมาลย์ ในเพลานั้นเรามิอาจแก้ไขสิ่งใดให้นางได้ แต่ยามนี้หากแม่วางใจในตัวเรา ขอจงเชื่อในกฎแห่งกรรม แม่จักคลายทุกข์ได้ เราจักช่วยเหลือ..."
"เงียบปากของท่านเสีย!! อย่ามายุ่งกับข้า ข้าไม่ต้องการฟังคำหว่านล้อมใดๆ สุดท้ายพวกท่านทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่ต้องการช่วยเหลือนางบาปผู้นั้น!!?" หญิงงามกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเนื้อ นางลอยถอยหลังห่างออกไปเรื่อยๆ
"กุสุมาลย์ฟังเราก่อนอย่าเพิ่งไป"
วิมุตติเคลื่อนร่างตนเองลอยเข้าประชิดร่างอรชร แต่นางชิงล่องหนหายวับไปจากคลองจักษุเสียก่อน วิทยเทพเหม่อมองตามไปในทิศที่วิญญาณของกุสุมาลย์หายไป ก็พบเพียงความว่างเปล่ารอคอยอยู่เบื้องหน้าไป จึงบอกตนเองว่าป่วยการที่จะตามไปตอนนี้ เพราะนางยังไม่พร้อมจะเจรจาความใดกับเขาทั้งสิ้น
"เอาเถิด...ครั้งหน้าค่อยพบกันใหม่นะแม่ หึ หึ " วิมุตติส่งเสียงหัวเราะไล่หลังหญิงงามไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ร่างที่นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆ อยู่บนเก้าอี้นวมมาเป็นเวลานานนั้น แข็งทื่อราวกับไม่มีดวงจิตอยู่ร่าง ท่อนแขนซ้ายนั้นปรากฏรอยข่วนเป็นทางยาว และมีโลหิตไหลซึมออกมาเล็กน้อย ภูวิษะเจ้าที่นั่งเฝ้าร่างอยู่นั้นทอดพระเนตรเห็นเข้าก็เริ่มวิตกกังวลว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกันแน่ แต่ไฉนสีหน้าของวิมุตติจึงแย้มยิ้มคล้ายพบเจอสิ่งถูกใจเข้า จากนั้นไม่นานนักเปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ก็เริ่มกระพริบลืมขึ้น ร่างที่นั่งแข็งค้างอยู่บนเก้าอี้มานานค่อยขยับตัว
"วิมุตติเป็นอย่างไรบ้าง?"
"มิต้องกังวลไป เทวีน้อยปลอดภัยดีแล้ว" นาคเจ้าฟังแล้วค่อยถอนหทัยออกมาด้วยความโล่งอุระ เดิมทีพระองค์อยากตรัสถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หากไม่ใส่ใจรอยแผลของวิทยเทพเลย ก็ดูจะพระทัยดำไปหน่อยจึงตรัสถามขึ้นมา
"แล้วแขนของท่าน?"
"นี่น่ะรึ...?" วิมุตติยกแขนขึ้นมาดูร่องรอยนั้น
"ร้ายกาจจริงแม่กุสุมาลย์คนงาม ทำเอากายเนื้อเราได้แผลตามไปด้วย"
"นางทำอะไร?" ชายหนุ่มกำลังคิดว่าจะตอบภูวิษะเจ้าอย่างไรดี ถึงที่มาของรอยแผลนี้
"ก็...แค่ถูกนางวิฬาร์แง่งอนใส่เท่านั้นแหละ" คำตอบไม่ใส่ใจนักแค่พอจับความได้ว่า ไม่มีอะไรมากไปกว่านางแมวอันปราดเปรียวกางกรงเล็บใส่
"แง่งอน? แล้วไยจึง..." นาคราชชี้ไปที่รอยแผลแล้วแย้มสรวลที่มุมโอษฐ์ขึ้นมา
"เราน่าจะถามว่าท่านทำอะไรนางเสียมากกว่ากระมัง ถึงได้ถูกแม่วิฬาร์นามกุสุมาลย์ข่วนมาเช่นนี้"
"ท่านนี่...เมื่อครู่ใหญ่ยังร้อนใจแทบเป็นล้มประดาตาย แล้วเหตุไฉนยามนี้จึงมาตีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องนัก" ดวงตาคมคู่นั้นส่งสายตาปรามมา แต่มิได้ทำให้ผู้ถามล้มเลิกความตั้งใจได้
"ท่านอยากให้เราตอบจริงๆ หรือ? อันว่าหญิงงาม...แม้เหลือเพียงแค่วิญญาณแต่ก็ยังเป็นหญิงงามสินะ หึ หึ" ภูวิษะเจ้าส่งเสียงสรวลขึ้นมา มิปิดบังอารมณ์อันขบขันได้เลยทำเอาวิทยาธรเทพเก้อเขินไปบ้าง
"ทำแผลก่อนดีไหม?"
"แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง หึ หึ"
วิมุตติปฏิเสธพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ดวงตานั้นเล่าก็ทอแสงพราวระยับ จนเจ้านาคราชต้องส่ายพักตร์พลางดำริในพระทัยเงียบๆ กุสุมาลย์เป็นกุลสตรีมีเชิง มิใช่หญิงที่บุรุษใดจะหยอกเอินได้โดยง่าย เห็นทีคราวหน้าสหายของพระองค์คงได้แผลมากกว่านี้เป็นแน่
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยามบ่ายของวันนั้นอาทิตย์นั้นราแสงลงมากแล้ว รถยนต์สีเมทาลิกงาช้างคันงามค่อยชะลอตัวลงจอด หน้ารั้วสีน้ำตาลของบ้านหลังน้อยที่อยู่ท้ายซอย หลังจากขับลัดเลาะเข้ามาทางลัดอย่างชำนาญทาง ตรีภูมิกระโดดลงจากรถเป็นคนแรก แล้วร้องถามคนในรถ
"บ้านเลขที่นี้ ใช่เลยว่ะ! มาถูกหลังจริงๆ ด้วย เจ้าภูฯ เคยมาหรือไง เส้นนี้ซอยเล็กซอยน้อยออกเต็ม" คนถูกถามเพิ่งก้าวลงเบาะหน้าพร้อมๆ กับวิมุตติที่เป็นผู้ขับ
"ไม่เคย...." เจ้าภูวิษะตอบออกไปแต่เมื่อเห็นหนุ่มร่างท้วมทำหน้าฉงนจึงรีบพูดต่อ
"แต่เคยผ่านเส้นนี้น่ะ คิดว่าไม่ผิดหรอก"
"จำทางแม่นจริงๆ เลยเจ้า ขนาดไม่ค่อยได้มากรุงเทพฯ นะเนี่ย"
"ก็นายน่ะถ้าไม่นั่งหลับก็นั่งคุยมาตลอดทาง จะไปจำอะไรได้ล่ะ" วิมุตติระบายยิ้มอ่อนๆ ออกมาอย่างขบขัน ปัดความความสงสัยของเพื่อนรักออกไป ก่อนจะตรงไปกดออดที่ข้างรั้ว
"แหม...ไอ้เจ้าได้ทีขี่แพะไล่เชียวนะ" เสียงบ่นกระปอดกระแปดของตรีภูมินั้น ยิ่งทำให้เพื่อนทั้งสองหัวเราะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ทั้งสามสนทนากันไปได้ครู่หนึ่งคนในบ้านก็เปิดประตูออกมาต้อนรับ
"สวัสดีจ้ะ มากันเร็วจังคิดว่าจะหลงทางเสียแล้วนะนี่" ยุพาพักตร์ยิ้มทักมาแต่ไกล
"สวัสดีครับคุณแม่ รบกวนหน่อยนะครับ น้องฟ้าเป็นยังไงบ้างครับ?"
"ก็หายตกใจแล้วล่ะ แต่ยังเป็นไข้อยู่นิดหน่อยแม่เลยให้หยุดเรียน" หญิงวัยกลางคนตอบพลางหันไปมองชายหนุ่มหน้าตาดีอีกสองคนที่มากับตรีภูมิ
"แล้วนี่...เพื่อนที่'มหาลัยหรือจ๊ะ?" หล่อนเข้าใจว่าอย่างนั้น
"อ้อ....นี่ไอ้เจ้า...เอ้ย วิมุตติ เจ้าของไร่ที่เราไปรับน้องกันครับ แล้วมันก็เป็นอาจารย์ของน้องฟ้าด้วย"
"เหรอจ๊ะ" ยุพาพักตร์รับไหว้ชายหนุ่มแทบไม่ทัน นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะเขาไว้ผมยาวเคลียไหล่ แลดูไม่เรียบร้อยเหมือนคนเป็นอาจารย์ทั่วๆ ไป
"จริงๆ ก็รุ่นเดียวกันครับ แต่มันฉลาดเลยจบไปก่อน จบแล้วก็มาสอนที่คณะวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหนไกลเลยครับ"
ตรีภูมิพูดติดตลกก่อนจะผายมือไปยังชายหนุ่มคนสุดท้าย ยุพาพักตร์มองเขาแล้วรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าอาจารย์ผมยาวคนแรก เขาหน้าตาดีผิวขาวนวลอย่างคนเมืองเหนือ แม้จะไว้ผมยาวแต่มัดผูกเรียบร้อยไม่ดูสกปรกรกรุงรัง แต่สิ่งที่หล่อนติดใจคือดวงตารียาวคู่นั้น มันทอแสงประหลาดและจ้องมองหล่อนไม่วางตา
"นี่ไงครับ...เจ้าภูวิษะ"
สิ้นคำแนะนำยุพาพักตร์เผลอยกมือขึ้นทาบหน้าอก แล้วนิ่งตะลึงไปชั่วครู่จนกระทั่งชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ทักทายหล่อนถึงจะรู้สึกตัว หญิงวัยกลางคนบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบ่งบอกว่าเขาคนนี้ไม่ธรรมดา และมีผลต่อชีวิตของลูกสาวหล่อนด้วย
"คุณแม่ครับ...คุณแม่ เป็นอะไรไปครับเหม่อเชียว" ถ้าหากหล่อนยังเป็นสาวกว่านี้ หนุ่มหน้าทะเล้นคงเข้าไปใจไปว่า ยุพาพักตร์คงหลงรูปไปเหมือนบรรดาสาวๆ รุ่นน้องของเขาเป็นแน่
"จ้ะๆ ขอโทษทีเข้ามาข้างในกันดีกว่าจ้ะ" หล่อนเชื้อเชิญแล้วเดินนำเข้าไป
"บ้านนี้แม่อยู่กับฟ้าสองคนเอง พ่อของฟ้าเขาแยกไปมีครอบครัวใหม่นานแล้ว" ทั้งสามพยักหน้าไม่กล้าถามต่อแต่ปล่อยให้หล่อนเป็นฝ่ายเล่าเอง
"แม่มีฟ้าคนเดียว ก็เลยถนอมเขามากหน่อย ฟ้าเลยออกจะอ่อนสังคมไปบ้าง"
"ไม่หรอกครับก็เห็นเข้ากับเพื่อนๆ ได้ดีนะครับ" หนุ่มร่างท้วมตอบไปตามที่เห็น และคิดว่ามารดาของรุ่นน้องกังวลมากเกินไป
"นั่งก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่หาน้ำหาท่าให้กิน" ไม่นานนักหล่อนก็ยกน้ำมาเสิร์ฟ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้โซฟาฝั่งตรงกันข้าม มิได้ไปเรียกเคียงฟ้าลงมา หรือพาพวกเขาไปเยี่ยมลูกสาวหล่อน อย่างที่เอ่ยปากชักชวนมา
"ฟ้ายังหลับอยู่เลย ถ้ายังไงเราคุยกันก่อนดีไหม? อีกสักพักฟ้าคงตื่น" ยุพาพักตร์เริ่มประโยค วิมุตติฟังแล้วก็ลอบสบตากับนาคเจ้า ว่าคงถูกหญิงวัยกลางคนซักถามหลายเรื่องแน่ๆ ดีที่พวกเขาซักซ้อมกันมาก่อนแล้ว
"เจ้าเป็นอาจารย์ แล้วเจ้าภูฯ ล่ะจ๊ะ?" หล่อนถือวิสาสะเรียกพวกเขาตามอย่างตรีภูมิไปแล้ว
"ผมทำงานกับทางบ้านที่เชียงใหม่ครับ" คนถูกถามตอบด้วยความปกติ
"ทำอะไรหรือ?"
"เมื่อก่อนต้นตระกูลทำป่าไม้แต่เมื่อทางการยกเลิกสัมปทานไป ก็เลยปรับเปลี่ยนมาเป็นทำสวนกล้วยไม้ส่งตลาดต่างประเทศแทนครับ" ยุพาพักตร์พยักหน้ารับ
"คล้ายๆ บ้านแกเลยเนอะไอ้เจ้า" หนุ่มร่างท้วมตั้งข้อสังเกตขึ้นมา แต่คนถูกถามทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่
"หือ?...ก็แบบนี้แหละชาวป่าชาวดอย อาชีพก็ต้องพึ่งพาธรรมชาติทั้งนั้นแหละ" ในสายตามารดาเคียงฟ้านั้นวิมุตติตอบเรียบๆ อย่างถ่อมตัว เพราะฐานะของเขานั้นเท่าที่ทราบจากลูกสาวนั้น อยู่ในขั้นผู้มีอันจะกินและน่าจะสืบเชื้อสายมาจากเจ้าทางเหนือด้วยซ้ำ
"ได้ยินมาว่าระหว่างที่ฟ้าไปพักที่ไร่ ไปทำซุ่มซ่ามอะไรไว้กับเจ้าภูวิษะแม่ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ"
"แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอย่าคิดมากเลยคุณยุพาพักตร์"
เจ้าภูวิษะตอบหล่อนมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางเสมอกัน ไม่อ่อนน้อมเหมือนเด็กพูดกับผู้ใหญ่ ยุพาพักตร์ได้แต่จับตามองอย่างเงียบๆ แต่ไม่ได้พูดออกไป หญิงวัยกลางคนพอจะเข้าใจว่าทำไมบุตรสาวของหล่อนไม่ค่อยชอบเขา คงเป็นเพราะท่าทางถือยศถือศักดิ์ตามฐานันดรที่กำเนิดนั่นเอง
"แม่ขอถามอะไรหน่อยนะคะเจ้าภูฯ มันอาจจะฟังดูแปลกๆ สักหน่อย" ว่าแล้วจึงเริ่มคำถามขึ้นมา
"สองสามวันมานี่ เจ้าได้พบฟ้าบ้างหรือเปล่าคะ?" เจ้าภูวิษะนิ่งเงียบไม่ได้ตอบในทันใด มีแต่ตรีภูมิเท่านั้นที่ล่อกแล่กมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที แล้วตัดสินใจตอบแทน
"คุณแม่ครับเจ้าเขาเพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ วันนี้ แล้วเราก็พากันมาพบคุณแม่เลย"
"แม่รู้ค่ะ เพียแต่อยากให้แน่ใจสักหน่อย เจ้าคงได้ยินเรื่องทั้งหมดจากภูมิแล้วใช่ไหมคะ?"
"ครับ" ชายหนุ่มเชื้อเจ้าพยักหน้ารับอย่างเรียบง่าย
"มันอาจจะเป็นคำถามที่ทำให้ไม่สบายใจสักหน่อย แต่หัวอกคนเป็นแม่น่ะก็เป็นห่วงน้องฟ้า เขาช็อกกับเรื่องนี้มากถึงกับจับไข้เลย"
"เอาเป็นว่า....เราสัญญา ไม่มีทางที่เคียงฟ้าจะเป็นอันตรายเพราะเราเด็ดขาด!!" เขาไม่ได้ตอบตรงคำถามนัก แต่คำสัญญานั่นกลับทำให้มารดาของหญิงสาวรู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอันมาก
".....ขอบใจจ้ะ" หล่อนนิ่งอยู่เป็นนานกว่าจะตอบรับได้
"เดี๋ยวแม่ขอตัวไปดูน้องหน่อยนะ ถ้าฟ้าตื่นแล้วจะเรียกลงมาพี่ๆ อุตส่าห์มาเยี่ยมทั้งที" ยุพาพักตร์กำลังจะขยับลุก แต่เจ้าภูวิษะเอ่ยปากห้ามเสียก่อน
"อย่ารบกวนคนป่วยดีกว่าครับ พวกเรากำลังจะกลับกันแล้ว ที่มาก็เพื่อให้คุณยุพาพักตร์สบายใจ และถ้าเคียงฟ้าไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วเราก็เบาใจ ขอบคุณที่ให้การต้อนรับ" กล่าวจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทำให้คณะที่มาด้วยพากันลุกตาม และขอตัวกลับกันเป็นทิวแถว
"ขอบใจที่อุตส่าห์มานะจ๊ะ" หล่อนกล่าวตอนที่เดินออกมาส่งที่หน้าประตูบ้าน และรอจนรถสีงาช้างคันนั้นแล่นไปไกลแล้วจึงขึ้นไปดูบุตรสาวบนห้อง
"ใครมาเหรอคะแม่? ฟ้าได้ยินเสียงรถ" ร่างบางเพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นานนัก ใบหน้ายังซีดเซียวอยู่มาก แต่ดูดีกว่าเมื่อคืนก่อนนัก
"อ้าว? ฟ้าตื่นแล้วเหรอ? มาตื่นเอาตอนพี่ๆ เขากลับกันพอดี"
"พี่? ใครเหรอคะ?"
"พี่ตรีไงลูก เขามาเยี่ยม" หญิงสาวร้องอ๋อแล้วยิ้มขึ้นมา ก่อนจะหุบยิ้มลงในทันใดเมื่อได้ยินชื่อคนถัดมา
"เขาพาเจ้าภูวิษะ กับ อ.วิมุตติ มาด้วย"
"เจ้าภูวิษะมาหรือคะ?" หัวใจของหล่อนเต้นรัวไปด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะรีบละล่ำละลักถามมารดา
"เขาเป็นยังไงบ้างคะ? เขาตกน้ำไปใครช่วยเขาขึ้นมา? แล้วบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ?"
"ใจเย็นๆ ฟ้า" หญิงวัยกลางคนเข้ามานั่งข้างลูกสาวแล้วลูบศีรษะให้คลายความตื่นเต้น
"เขาปลอดภัยดีลูก ไม่ได้เป็นอะไร...แล้วก็ไม่ได้ตกน้ำด้วย เขาเพิ่งมาถึงกรุงเทพฯ วันนี้เอง"
"เอ๊ะ?"
"คนที่ลูกเห็นไม่ใช่เขา ฟ้าจ๋า...เจ้าเขาอยู่เชียงใหม่มาตลอดเพิ่งจะมาถึงวันนี้ เขาไม่ได้พบฟ้าบนสะพาน" ยุพาพักตร์พูดช้าๆ เน้นเสียงทีละคำ
"แต่ว่า....ฟ้าไม่ได้ฝันไปนะคะแม่"
"บางทีฟ้าอาจจะไม่สบาย แล้วก็อ่อนเพลียเกินไป...เรื่องมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงลูก"
"แม่คะฟ้าไม่ได้บ้านะคะ!! ฟ้าเห็นกับตาตัวเอง" หล่อนยืนยันด้วยความตระหนก นี่แม้แต่มารดาของหล่อนเองยังคิดว่าหล่อนฝันกลางวันหรือนี่
"แม่เชื่อจ้ะ แต่ในตอนนั้นฟ้าเป็นไข้ เวลาที่คนเราไม่สบายมักจะเห็นอะไรแปลกๆ หรือไม่ก็ดึงเอาความจำในสมองมาสร้างเป็นเรื่องเป็นราวได้ เหมือนกับฝันไปนั่นแหละจ้ะ เพราะตอนนั้นเราไม่ค่อยมีสติแล้ว"
"แต่ว่า....." ยุพาพักตร์ลูบศีรษะบุตรสาวอีกครั้ง
"เรื่องแบบนี้ใครๆ ก็เป็นกันได้จ้ะ ฟ้าพักผ่อนให้สบายเถอะอย่ากังวลกับความฝันนั่นอีกเลย แล้วเจ้าภูวิษะเขาก็สบายดีไม่ต้องเป็นห่วงเขานะจ๊ะ"
"........ค่ะ" เป็นนานกว่าหญิงสาวจะรับปากมารดาได้ หล่อนไม่เชื่อในสิ่งที่มารดาพูดเพราะแน่ใจสายตาตนเองมากกว่า แต่เมื่อหาหลักฐานมายืนยันไม่ได้ก็จำต้องยอมรับมัน
"ว่าแต่...เจ้าภูวิษะเขาหล่อดีนะลูก" หญิงวัยกลางคนพูดไปยิ้มหยอกล้อบุตรสาวไป
"แม่คะ!! อีตานั่นมีดีแค่หน้าตากับเป็นเจ้าแค่นั้นแหละค่ะ ไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่แม่คิดเลย อย่าโดนหลอกเชียวนะคะ!!" เคียงฟ้าหน้าแดงขึ้นมาทันที
"ทำไมล่ะลูก ท่าทางเขาก็เรียบร้อยดีแต่ติดที่ว่าถือตัวไปหน่อย เลยดูไม่ค่อยอ่อนน้อมกับผู้ใหญ่นัก"
"โอ้ยยย!! ไม่หน่อยล่ะค่ะ ตานั่นน่ะเข้าขั้นยโสเลยด้วยซ้ำ" ยุพาพักตร์ไม่ได้ตอบแต่ยิ้มขบขัน
"ปากก็บอกว่าไม่ชอบเขา แล้วทำไมเป็นห่วงจังล่ะลูก"
"แม่คะ!!!?" หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาทันที แล้วรีบแก้ตัวเสียงแข็ง
"หนูแค่กลัวเขาตายต่างหาก รู้ว่าไม่ตายก็สบายใจแล้ว"
"จ้ะๆ ไม่ล้อแล้ว ว่าแต่ อ.วิมุตติ ญาติของเขาคนนี้ก็ดูแปลกนะ เป็นอาจารย์กลับไว้ผมเผ้าเสียยาว ถ้าบอกว่าเป็นนายแบบแม่ก็เชื่อนะ...แต่นี่เป็นอาจารย์ ดีที่กิริยามารยาทเรียบร้อยไม่งั้นแม่ไม่เชื่อเลยนะ สมัยแม่น่ะอาจารย์เขาต้องแต่งตัวเรียบร้อย ตัดผมสั้น ใส่แว่น ดูขรึมๆ หน่อย แต่เดี๋ยวนี้อาจารย์ดูไม่ค่อยต่างกับนักศึกษาเลยนะ"
"เฮ้อ....แม่ขาอย่าไปเอาอะไรกับพี่เจ้าเลยค่ะ คนนั้นน่ะเขาแปลกมาแต่ไหนแต่ไร ได้ยินว่าไว้ผมยาวมาแต่สมัยเรียน ฟ้าก็เดาใจเขาไม่ค่อยถูกบางทีก็อึดอัด"
"ทำไมล่ะลูก ?"
"บอกไม่ถูกค่ะ ไม่ใช่แต่ฟ้าคนเดียวนะคะ คนอื่นๆ ก็รู้สึกด้วย เพียงแต่เขาไม่ได้ยโสขนาดอีตานั่น แต่ก็เว้นระยะไม่ให้ใครเข้าใกล้มาก ถือตัวพอสมควรพอๆ กับญาติของเขานั่นแหละค่ะ แค่มารยาทดีกว่าเท่านั้นเอง"
"คงเพราะเขาเป็นอาจารย์มั้งลูก ถ้าสนิทกับนักเรียนเดี๋ยวจะไม่เกรงใจอาจารย์ แล้วยิ่งเขาดูไว้ผมเสียยาวแบบนั้น"
เคียงฟ้าขมวดคิ้วเจ้าภูวิษะเองก็ไว้ผมยาว ไม่เห็นมารดาของหล่อนติติงบ้างเลย แต่อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้เป็นอาจารย์สอนหนังสือกระมัง ส่วนอาจารย์แบบวิมุตติจึงดูผิดแบบแผนครูบาอาจารย์ในสายตายุพาพักตร์ หลังอาหารเที่ยงวันนั้นหญิงสาวก็นอนพักผ่อนไปจนกระทั่งถึงเย็น จึงค่อยพบว่ามิรันตีและเพื่อนร่วมคณะคนอื่นๆ พากันมาเยี่ยมถึงบ้าน มิรันตีนั้นมีสีหน้าเสียใจนักหนามาถึงก็นั่งลงข้างเตียงแล้วจับมือเคียงฟ้าขึ้นมากุม นัยน์ของหล่อนก็รื้นไปด้วยน้ำใส
"ฟ้าเราขอโทษนะ เราไม่น่าให้ฟ้าลงกลางทางเลย ไม่รู้ว่าฟ้าจะไม่สบายแบบนี้" คนป่วยเห็นเข้าก็รีบปลอบใจเพื่อน ไม่คิดว่ามิรันตีจะรู้สึกผิดถึงเพียงนี้
"แอน...อย่าร้องไห้สิ เราไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย" มิรันตีค่อยปาดน้ำตาทิ้ง แล้วถามไถ่อาการเพื่อนต่อ
"รู้ไหมแอนตกใจหมดเลยตอนพี่ตรีมาต่อว่าแอน"
เพื่อนคนอื่นๆ ก็พลอยพยักหน้าไปด้วย และเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง หญิงสาวพอนึกภาพออกตรีภูมิเป็นคนปากไว ก็คงจะไปกล่าวโทษมิรันตีเข้าทันทีที่รู้ว่าใครเป็นคนไล่หล่อนลงกลางสะพาน แต่เขารู้ได้อย่างไร? ใครเป็นคนบอก? ในเมื่อมีแค่หล่อนกับมิรันตีเท่านี้ที่รู้เรื่องนี้ แต่ความสงสัยนั้นก็ถูกปัดทิ้งไปเมื่อต้องสนทนากับเพื่อนๆ ต่อ หล่อนจึงไม่มีเวลามานั่งพิจารณาเรื่องนี้อีก
"คงเพราะคุณแม่โทรไปถามน่ะ พี่ตรีเลยพลอยตกใจไปด้วย เช้านี้ก็ไปพาตัวเจ้าภูวิษะมาเยี่ยมเรา" คำบอกเล่านั้นทำเอาเพื่อนของหล่อนชะงักค้างไป ก่อนจะถามซ้ำขึ้นมา
"เจ้าภูวิษะมาเยี่ยมถึงบ้านเชียวเหรอ? เขาอยู่เชียงใหม่ไม่ใช่เหรอ?"
"อืม...ก็พอได้ยินข่าวก็บินลงมาน่ะ พี่เจ้าคงไปเล่าให้เขาฟัง" หล่อนก็พาซื่อตอบไปตามตรง
"ตายแล้ว....มีน้ำใจจังเลย นี่อย่าบอกนะว่าเมื่อเช้าพี่เจ้ามาเยี่ยมเธอด้วย" เคียงฟ้าพยักหน้ารับมิรันตีไม่ตอบอะไรเพียงแต่หน้าตึงไปนิดหน่อย ก่อนจะปรับสีหน้าได้รวดเร็วจนคนป่วยไม่ทันสังเกตเห็น และพากันสนทนาเรื่องอื่นต่อไป จนทั่งค่ำมิรันตีและเพื่อนๆ จึงกลับไป
"ฉันหมั่นไส้ยัยฟ้า! เรื่องแค่นี้ต้องรบกวนเจ้าเขาลงมาหาถึงนี่ ทำไมก่อเรื่องวุ่นวายจนทั้งพี่เจ้า พี่ตรี กระทั่งเจ้าภูวิษะต้องหัวปั่นไปหมดเพราะยัยนี่ด้วย!!?" หล่อนบ่นให้เพื่อนๆ ฟังทันทีที่ขับรถออกจากบ้านเคียงฟ้า
"อ้าว?...แต่ที่ฟ้ามันต้องมานอนซมแบบนี้ ก็เพราะเธอไปทิ้งมันไว้บนสะพานไม่ใช่เหรอแอน?"
"ก็ตอนนั้นนึกได้ว่ามีธุระนี่ ก็คิดว่าเขาจะหารถต่อไปเองได้ ไม่คิดว่าจะไข้ขึ้นจนประสาทกลับ!!" หล่อนยังบ่นออกมาอีกมากมาย แต่เพื่อนๆ ไม่กล้าขัดคอ เพราะกลัวหล่อนอัญเชิญลงจากรถกลางทางบ้าง
"เห็นเงียบๆ หงิมๆ แบบนั้นไม่นึกเลยว่าจะอ่อยผู้ชายเก่ง สงสารแต่เจ้าภูวิษะถูกยัยบ้านั่นกล่าวหาเลยต้องเสียเวลาลงมาพิสูจน์ตัว"
"นั่นสิ...เห็นตอนไปรับน้องทำท่าไม่ชอบยัยฟ้า แต่อุตส่าห์มาเยี่ยมด้วยใจดีจัง" คนนั่งข้างมิรันตีกล่าวชม
"มาเยี่ยมที่ไหน มาแก้ข้อกล่าวหาต่างหากล่ะ!! ถูกยัยเพี้ยนนั่นเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าเขาตายแล้ว ข่าวอัปมงคลขนาดนั้นคงต้องไปทำบุญล้างซวยสามวัดเจ็ดวัดแล้วมั้ง"
"ฟ้าคงไม่ได้ตั้งใจหรอก คนเป็นไข้น่ะก็เห็นอะไรไปได้ต่างๆ นานา ไม่แปลกหรอก" พอมีคนออกรับแทนมิรันตีก็หันไปเหวใส่เพื่อน
"แล้วต้องมาเจาะจงเห็นเจ้าภูวิษะด้วยเหรอ?"
"แล้วจะให้ฟ้าเห็นอาจารย์พี่เจ้าแทนเหรอ?" สาวๆ ในรถพร้อมใจกันหัวเราะขึ้นมา
"บ้าสิ!! เจาะจงเห็นแต่คนหล่อเนี่ยนะ แสดงว่าในจิตใต้สำนึกมีแต่เรื่องผู้ชายแน่เลย ยัยนี่ไม่ได้เรียบร้อยอย่างที่แสดงออกหรอก ฉันฟันธงได้เลย"
"จ้าๆ ใจเย็นไว้....เขาไม่ได้เห็นพี่เจ้าของเธอก็ดีแล้ว"
"แต่พี่เจ้าก็ไปเยี่ยมยัยนั่น!!" หล่อนแย้งจนคิ้วที่กันจนโก่งบางนั่นขมวดจนยุ่ง สีหน้ามิรันตียามนี้ไม่ได้น่ารักอย่างที่แสดงออกเมื่ออยู่ต่อหน้าวิมุตติเลย
"ก็ต้องพาเจ้าภูวิษะไปน่ะสิ" อีกคนออกความเห็น
"เออนั่นสินะ...ถ้าให้เจ้าภูวิษะไปคนเดียวก็น่าเกลียดออก"
เมื่อคิดได้ดังนั้นมิรันตีก็สบายใจขึ้นหล่อนจึงค่อยยิ้มออก และขับรถไปอย่างมั่นคงท่ามกลางเสียงถอนหายใจของเพื่อนๆ ที่เบาใจว่าจะไม่มีใครถูกไล่ลงรถกลางทางเพราะพูดขัดหูหล่อนเข้า ในขณะที่เคียงฟ้าที่กำลังป่วยอยู่มิได้รู้เลยว่าเพื่อนสนิทคิดอย่างไรกับตนเองบ้าง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 11 มกราคม 2556 |
Last Update : 11 มกราคม 2556 16:57:29 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1626 Pageviews. |
|
|
แต่นานๆมาลงทีนะคะ
อย่าลืมลงที่กระทู้บ้างนะคะ