จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
 
14 กุมภาพันธ์ 2556
 
All Blogs
 

เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 36

ตอน 36
บ่วงเวร




               ปลายเล็บยาวเคลือบย้อมด้วยสีชาดสวยสดจรดอยู่ข้างนวลแก้มตนเอง ซึ่งบัดนี้มีรอยไหม้ดำกระด่างเป็นแนวยาวลงมาตั้งแต่ปลายคิ้วลุกลามลงมาเกือบครึ่งซีกหน้าด้านขวา คงความน่าหวาดเสียวแก่ผู้พบเห็นและน่าสลดใจยิ่งนัก เมื่อพบว่าใบหน้าอีกด้านที่ปราศจากรอยมลทินใดๆ นั้นแสนโสภาเพียงใด หากไม่มีรอยตำหนิอันน่าสะพรึงนี้กุสุมาลย์คงเป็นหญิงงามหยาดฟ้ามาดินหายากผู้ใดมาเทียมเทียบ นางครองเรือนกายอันน่าทะนุถนอมแช่มช้อยบอบบาง ลำคอระหง ทรวงอกอวบอิ่ม บั้นเอวกลมกลึง อีกทั้งยังพร้อมสรรพไปด้วยจรรยาประพฤติไร้ที่ติเช่นนี้ ใครหนอทำสร้างบาดแผลอัปลักษณ์ลงบนใบหน้าของโฉมงามได้ลงคอ...


                วันเวลาพาอดีตพัดผ่านเวียนไปดังสายน้ำไหลไม่หวนกลับ แต่ดวงใจอันลุกโชนนั้นครุครุ่นด้วยเพลิงแค้น หาได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลไม่ แล้วยิ่งนางผู้เป็นต้นเหตุให้เกิดรอยแผลร้ายแรงบนใบหน้า หากกลับหลบลี้หนีหนี้กรรมมาบังเกิดใหม่และใช้ชีวิตใหม่หลงลืมอดีตแต่หนหลัง กุสุมาลย์ทั้งเจ็บแค้นชิงชังนางบาปผู้นั้นนักหนา อีกทั้งมีจิตเวทนาสงสารต่อชายผู้เคยเป็นสวามีของมหิตาเทวี ชายผู้แบกรับความทุกข์จากบทสรุปแห่งรักมานานนับพันปี และยังผู้อื่นอีกเล่าผู้คนตั้งมากมายที่ต้องมาสังเวยชีวิต เพียงเพราะความไร้สำนึกของนางผู้นั้น


                 ครานี้หญิงงามบอกตนเองว่าจะมิให้นางผู้ติดหนี้กรรมเล็ดรอดสายตาไปได้อีกทีเดียว ถึงเวลาแล้วมหิตาเทวีเอ๋ย...ถึงคราวที่เจ้าต้องชดใช้หนี้กรรมที่ก่อไว้ทั้งหมด!


                ร่างเล็กซูบซีดอย่างคนเพิ่งฟื้นไข้ เดินลัดเลาะไปตามแนวต้นไม้ที่กำลังผลิดอกออกช่อสีเหลืองอร่าม ทอดรวงลงมาเป็นพวงพุ่มซอกซอนซ้อนกลีบไล่เรียงขนาด แลดูเหมือนโคมระย้าที่ธรรมชาติสรรค์สร้างงามจับตา ทว่าความสวยงามรอบข้างไม่อาจดึงดูดความสนใจขอหญิงสาวได้ เพราะความพะว้าพะวงในใจ หล่อนไม่ได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยเสียหลายวัน นอกจากความเจ็บไข้ที่ได้รับแล้วในใจยังแฝงไปด้วยความวิตกกังวล จากสิ่งเร้นลับที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ใดอีกมาก 


                 หล่อนชะลอเท้าลงและพยายามเดินให้ช้าที่สุดเพราะไม่อยากพบหน้าอาจารย์คนใหม่ ผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับนำสายลมแห่งความวิตกกังวลพัดมาที่หล่อน มันแฝงมาในรูปของลางสังหรณ์ แต่เล็กจนโตหญิงสาวเติบโตมาอย่างปกติสุขทุกอย่าง ยกเว้นเพียงเรื่องฝันร้ายที่เฝ้าหลอกหลอนอยู่เป็นประจำ ที่ราวกับจะเร่งวันเร่งคืนให้ร่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


                 ใจหนึ่งเคียงฟ้าก็อยากทราบถึงเรื่องราวในอดีต เพื่อที่ว่าหล่อนจะให้หลุดพ้นจากฝันร้ายนี่เสียที ทว่ายิ่งมองเห็นความฝันก็ยิ่งปรากฏแจ่มชัดกลับมีความหวานเคลือบแฝงมาด้วย ความทรงจำในฝัน 'หล่อน' ไม่สิ 'ผู้หญิงคนนั้น' ต่างหาก...


                 มหิตาเทวีรักผู้ชายคนหนึ่งมานานแสนนาน เฝ้าขัดเกลาตัวเองให้พร้อมทั้งรูปทรัพย์สรรพยา และปรุงแต่ด้วยกิริยามารยาทอันงดงามเพื่อให้คู่ควรเหมาะสมกับราชบุตรพญานาคเช่นเขา วันแล้ววันเล่าที่เฝ้ารอเขารอจนถึงวันที่เขาก้าวเข้ามาเป็นสามี มหิตาเทวีทุ่มเทรักที่เฝ้าถนอมไว้ในดวงฤทัยเนิ่นนานนับสิบปีให้เขาจนสิ้นสุดใจ แรกรักนั้นหวานล้ำต่อมาค่อยเจือเอารสฝาดขมเข้ามาทีละน้อย จนหญิงสาวรู้สึกหวาดกลัวขึ้นทุกขณะจิตหวาดกลัวที่จะรู้ความจริง ยิ่งเมื่อผู้ชายในฝันมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าหล่อนครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบแยกความฝันกับความจริงไม่ออก ความเครียดกำลังขึงตึงยิ่งขึ้นทุกขณะ หากเส้นสติขาดเมื่อไรหล่อนคงเป็นบ้าไปในไม่ช้านี้ 


                เคียงฟ้าบอกตัวเองว่าหล่อนคงต้องทำอะไรสักอย่าง นั่นคือหล่อนต้องรู้ความจริงทั้งหมด ต้องไปพบผู้ชายในฝัน...เจ้าภูวิษะ เขาจะหาว่าหล่อนบ้าหรือเปล่านะ ในเมื่อเส้นทางชีวิตของเขาและหล่อนนั้น แทบทั้งชีวิตไม่เคยมาบรรจบกันจนเข้าค่ายรับน้องครั้งนั้น ต่างฝ่ายเพิ่งรับรู้การมีตัวตนของกันและกัน คิดได้ถึงตรงนี้หญิงสาวเริ่มรู้สึกถึงความแน่นและมวลในกระเพาะที่ค่อยๆ ขยับและบีบรัดเข้าหากัน สร้างความอึดอัดเสียดดันในท้องยิ่งนัก น้ำลายในปากทวีรสขื่นขึ้นมา จนอยากจะขย้อนอาหารในกระเพาะออกมาด้วยความเครียด 


                 แต่เมื่อตัดสินใจแล้วหล่อนก็พยายามบังคับอาการคลื่นไส้กลืนหายกลับเข้าไปในลำคอ ร่างเล็กก็สูดหายใจเข้าโดยแรงและยืดตัวตรง แม้จะไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาได้ยังไง แต่ก็ใช่ว่าจะสิ้นหนทางกุญแจดอกเดียวที่พาไปพบเขาได้ คือวิมุตติอาจารย์คนใหม่ที่หล่อนไม่อยากเข้าใกล้นั่นเอง เคียงฟ้าถามตนเองว่าเกลียดอาจารย์รูปหล่อคนนั้นหรือไร คำตอบคือไม่หากแต่...ครั้งใดที่สบนัยน์ตาคมกล้าคู่นั้น หล่อนอึดอัดคับข้องและหวั่นเกรงยิ่งนัก เมื่อดวงตาสีสนิมมองมาอย่างรู้ความนัย ราวกับจะขุดเอาความลับดำมืดที่หล่อนจงใจซ่อนไว้ขึ้นมา ความปริวิตกในใจนั่นทำให้หญิงสาวเดินถึงตึกคณะช้ากว่าที่ควรจะเป็นมากนัก หล่อนต้องรวบรวมกำลังใจอยู่นานกว่าจะพาตัวเองมายืนอยู่หน้าห้องพักอาจารย์ได้ แต่แล้วขณะที่กำลังยืนเก้กังลังเลอยู่หน้าห้องนั่นเอง


                 "ฟ้า!" เสียงตะโกนทักมาแต่ไกลเรียกเอาเจ้าของชื่อหันหน้ากลับไปมอง


                 "แอน" มิรันตีปราดเข้ามาประชิดตัว เพื่อนของหล่อนมีสีหน้าประหลาดจะยิ้มก็ไม่ใช่จะบึ้งก็ไม่เชิง จึงกลายเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด หากแต่พยายามฝืนยิ้มทักทายเพื่อนร่วมคณะ


                 "เป็นยังไงบ้าง? ฟ้าหยุดไปตั้งหลายวันฉันเป็นห่วงมากนะ ว่าแต่มาทำอะไรที่หน้าห้องอาจารย์? " คำถามนั้นดูห่วงใยนักหนา แต่น้ำเสียงกลับขุ่นกว่าที่ควรเป็น


                 "เอ่อ...ก็...ไม่มีอะไรหรอก...แค่ว่าจะมาขอชีทช่วงที่หยุดจากอาจารย์น่ะ" หล่อนปดออกไป


                 "ปัดโธ่นึกว่าอะไร? ซีร็อกซ์ต่อจากเราก็ได้"
                  เมื่อได้คำตอบมิรันตีสลัดผมสีน้ำตาลทองที่บรรจงรีดไว้จนเรียบตรง ด้วยอารมณ์ไม่พอใจเล็กน้อย คล้ายดังว่าเคียงฟ้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไม่เข้าท่า


                 "ขะ...ขอบใจนะ...แต่.."


                 "จะแต่อะไรอีกล่ะ จะซีร็อกซ์ก็รีบไปสิ หมดธุระแล้วจะมายืนทำอะไรตรงนี้อีกล่ะ!?"


                  ว่าแล้วหล่อนก็จัดแจงลากแขนหญิงสาวให้ห่างจากห้องพักอาจารย์ไปในทันที ไม่ทันได้เห็นว่าคนในห้องแง้มประตูออกมา วิมุตติไม่ได้ร้องทักหรือรั้งตัวเคียงฟ้าเอาไว้ ชายหนุ่มเพียงแต่คลี่ยิ้มน้อยๆ เยือกเย็นอย่างที่เคยปฏิบัติออกมา แล้วส่งสายตามองแผ่นหลังเหยียดตรงของหล่อนที่กำลังถูกมิรันตีถูลู่ถูกังจากไป


                  "อีกไม่นานแล้วสินะ"


                   สีหน้าของอาจารย์คนใหม่มีแววพอใจน้อยๆ ปรากฏขึ้นมา ก่อนจะเก็บซ่อนความคิดไว้ในดวงตาประกายกล้าคู่นั้น แล้วค่อยดึงประตูห้องปิดลงจนสนิท ก่อนเสียงหนึ่งจะแว่วมาตามสายลมเย็น


                   'ใช่...อีกไม่นานแล้ว...กรรมกำลังจะได้รับการชดใช้นางบาปเอ๋ย...'



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



                    ผืนฟ้าสีครามในคืนนั้นควรจะถูกปรกคลุมด้วยม่านรัตติกาลจนมืดมิดเช่นทุกคืน ทว่าแสงสว่างจากด้านหนึ่งของฟ้ายื่นมือมาเข้าแทรก ราวกับใครบางคนกำลังจุดตะเกียงขับไล่ความมืด กุสุมาลย์แหงนมองฟากฟ้ายามนี้แล้วก็พลันถอนหายใจออกมา นางหาแลเห็นดาราน้อยที่คอยล้อแสงอยู่นอกหน้าต่างอยู่ทุกคืนวันแม้เพียงสักกึ่งดวง สิ่งที่สัมผัสได้มีเพียงเสียงฟ้าครวญจากที่ไกลๆ จึงได้แต่กระชับผ้าคลุมไหล่ให้แน่นขึ้น


                   "ทำกระไรอยู่รึ? พี่กุสุมาลย์ป่านนี้ยังไม่หลับไม่นอน" ร่างระหงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียกอยู่นอกประตู


                   "ใครน่ะ? ศรีดารารึ ?" โฉมสะคราญถามไถ่ออกไปก่อนจะเปิดประตูรับให้เข้ามา


                   "มาทำไมน่ะศรีดารา? ดึกป่านนี้แล้ว? "


                   "ข้ากำลังจะกลับเรือนนอน เพิ่งเล่นทายเบี้ยกับนางในเรือนข้างๆ เสร็จ เดินผ่านมาเห็นพี่แง้มหน้าต่างไว้ ก็เลยขึ้นเรือนมาทักทาย ว่าแต่พี่กำลังมองหาสิ่งใดอยู่รึ?"


                   "เล่นเบี้ย? ดึกดื่นปานนี้น่ะรึ? เจ้านี่ซุกซนเป็นเด็กไม่รู้จักเพลาบ้าง"
หญิงงามตำหนิออกไป ด้วยว่าการลักลอบเล่นการพนันในรั้วในวัง แม้จะเป็นการเล่นทายเบี้ยเล็กๆ น้อยๆ หากถูกจับได้คงมิแคล้วโดนโบยเป็นแน่แท้



                   "ช่างข้าเถิด ว่าแต่พี่เถิดไฉนมายืนเหม่อยู่ข้างหน้าต่างแบบนี้ ใจลอยไปถึงใครรึ?" แต่นางคนทะเล้นมิได้กลัวอาญา กลับยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวเพื่อปัดเรื่องอย่างขอไปที ก่อนจะยื่นหน้ามาถาม



                   "ข้ากำลังดูท้องฟ้า ดูสิฟ้าแดงเยี่ยงนี้ ท่าทางลมจะพาฝนหอบใหญ่มา"


                   "นั่นสินะ" ศรีดาราพยักหน้ารับ


                  "ประเดี๋ยวฝนก็เทลงมาหรอก รีบกลับเรือนเถิด"


                  "จ้ะ...ข้าก็หลงนึกว่าพี่นอนไม่หลับ หรือจะกลัวเสียงฟ้าร้องจะให้ข้ามานอนเป็นเพื่อนไหม?" 


                  บุตรีขุนพลมหัทธนะไม่กล้าเอ่ยถามตรงไปตรงมาดังใจคิด นางเพ่งพิจดูดวงหน้ากุสุมาลย์แลเห็นซีกโฉมด้านขวาของคนงามมีรอยดำหมองเป็นทางยาวพาดผ่าน ศรีดารากระพริบตาถี่ๆ และเพ่งมองให้แต่ใจอีกครั้งรอยนั้นอ่อนจางลงกว่าเมื่อแรกเห็นแต่ยังมิได้เลือนหายไป นางจึงคาดเดาไปว่าเป็นเพราะแสงเทียนไม่กระจ่างแจ้งเท่ายามตะวันเที่ยงก็เป็นได้ จึงหูตาฝ้าฟางไปบ้าง


                  "ขอบใจเจ้ามาก แต่มิต้องดอก ข้ามิใช่เด็กน้อยที่กลัวเสียงฟ้าร้อง หึ หึ กลับไปนอนเถิดศรีดารา ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ตะวันแจ่มฟ้าแล้วเจ้ายังไม่ตื่นเต็มตา พระเทวีจะทรงตำหนิเอาเสียเปล่า ยิ่งถ้าทรงทราบว่าเจ้าไปทำอันใดมาดึกดื่นค่อนคืนยังมิได้เข้านอน เช้ามาจึงได้หาวหวอดๆ " เสียงหวานมีแววล้อเลียนและขบขันอยู่ในที


                  "อุเหม่...พี่กุสุมาลย์เล่นดักคอแบบนี้ เห็นทีข้าต้องรีบไปนอนเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปนอนก่อนล่ะนะ"


                  "จ้ะ รีบเข้านอนเสีย"


                  ศรีดารารับคำแล้วจึงค่อยก้าวข้ามธรณีห้องนอนของพระพี่เลี้ยงคนงามออกมา สองตากลมโตยังมิแคล้วหันไปจ้องมองใบหน้าโสภีนั้นให้แน่ใจอีกครา รอยหมองคล้ำบนใบหน้าซีกขวาเมื่อครู่อ่อนจางลงจนแลดูกลมกลืนไปกับแสงสลัว ไม่น่าตกใจเหมือนเมื่อแรกเห็น นางคนทะเล้นค่อยคลายใจหมายไปว่านั่นเป็นเพียงแสงเงาอันไม่กระจ่างชัดเท่านั้น


                  หากแต่ศรีดาราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ว่าเงาดำดังรอยราหูทาบทับนั้น อีกเพียงไม่กี่วันข้างหน้าจะปรากฏเด่นชัดขึ้นมาให้สะพรึง กุสุมาลย์เองก็ยังมิทันได้เตรียมกายเตรียมใจรับเหตุการณ์ที่จะพลิกผันเส้นทางชีวิตไปจนตราบสิ้นวิญญาณ



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



                  เสียงนกน้อยดังเคล้าคลอคู่มากับแสงแรกของอรุณ กุสุมาลย์ยกนิ้วมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากอันน่าถนอมที่กำลังหาวนอนนั้น หลังพลิกฟื้นตื่นจากนิทรารมณ์ เมื่อคืนนี้หญิงงามนอนไม่ใคร่จะหลับดีนัก ในใจคล้ายมีหมอกควันอันเลือนรางครอบคลุมความนึกคิดอยู่ เช้านี้จึงไม่ค่อยสดชื่นนักหลังชำระล้างกายแล้วจึงมานั่งจับเจ่าอยู่หน้าแป้นแต่งหน้า หลายวันมานี้แผลที่หางตาแม้ทะลุลงมากแล้วแต่ยังมีอาการแสบคันอยู่เสมอ อาจเป็นเพราะเหลี่ยมมุมของพานเจาะเข้าลึกบาดแผลจึงหายช้า


                   หญิงงามมองแล้วจึงทอดถอนหายใจออกมา ก่อนจะเปิดกล่องประทินโฉมอันงามประณีต อันได้รับพระราชทานมาจากพระเทวีน้อยของนาง พระพี่เลี้ยงทรงสะคราญโปรดปรานสีแต้มเปลือกตาสีดำมากกว่าสีอื่นใด ด้วยสีเข้มดังนิลของมันหากแต้มลงไปจะช่วยพลางรอยบาดแผลได้ดี จึงลงมือผลัดแป้งแต้มหน้า แต่มิช้านานก็รู้สึกแสบแปล่บที่บาดแผลขึ้นมาอีกครั้ง ครานี้ถึงต้องหรี่ตาเลยทีเดียว เมื่อสัมผัสดูก็พบว่ารอยแผลนั้นนูนขึ้นมากว่าเดิมจากที่ทำท่าว่าได้บางเบาลง


                  "หรือว่าแผลอักเสบกันนะ? แต่ก็หลายวันมาแล้วน่าจะหายได้แล้วนี่" นั่นเป็นคำปรารถของคุณท้าวจันทร์หอม


                  "โดนน้ำมารึ?"


                  "มิได้จ้ะคุณท้าว ข้าเลี่ยงน้ำแล้ว ทุกๆ ครั้งก็เพียงใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดเบาๆ เท่านั้น"


                   "ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงกินของแสลง ไม่ถูกกับบาดแผล" กุสุมาลย์พยักหน้ารับแม้ไม่แน่ใจนัก และจบลงที่คุณท้าวจะเจียดยาหม้อให้รับประทานแก้แสลงแผล


                   ครั้งนั้นเป็นความด้อยเดียงสาของนางเอง พระพี่เลี้ยงโฉมงามมิอาจตระหนักได้ทันท่วงที ถึงผลของพิษรักแรงหึงนั้น ร้ายแรงยิ่งกว่ามายาอันดำมืดศาสตร์ใดในโลกา อีกทั้งนางผู้นั้นก็เป็นพระเทวีเพื่ออยู่เหนือเกล้า เป็นทั้งเจ้าหญิงอันสนิทเสน่หา และเป็นดังน้องสาวร่วมดื่มน้ำนมมาจากมารดาของนางอีกด้วย ความหวาดระแวงอันใดจึงมิได้แวะเวียนมาในห้วงคิดคำนึงของนางเลยแม้แต่น้อย กุสุมาลย์ยังคงใช้เครื่องประทินโฉมในกล่องแห่งเภทภัยนั้นต่อไปอีกหลายวัน


                  "พี่กุสุมาลย์ !!? "
                   พระสุรเสียงแหลมสูงของชายานาคราชดังขึ้นมา เมื่อทอดพระเนตรเห็นแผลบนใบหน้าพระพี่เลี้ยงคนสนิทที่ทำท่าจะหายกลับอักเสบขึ้นมาอีก ครานี้นูนจนมองเห็นได้ชัดเจน


                 "ผะ...แผล ของพี่" ดวงพักตร์ซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด จนกุสุมาลย์ต้องเป็นฝ่ายหยิบฉวยเอายาหอมมาถวาย


                 "หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เพียงแค่เผลอเลอกินของแสลงเข้าไปแผลจึงอักเสบขึ้นมา ขอทรงวางพระทัยเถิดอีกไม่กี่วันก็คงคงหายดีเพคะ" เป็นนางเสียอีกที่เป็นฝ่ายปลอบโยน เพราะไพล่คิดไปว่า พระเทวีของนางนั้นรู้สึกผิดที่พลั้งมือจนเกิดรอยแผลนี้ขึ้นบนหน้าตนเอง


                 "จริงหรือ?..." สุรเสียงนั้นสั่นเทา


                 "จริงเพคะ คุณท้าวก็เจียดยาแก้แสลงมาให้รับประทานได้ ขออย่าได้ทรงเป็นห่วงเลย เดี๋ยวจะประชวรหมู่นี้พระวรกายไม่ค่อยสมบูรณ์เสียด้วย" 


                  หญิงงามที่มหิตาเทวีประสงค์ร้ายด้วยพระทัยหวาดระแวงนั้น กลับแสดงความห่วงใยพระนางเสียมากมาย ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาพร้อมๆ กับสับสนในพระทัย เมื่อได้ยินว่าเป็นเพราะรับประทานของแสลงไม่ถูกโรค จึงทำให้บาดแผลอักเสบขึ้นมาอีกครั้ง มหิตาเทวีจึงค่อยเบาฤทัยและผ่อนคลายท่าที


                  "เฮ้อ...อย่างนั้นก็ค่อยเบาใจ ว่ามิใช่เกิดจากกะ..." เกือบจะทรงหลุดความลับในพระทัยออกมา แต่ก็ยั้งโอษฐ์ไว้ทัน


                  "เพคะ เป็นหม่อมฉันไม่ดีเอง รับประทานของไม่ระวังหลงลืมว่ามีบาดแผลอยู่" มือเรียวยกขึ้นบีบกระชับมือบอบบางซึ่งบัดนี้เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อของพระนาง



                  "พี่กุสุมาลย์...คือข้า...ข้าขอโ.."


                  "ทรงประสงค์สิ่งใดเพคะ?"


                   ความดีงามของนางทำให้มหิตาเทวีเป็นทุกข์ จึงอยากเอ่ยปากขออภัยต่อนาง แต่ทว่าพระนางยังมิกล้าหาญพอที่จะยอมรับว่าได้ทำร้าย หญิงที่เป็นดังภคินีอีกคนขององค์เองได้ จึงได้แต่กลืนถ้อยคำที่คิดจะตรัสนั้นลงพระศอไป


                   "ไม่...ไม่มี คือข้า...เวียนหัวในนี้อบอ้าวนัก ข้าอยากจะออกไปเดินเล่นให้ปลอดโปร่งในอุทยานเสียหน่อย"


                   "แต่ว่า...พักสักประเดี๋ยวเถอะเพคะ สีพระพักตร์ยังไม่ดีขึ้นเลย หม่อมฉันเกรงว่าเสด็จออกไปอาจลมจับเอาได้"


                   "เงียบเถอะน่า!! ข้าบอกว่าจะไปก็ไปสิ!!"

                   ยิ่งกุสุมาลย์แสดงความเอาใจใส่และอาทรพระนางเพียงใด มหิตาเทวียิ่งอึดอัดขัดข้องใจยิ่งนัก ถึงกับเผลอตวาดใส่นางด้วยอารมณ์อันขุ่นมัวจนนางโฉมงามหน้าเสียไป


                   "ข้า...เอ้อ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกพี่กุสุมาลย์ ข้าไม่เป็นไรจริงๆ แต่พี่น่ะไปพักเถอะ กินยาแล้วก็ไปนอนเสียจะได้หายเร็วๆ เดี๋ยวข้าให้ปทุมมากับพี่ศรีดาราไปเป็นเพื่อนแทน มิต้องเป็นห่วงหรอก" ประโยคปลอบประโลมหลั่งออกมาดังน้ำรินชโลมใจ กุสุมาลย์จึงค่อยคลี่ยิ้มออกมาได้


                  "ขอบพระทัยเพคะ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจะสั่งห้องเครื่องให้ทำน้ำมะตูมตามไปถวายที่ ศาลาในอุทยานนะเพคะ เผื่อว่าทรงดำเนินมากแล้วจะพระศอแห้ง"


                  "ขอบใจพี่มาก..." ตรัสตอบด้วยน้ำเสียงเหือดแห้งเต็มที ในดวงเนตรนั้นฉายแววรวดร้าว มิต้องการให้กุสุมาลย์มาดูแลเอาใจใส่พระองค์ ทั้งที่พระนางเองเผลอคิดร้ายกับมิตรที่ดีที่สุดอย่างนางพี่เลี้ยงคนสนิทด้วยซ้ำ


                  มหิตาเทวีใช้สายพระเนตรมองส่ง จนกุสุมาลย์คลานถอยหลังไปจนถึงบานทวาร และลุกขึ้นเดินข้ามธรณีออกไป ด้วยพระทัยอันว้าวุ่นยิ่งนัก ข้างฝ่ายนางโฉมงามกลับเข้าใจไปว่าแววเนตรฉายแวววิตกกังวลนั้น เกิดขึ้นด้วยพระทัยอันดีงามเป็นห่วงใยอาการเจ็บป่วยของนาง จึงปลาบปลื้มชื่นหัวใจยิ่งนักที่ได้รับความเมตตาจากผู้เป็นนายถึงเพียงนี้


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                 ความหลังครั้งเก่ายังพรั่งพรูหลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำอีกมากมาย กุสุมาลย์กำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้อ หากแต่นางไม่ได้รู้สึกรู้สมใดกับความเจ็บปวดทางกายมานานนับพันปีแล้ว ที่คงเหลือมีแต่รอยบาดแผลกลัดหนองในดวงใจที่ยังไม่ทุเลาลงแม้แต่น้อย นางเฝ้ารอวันชำระหนี้พยาบาทข้ามภพนี้ให้สาสม รอยแผลในใจจึงจะจางหายไปได้ หญิงงามซึ่งบัดนี้เหลือโฉมอันสะสวยเพียงซีกหน้าด้านเดียว ยกมือขึ้นสัมผัสรอยแผลไหม้เกรียมจนกลายแผลเป็นบนนวลแก้มขวาด้วยมืออันสั่นเทา


                  แม้จะสังขารจะสิ้นสลายเป็นเพียงธุลีไปตามกาลแล้วก็ตาม หากจิตวิญญาณยังอยู่ยั้งยืนยงด้วยใจอันมาดหมายขออาฆาตจองเวรมหิตาเทวีนางกษัตริยาอันเป็นต้นเหตุ แค่ตรึกตรองถึงนวลหน้าแน่งน้อยที่เคยโอบอุ้มเฝ้าทะนุถนอมมาแต่ครั้งยังเป็นกุมารีองค์น้อย อีกทั้งยังรักใคร่ห่วงหาอาทรนางดังน้องสาวร่วมอุทร แล้วไยจึงทำร้ายนางได้ถึงเพียงนี้ กุสุมาลย์ทั้งรักทั้งชิงชังนางยิ่งนัก สุดท้ายจิตอันเกิดจากความโศกตรมก็แปลเปลี่ยนมาเป็นพยาบาทมาดร้ายแทน


                  หญิงงามจากอดีตกาลเดินตามหลังเคียงฟ้าไปจนตลอดทั้งวัน พบเห็นเหตุการณ์ที่มิรันตีจงใจแกล้งเจ้าหล่อนอยู่หลายหน ไม่ว่าจะเป็นแกล้งเบาๆ อย่างการพูดปั้นเรื่องขึ้นเหน็บแนมให้คนที่ตนเรียกว่าเพื่อนเสียใจ หรือหนักข้อขึ้นถึงขั้นทำให้เจ็บตัว ทั้งที่ทั้งสองไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันโดยตรง เคียงฟ้าเองก็ใช่ว่าจะซื่อเสียจนไม่รู้เหลี่ยมของเพื่อน แต่ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าไม่เคยทำอะไรให้อีกฝ่ายโกรธเคือง จึงพยายามคิดว่าทุกอย่างเป็นความบังเอิญ


                  ตั้งแต่เช้าของวันนั้นมิรันตีเล่าให้หล่อนฟังว่า มีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับตัวหล่อนเกิดขึ้นในคณะ บ้างก็ว่าหล่อนหยุดเรียนไปเพราะทำใจไม่ได้ที่ถูกผู้ชายทิ้ง จนกระทั่งเที่ยงวันคนเป็นเพื่อนแต่เปลือกนอกก็ยังไม่เลิกพูดใส่ไคร้ให้หล่อนเจ็บร้อน ทังสองเพิ่งไปซื้อก๋วยเตี๋ยวมาจากโรงอาหาร และประคองถาดออกมารับประทานกันยังโต๊ะคณะ


                  "บ้าสิ! ฉันยังไม่มีแฟนแอนก็รู้" เคียงฟ้าปฏิเสธเสียงสั่น


                  "ก็ใช่น่ะสิ....แต่เรื่องเธอไปยืนร้องกรี๊ดๆ อยู่บนสะพานนั่นน่ะ เขาลือกันว่าเธอถูกสลัดรักเลยจะฆ่าตัวตาย"


                  "บ้าจริงลือเข้าไปได้ ไปเอาเรื่องบ้าๆ แบบนี้มาจากไหนกัน? " หญิงสาวยิ่งฟังยิ่งหัวเสียหารู้ไม่ว่าคนที่ปล่อยข่าวก็คือคนข้างตัวหล่อนนี่แหละ


                   "นั่นยังไม่เท่าไรนะ..."


                   ยิ่งเล่ามิรันตียิ่งเติมสีเพิ่มมากกว่าเดิม หล่อนรู้สึกฮึกเหิมกว่ายาวปรกติมากนัก เหมือนมีใครบางคนบอกว่าหล่อนทำถูกต้องแล้ว ถ้าหากหญิงสาวผู้มากด้วยจริตคนนี้มีตาทิพย์ หล่อนคงมองเห็นว่าใครกันเป็นผู้กระซิบข้างหู ให้หล่อนปล่อยถ้อยคำทำร้ายความรู้สึกเคียงฟ้าอยู่ไม่หยุดหย่อนแบบนี้


                  "ที่แย่น่ะ คือเขาลือกันว่าเธอโดนผู้ชายหลอกฟัน พอรู้ว่าเธอท้องก็ทิ้ง"


                  "หา!!?" เคียงฟ้าหยุดกึ๊กทันทีที ใบหน้าหล่อนแดงก่ำไปด้วยความโกรธสองมือสั่นเทาจนถาดอาหารที่ซื้อมาแทบจะหล่นจากมือ จึงรีบวางลงบนโต๊ะตัวที่ใกล้มือที่สุดแม้จะยังเดินไม่ถึงโต๊ะคณะก็ตามที


                  "จริงๆ นะ ฉันไม่ได้โกหก ฉันได้ยินมากับหูเลย" มิรันตียังเติมไฟร้อนไม่เลิกรา


                  "ใคร? ใครกันบอกฉันมาเดี๋ยวนี้แอน ฉันจะไปถามเขาต่อหน้าเลยทำไมมาพูดให้ฉันเสียหายแบบนี้?" งูพิษในคราบเพื่อนของหล่อนกระตุกยิ้มมุมปากอย่างสมใจเล็กน้อย ก่อนจะแกล้งตีสีหน้าวิตกกังวล


                  "ไม่เอาน่าฟ้า อย่ามีเรื่องเลย ให้มันแล้วไปแล้วเถอะ จะไปเอาอะไรกับปากคนเล่า"


                  "แต่ฉันเสียหาย!! มากด้วย นี่มันศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงเลยนะ" หล่อนเดือดดาดมากขึ้นทุกขณะ ในขณะที่หญิงผู้ไร้ร่างยืนกอดอกคลี่ยิ้มมองดูเหตุการณ์อย่างสาแก่ใจ


                   'แม่มิรันตี...เอาอีกสิ...ให้นางนี่ร้อนรนกว่านี้ ให้อับอายยิ่งกว่านี้'


                  เสียงกระซิบแว่วมาตามสายลม แต่มิรันตีและเคียงฟ้าไม่ทันรู้สึกตัว เพราะตกอยู่ในห้วงอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งนั้นโมหะเผาใจจนร้อนเร่า อีกคนนั้นเล่าก็ถูกความริษยาบังตา จนพูดจามุสาปั้นน้ำเป็นตัวออกมาเสียมากมาย โดยหลงลืมความละอายไปเสียสิ้น


                  "ใช่ฉันเข้าใจ...แต่เราเป็นผู้หญิง เราเป็นฝ่ายเสียหายนะ เธอหยุดเรียนไปจริงๆ จะไปต่อว่าข่าวจะยิ่งแพร่ไปน่ะสิ ว่าเธอเพิ่งไปทำแท้งมาจริงๆ" นัยน์ตาร้ายๆ ของมิรันตีเก็บอาการลิงโลดไม่อยู่ หล่อนแสร้งส่งเสียงให้ดังขึ้นจนคนรอบข้างหันมามองกันเป็นทิวแถว


                  "ทำแท้ง? นี่ลืออะไรกันบ้าบอคอแตก นี่ฉันแค่เป็นไข้หยุดไปไม่กี่วันแค่นี้ลือกันไปขนาดนี้ได้ยังไง? ฉันไปท้องกับใครที่ไหนในเมื่อฉันไม่มีแฟน"


                  "โอ้ย...ฟ้าเอ้ย สมัยนี้ไม่ต้องมีแฟนก็ท้องได้ ยิ่งแก้ตัวจะยิ่งฉาวกว่าเดิมน่ะสิ เงียบๆ ไว้ดีกว่า" เมื่อเห็นว่าเพื่อนของหล่อนมีทีท่าลังเลใจ ก็รีบฉวยโอกาสใส่เหตุผลที่ตนปั้นแต่งขึ้นเองให้ฟังเป็นการใหญ่


                  "เรื่องแบบนี้น่ะไวจะตาย...ยิ่งเธอน่ะ...ตั้งแต่รับน้องก็มีข่าวคั่วเจ้าภูวิษะ"


                   เจ้าหล่อนวางชามใส่สุกี้ลงบนโต๊ะบ้าง แล้วตัดสินใจกดเพื่อนให้นั่งลงตรงนั้น เพื่อให้เป็นเป้าสายตายิ่งกว่าเดิม ในขณะที่กุสุมาลย์เป่ามนต์ผิวปากหวีดหวิวช่วยเรียกผู้คนให้หันมามอง แม้แต่คนที่กำลังเดินก็หยุดชะงักไปด้วย


                   'ข้าจะให้เจ้าได้อับอาย ได้ขายหน้า ต้องเป็นขี้ปากเล่าลืออย่างที่ข้าเคยโดน และจะต้องเป็นเสียยิ่งกว่า นี่แค่ขั้นแรกเท่านั้นมหิตาเอ๋ย ฮ่า ฮ่า' เสียงหัวเราะแหลมดังขึ้นแทรกมาในสายลมเป็นระยะ


                   "เจ้าภูวิษะน่ะนะ ? เขาเกลียดฉันจะตาย"


                   "ก็ใช่น่ะสิ...เขาไม่เคยรักเธอเลย เจอกันก็แสดงท่ารังเกียจน่ะฉันเห็นอยู่เต็มตาจ้ะ แต่ที่มีข่าวก็เพราะเธอบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าทะเลาะกับเขากลางสะพานเขาเลยหนีไป นี่ไปสนิทสนมกันตอนไหนน่ะ? เธอน่ะไว้ใจผู้ชายง่ายไปหรือว่าเห็นว่าเขาหล่อหรือเขาเป็นเจ้ากันล่ะหืม..ม? "


                   "แอน! พูดอะไรน่ะ!!?"


                   "จริงๆ การแสดงว่าไม่ชอบหน้าเขาตั้งแต่แรกก็เป็นวิธีดึงดูดความสนใจที่ดีนะ แต่เธอใช้บ่อยไปหน่อยกับอาจารย์วิมุตติก็ด้วยดีนะเขาไม่เล่นกับเธอ ไม่งั้นข่าวจะออกมาว่าเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อเด็ก"


                  "แอน!!? เขาเป็นอาจารย์เรานะ อย่าดึงเข้ามายุ่ง ฉันว่าเธอยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่แล้วนะ พอเถอะถ้าไม่อยากบอกว่าใครพูดก็ไม่ต้องบอก ไม่ต้องเล่าแล้วฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งสิ้น" คราวนี้มิรันตียิ้มสมใจ ส่วนเคียงฟ้าก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าเพื่อนกำลังสนุกกับความทุกข์ของหล่อน ไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยจริงๆ อย่างที่ว่ามา


                  "ขอโทษจ้ะ...ฉันรู้ว่าอาจารย์เขาวางตัวดี ไม่มายุ่งกับเธอหรอก ไม่น่าพูดขึ้นมาเลยเนอะฉันนี่ปากเสียจริงๆ พลอยทำให้เธอไม่สบายใจไปด้วย"


                   หญิงสาวยกมือขึ้นตบปากตนเอง แล้วหรี่ตาที่บรรจงแต่งไว้อย่างสวยสดเหลือบมองอีกฝ่ายเป็นการง้องอน เหมือนเสียใจที่ได้บอกเล่าเรื่องที่ทำให้เพื่อนไม่สบายใจไปจริงๆ


                  "ช่างเถอะ...บอกมาก็ดีกว่าที่ฉันจะเป็นยัยเซ่อไม่รู้ตัวเลย ว่าถูกนินทาไปแค่ไหนแล้ว"


                  เคียงฟ้าลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วประคองถาดทำท่าจะเดินกลับไปที่โต๊ะคณะอันเป็นจุดหมายเดิม มิรันตีเมื่อสมประสงค์ทุกอย่างแล้วก็ลุกขึ้นถือถาดเดินตามอย่างว่าง่าย แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้นหล่อนก็รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ขนของหล่อนลุกเกรียวตั้งแต่ท้ายทอยลงไปจนถึงสันหลัง เมื่อมีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นทว่าหนาวเย็นและเย็นยะเยือกยิ่งกว่าน้ำแข็ง เข้าประชิดตัวและสัมผัสลงมาที่ไหล่ของหล่อนโดยแรง


                  มิรันตีผวาหันกลับไปมอง แต่ยังไม่ทันได้เห็นสิ่งใดหล่อนก็เสียหลักเพราะแรงกระแทก ล้มเซไปปะทะเคียงฟ้าซึ่งไม่ทันได้ตั้งตัว ชามก๋วยเตี๋ยวในมือหล่อน และชามสุกี้ในมือมิรันตี เอียงเร่กระเท่ไปตามทิศทางที่ผู้ถือโยกตัว ทั้งสองชามพลิกคว่ำใส่เคียงฟ้าไปในที่สุด


                 "กรี๊ดดดดดดดดด!!"


                  เสียงกรีดร้องทั้งสองสาวประสานกันดังลั่น เสียงหนึ่งเป็นของมิรันตีที่กำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยิ่งมองเห็นว่าผลสรุปของอุบัติเหตุเป็นอย่างไรก็ยิ่งตื่นตกใจ ในขณะที่เคียงฟ้ากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด จากความร้อนในชามอาหารทั้งสองชาม เทราดลงบนตัวหล่อนตั้งแต่อกเสื้อลงไปจนแสบร้อนไปหมด


                 "ฟ้าฉันไม่ได้ตั้งใจจริงนะๆ เมื่อกี้อยู่ดีๆ ก็เหมือนโดนใครไม่รู้ผลักเอา"


                 คนก่อเรื่องรีบปฏิเสธเหตุการณ์ทั้งหมดให้พ้นตัว มิรันตีหน้าซีดปากสั่นพร่ำแต่บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ส่วนเพื่อนผู้เคราะห์ของหล่อนนั้นกำลังยืนสะบัดเนื้อสะบัดตัวให้พ้นจากความร้อน และคว้าเอาน้ำเย็นที่ซื้อมาราดลงในคอเสื้อตัวเองเพื่อดับความร้อน เกือบครึ่งนาทีกว่าแม่ตัวร้ายจะตั้งสติได้และช่วยพาหญิงสาวไปห้องพยาบาล ด้วยสีหน้างุนงงและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะมีแค่บุคคลเดียวที่แย้มยิ้มออกมาอย่างสาแก่ใจ แววตาคู่ที่เคยหวานปานหยาดน้ำค้างยามเช้า บัดนี้แดงฉานไปด้วยเพลิงพยาบาทไม่เหลือเค้าความอ่อนโยนละมุนละไมที่เคยมีมา นางยืนเป็นสง่าอยู่ ณ ที่นั้น ยืมยิ้มเยาะอย่างเป็นสุขในความทุกข์ของผู้ที่เคยกระทำแก่นาง....


                 'นี่ยังน้อยไป....ข้าไม่หยุดแค่นี้หรอกมหิตา!!'


                 วิญญาณอันไร้สังขารของกุสุมาลย์กล่าวขึ้นด้วยความหมายมาด เสียงหัวเราะแหลมเล็กของนางดังแว่วไปในสายลม จนผู้ที่ผ่านไปมารู้สึกขนลุกทั้งที่มองไม่เห็นสิ่งใด จึงพากันเดินเลี่ยงไปทางอื่นจนหมดสิ้น



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2556
2 comments
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2556 5:04:25 น.
Counter : 2238 Pageviews.

 

หาบลอคเจ้าแก้วเจอจนได้ ^^
พี่พันเปลียนโฉมใหม่ ทำเอางงไปพักใหญ่ๆเลย..อิอิ

ตามมาให้กำลังใจในนี้แล้วกันค่ะ อัพตอนใหม่แล้ว แวะไปเรียกเราบาอ่านด้วยนะคะ

 

โดย: Love U like a Love song 12 มีนาคม 2556 16:10:09 น.  

 

อัพตอนใหม่แล้วค่ะ ^^

 

โดย: แก้วกังไส 18 มีนาคม 2556 23:53:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.