เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 4
ตอนที่ 4ไร่เหมวัต คมชาญมองพราวแสงเดินเหม่อลอยออกไปจากสำนักงานทนายความ เหมือนคนไร้สติด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหันกลับมามองร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างบิดาด้วยความฉงน เมื่อครู่หลังสิ้นเสียงดั่งประกาศิตนั่น หญิงสาวมากพิษสงก็กลายกลับเป็นอีกคน ที่นิ่งสงบยอมรับในสิ่งที่อดีตสามีหยิบยื่นให้แต่โดยดี
หล่อนเซ็นชื่อยอมยกบุตรชายให้อยู่ความดูแลของสรวงง่ายๆ ไม่มีมีข้อโต้แย้ง รวมทั้งยอมเซ็นใบหย่าให้โดยไม่แม้แต่จะเรียกร้องใดๆ สักน้อยนิด ท่าทีของพราวแสงผิดไปราวหน้ามือเป็นหลังมือนั้นดังโดนมนต์เสก
"เฮ้อ...หมดเรื่องสักทีนะ ยินดีด้วยนะครับคุณสรวง" เขายื่นมือไปให้ลูกความสัมผัส นัยน์ตายังไม่วายเหลียวไปมองเด็กน้อย
"ผมก็หวังว่าอย่างนั้น....หวังว่าเธอจะไม่เปลี่ยนใจ กลับมาเรียกร้องอะไรอีก" สรวงบ่นพึมพำไปพลางหันไปสบตาลูกชายคล้ายจะถาม
"คุณพราว...ไปในวิถีของเธอแล้ว คงอีกนานกว่าเราจะได้พบกันใหม่"
ร่างเล็กนั่นตอบ บิดาได้ฟังก็พยักหน้าแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก คมชาญมองแล้วเกิดคำถามในใจมากมาย แต่ไม่กล้าเอ่ยถามขึ้นมาด้วยเกรง 'บางสิ่ง' ในตัวเด็กน้อยตรงหน้า
หลังจากนั้นอีกหลายปีทีเดียวกว่าเขาจะได้พบสรวงและลูกชายอีกครั้ง แต่อะไรบางอย่างนั่นดึงความสนใจ ทำให้คมชาญคอยติดตามข่าวคนทั้งคู่อยู่เสมอ เขาจึงไม่ได้ขาดการติดต่อกับสรวงไปเสียทีเดียว เมื่อลูกความของเขาเริ่มธุรกิจใหม่ สรวงจึงจ้างคมชาญให้ช่วยดูแลเรื่องกฎหมายในทรัพย์สินต่างๆ ของเขาที่เพิ่มพูนขึ้นชนิดมหาศาลในช่วงหลายปีต่อมา
ปีแรกๆ คมชาญได้ข่าวว่าสรวงพาลูกชายย้ายไปอยู่เชียงใหม่ โดยสรวงมีที่ดินอยู่ผืนหนึ่งสำหรับพักผ่อน และต่อมาก็ซื้อขยายออกไปเรื่อยๆ จากชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ และยังคงให้เจ้าของเดิมพักอาศัย รวมทั้งจ้างทำงานในไร่ดอกไม้ของเขาอีกด้วย
หกปีต่อมานายสรวงมาพบเขาที่กรุงเทพ ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เมื่อวันวานกลายเป็นหนุ่มใหญ่ไปเสียแล้ว แต่สง่าราศีก็เพิ่มพูนขึ้นด้วย นายสรวงในวันนี้แม้ดูแค่ภายนอกก็รู้ว่าเป็นคหบดีผู้มีอันจะกิน เขานำไวน์ผลไม้ที่ผลิตจากไร่ของตนเองมาฝาก และปรึกษาเรื่องอยากตั้งบริษัทตัวแทนจำหน่ายในกรุงเทพฯ เพื่อส่งสินค้าไปต่างประเทศอีกด้วย
แล้วในช่วงเวลาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นบริษัทก็เติบใหญ่ขึ้นมากลายเป็นบริษัทชั้นนำ โดยที่สรวงจ้างทีมบริหารมาดูแลแทน เพื่อที่ว่าเขาจะได้พักผ่อนในไร่ของตน จนกลายเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งและมีชื่อเสียงเรื่องการเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยออกสังคมนัก หากไม่ใช่ผู้ใกล้ชิดจะรู้สึกว่าพ่อเลี้ยงสรวงเป็นคนเข้าถึงตัวยากจนค่อนไปทางลึกลับ แต่ลึกลงไปแล้วคมชาญรู้ดีว่าสิ่งใดที่ทำให้สรวงต้องทำตัวแบบนี้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อปกป้องคนคนหนึ่งที่ลึกลับเสียยิ่งกว่านั่นเอง....
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขวบปีที่วิมุตติอายุครบสิบสองปีบริบูรณ์ สรวงเชิญคมชาญขึ้นไปพบที่เชียงใหม่ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาไปเดินทางไปไร่เหมวัต ไร่นี้ถูกตั้งชื่อตามนามสกุลของพ่อเลี้ยงสรวงผู้เป็นเจ้าของ ไร่เหมวัตนี้กินพื้นที่ไปทั้งภูเขาเป็นบริเวณกว้างกว่าหนึ่งพันไร่ คมชาญยอมรับว่าตกตะลึง ทั้งที่พอจะทราบจำนวนทรัพย์สินของสรวงอยู่แล้วก็ตาม แต่เมื่อมาเห็นด้วยตาตัวเองแบบนี้เขาแทบไม่อยากเชื่อว่า ครั้งหนึ่งชายผู้เคยเป็นแค่เจ้าของสำนักงานบัญชีเล็กๆ บัดนี้กลายมาเป็นพ่อเลี้ยงเมืองเหนือผู้มั่งคั่งแบบนี้ได้
ไร่ของสรวงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกใช้ทำงานแบ่งออกเป็นไร่ผลไม้อันเป็นวัตถุดิบผลิตไวน์ และแปลงดอกกล้วยไม้ รวมถึงไม้ดอกนานาพันธุ์อีกหลายชนิด ซึ่งกินพื้นที่เป็นอาณาบริเวณกว้างนับถึงเศษ 3 ส่วน 4 ของไร่ เพราะพื้นที่ส่วนที่เหลือถูกกันไว้เป็นที่สำหรับครอบครัวพักผ่อนกันเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีเรือนรับรองแขกที่ไว้รับรองลูกค้าที่มาเยี่ยมชมการผลิตนั่นเอง
ดูเผินๆ ก็เหมือนการดำเนินธุรกิจธรรมดาทั่วๆ ไป แต่สิ่งที่ทำให้ไร่แห่งนี้ผิดแผกแตกต่างไปก็ตรงที่ว่า ไม่ว่าเรื่องใดสรวงมักจะสรรหาคนมาทำแทน โดยเขาคอยควบคุมอยู่บนยอดเครือข่ายเท่านั้น สรวงไม่ได้ทำแบบนี้เฉพาะกับไร่ของเขาหากแต่เป็นธุรกิจทุกประเภท เขาจึงหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนได้พอสมควร
"ไร่สวยมากครับ" คมชาญเอ่ยชมด้วยความจริงใจ
หลังจากที่มองสำรวจไปทั่วบริเวณ ไร่เหมวัตแห่งนี้นอกจากอากาศดีแล้วยังตกแต่งงดงามด้วยศิลปะล้านนา เหมือนจำลองเมืองย้อนยุคเข้ามาอยู่ในไร่มากกว่า คมชาญลงความเห็นว่าถ้าเปิดเป็นรีสอร์ทให้บริการอย่างเป็นทางการ จะต้องได้รับความนิยมแน่ๆ สรวงฟังแล้วได้แต่หัวเราะแล้วส่ายศีรษะ
"ไม่เอา! แบบนั้นคนเข้ามาวุ่นวายตาย แค่ทุกวันนี้ก็จำใจกันส่วนเรือนรับรองไว้รับแขกสำคัญๆ แล้วนะ" เขารู้ว่าเจ้าของไร่มิได้พูดถ่อมตัวแต่หมายความตามนั้นจริงๆ
สรวงพาเขาเข้าที่พักและเลี้ยงอาหารมื้อแรกของวัน ยังเป็นอาหารธรรมดาทั่วไปไม่ใช่อาหารพื้นเมืองแต่ก็รสชาติดีไม่น้อย พ่อเลี้ยงหัวเราะบอกว่าไว้มื้อเย็นค่อยกินมื้อใหญ่กัน หลังจากรับประทานอาหารจนอิ่มแล้ว นายสรวงค่อยเริ่มธุระของเขา
"ผมอยากจะตั้งบริษัทอีกที่หนึ่งน่ะชาญ เลยอยากจะปรึกษาคุณ" ด้วยความที่รู้จักกันมาหลายปี สรวงเรียกคมชาญเหลือแค่ชื่อเล่นว่าชาญ สั้นๆ เท่านั้น
"ทำเกี่ยวกับอะไรครับ"
"ซื้อขายหุ้น" สรวงตอบ
"หุ้น? คิดยังไงครับ? แค่นี้ยังรวยไม่พออีกเหรอพ่อเลี้ยง"
"ไม่เอาน่าคุณเป็นเพื่อนเก่าของผม อย่าเรียกพ่อเลี้ยงเลยมันไม่ชินหู" คมชาญจึงค่อยเปลี่ยนมาเป็นคุณสรวงดังเดิม
"แล้วตกลงเป็นมาอย่างไรครับถึงคิดจะตั้งบริษัทโบรกเกอร์?"
"ไม่ใช่ผม....ก็..."คุณ" นั่นแหละ" คนพูดเน้นเสียงเป็นอันเข้าใจกันว่าพูดถึงใคร
"ผมว่าเด็กๆ น่ะควรจะเล่มเกมบ้าง ตามยุคสมัยเพื่อพัฒนาสมอง แต่คุณของผมเขาเชย...จะให้เล่นเกมออนไลน์ ก็ไม่เอา แร็คน่าร็อค หรือเกมอื่นๆ เขาว่ามันเป็นแค่เรื่องสมมุติ เขาไม่ชอบเสียเวลากับโลกปั้นแต่งแบบนั้น ก็เลยลองให้เงินไปเล่นหุ้นดู" สรวงยกมือขึ้นเป็นจำนวนตัวเลขที่เขาให้ไป ทำเอาคมชาญกลืนน้ำลายของเล่นเด็กก็หลักล้านแล้วหรือ
"เล่นไปเล่นมาอีท่าไหนก็ไม่รู้ เงินบานเบอะเลยทีนี้ ก็เลยต้องหาบริษัทมาดูแลให้หน่อย เผื่อเขาเบื่อคนอื่นจะได้ทำต่อ คมชาญพยักหน้ารับรู้ ถึงไม่เคยพูดออกมาแต่กลับรู้สึกในใจมาตลอด ว่าความร่ำรวยชนิดก้าวกระโดดของพ่อเลี้ยงสรวงนั้นมาจาก "คุณ" คนนี้
เมื่อแรกคมชาญเห็นใจสรวงอยู่ไม่น้อย ที่ต้องประสบปัญหาครอบครัวและยังรับเลี้ยงเด็กที่เกิดจากชายชู้ แม้จะเป็นไปด้วยเมตตาว่าผู้หญิงอย่างพราวแสงไม่สมควรเป็นผู้เลี้ยงดูบุตร หากแต่ว่าถ้าเป็นเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนอื่นหรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง ถึงจะไม่พาลไปโกรธโทษเด็กแต่คงมองหน้ากันไม่สนิทนัก เพราะเหมือนมีหนามคอยตำตาตำใจระลึกถึงความอัปยศในครั้งเก่าอยู่เสมอ
แต่สรวงมองข้ามข้อนี้ไปได้และบอกกับเขาว่า เด็กก็คือเด็กเหมือนดังเช่นรับลูกบุญธรรมมาเลี้ยง หลายคนยังรักลูกบุญธรรมราวกับเป็นเลือดในอก แล้วเด็กน้อยที่เขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก ทำไมเสียเขาจะรักไม่ได้ในเมื่อเด็กนั้นบริสุทธิ์ และยิ่ง "คุณ" ของเขาเป็นเด็กพิเศษ
คมชาญมองเห็นความพิเศษนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พบแต่ก็ลืมเลือนมันไปบ้าง เพราะคิดว่าเด็กอาจจะถูกบีบให้เป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืนด้วยสถานการณ์ของพ่อแม่ แต่นานวันเข้าความพิเศษนั้นดูเหมือนจะทวีเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ สรวงไม่ค่อยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังนัก เว้นแต่จะเผลอหลุดปากออกมาบ้างเท่านั้น
"แล้วตอนนี้คุณวิมุตติเป็นไงบ้างครับ ? ยังไม่คิดจะส่งเข้าโรงเรียนอีกหรือคุณสรวง?"
"เขาเป็นเด็กพิเศษจะลำบากถ้าเข้าโรงเรียน เข้าไปแล้วคงไม่กลมกลืนกับคนอื่น เลยให้ครูมาสอนที่บ้านไปก่อน ไว้โตกว่านี้อีกหน่อยค่อยว่ากันอีกที"
ตั้งแต่เล็กมา "คุณ" ของพ่อเลี้ยงสรวงเคยเข้าโรงเรียนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือครั้งที่เป็นชนวนเหตุในการหย่าร้าง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเด็กชายก็ไม่เคยไปโรงเรียนอีกเลย แต่ก็ไม่เคยขาดการศึกษาเพราะสรวงสรรหาครูที่ดีที่สุด มาสอนทุกวิชาที่ต้องเรียนรู้ในโรงเรียนให้ถึงบ้าน วิถีชีวิตของวิมุตติจึงแปลกไปกว่าเด็กอื่น
"เรื่องเรียนคงไม่มีปัญหาแต่คุณเขาจะไม่เหงาบ้างรึครับ? เด็กๆ เข้าโรงเรียนเพราะต้องเรียนรู้สังคมการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นนะครับ"
"เขาก็มีเพื่อน เสาร์-อาทิตย์ไปเรียน เจิงดาบ ลายดาบ[1] กับเด็กๆ ในไร่นี่แหละมีเป็นสิบยี่สิบคน"
สรวงไม่เห็นเรื่องนี้เป็นสาระสำคัญ ในขณะที่คมชาญคิดว่าเด็กลูกคนงานในไร่อย่างไรก็สังคมคนละชั้นกับลูกชายพ่อเลี้ยงอยู่ดี จึงอดเป็นห่วงไม่ได้หากเติบใหญ่กว่านี้ แม้จะมีความพิเศษในตัวแต่วิมุตติจะปรับสภาพให้เข้ากับสังคมได้อย่างไร
ทั้งสองเดินมาเรื่อยๆ จนถึงเรือนด้านใน สรวงจึงนำเขานั่งแล้วเรียกให้คนรับใช้มาถามไถ่
"หอมนวล คุณเรียนเสร็จหรือยัง?"
"ครูจะปิ๊กแล้วเจ้า" สรวงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มรับ แล้วพยักเรียกคมชาญ
"คุณเรียนเสร็จแล้ว เราไปหาเขากันเถอะ"
นี่อาจเป็นเรื่องน่าขันอีกเรื่อง แทนที่คนเป็นพ่อจะให้คนรับใช้ไปตามลูกชายมาพบแขกผู้มาเยือน แต่กลับรอให้ภารกิจประจำวันของลูกชายเสร็จสิ้นเสียก่อน จึงพาแขกเข้าไปพบ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อก้าวผ่านเรือนไม้เข้าไปด้านใน โถงโปร่งนั้นลมพัดเย็นสบายวิมุตตินั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะที่ทำจากผ้าฝ้าย ข้างตัวมีโต๊ะไม้เล็กๆ สำหรับเขียนหนังสือ เด็กชายที่เขาไม่ได้เห็นมาเกือบ 10 ปี บัดนี้เริ่มเข้าสู่วัยแรกรุ่นแล้ว
ดวงหน้าที่เคยกลมมนพวงแก้มยุ้ยนั้นเรียวยาวขึ้นตามวัย คิ้วเข้มเด่นชัดรับกับดวงตาคมสีน้ำตาลใสราวลูกแก้ว ที่ล้อมกรอบไปด้วยแพขนตาหนา จมูกนั้นโด่งเป็นสัน ส่วนริมฝีปากบางเหยียดเป็นเส้นตรงนั้น ยังคงรูปลักษณ์เหมือนเช่นเมื่อวัยเยาว์ จะผิดแปลกไปตรงที่เด็กชายไว้ผมยาวถึงกลางหลัง และเมื่ออยู่ในชุดพื้นเมืองสีครีมอ่อนแบบนี้แล้ว แลดูเข้ากันยิ่งนัก
"โอ้โฮ...ไม่เจอแป๊บเดียวเป็นหนุ่มแล้วนะ" เขายิ้มทักทาย แต่เมื่อร่างเล็กนั้นหันกลับมาทว่าแววตาที่มองมายังเขานั้น คมชาญบอกตนเองว่าเหมือนแววตาผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมามาก หาใช่เด็กอายุ 12 ปีอย่างที่ควรจะเป็น ทำเอาผู้สูงวัยกว่าชะงักไปชั่วครู่
"สวัสดีครับ คุณคมชาญ" หนุ่มน้อยยกมือขึ้นไหว้ด้วยกิริยาอ่อนน้อมน่ามอง แต่กลับไม่ได้เรียกเขาว่าอา หรือ ลุง อย่างที่คนอายุน้อยทั่วไปพึงจะเรียกกัน
"ชาญเขาจะมาพักกับเราสัก 4-5 วัน คุณจะได้คุยกับเรื่องตั้งบริษัท"
"ต้องรบกวนหน่อยนะครับ" เด็กหนุ่มระบายยิ้มอ่อนไปทั่วใบหน้ แม้กิริยาจะดูอ่อนโยนนุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยความสง่า ชนิดที่ว่าคมชาญไม่กล้าพูดเล่นหัวด้วย หรือแม้แต่จะเรียกน้องโอมอย่างที่เคยเรียกในอดีตก็ยังไม่กล้า
ชื่อเล่นของเด็กชายโอมเมื่อวันวาน ถูกนายสรวงยกเลิกไปตั้งแต่ที่หย่าขาดพราวแสง เขาไม่เคยเรียกลูกชายว่าโอมอีกเลย ตรงกันข้ามเขาพาเด็กชายไปเปลี่ยนชื่อจริงเสียใหม่เป็น "วิมุตติ" แล้วเรียกชื่อนั้นมาตลอดไม่เคยมีชื่อเล่นอื่นใดอีก เมื่อพูดถึงก็ใช้สรรพนามแทนตัวเด็กชายว่า "คุณ" ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง
"ชาญทำงานกับผมมาหลายปี หนนี้เลยว่าจะพาเขาเที่ยวตอบแทนสักหน่อย คุณอยากไปด้วยไหม?" ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแปร่งหู เขาพบว่าสรวงแทนตัวเองว่าผมและเรียกบุตรชายว่าคุณ เหมือนคนที่อายุเท่าเทียมกัน
"ตามสบายเถอะครับ ผมอยู่ที่นี่มานาน ไปมาหลายแห่งแล้ว ขอให้สนุกนะครับ"
คมชาญยิ้มรับเก้อๆ เมื่อพบหน้าวิมุตติ ความรู้สึกที่กริ่งเกรงกลับมาอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่แรงกล้าเท่าครั้งแรกที่พบกันก็ตาม เขากลับรู้สึกว่าเด็กหนุ่มรอเวลาบางอย่าง รอเตรียมความพร้อมที่ออกไปสู่โลกภายนอก
"วิมุตติ...คุณน่ะควรจะเที่ยวเล่นตามประสาเด็กวัยนี้บ้าง เดี๋ยวโตแล้วจะไม่มีเวลาดูอย่างผมปะไร"
"พ่อท่านยังไม่แก่หรอกครับ ผมแค่ไม่ชอบที่ๆ คนเยอะๆ อีกอย่างผมควรจะสำรวมเพราะอีกไม่นานจะบวชเณรแล้ว"
"บวชเณรหรือครับ?" คมชาญถามขึ้นมา
"ใช่ครับ ถ้าคุณคมชาญสะดวกอยู่ต่อถึงวันที่ผมบวช ผมคงจะดีใจมากที่มีผู้ใหญ่มาร่วมอวยพรด้วยอีกท่าน" ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าเขากำลังพูดกับชายหนุ่มที่โตเต็มวัยแล้วมากกว่าเด็กอายุสิบสองปี
"ถ้างั้นก็ต้องตัดผมสิครับ อุตส่าห์เลี้ยงเสียสวย" หนุ่มน้อยลูบผมยาวของตนเองแล้วยิ้มให้
"ไม่เป็นไรครับ....ตัดเพื่อเริ่มต้นใหม่เท่านั้นเอง"
รอยยิ้มบางๆ นั่นชวนพิศวงอย่างบอกไม่ถูก คมชาญไม่เข้าใจความหมายในรอยยิ้มนั่นเลยจนกระทั่งอีกหลายปีต่อมา....
(จบตอนที่ 4)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
[1]เจิงดาบ-ลายดาบ เจิง หรือ ภาษากลางเรียกว่า เชิง คือ ศิลปะการต่อสู้ของชาวล้านนามาตั้งแต่อดีตกาล หากใช้อาวุธเข้าร่วม เช่น ดาบ ก็เรียกว่าเจิงดาบ หรือ ลายดาบ(ลวดลายลีลาของการใช้ดาบ) หากใช้อาวุธชนิดอื่น เช่น หอก หรือพลอง ก็เรียก เจิงหอก เจิงไม้ค้อน(พลอง) เป็นต้น
Create Date : 16 กันยายน 2555 |
Last Update : 16 กันยายน 2555 3:19:43 น. |
|
6 comments
|
Counter : 2833 Pageviews. |
|
|