จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
 
8 กุมภาพันธ์ 2556
 
All Blogs
 

เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 32

ตอนที่ 32
เงื่อนรักลมหึง



               นาคเจ้าเสด็จกลับเข้าตำหนักโดยมิรู้ว่าคลื่นแห่งความร้อนบางประการ กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน ทรงดำเนินมาหยุดที่นางกำนัลซึ่งนั่งหาวนอนอยู่หน้าห้องบรรทม เมื่อแลเห็นราชบุตรเขยเข้านางก็สะดุ้งขึ้นสุดตัวและรีบถวายความเคารพ


               "ง่วงก็ไปนอนเถิด"


              ภูวิษะเจ้าตรัสเบาๆ กับนางกำนัลนั้น ซึ่งนางได้แต่ยิ้มรับด้วยสีหน้าเจื่อนๆ และคลานเข่าผ่านหน้าพระพักตร์ไป เมื่อเปิดบานทวารเข้ามาในห้องบรรทม จึงค่อยทอดพระเนตรเห็นว่าแสงไฟนวลจากตะเกียงยังแจ่มจ้าอยู่ เคียงฟ้าซึ่งนั่งอยู่ในห้องเป็นเพื่อนพระเทวีมาหลายชั่วโมงแล้ว แม้พระนางจะไม่ทรงทอดพระเนตรเห็นหล่อนก็ตาม ก็รีบผุดลุกขึ้นเดินเข้ามาหาวรกายสูงสง่าที่เพิ่งเสด็จกลับมาด้วยความร้อนใจทันที


              'ไปไหนมาน่ะ? ทำไมเพิ่งกลับ รู้ไหมมหิตาคอยตั้งนาน...แล้วเมื่อกี้ไปทำอะไรมากับพี่กุสุมาลย์ในสวน?'


               หล่อนตั้งคำถามเสียยืดยาวเป็นชุด แต่ถูกตัดบทด้วยสุรเสียงแข็งกร้าวของมหิตาเทวีเสียก่อน หญิงสาวจึงเงียบเสียงลงปล่อยให้ศรีภรรยาตัวจริงเป็นฝ่ายซักถามจะดีกว่า


               "เสด็จพี่ทรงเสด็จกลับเสียดึกดื่น"


               ภูวิษะเจ้ามิได้รู้เรื่องราวอันใดด้วย ก็นึกฉงนที่พระชายายังมิได้เข้าบรรทม ดวงพักตร์อันงดงามนั้นปราศจากรอยแย้มสรวลคอยต้อนรับเหมือนเช่นเคย


               "อืม...คราวหน้าเข้านอนไปก่อนก็ได้ มิต้องรอเราดอกมหิตา"


               "ทรงมีราชกิจมากหรือเพคะ? หมู่นี้เสด็จกลับมาค่อนราตรีแทบทุกวัน" 


               พระขนงโก่งงามนั้นขมวดเข้าหากัน นาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นเข้า ก็ทรงเข้าพระทัยว่าชายาพระองค์กำลังน้อยหทัยเป็นอย่างยิ่ง


               "คิดถึงเรารึมหิตา?" ทรงรับสั่งถามพลางแย้มสรวลด้วยเสน่หา


               "....." มหิตาเทวีมิได้ตรัสตอบ อีกทั้งยังเสด็จดำเนินไปประทับบนแท่นประทม


               "แล้วเสด็จพี่เล่าเพคะ? คิดถึงหม่อมฉันบ้างหรือไม่? หรือว่าทรงเพลิดเพลินกับราชกิจจนลืมน้อง"


               พระนางน้อยมิได้สบสายพระเนตรเจ้านาคราชเลย ระหว่างที่ทรงตั้งปุจฉาย้อนถาม ในพระทัยนั้นหาได้นึกถึงราชกิจอันมากมายของพระสวามีดังที่ตรัสถามแม้แต่น้อย แต่ทรงนึกถึงภาพในอุทยานที่ทรงทอดพระเนตรเห็นเมื่อครู่


               ดวงศศีนั้นขึ้นครองไปครึ่งฟ้าแล้วแต่พระสวามียังมิเสด็จกลับมาให้เห็นพระพักตร์เลย จึงทรงผุดลุกผุดนั่งด้วยความกังวลพระทัยอยู่เป็นนาน เมื่ออดรนทนมิได้ก็ทรงไปยืนประทับที่ข้างพระบัญชรคอยทอดพระเนตรหาพระสวามี จึงพบเห็นภูวิษะเจ้ากับกุสุมาลย์โดยมิได้ตั้งพระทัย ด้วยสองพระเนตรของพระองค์เอง แม้มิได้สดับถ้อยคำใด ที่ทั้งคู่กำลังสนทนากันอยู่ในความมืดสลัวของอุทยานก็ตามที


                แต่แสงจันทร์นั้นพอจะทำให้ทรงเห็นแม่หญิงคนงาม ดึงหัตถ์สวามีของพระองค์ไปแนบนวลแก้มนาง ส่วนภูวิษะเจ้านั้นเล่าก็ทรงประคองนางขึ้นมาด้วยกิริยาอันอ่อนโยนเท่าที่บุรุษจะพึงมีให้สตรี เท่านั้นเองดวงฤทัยมหิตาเทวีนั้นเต้นถี่ระรัวราวเภรีหลายลูกกำลังถูกตีกระหน่ำขึ้นพร้อมกัน ปุจฉามากมายผุดขึ้นมาในห้วงดำริ กองเพลิงอันร้อนแรงถูกโหมโรงขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงเภรีเหล่านั้น


                'เหตุใดพระองค์จึงมีทีท่าสนิทสนมชิดเชื้อกับพี่กุสุมาลย์เพียงนั้น' ถ้อยดำรัสค้างคาอยู่ในพระทัยแต่มิกล้าตรัสถามขึ้นมาตรงๆ


                เมื่อเห็นว่าพระชายายังทรงนิ่งเงียบคล้ายกำลังโกรธขึ้งบึ้งงอน จึงดำเนินไปประทับเคียงคู่แล้วใช้พระพาหาทั้งสองข้างกอดรัดวรกายอันแบบบางนั้นไว้แทบอุระ


                "คิดถึงสิ...หากไม่คิดถึงน้องพี่ แล้วจะคิดถึงผู้ใดกันเล่า" ภูวิษะเจ้าตรัสตอบด้วยสุรเสียงอ่อนโยนยิ่ง


                'แหวะ! ปากหวานจริง..จริ๊ง !!' เคียงฟ้าที่ยืนดูอยู่เกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้


                "แล้วเหตุใดจึงเสด็จกลับมาป่านนี้ หรือทรงต้องอยู่สนทนากับผู้ใด ?"


                พระเทวีทรงเน้นสรุเสียงตรัสถามกระทบกระเทียบ แต่ยามบุรุษจะมิทันเล่ห์สตรีนั้นก็มิเลือกว่าเป็นมนุษย์หรือนาคราชแต่อย่างใด ภูวิษะเจ้าผู้ไม่เคยดำริว่าพระองค์กระทำสิ่งใด อันเป็นตำหนิให้ติฉินได้ก็ย่อมมิรู้ความนัยของพระชายาฉันท์นั้น


                "ก็หลายผู้อยู่....ล้วนเป็นเรื่องการศึก"


                "ศึกสงครามนั้นสงบแล้วมิใช่หรือเพคะ? ยังต้องมาประชุมหารือเรื่องใดจนดึกดื่นอีก" สุรเสียงไม่พอพระทัยฉายออกมาเด่นชัด ซึ่งแม้แต่เคียงฟ้าเองก็ไม่เชื่อถือคำของภูวิษะเจ้าเลยแม้แต่น้อย


                "ศึกภายนอกสงบแล้ว แต่ภายในเพิ่งเริ่มเท่านั้น การที่เราชนะศึกกันทรานคร...ผู้มีส่วนชิงชัยในการณ์นี้ก็ล้วนแล้วแต่ต้องการแบ่งผลประโยชน์ทั้งสิ้น อีกทั้ง....เจ้าชายอนันตราชทรงเสนอให้เราบุกไปตีแสนภโวปุระ"


                 "....? เราเพิ่งเสร็จศึกไฉนจึงเสนอให้ไปตีอีกนครเล่าเพคะ" คำบอกเล่าดึงความสนพระทัยจากมหิตาเทวีได้ชะงัก ทรงลืมเลือนเรื่องส่วนพระองค์ไปชั่วขณะ


                "เพราะหลังจากเราตีกันทรานครได้แล้ว จึงได้ทราบข่าวว่า....แสนภโวปุระก็กำลังซ่องสุมกำลังเตรียมการศึกเช่นกัน เจ้าชายอนันตราชจึงเสนอให้เราชิงบุกตีแสนภโวปุระเสียก่อน แต่พี่เห็นว่ากองทัพจุมภะเราเพิ่งเสร็จศึกยังเหนื่อยล้าอยู่มากมิควรจะมีการศึกในยามนี้ อีกทั้งสมควรจะเว้นช่วงให้ผ่านพ้นฤดูเก็บเกี่ยวไปเสียก่อน จึงถกเถียงเรื่องนี้กันมาหลายเพลาแล้ว" 


                รับสั่งอันเคร่งเครียดนี้ทำให้มหิตาเทวีไม่กล้าตรัสเอ่ยซักถามสิ่งที่ค้างคาในพระทัย แม้เคียงฟ้าจะพยายามกระซิบให้พระนางตรัสถามให้สิ้นสงสัยก็ตาม แต่หากพระชายามิได้เอ่ยเอื้อนสิ่งใดออกมา ยังคงแสร้งปฏิบัติองค์เหมือนเช่นปรกติทุกเมื่อเชื่อวัน ภูวิษะเจ้าเองก็มิได้เคลือบแคลงสงสัยว่าพระนางร้อนพระทัยด้วยเรื่องใด เว้นแต่แง่งอนที่ทรงวุ่นวายกับราชกิจจนทรงมิได้มาเคล้าคลอด้วยเหมือนเช่นเคย


                 "เพลานี้จุมภะปุระวุ่นวายนัก รออีกไม่นานนักดอกทุกอย่างคงสงบเรียบร้อย มิต้องกลับมืดค่ำเช่นทุกวันนี้ เจ้าอย่าได้แง่งอนพี่เลย" ตรัสพลางตระครองกองกอดพระเทวีไว้แนบอุระ


                 "หม่อมฉันก็แค่...ทูลถามดูเท่านั้นเพคะ อย่าได้ถือสาเลยเพคะ" ดวงพักตร์หวานจึงค่อยคลี่คลายความบึ้งตึงลง และแย้มสรวลละมุนละไมออกมา


                 "เจ้าเหงารึ?"


                 "ก็แค่...คิดถึงเสด็จพี่เท่านั้นแหละเพคะ มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใดอย่าได้กังวลเลยเพคะ"


                "ถ้าเช่นนั้นไปชมตลาดล่างนอกราชวังบ้างดีไหม? แม้ไม่สวยสะอาดเท่าตลาดบน แต่ก็มีหลายสิ่งแปลกตาให้เลือกดูได้ไม่น้อย"


                 คำแนะนำนั้นฟังดูประหลาดนัก โดยราชประเพณีแล้วสาวชาววังโดยเฉพาะเชื้อพระวงศ์มิค่อยได้เสด็จออกไปไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นั้นเป็น "ตลาดล่าง" หรือตลาดชาวบ้านนั่นอง ตลาดนี้ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือริมแม่น้ำสามคดฝั่งตรงกันข้ามกับพระบรมมหาราชวัง ยามปกติแล้วนางข้าหลวงกำนัลที่ทำให้ที่ในห้องเครื่อง มักจะหาซื้อผักปลาจากตลาดบนอันเป็นตลาดหน้าเมืองที่อยู่ในขอบรอบรั้วเวียงแก้ว ตั้งห่างจากด่านประตูวังไม่มากนัก ผักผลไม้และเนื้อสัตว์ต่างๆ จากถูกขนขึ้นเรือมาส่งยังตลาดก่อนฟ้าสางของทุกๆ วัน นานๆ สักคราหญิงชาววังจึงจะออกไปนอกเขตรั้วพระราชฐาน มหิตาเทวีจึงแปลกพระทัยยิ่งนักกับถ้อยดำรัสของพระสวามี


                 "การออกไปข้างนอกก็ทำให้เราได้เห็นชีวิตชาวเมืองบ้าง ว่านี่คือมนุษย์...เอ้อ...ประชาชนในปกครองของเรา การได้แลเห็นความเป็นอยู่ของเขาเหล่านั้นด้วยตาตนเอง ย่อมดีกว่าฟังคำบอกเล่าของเสนาอำมาตย์นัก การเดินทางก็มิได้ลำบากลำบนดอก แค่ข้ามเรือไปเท่านั้นเจ้าพากุสุมาลย์กับศรีดาราและนางอื่นไปเป็นเพื่อน แต่อย่าให้เอิกเกริกนัก"


                 'ตานี่บ้าหรือเปล่า? มหิตาบอกว่าเหงาให้อยู่ติดบ้านบ้าง ดันบอกให้ไปตลาดแทน' 


                 เคียงฟ้าฟังแล้วต้องขมวดคิ้วให้ยุ่ง ไม่อาจเข้าใจรับสั่งของนาคเจ้าได้ ว่าบัดนี้หทัยทั้งดวงทุ่มเทให้กับการดูแลชาวประชาจุมภะปุระ นคราอันเป็นแผ่นดินประทานจากพระบิดาพญามหิทธราบดีนาคราช


                 "เที่ยวชมตลาดล่าง คงจะช่วยให้เจ้าหายเบื่อได้บ้างกระมัง...เห็นกุสุมาลย์บอกว่าระยะนี้เจ้าอารมณ์ไม่สู้ดีนัก กระทั่งนางยังเข้าหน้าไม่ติด"


                 "พี่กุสุมาลย์บอกหรือเพคะ? ทรงนางทูลเสด็จพี่เมื่อใด?" พระชายาคาดคั้นขึ้นมาทันที


                 "ก็ความเป็นอยู่ของเจ้าทุกประการล้วนเป็นหน้าที่ของนางนี่ เมื่อครู่ก่อนเข้ามาเราพบนางในอุทยานที่หน้าตำหนักนี้เอง" 


                 ผู้ไม่มีชะนักใดติดกายก็ย่อมบอกเล่าได้คล่องชิวหามิมีติดขัดไม่ เจ้าของวรกายทรงสง่าและดวงพักตร์งามปานสลักเสลาก็เช่นกัน ภูวิษะเจ้าแย้มสรวลไปในขณะที่เอ่ยถึงนางกำนัลคนโปรดของชายาแห่งองค์


                 "อย่าได้หงุดหงิดเจ้าโมโหโทโสนักเลย ครั้งก่อนนี้นางก็เจ็บตัวเพราะเจ้านี่แผลยังไม่ทันทุเลาเลย อย่าเพิ่งหาเรื่องปวดหัวให้นางนัก"


                 "หม่อมฉันทำอันใดเล่าเพคะ? ตรัสเหมือนหม่อมฉันเป็นเด็กน้อยจนพี่กุสุมาลย์ต้องไปฟ้อง...แล้วไฉนจึงไม่บอกกล่าวแก่หม่อมฉัน ไยจึงต้องไปลอบฟ้องเสด็จพี่กันเล่า" มหิตาเทวีมีสีพระพักตร์บึ้งตึงขึ้นมาทันที


                 "ทะเลาะอันใดกับกุสุมาลย์หรือเปล่า?"


                 "นางทูลฟ้องอันใดเสด็จพี่กันเล่าเพคะ...ถึงได้ทรงตำหนิหม่อมฉันเช่นนี้ ? " 


                 ทรงยั้งโอษฐ์ไว้ว่าทอดพระเนตรเห็นกุสุมาลย์ร้องห่มร้องไห้เป็นการใหญ่ และพระสวามีก็ปลอบประโลมนางด้วยท่าทีอันสนิทสนมนัก ด้วยความกริ้วจึงมิได้เรียกสรรพนามแทนตัวนางคนโปรดว่าพี่เหมือนเช่นที่เคยเป็นมา


                 "แล้วเจ้าทำสิ่งใดให้นางฟ้องเราได้รึเด็กน้อย?" ยิ่งเห็นสีพระพักตร์พระชายาก็ยิ่งทรงนึกขำ ราวกับเห็นเด็กน้อยกำลังแง่งอนจนนวลปรางแดงใส


                 "หม่อมฉันมิได้กระทำสิ่งใดเสียหน่อย...." 


                 "ถ้าอย่างนั้นแล้ว...เราก็ว่าเรามิเคยจำได้เช่นกันว่า....ได้เอ่ยจะยกกุสุมาลย์ให้เป็นเมียผู้ใด" 
                 พระขนงเข้มเรียงตัวงดงามขมวดขึ้นมาบ้าง เมื่อทรงผินพักตร์มาถามมหิตาเทวี ทำเอาพระชายาทรงนิ่งอึ้งไป ส่วนเคียงฟ้าได้แต่มองคนทั้งคู่สลับกันไปมา และเริ่มที่จะนั่งลงใกล้แท่นบรรทมรอฟังความบ้าง


                 "เสด็จพี่เรื่องนี้...."


                  "หากให้นางออกเรือนไปกับผู้อื่น มิได้อยู่ถวายการรับใช้เสียแล้ว เจ้ามิเหงาแย่รึน้องพี่?" มหิตาเทวีมิได้ตอบได้แต่ก้มพักตร์นิ่งอึ้ง จนพระสวามีต้องตรัสถามซ้ำ


                 "มหิตาแน่ใจแล้วหรือว่าประสงค์ดังนี้? กุสุมาลย์รับใช้เจ้ามาเนิ่นนาน ยากยิ่งจะหาคนรู้ใจเจ้าได้เท่านาง"


                 คำถามที่ทรงหยิบยื่นให้นั้นมิได้ตำหนิพระชายาแต่อย่างใด คล้ายว่าตรัสถามด้วยความห่วงใย ในขณะที่พระชายาสดับฟังแล้วกลับยิ่งว้าวุ่นสับสนพระทัยนัก ด้วยในดวงหทัยยามนี้มีหมอกควันอันคลุมเครืออัดแน่นอยู่ และพลังอำนาจของจิตฝ่ายต่ำนั้นมีอิทธิฤทธิ์รุนแรงเกินกว่าผู้ใดจะคาดคิดถึง


                "หม่อมฉันเพียงแต่เสียดาย...พี่กุสุมาลย์งดงามออกเพียงนี้ หากต้องมาเก็บซ่อนตัวที่ตำหนักเพื่อรับใช้หม่อมฉันเท่านั้นล่ะก็....เกรงว่าจะเป็นการปิดโอกาสของนาง" หลังทรงเงียบอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดก็ตรัสตอบออกมาได้


                 "แต่ความสุขของกุสุมาลย์มิใช่การเป็นออกเรือนกับบุรุษมียศฐาใหญ่โตไม่ อีกทั้ง...อายุอานามขนาดนี้คงหาคู่ที่เหมาะสมคู่ควรกันนั้นคงยากยิ่ง มีเพียงแต่ต้องแต่งไปเป็นเมียรอง...หรือนางห้ามของผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์เท่านั้น เรื่องนี้เจ้าได้ถามความเห็นนางหรือยัง?"


                 "....มิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงแค่เปรยปรึกษากับพี่ศรีดาราดู ยังไม่ได้เห็นชอบเรื่องนี้แต่อย่างใดเพคะ" ตรัสตอบไม่เต็มสุรเสียงนัก


                 "อ้อ! งั้นแม่ม้าศรีดาราคงตกอกตกใจ จนรีบโหนโยนทะยานไปบอกกุสุมาลย์ โดยมิทันได้ถามไถ่เจ้าให้แน่ชัดสินะ" เสียงถอนหทัยดังขึ้นมาพร้อมๆ ภูวิษะเจ้ากับส่ายพระพักตร์ด้วยความหน่ายหทัย

         
                 "...ฟังความยังมิทันครบจบกระบวนดี ก็บอกเล่ากันไปเสียใหญ่โต...เฮ้อ"


                 "อย่าโทษพี่ศรีดาราเลยเพคะ หากทรงกริ้วก็ตำหนิหม่อมฉันเถิดเพคะ เป็นหม่อมฉันเองที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไม่รอบครอบ ทำให้พี่กุสุมาลย์เสียใจร้อนถึงเสด็จพี่ไปด้วย"


                 ถ้อยดำรัสนั้นแฝงไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำฤทัย หากแต่พระสวามีมิทันได้ฉุกคิด พระองค์เห็นเป็นเพียงเรื่องของการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วนกระบวนความ จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปเท่านั้น


                 "ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็สบายใจ หากไม่มีสิ่งใดแล้วก็เข้านอนกันเถิด...วันนี้เราเหนื่อยนัก พรุ่งนี้ก็ต้องไปเฝ้าพระแม่เจ้าแต่รุ่งสาง ทรงดำริจะทำพิธีบวงสรวงใหญ่ถวายพระบิดาเรา...เอ้อ...พญามหิทธราบดีนาคราช ที่ทรงบันดาลชัยชนะแก่จุมภะปุระ พรุ่งนี้เราคงต้องไปเฝ้าถวายอาหารให้เจ้าจิตตะด้วยอีกคน...ฮ่า ฮ่า ฮ่า"


                 ตรัสแล้วก็ทรงเผลอส่งสุรเสียงสรวลออกมาเสียเอง เมื่อดำริไปถึงงูเผือกตัวใหญ่ที่นาคาสถานแล้วก็อดขำมิได้ นาคเจ้าคาดว่าเจ้าจิตตะคงทำหน้าเหรอหราให้ขบขันเมื่อพบว่าเป็นผู้ใดมาทำการบวงสรวง และคงรีบตรงรี่เข้ามาหาเป็นแน่แท้ หากเป็นยามปกติแล้วมหิตาเทวีคงจะสรวลตามด้วยความขบขัน แต่ยามนี้ในพระทัยถูกหมอกอันมัวสลัวปกคลุมดวงฤทัยเสียจนหม่นหมอง จึงได้แต่แย้มโอษฐ์เล็กน้อยยิ้มรับเท่านั้น


                 เมื่อมิมีความใดแล้วพระองค์จึงเสด็จเข้านิทราไป ปล่อยทิ้งให้หญิงสาวต่างชาติภพสองนาง หมกมุ่นกระวนกระวายต่อไปตามลำพัง เคียงฟ้ารู้สึกหงุดหงิดที่มหิตาเทวีปิดบังความทุกข์ในพระทัย ไม่ตรัสถามองค์สวามีไปให้แน่ชัดเสีย ส่วนพระนางนั้นเล่าได้แต่ลืมเนตรโพลงไปตลอดราตรีนั้น 


                นานๆ ครั้งภูวิษะเจ้าจะทรงขยับวรกาย เมื่อทอดพระเนตรผ่านมามืดเห็นพระชายายังไม่บรรทม ก็ทรงดึงวรองค์แสนเสน่หานั้นมากอดรัด แม้นไม่ทรงทราบแน่ชัดว่ามหิตาเทวีกำลังดำริสิ่งใดอยู่ แต่ก็ทอดพระเนตรเห็นว่าชายาของพระองค์นั้นดูมีความนัยพระทัยบางประการ หากแต่เจ้านาคราชมิได้ตรัสถามเนื่องด้วยอ่อนเพลียเป็นสำคัญ จึงเพียงแค่ปลอบประโลมด้วยวงพาราและแผ่นอุระอันอบอุ่น ให้มหิตาเทวีได้ซุกวรกายอ้อนแอ้นเข้าแนบชิดเข้ามาในฤทัยนาคเจ้าเท่านั้น


               ภูวิษะเจ้าแม้นจะเป็นพญานาคผู้มากฤทธีและปรีชาสามารถเพียงใด แต่กลับมิเคยทราบว่าดวงใจสตรีนั้นยากแท้หยั่งถึง อีกทั้งยังเชี่ยวลึกไหลวนยิ่งกว่าสายนทีใดๆ ในโลกา จึงมิทันได้เฉลียวใจว่าการศึกสงครามใดนั้นจะสร้างความทุกข์ได้เท่าศึกแห่งหทัย



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                กาลเวลาในความฝันผันผ่านไปเร็วเพียงแค่ลมพัดผ่าน เพียงแค่หญิงสาวจากอนาคตกาลสัปหงกไปไม่กี่อึดใจ ตะวันรุ่งของวันใหม่ก็มาเยือน ภูวิษะเจ้าทรงเสด็จไปร่วมประชุมยังตำหนักหลวงตั้งแต่แสงสางเพิ่งเริ่มทอตัวเท่านั้น ส่วนมหิตาเทวีก็ทรงปฏิบัติกิจส่วนพระองค์เช่นเดียวกันกับทุกวัน เริ่มตั้งแต่นางกำนัลนำอ่างดินเผาบรรจุน้ำจนเต็มมาถวาย เพื่อให้ล้างสรงพระพักตร์และสีชำระพระทนต์ หน้าที่นี้เดิมเป็นของกุสุมาลย์แต่บัดนี้เป็นของปทุมมาแทน ส่วนศรีดาราที่ช่วยหิ้วอ่างดินเผาว่างเปล่าสำหรับทิ้งน้ำที่สีชำระพระทนต์แล้วตามหลังมา นางมีสีหน้าง่วงงุนคล้ายคนนอนไม่เต็มอิ่มขอบตาหรือก็หมองคล้ำนัก


               "ไฉนหน้าจึงหมองคล้ำนักเล่าพี่ศรีดารา"


                เมื่อถูกถามนางคนทะเล้นก็ยิ้มรับด้วยสีหน้าไม่สดชื่นนัก เพราะเมื่อคืนนี้นางครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขความหมางใจระหว่างพระเทวีกับกุสุมาลย์จนฟ้าสาง เป็นเหตุให้มิได้หลับได้นอน


                "หม่อมฉันนอนไม่ค่อยหลับน่ะเพคะ"


                 ทูลพลางส่งก้านต้นข่อยที่ลอกเปลือกออกจนเห็นเนื้อไม้ขาวสะอาด ปลายด้านหนึ่งเหลาจนเรียวจับถนัดมือ ส่วนปลายอีกด้านนั้นถูกทุบจนเยื่อไม้แตกปลายฝอยแลดูคล้ายภู่กัน จากนั้นจึงถวายผอบเล็กที่ใส่เกลือให้ใช้สีชำระพระทนต์ เคียงฟ้ามองดูแปลงแปรงสีฟันโบราณนั้นด้วยอาการทึ่ง แม้จะเคยได้ยินมาว่าคนโบราณใช้กิ่งข่อยถูฟัน แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วยังมีกิ่งของต้นไม้อีกหลายชนิดที่ใช้แปรงฟันได้ เช่น ก้านโกทา ก้านพลู หรือแม้แต่เปลือกหมากก็เช่นกัน นอกจากกิ่งแล้วใบของต้นไม้ที่ใช้ต่างแปรงสีฟันเหล่านี้ เมื่อนำใบมาเคี้ยวให้แหลกคาปากแล้วบ้วนน้ำตาม ก็ใช้ต่างน้ำยาดับกลิ่นปากได้ดีอีกด้วย เลยค่อนข้างจะทึ่งกับภูมิปัญญาของคนโบราณซึ่งมีมานานหลายพันปี ก่อนที่แปรงสีฟันฝรั่งจะถูกคิดค้นขึ้นมา จนเป็นแปรงสีฟันพลาสติกด้ามใสสีสวยที่วางอยู่ในห้องน้ำที่บ้านของหล่อนอย่างในปัจจุบัน


                "มีเหตุอันใดให้กลัดกลุ้มรึ? หรือจะเป็นเรื่องออกเรือนของพี่กุสุมาลย์"


                มหิตาเทวีตรัสถามหลังจากทรงสีชำระพระทนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงลุกขึ้นมาใส่น้ำอบชะโลมเครื่องหอมประทินผิว


               "เพคะ...หม่อมฉันไม่อ้อมค้อมนะเพคะ....ขอทูลถามตรงๆ จะไม่ทรงตัดสินพระทัยอีกครั้งหรือเพคะ? " สีหน้าของศรีดารายามนี้ดูไม่สดใสเหมือนเช่นเคย จนมหิตาเทวีทอดพระเนตรเห็นแล้วก็ถอนหทัยออกมา


               "เรามิได้ส่งพี่กุสุมาลย์ไปตายเสียหน่อย เพียงแต่จะส่งเสริมให้ได้ดีมียศฐาถาให้มีบุรุษดีงามคอยปกป้องคุ้มครอง ไฉนจึงมีแต่คนคัดค้านแม้แต่เสร็จพี่ภูวิษะก็ทรงไม่เห็นชอบด้วย" สิ้นถ้อยดำรัสนางกำนัลทั้งสองก็ลอบสบตากัน


                "....มะ...มิใช่ ดำริของท่านภูวิษะหรือเพคะ?"


                "พวกพี่เคยเห็นภูวิษะเจ้ามายุ่งเกี่ยวกับภายในตำหนักหรือ? แค่ราชกิจที่ทรงดูแลก็ล้นหัตถ์แล้ว"


                "ละ...แล้ว ที่พระเทวีตรัสว่าจะให้พี่กุสุมาลย์ออกเรือนเล่าเพคะ?" พระเทวีผู้ทรงโฉมมิได้ตอบคำถามนางคนทะเล้นโดยพลัน แต่หันไปรับสั่งให้ปทุมมาช่วยหวีพระเกศา


                "เราเพียงแค่นึกเสียดายคนงามพร้อมสรรพอย่างพี่กุสุมาลย์ หากจะรับใช้เราไปเรื่อยๆ จนอายุมากกว่านี้ ก็คงหาคู่สมรสได้ยาก ปีนี้พี่กุสุมาลย์อายุ 24 แล้วสินะ ถือว่าเกินเกณฑ์ไปมากโข เป็นผู้อื่นลูกเต้าคงโตจนช่วยงานเรือนได้แล้ว หากช้ากว่านี้อีกสักปีคงไม่แคว้นต้องอยู่เป็นเดียวดายไร้คู่เชยชิดชมเป็นแน่แท้"


                "แต่พี่กุสุมาลย์เต็มใจอยู่รับใช้ข้างพระบาทเช่นนี้ตลอดไปเพคะ มิเคยเกี่ยงงอนว่ามิได้ออกเรือนเช่นหญิงอื่นนอกวัง"


               "นั่นสิเพคะ พวกหม่อมฉันนั้นตั้งแต่ถวายตัวมาเป็นนางกำนัลที่ตำหนักนั้น ต่างก็เต็มใจจะอยู่รับใช้พระเทวีไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากเกรงกลัวว่าจะมิได้ออกเรือนก็คงมาเป็นนางกำนัลดอกเพคะ"


                ปทุมมาทูลขึ้นมาอีกผู้หนึ่ง กฏอย่างหนึ่งของการเป็นนางกำนัลในวังหลวงนั้นคือจะมิได้แต่งงานยกเว้นแต่จะทรงพระกรุณาประทานสมรสให้ หากรักชอบพอกับบุรุษใดก็ต้องผ่านการพิจารณาจากเจ้านายเหนือหัว เมื่อได้รับประทานอนุญาตแล้วฝ่ายชายจึงค่อยส่งผู้ใหญ่มาทาบทามสู่ขอ ความรักของนางในวังนั้นจึงมิอาจมีได้โดยอิสระปราศจากกฏเกณฑ์ไม่


                "พวกพี่ๆ ไม่ต้องมาเอาใจเราดอก เรื่องพี่กุสุมาลย์เรายังมิได้บอกเสียหน่อยว่าจะยกให้ผู้ใด"


                "พระเทวีทรงหมายความว่า...." นางกำนัลทั้งสองพากันตื่นเต้น ในขณะที่เคียงฟ้านั้นก็พลอยลุ้นไปด้วย


                "ก็มีแต่คนรักใคร่พี่กุสุมาลย์ออกมากมายเช่นนี้ ขืนเราไล่พี่กุสุมาลย์ไปให้ออกเรือนไป คงมีแต่คนเสียใจเป็นแน่" บางทีอาจจะรวมทั้งพระสวามีของพระองค์ด้วย ดำริได้เช่นนี้ก็ทรงเศร้าหมองยิ่งนัก


                 "พระเทวี!!! ขอบพระทัยเพคะ....พี่กุสุมาลย์ต้องดีใจมากแน่ๆ"


                 ศรีดาราปลี่เข้าไปกุมหัตถ์พระนางน้อยเอาไว้ด้วยความปรีดายิ่ง ทำเอาหญิงสาวที่เป็นเพียงร่างเงาไร้ตัวตนในภพนี้ยิ้มกว้างออกมา


                 "เฮ้อ....นี่คงตกใจกันไปทั้งตำหนักเลยสิ...แย่จริง" ตรัสแล้วก็ทรงถอนหทัยออกมา


                 "แหะ แหะ หม่อมฉันปากไวไปเพคะ น่าจะรอถามให้แน่ใจก่อนค่อยไปบอกพี่กุสุมาลย์ เลยทำให้ตกอกตกใจไปกันใหญ่ เมื่อคืนนี้พี่กุสุมาลย์ร้องไห้เสียใหญ่โตเลยเพคะ"


                 "แล้วไยจึงต้องไปร้องไห้ต่อหน้าเสด็จพี่ด้วยเล่า...." มหิตาเทวีสดับเข้าก็ตรัสพึมพำออกมาด้วยสีพระพักตร์ขุ่นข้องยิ่งนัก


                 "อะไรนะเพคะ หม่อมฉันได้ยินไม่ถนัด" แต่เมื่อถูกนางกำนัลร้องถามจึงรีบปรับพระพักตร์ให้แย้มยิ้มแล้วปฏิเสธไป


                 "ไม่มีอะไรดอก....แล้วตอนนี้พี่กุสุมาลย์เป็นอย่างไรบ้าง?"


                 "ก็ซึมเซาอยู่เพคะ จะให้หม่อมฉันตามมาพบไหมเพคะ?" ศรีดารายิ้มกว้างต่างกับสีหน้าอมทุกข์ก่อนหน้านี้หน้ามือเป็นหลังมือ


                 "ไม่ต้องดอก...พี่ศรีดาราค่อยไปบอกทีหลังก็ได้"


                 "เพคะ" รับคำแล้วนางก็หันไปยิ้มให้ปทุมมาราวกับจะบอกว่าหมดเรื่องเสียที ทั้งสองพยักหน้าให้กันอย่างโล่งใจ ปทุมมาจึงขอตัวไปจัดเตรียมงานอื่น


                 "ถ้างั้นหม่อมฉันตั้งสำรับเช้าเลยนะเพคะ"


                 เมื่อพระนางพยักพักตร์เป็นเชิงอนุญาต ปทุมมาจึงคลานถอยออกไปจากห้องบรรทม ศรีดาราจึงขยับเข้ามาช่วยแต่งภูษาแทน นางเปิดตู้และเมียงมองภูษางดงามหลายผืนนั้นก่อนจะทูลถาม


                 "วันนี้ใส่ผ้าพันทรวงสีไหนดีเพคะ สีขาบ(สีน้ำเงิน) ดีไหมเพคะ?"

                 "เอาสิ"


                เมื่อทรงเห็นชอบด้วย ศรีดาราจึงนำภูษาสีขาบนั้นมาพันรอบพระถันเปลือยเปล่า เมื่อแรกที่เห็นนั้นเคียงฟ้าไม่เคยชินและนึกเขินอายแทน ด้วยว่าผู้หญิงที่นี่ส่วนใหญ่นั้นยามที่อยู่กับเย่าเฝ้ากับเรือน หรือมิต้องออกไปทำธุระปะปังข้างนอกจะเปลือยอก จะเว้นก็แต่นางผู้มียศฐาอันสูงส่งหรือเป็นนางกำนัลคนโปรดของผู้ใดจึงมีภูษามากมายให้ผลัดเปลี่ยน นางอีกผู้หนึ่งที่ต้องแต่งกายให้เรียบร้อยเสมอนั้นคือคุณท้าวประจำตำหนัก ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงยศศักดิ์ฐานะของพระเทวีแห่งนาง


                แต่กุสุมาลย์นั้นอยู่ในข้อยกเว้นเนื่องด้วยพ่วงตำแหน่งพระพี่เลี้ยงเข้าไปด้วย หล่อนจึงไม่เคยเห็นแม่หญิงคนงามเปลือยอก แต่กับนางกำนัลคนอื่นแล้วเคียงฟ้ามองเห็นปทุมถันเปลือยของนางเหล่านั้นบ่อยๆ จนแทบจะเป็นตากุ้งยิงไปแล้วด้วยซ้ำ ผู้หญิงที่นี่ภูมิใจกับทรวงอกอันอิ่มอวบถือเป็นสิ่งดึงดูดบุรุษ จึงไม่เขินอายยามที่ถูกบุรุษเมียงมอง หากสายตาคู่นั้นมิได้แสดงอาการจาบจ้วงเกินงาม


                แต่ความนิยมการเปลือยอกนี้เฟื่องฟูไปทั่วทั้งแผ่นดินจุมภะปุระและดินแดนใกล้เคียง เป็นสิ่งที่พบเห็นได้จนเจนตา เจ้าหญิงสูงศักดิ์นั้นแม้จะมิได้เปลือยพระถันเดินโทงๆ ให้เห็นบ่อยๆ เหมือนบรรดานางกำนัล แต่ก็มีบางโอกาสที่ทรงเปลือยพระถันเสด็จออกงานเมือง รวมไปถึงมหิตาเทวีก็เช่นกัน แต่เพลาที่จะพบเห็นพระชายาเจ้านาคราชเปลือยพระถันนั้น มักจะเป็นยามที่อยู่ในห้องหับอันรโหฐาน หรือในห้องบรรทม ทุกค่ำคืนพระเทวีจะผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์ก่อนเข้าสู่นิทรารมณ์ ซึ่งทรงสวมแต่ผ้าภูษาชิ้นล่างยาวไปจนปลายพระบาทเท่านั้น ส่วนพระถันนั้นปล่อยให้เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปกปิด จะเรียกว่าเป็นฉลองพระองค์ที่ใส่บรรทมโดยเฉพาะก็ว่าได้ ซึ่งทรงปฏิบัติกันมาช้านานตั้งแต่ก่อนจะอภิเษกสมรสกับภูวิษะเจ้ามาจนบัดนี้ จนเห็นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญจึงไม่มีความเอียงอายสายพระเนตรพระสวามี หรือนางกำนัลแต่อย่างใด


                ตรงกันข้ามกับผู้หญิงในยุคของเคียงฟ้า ประเพณีปฏิบัติต่างกันออกไปด้วยเหตุผลของกาลเวลา จึงกลายเป็นว่าสาวๆ มักจะแต่งตัวเรียบร้อยในที่บ้าน แต่พยายามนุ่งสั้นประหยัดเสื้อผ้าให้น้อยชิ้นแถมยังรัดรูปอวดทรวดทรงองค์เอว และเนื้อหนังมังสาในที่สาธารณะแทน ยิ่งเป็นเด็กยุคใหม่ส่วนใหญ่มักจะอายสายตาพ่อแม่มากกว่าสายตาแฟนหนุ่ม ค่านิยมของแฟชันต่างยุคจึงออกมาตรงกันข้ามเลยทีเดียว


                การเปลือยพระถันในยามที่เพิ่งตื่นบรรทมเช่นนี้ จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด เมื่อทรงชำระล้างเสร็จแล้วนางกำนัลจึงมาช่วยกันสวมใส่ภูษาและเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ต่างๆ บนพระวรกายให้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเห็นกี่ครั้งหญิงสาวก็ไม่รู้สึกชินเสียที หล่อนเสียอีกที่รู้สึกเขินอายแทน จึงพยายามเลี่ยงที่จะไม่มอง ยามที่พระเทวีผู้มีวรกายอรชรทรงเสน่ห์ชวนมองนั้นมิได้ทรงภูษาปกปิดพระถัน ว่าแล้วหล่อนก็เลยหันหลังให้เสียเลย เพราะรู้สึกเหมือนเสียมารยาทที่จะไปจ้องมองมหิตาเทวีแต่งฉลองพระองค์ ทั้งๆ ที่พระนางก็ไม่ได้มองเห็นหล่อนเลยสักนิด และยังคงสนทนากับนางกำนัลต่อไปเรื่อยๆ


                "แผลของพี่กุสุมาลย์ทุเลาลงหรือยัง? ใช่มีรอยตำหนิติดค้างอยู่หรือไม่?"


                "ค่อยยังชั่วแล้วเพคะ ไม่บวมเท่าเมื่อแรก แต่อาจจะเป็นรอยแผลเป็นที่เปลือกตาได้เพคะ แต่...มิต้องหนักพระทัยไปเพคะรอยนั้นแค่เล็กแค่ปลายก้อยเท่านั้นเองเพคะ ทรงอย่างวิตกกังวลไปเลย" ศรีดารารีบปลอบโยนด้วยเกรงว่ามหิตาเทวีจะทรงตำหนิองค์เอง จนกลุ้มพระทัยอย่างที่แล้วมา


                "คนงามปล่อยให้มีแผลคงไม่ดีนัก เห็นทีคงต้องแต้มแป้งปิดเอา จริงสิ! ถ้าเช่นนั้นแล้วยกสิ่งนั้นให้พี่กุสุมาลย์ไปก็แล้วกัน..." ตรัสพลางแย้มสรวลออกมา เป็นรอยยิ้มที่งดงามนักแต่ในสายตาหญิงสาวนั้น ช่างดูว่างเปล่าและห่างเหินยิ่งนัก ไม่เหมือนพระนางคนเดิมที่เคยสดใสร่าเริงดั่งกสุณาตัวน้อยโผบินขึ้นสู่ท้องนภา


                "ในหีบนั้นมีกล่องประทิมโฉมที่เราเพิ่งได้มา พี่ศรีดารานำไปให้พี่กุสุมาลย์เถิด"


                 ศรีดาราได้ยินรับสั่งดังนั้นก็กุลีกุจอไปเปิดหีบ และค้นเอากล่องไม้ใส่เครื่องประทินโฉมที่สลักลวดลายลงรักปิดทองงดงามขึ้นมา เคียงฟ้าเห็นกล่องใบนั้นเต็มตาก็ต้องตะลึงลานตาค้างไป หล่อนจำได้ดีว่ามันเป็นกล่องใบเดียวกันกับที่พินทุมณีเทวีเคยนำมามอบให้ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก มันเป็นเครื่องประทิมโฉมที่ผสมผงคันเอาไว้ ทรงประทานให้พระขนิษฐาเพื่อไว้ใช้กลั่นหญิงงามจากกันทรานครเมื่อคราก่อน แต่เมื่อพระสวามีของกัมลาภาเทวีทรงรับเอานางงามนั้นไว้เอง กล่องประทิมโฉมใบนี้จึงถูกหลงลืมชั่วขณะ


                  'มหิตา!! นี่เธอคิดจะทำอะไร ?!!!'


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2556
2 comments
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2556 7:50:50 น.
Counter : 1688 Pageviews.

 

แวะเข้ามาเยี่ยมค่ะ

 

โดย: lovereason 8 กุมภาพันธ์ 2556 14:55:48 น.  

 

lovereason : ขอบคุณค่ะ

 

โดย: แก้วกังไส 14 กุมภาพันธ์ 2556 3:49:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.