จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
 
14 กุมภาพันธ์ 2556
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 34

ตอนที่ 34
ใจนางยากแท้หยั่งถึง




               แว่วเสียงกรุ๋งกริ๋งของกระดิ่งทองเหลืองที่ประดับไว้ชายหลังคาโบสถ์ ล่องลอยมาตามลมให้ได้ยินเป็นระยะ สองแม่ลูกนั่งเคียงกันอยู่บนขอบกระถางต้นไม้ใหญ่ ในมือของมารดายังถือเต้ากรวดน้ำค่อยรินน้ำออกมาพร้อมกับบทสวดอุทิศส่วนกุศล น้ำใสเย็นค่อยๆ รดหรั่งออกมาต้องนิ้วของผู้อุทิศ 


               "อิมินา ปุญญะ กัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าฯ ได้สร้าง ขออุทิศส่วนกุศลนี้ไปอุดหนุนค้ำชูผู้ตกทุกข์ได้ยาก เจ้ากรรมนายเวรของเคียงฟ้า ลูกสาวข้าพเจ้า อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย สิ่งใดที่เคยกระทำผิดที่เคยล่วงเกินขอจงอโหสิกรรมให้แก่ลูกสาวของข้าพเจ้าด้วยเถิด...."


               ยุพาพักตร์ยังสวดไม่ทันจบดีเมื่อเชยหน้ามาเห็นลูกสาวกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด หล่อนจึงส่งสายตาตำหนิให้หล่อนอยู่ในสมาธิมี ส่งความตั้งใจในการขออโหสิกรรมไปถึงผู้ที่เคยก่อบาปสร้างเวรต่อกันมา แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะร้อนรุ่มไม่สามารถทำสมาธิได้อย่างที่มารดาสั่ง


              "ก็หนูจำไม่ได้นี่คะ...ว่าเคยไปทำอะไรมา"



              "ฟ้า! ทำไมพูดแบบนี้!!?" มารดาของหล่อนแทบจะทำเต้ากรวดน้ำหลุดมือเลยทีเดียว


              "เอาใหม่เดี๋ยวนี้เลย...พูดดีๆ สิลูกคนไม่รู้ก็ย่อมไม่ผิด แต่ไม่ใช่มาบอกปัดแบบนี้ บอกเขาไปว่าชาติก่อนหนูไม่รู้ว่าไปทำอะไรมา แต่ว่าชาตินี้หนูจะไม่ทำอะไรที่ไม่ดี สิ่งใดร่วมเกินกันมาขออภัยต่อกัน" เคียงฟ้ามีสีหน้าไม่พอใจนักทั้งอึดอัดขัดข้องราวกับโดนบังคับให้ขอโทษทั้งที่ไม่เต็มใจ แต่ไม่อาจขัดคำสั่งมารดาได้


              "ฟ้าจำไม่ได้หรอกนะว่าชาติที่แล้วทำอะไรมา แต่ถ้าสิ่งใดที่เคยทำลงไปก็ขอโทษด้วย...ถ้าอยากจะให้ชดใช้อะไรก็ขอให้ใช้กันหมดในชาตินี้แล้วกัน....ว้ายย!!!"


              หล่อนกรีดร้องเสียงดังออกด้วยความตกใจยุพาพักตร์เองก็เช่น เมื่อจู่ ๆ ขันรองกรวดน้ำพลิกคว่ำ เต้ากรวดน้ำในมือถูกใครบางคนที่มองไม่เห็นปัดกระเด็นไปโดนมือเคียงฟ้าก่อนจะหล่นลงพื้นไป หญิงสองวัยมองหน้ากันเองด้วยความมึนงง


               สายลมแรงพัดกรรโชกมาเป็นสาย เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็พบเมฆกำลังหอบเอาความมืดครึ้มเข้ามาปกคลุมผืนฟ้าที่เคยกระจ่างใสจนถึงเมื่อครู่ สองแม่ลูกผวาเข้าสวมกอดกันด้วยใจระทึกทันที หล่อนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คิดว่านี่มิใช่ความปรวนแปรของธรรมชาติตามปกติแล้ว เพราะมองไม่เห็นสิ่งที่นอกเหนือสายตามนุษย์


               เช่นคนมีสภาวะทิพย์เยี่ยงวิมุตติซึ่งแฝงร่างอยู่หลังเงาไม้ มองเห็นแม่หญิงกุสุมาลย์อยู่ตรงนั้น นางเดินตามสองแม่ลูกมาตั้งแต่ออกจากโบสถ์ จนมานั่งกรวดน้ำที่โคนต้นไม้นี้ด้วยสีหน้าเครียดขรึมแลดูดุร้ายอยู่ในที และเมื่อยิ่งฟังถ้อยคำของเคียงฟ้าแล้วความไม่พอใจโถมทวีขึ้นมาจนแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว นางระงับอารมณ์ไม่ได้ถึงขั้นใช้มือปัดเต้ากรวดน้ำล้มคว่ำไปทันที


               "คนอย่างเจ้ามันไม่มีสำนึก อย่าคิดว่าทำบุญให้แค่นี้แล้วข้าจะให้อภัยเลย ผลบุญของเจ้าข้าไม่รับ!!" เสียงนั้นตวาดดังก้องด้วยความโกธายิ่งนัก


                ข้างฝ่ายเคียงฟ้ายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อตั้งสติได้หล่อนก็ยกมือขึ้นมาดู เมื่อครู่รู้สึกเจ็บจนชาจากการถูกปัดเต้ากรวดน้ำทองเหลืองใส่ จึงค่อยเห็นว่าหล่อนโดนขอบที่ดูไร้คมของเต้ากรวดน้ำบาดเอาจนเลือดออก ยุพาพักตร์ยังไม่ทันเห็นแผลลูกสาวเพราะมัวแต่ตกใจกลัว หญิงวัยกลางคนรีบยกมือขึ้นไหว้ปลกๆ กล่าวคำขอโทษขอขมาเป็นพัลวัน


                "ลูกขอโทษถ้าลูกทำสิ่งใดให้เคืองโกรธ โปรดอย่าถือโทษกันเลย...ฟ้าขอโทษสิ! ขอโทษเดี๋ยวนี้เลย!!" หล่อนหันไปสั่งลูกสาวแล้วพึมพำขอโทษต่อ


                "ลูกสาวของลูกแกยังเด็ก บางทีก็พูดอะไรไม่คิด ได้โปรดอย่าถือสาเลย" แต่เคียงฟ้ายังนิ่งอึ้งจนมารดาต้องเขย่าซ้ำ หล่อนถึงกล่าวคำสมาออกมาได้


                "ขอโทษค่ะ หนูขอโทษหนูไม่ได้ตั้งใจทำให้โกรธ!! ก็หนูไม่รู้นี่นาว่าไปทำอะไรไว้ คุณก็บอกมาสิ...ถ้าหนูทำผิดจริงหนูก็ยินดีรับผิด" หากแต่คำพูดของหล่อนนั้นยิ่งพูดเหมือนยิ่งยั่วยุ


                "เจ้ามันไร้สำนึก!!" เสียงเดิมตวาดซ้ำแทรกเข้ามาในสายลมแรง จนสองแม่ลูกกลัวตัวสั่นไปหมดพากันยกมือไหว้ไปรอบทิศ แต่ก่อนที่สิ่งเหนือธรรมชาติจะสำแดงฤทธิ์มากกว่านั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมายุติเหตุการณ์ทั้งสิ้น


                "โยม? ทำอะไรกันเสียงดังโครมครามไปถึงในโบสถ์?"


                 ชายจีวรสีกรั กมิได้พลิ้วไหวไปตามลม สีหน้าของภิกษุยังเจือไปด้วยความสงสัย ยุพาพักตร์เห็นพระท่านเดินมาหล่อนดีใจจนน้ำตาคลอและนั่งทรุดตัวลงไหว้กับพื้นทันที บุตรสาวของหล่อนก็นั่งลงข้างๆ ด้วยอาการตื่นตระหนกไม่แพ้กัน


                "เป็นอะไรกัน? อ้าวสีกาเลือดออกนี่?"


                "หลวงอาเจ้าขาเมื่อกี้ๆ...." พอจะเล่าเรื่องลมกรรโชกแรงเมื่อครู่ก็สงบลง เมฆหมอกก็พัดหายไปจากท้องฟ้าราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น


                "ทำไมรึ? แล้วไปทำอะไรมาทำไมหน้าซีดตัวสั่นแบบนั้น"


                "เรากำลังกรวดน้ำน่ะค่ะแล้ว...ลมก็พัดมาเหมือนฝนจะตก...แล้วๆ จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงตวาดมาน่ากลัวมากเลยค่ะ" เคียงฟ้าพูดขึ้นบ้างแต่เมื่อเห็นพระท่านทำหน้าประหลาดใจ หล่อนจึงไม่กล้าพูดต่อเกรงจะถูกหาว่าบ้า


               "ค่อยๆ พูด ค่อยๆ เล่าก็ได้....ไปทำแผลก่อนดีกว่าไหม เดี๋ยวจะให้เด็กเอากล่องยามาให้ เข้าไปในนั่งในโบสถ์ก่อนก็แล้วกัน"


                เมื่อพระภิกษุวัยกลางคนท่านว่าอย่างนั้น หญิงทั้งสองก็เห็นดีด้วยพร้อมกับพากันถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบลุกเดินตามไปทันที ปล่อยทิ้งให้วิญญาณของกุสุมาลย์ยืนกำหมัดแน่นอยู่ตรงนั้นผู้เดียว


               "อ้าว? ไม่อาละวาดต่อล่ะ?"


               คำถามนั่นทำเอาวิญญาณจากอดีตกาลหันขวับไปทำตาเขียวให้เจ้าของเสียงทันที นางจำเจ้าของเสียงได้ขึ้นใจนักและก็เป็นไปดังคาดหมาย กายทิพย์โปร่งแสงของวิทยาธรเทพก้าวออกมาจากมุมหนึ่ง เขามาที่นี่เมื่อใดนางมิทันได้สังเกตเห็น เพราะกำลังจมอยู่กับโทสะจริตของตนเอง


              "เกรงใจพระท่านรึไร ?" กึ่งเทพรูปงามเดินมายืนเคียงข้างพร้อมทั้งมองไปตามที่สองแม่ลูกเพิ่งจากไป


              "คนอย่างท่านนี่มัน....." ใบหน้างามเมินหนีคล้ายไม่อยากสนทนาด้วย


              "แม่หญิงช่างทำให้เราประหลาดใจได้เสมอ ทั้งที่โกรธแค้นถึงเพียงนั้นแต่ยังรู้จักสงบอารมณ์เมื่ออยู่ต่อหน้าพระต่อหน้าเจ้า"


              "ข้ามิใช่คนมิรู้จักดีชั่ว!" นางตวัดดวงตางามงอนนั้นใส่ ทำเอาวิทยเทพยิ้มกริ่มด้วยความพึงใจ


              "เราก็คิดเช่นนั้น...แม่มิใช่งามเพียงใบหน้า หึ หึ"เสียงหัวเราะนั่นน่าชิงชังนักในสายตาของกุสุมาลย์ จึงอดมิได้ที่จะกล่าวกระทบกระเทียบออกไป


              "ถ้าเมื่อครู่พระท่านมิได้ออกมาห้ามไว้ ท่านก็มิคิดจะห้ามหรือไร?"


              "แม่มิใช่คนชั่วช้า แม่ไม่ทำเช่นนั้นดอก แล้วยิ่งนี่เป็นเขตพัทธสีมาอีกด้วย" รอยยิ้มสวยยังระบายอยู่บนใบหน้า หญิงงามยิ่งมองก็ยิ่งขัดข้อง


              "ใครว่ากันเล่า โอกาสนั้นยังไม่มาถึงเท่านั้น เถรท่านนั้นออกมาขัดจังหวะเสียก่อนต่างหากเล่า!!"


              "ถ้าเช่นนั้นเราคงต้องปล่อยวาง หากแม่ปลงใจจะติดอยู่ในบ่วงกรรม ส่วนเทวีน้อยหากต้องตายด้วยมือแม่ก็ถือว่าเป็นกรรมเก่าของนาง" วิมุตติพูดเรื่อยรินไร้สีหน้าวิตกกังวล เหมือนดังแค่พูดเรื่องทั่วๆ ไปเท่านั้น


              "ข้าไม่เชื่อ อย่างท่านน่ะรึ? จะยอมปล่อยให้ข้าฆ่านางคนบาปนั่น! มิเช่นนั้นแล้วจะมาคอยตามอยู่เยี่ยงนี้ไปทำไฉน?"


              "แม่อยากรู้จริงรึ?” ร่างสูงขยับเข้าประชิดกายอรชร พลางโน้มใบหน้าลงข้างหูนางสะคราญโฉมแล้วกระซิบซาบกล่าวคำ

              “ว่าเราคอยวนเวียนให้แม่ชังน้ำหน้าเล่นไปด้วยเหตุอันใด?"


              "ข้าไม่อยากรู้!!? จะมาด้วยเรื่องอันใดของท่านก็ช่างปะไร!!" สีระเรื่อจับต้องสองนวลแก้มหญิงงาม นางขยับร่างถอยออกห่างทันที


              "หากแม้นเทวีน้อยต้องสิ้นบุญในชาตินี้ ภูวิษะเจ้าคงเสียใจยิ่งนักด้วยยังมิทันสะสางเรื่องที่ผิดใจกัน แต่เราคงโทมนัสเสียยิ่งกว่า...หากแม่จักต้องกลายเป็นผีร้ายวิญญาณบาป เพราะต้องกรรมด้วยการพรากชีวิตผู้อื่น" เมื่อเหลียวมองหญิงงามข้างกาย เห็นว่านางมิได้โต้ตอบอันใดคล้ายกำลังจมอยู่ในห้วงคำนึง วิทยเทพจึงกล่าวต่อ


              "หากแม่ต้องตกทุกข์ไม่สิ้นสุด...ด้วยโทษทัณฑ์นี้...." คำพูดเว้นช่วงหายไปแต่มือใหญ่อบอุ่นนั้นค่อยๆ เอื้อมมาสัมผัสใบหน้านางแทน ปลายนิ้วค่อยไล่ละเลี่ยไปที่นวลแก้มอย่างอ่อนโยน


              "แม่เข้าใจหรือไม่...เราไม่ต้องการให้แม่ได้รับทุกข์เข็ญ"


              กุสุมาลย์ที่นิ่งอึ้งไปนานเงยดวงหน้าหวานซึ้งนั้นขึ้นจ้องมอง อารมณ์สับสนปรวนแปรฉายออกมาอย่างไม่ปิดบัง สองตานั้นเอ่อล้นไปด้วยน้ำใสอาบอุ่น อีกทั้งแววตานั้นก็หม่นแสง ดวงใจระทมยิ่งนักทั้งแสนโกรธาทั้งรวดร้าวและหวั่นไหวไปกับบุรุษตรงหน้า


              "เพื่อข้า? หรือเพื่อกิจของท่านกันเล่า...วิมุตติ?"
นั่นเป็นครั้งแรกที่หญิงงามเรียกขานนามของบรุษผู้มาจากแดนสรวง มิใช่เรียกขานด้วยตำแหน่งเหมือนทุกครั้งไม่ หากแต่เสียงนั้นเศร้าสร้อยบาดฤทัยยิ่งนัก


               "กุสุมาลย์...."


               "ไปให้พ้น !!!?"


               อารมณ์อันแช่มช้อยและโศกตรมเมื่อครู่จางหายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยทิฐิอันร้อนแรง นางส่งเสียงตวาดดังกึกก้องพร้อมทั้งใช้สองมือผลักไสร่างวิมุตติโดยแรง ข้างฝ่ายกึ่งเทพมิทันตั้งตัวรับอารมณ์อันแปรปรวนนี้ร่างจิตถึงกับกระเด็นไปตามพลังแห่งความเจ็บแค้นนั้นทันที


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                "กุสุมาลย์!!"


                วิทยาธรเทพอุทานออกมาด้วยความตกใจ จิตอันเป็นทิพย์ถูกดึงกลับเข้าร่างด้วยความรวดเร็ว แต่มิทันได้ทรงร่างให้ดีจึงเสียหลัก ข้อแขนที่ค้ำใบหน้าไว้ในท่านั่งเท้าคางเลื่อนหล่นตกโต๊ะ เป็นเหตุให้ชายหนุ่มหน้าคว่ำลงไปจนหน้าผากกระแทกกับโต๊ะเรียนเสียงดังก้อง


                "อาจารย์?!!"


               เสียงนั้นคงดังพอควรจึงทำเอาลูกศิษย์ทั้งชั้น รวมทั้งนักศึกษากลุ่มที่กำลังพรีเซ้นต์รายงานอยู่หน้าห้อง หันมามองยังต้นเสียงที่นั่งอยู่หลังห้องเรียนกันเป็นตาเดียว เจ้าตัวนิ่งไปชั่วอึดใจก็ค่อยเงยหน้าขึ้นทั้งเจ็บหน้าผากทั้งอับอายนักศึกษา เพราะบรรดาลูกศิษย์เข้าใจไปว่าชายหนุ่มนั่งฟังรายงานแล้วเผลอสัปหงกไปจนศีรษะฟาดโต๊ะ จึงพากันกลั้นยิ้มแต่ไม่กล้าหัวเราะออกมา


               "ขอโทษนะ...ผมขอพักสัก 5 นาที ไปห้องน้ำสักครู่"


               ว่าแล้วอาจารย์คนใหม่ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปดื้อๆ ไม่สนใจสีหน้านักเรียน พอร่างสูงพ้นประตูไปเท่านั้นเสียงหัวเราะที่กลั้นกันมานานก็ดังขึ้นสนั่นห้อง


               ตอนเย็นวันนั้นตรีภูมิทำหน้าระรื่นเข้ามาหาถึงห้องพักอาจารย์ วิมุตติเห็นเข้าก็ถอนหายใจออกมาด้วยพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายมาทำไม แล้วก็เป็นจริงดังคาดเมื่อหนุ่มร่างท้วมเอ่ยออกมา’


               "เฮ้ย! ได้ข่าวเอาหัวโหม่งโต๊ะมาเหรอวะ? ไหนเอาหัวมาดูหน่อยซิไอ้รูปหล่อ อิ๊ อิ๊" 


               แม้ยามปรกติชายหนุ่มจากเมืองเหนือไม่ค่อยเปลี่ยนสีหน้ามิว่าจะสนทนาเรื่องใดก็ตาม มีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอเท่านั้น แต่คราวนี้เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นเม้นริมฝีปากบางลง ด้วยหมั่นไส้กิริยาคนตรงหน้าเป็นกำลัง


               "เอาน่า...ไม่ต้องอาย เขาเม้าท์กันไปทั้ง มอฯ แล้วเว้ย ฮ่า ฮ่า"


               "มาด้วยเรื่องแค่นี้น่ะรึ?"


               "เรื่องแค่นี้ที่ไหนนี่เรื่องทอล์ค ออฟ เดอะ ทาว เชียวนะเว้ย!! เมื่อคืนไปทำอะไรมาวะถึงไปนั่งหลับตอนสอนได้"



                "ไม่ได้หลับตอนสอนเสียหน่อย...แค่เคลิ้มตอนฟังรายงาน"



                "ก็นั่นแหละมึง...หลับก็คือหลับ อย่ามาเลี่ยงบาลี ไงไปทำไรมาวะเสียฟอร์มเจ้าวิมุตติหมด?" คำพูดนั้นคล้ายจะเห็นใจแต่สีหน้าของตรีภูมิแสดงออกตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัด เหมือนดีใจที่เห็นคนขี้เก๊กฟอร์มหลุดเสียบ้าง



                 "ช่างเถอะ...อย่าสนใจเลย" ชายหนุ่มตัดบทเรียบๆ



                 "โถ...แค่นี้ทำใจน้อย ไหนเอาหัวมาดูหน่อยซิ" หนุ่มร่างท้วมไม่รอให้วิมุตติอนุญาต แต่ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือข้ามโต๊ะไปเสยผมที่ปรกหน้าผากอีกฝ่ายขึ้นทันที



                "อู้ว...โนเป็นลูก แกนี่...ท่าจะหลับลึกแฮะ" หนุ่มรูปงามปัดมือเพื่อนออกจากศีรษะตนเองด้วยใบหน้ามุ่ยๆ



                "เฮ้ยๆๆๆ อย่าคิดมาก...ดูอย่างข้าปะไร หน้าแตกไม่รู้วันละกี่สิบหน ยังไม่เห็นรู้สึกห่าไรเลย" เขาเข้าใจไปว่าคนมาดดีอย่างวิมุตติรู้สึกเสียหน้าจึงบูดบึ้งอยู่เช่นนี้



                "ไม่ใช่หรอก...พอดีมีเรื่องหงุดหงิดนิดหน่อยน่ะ ก็เลยนอนไม่พอ...ตอนนี้ก็เลยเซ็งๆ อยู่"



                "อ้าว? ไปทำอะไรมาวะ? หรือทะเลาะกับเจ้าภู?"



                "เจ้าภู? ภูวิษะเกี่ยวอะไรด้วย?" คิ้วเข้มนั่นเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ



                 "ก็ตอนนี้เจ้าภูพักอยู่บ้านแกไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่เจ้าภูแล้วแกไปทะเลาะกับใครมาล่ะ?"



                 ตรีภูมิเก่งตรงที่จับอารมณ์คนอื่นได้ไว อีกทั้งเพื่อนของเขามิได้มีมิตรสหายมากนัก จึงทายว่าต้นเหตุเป็นญาติรูปงามของเขานั่นเอง แม้จะเดาเรื่องไม่ถูกต้องนักแต่ก็ถือว่าใกล้เคียงจนคนฟังพิศวง



                 "กับเจ้าภูน่ะถึงทะเลาะกันวันละร้อยหน ก็งั้นๆ แหละ ชินแล้ว" ว่าแล้วก็เผลอเรียกขานนามนาคเจ้าย่นย่อตามคู่สนทนาไปอีกคน



                 ถ้านับจากครั้งที่วิทยาธรเทพยังเป็นเพียงมานพน้อยอ่อนเยาว์ มิได้มีสภาวะอันเป็นทิพย์ได้ถูกบิดาผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น ส่งมาศึกษาเล่าเรียนที่สำนักตักศิลาผู้มีอาจารย์อันเลื่องชื่อ เฉกเช่นเดียวกับบุตรมนุษย์ผู้มีมาจากวงศ์ตระกูลสูงทั่วไป



                ความคิดของบิดานี้คล้ายคลึงกันมิว่าจะอยู่ในชั้นวรรณะใด ไม่ยกเว้นแม้แต่พญานาคราชผู้เกรียงไกรก็เช่นกัน ย่อมอยากให้บุตรธิดาของตนได้รับการศึกษาที่ดี มีความรู้ความสามารถในการดำรงชีวิตเมื่อเติบใหญ่ โอรสเจ้านาคราชยามนั้นยังเยาว์วัย พญามหิทธราบดีทรงโปรดให้จำแลงกายไปศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์ผู้มากด้วยคุโณปการในภพมนุษย์ จึงเข้ามาศึกษาเล่าเรียนที่เดียวกันหากล่าช้ากว่าวิมุตติสองสามปี 



                นับแต่วันนั้นผ่านมาวันเวลามานานนัก จนต่างฝ่ายต่างเปลี่ยนสถานะจากนักศึกษาไปเป็นอื่น เพื่อนผองร่วมสำนักศึกษาก็ถูกโชคชะตาพัดพาให้เวียนว่ายตามบุญกรรมแห่งตน ได้พบปะบ้างหายหน้าลาลับมิพานพบกันอีกก็มีมากนัก คงเหลืออยู่ไม่กี่ผู้ที่ก้าวข้ามพ้นวิถีมนุษย์มาสู่ภพนิรันดร์ ด้วยน้ำมิตรนี้เองจึงทำให้ทั้งสองไม่เคยถือโทษโกรธเคืองกัน แม้ปะทะคารมกันหนักนิดเบาหน่อยก็ปล่อยวางไป 


                "งั้นทะเลาะกับใครมาวะ?" คนช่างสงสัยยังซักไซ้ต่อ


                "นี่...ไม่มีอะไรหรอกน่า...ทำไมต้องคิดว่า.." วิมุตติยังกล่าวไม่จบประโยคดีก็ต้องชะงักไปเมื่อตรีภูมิขัดขึ้นมาได้อย่างถูกต้อง



               "หรือว่าผู้หญิงวะ!!?" เมื่อเห็นว่าเพื่อนนิ่งอึ้งไปซ้ำยังมองมาที่ตนตาค้าง หนุ่มร่างท้วมก็รู้ว่าตนมาถูกทางแล้ว ความรู้สึกใคร่รู้ยิ่งถูกกระตุ้น



               "ผู้หญิงที่ไหน? นี่แกแอบไปปิ๊งใครเข้า...โห อุบเงียบเชียวนะเอ็ง ไม่บอกเพื่อนฝูงบ้างเลย"



               "ตรี...เราไม่ได้....ยังไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย อย่าเพิ่งตีความไปไกลสิ" เจ้าของเรื่องถอนหายใจและพยายามเก็บซ่อนสีหน้าให้สนิท แต่ดูเหมือนจะช้าไปแล้ว



                "งั้นจะบอกว่าผู้ชายหรือไง?"



                "จะบ้าเรอะ!!" เสียงตอบนั้นหมดอารมณ์จะพูดคุยไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังยกแฟ้มขึ้นมาตบศีรษะตรีภูมิโดยแรง ก่อนจะรวบข้าวของบนโต๊ะมาไว้ในมือแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมตัวกลับบ้าน



                "อะไรวะ? แซวเล่นนิดเดียวก็โกรธ" คนปากเปราะรีบเดินตามเพื่อนรักไปทันที



                "เฮ้ย! บอกหน่อยสิผู้หญิงที่ไหน?...นะๆๆๆ เห็นแก่ความอยากรู้ของเพื่อนสนองหน่อย"



                "แกไม่รู้จักหรอก" คำเฉลยหลุดมาจนได้เมื่อโดนลูกตื๊อ



                "ว่าแล้ว!! กลุ้มเรื่องผู้หญิงจริงๆ ด้วย"



                "นี่จะหยุดพูดได้หรือยัง?" เสียงตอบกลับมาฟังดูห้วนนักคล้ายไม่อยากพูดถึง ยิ่งทำให้ตรีภูมิขำเข้าไปอีก



                "อะไรว้า...หล่อๆ อย่างแกนี่ยังต้องมากลุ้มเรื่องผู้หญิงอีกเหรอ?" ร่างสูงขยับปากจะตอบโต้แต่เหลือบไปเห็นนักศึกษาสาวหน้าตาคุ้นเคยคนหนึ่งเดินตรงมาจึงยกมือขึ้นห้ามเพื่อน



                "พี่เจ้าคะ" เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังมาแต่ไกลนั่นเป็นเสียงของมิรันตี



                "เป็นไงบ้างคะพี่ ยังเจ็บหัวอยู่หรือเปล่า" คำถามนั้นทำเอาหนุ่มร่างท้วมซึ่งยืนอยู่ข้างๆ รีบยกมือขึ้นปิดปากกลบเสียงหัวเราะทันที จนวิมุตติปลายหางตามองด้วยความไม่พอใจ



                "ไม่เป็นไรแล้วครับ"



                "แอนเป็นห่วงค่ะ เสียงอย่างดังเลย..กลัวพี่เจ้าจะได้แผลจัง" หล่อนคงไม่รู้ตัวว่ายิ่งพูดยิ่งย้ำความอับอายให้เขา



                "น้องแอน...อย่าไปถามมันแบบนี้ แค่นี้ไอ้เจ้ามันก็อายตายห่าแล้ว"



                "อ๊ะ...ขอโทษค่ะ แอนไม่ได้ตั้งใจ"



                "ไม่เป็นไรครับ" เขายังคงตอบเรียบๆ ตามเคย



                "เอางี้ไหมคะ? ให้แอนเลี้ยงขอโทษแล้วกัน แอนรู้จักร้านอร่อยๆ ไม่ไกล มอฯ เราด้วย ไปด้วยกันนะคะ" หล่อนคะยั้นคะยอพร้อมกันนั้นก็ยกมือขึ้นดึงแขนชายหนุ่มทันที



                "เพื่อนๆ ก็ไปด้วยนะคะ ไปเถอะค่ะพี่เจ้าแอนจะปิดปากพวกนั้นเองรับรองไม่มีใครกล้าล้อ" หล่อนรีบออกตัวเพราะรู้ว่าเขาจงใจเว้นระยะลูกศิษย์กับอาจารย์พอสมควร



               "เอ่อ...พอดีวันนี้ผมนัดกับตรีไว้ ว่าจะเลี้ยงต้อนรับเจ้าภูวิษะมากรุงเทพฯ ต้องขอตัวล่ะครับ ขอบคุณที่อุตส่าห์ชวน" ตรีภูมิที่ยืนอยู่ข้างเกาหัวแกร่กๆ ทันทีที่ถูกยกมาอ้าง เขาก็เพิ่งรู้ว่าวันนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับญาติของเพื่อน



                "เจ้าภูวิษะมากรุงเทพฯ เหรอคะ?" นัยน์ตาหล่อนเป็นประกายทันที



                "งั้นแอนไปด้วยดีกว่า" หล่อนตัดสินใจทันทีโดยไม่ถามไถ่ว่าอีกฝ่ายจะอนุญาตหรือไม่



                "อ้าว? น้องแอนไหนว่าจะกินข้าวกะเพื่อนไง" รุ่นพี่ของหล่อนเองก็งง



                "โอ้ย...เพื่อนๆ นี่เจอกันอยู่ทุกวัน ไม่ไปสักวันก็ไม่เป็นไรหรอกพี่ตรี"



                "เล่นง่ายแบบนี้เลยเหรอน้องแอน? ไม่ต้องไปบอกพวกนั้นเหรอว่าไปแล้ว" มิรันตีเม้มปากเหมือนเด็กถูกขัดใจ



                 "เดี๋ยวค่อยโทรไปก็ได้น่าพี่ตรีก็ แล้วถึงไม่โทรถึงเวลาไม่เห็นแอนพวกนั้นก็ไปกันเองได้น่า" หล่อนพูดจบก็หันมาคลี่ยิ้มหวานให้วิมุตติ



                 "เราไปกันเลยนะคะพี่เจ้า"



                 "ไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ เพราะว่าไม่ใช่เลี้ยงกันเป็นส่วนตัวมีผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ด้วย ผมเกรงว่าจะไม่เหมาะ"



                  เขายิ้มอ่อนๆ ให้หล่อนเหมือนที่เคยทำประจำจนติดเป็นมารยาท ก่อนจะปลายตามองมือที่ดึงแขนเสื้อของเขาไว้แน่น หากเป็นปกติแล้วมิรันตีแน่ใจว่าตนเองจะต้องตื๊อต่อและสำเร็จจนได้ หล่อนไม่เคยมีใครปฏิเสธหล่อนสำเร็จสักครั้ง แต่พอเป็นผู้ชายตรงหน้าหญิงสาวจำต้องยอมปล่อยมือ คล้ายว่าหากรุกล้ำมากกว่านี้เขาอาจจะหายวับไปต่อหน้าต่อตาได้ทันที จึงจำต้องเว้นระยะไว้ไม่ลุกไล่ประชิดเกินไป



                  "ค่ะ...ถ้าอย่างนั้นพี่เจ้าสัญญานะคะ ว่าครั้งหน้าต้องไปกินข้าวกับแอน" หล่อนทำตัวเป็นสาวน้อยว่าง่ายน่ารักขึ้นมาทันที



                  "ไว้ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกันครับ" อาจารย์คนใหม่ไม่ได้ตอบคำใดเป็นการรับปาก แต่ยังคงรักษามารยาทดีนั่นไว้ได้อย่างเหนียวแน่นจนมิรันตีอึดอัดใจ



                  "ขอให้สนุกนะครับ ไปตรี..." 
                   เขายิ้มให้หล่อนอีกครั้ง ก่อนจะหันไปพยักหน้าเรียกตรีภูมิ หญิงสาวจึงจำเป็นต้องยกมือไหว้ร่ำลาเมื่อโดนตัดบท ทั้งสองเดินมาไกลจนถึงลานจอดรถ เมื่อเห็นว่าห่างสายตามิรันตีแล้วหนุ่มร่างท้วมจึงถามขึ้นมา



                   "มีงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าภูจริงเหรอวะ? ทำไมฉันไม่เห็นรู้มาก่อน?"



                   "อ๋อ...ก็เพิ่งคิดจะจัดเมื่อกี้น่ะ" หนุ่มรูปทองตอบหน้าตาย ทำเอาตรีภูมิทนเก็บเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ ต้องหัวเราะเสียงดังออกมา



                   "ไอ้บ้าเอ้ย! ฮ่า ฮ่า ฮ่า แล้วแกจะเชิญผู้ใหญ่ที่ไหนมาร่วมได้งานตอนนี้วะ?"



                   "พ่อเราไง!" คำตอบนั้นทำเอาหนุ่มร่างท้วมชะงักเสียงเราะลงทันที เมื่อนึกถึงชายภูมิฐานวัยกลางคนที่ดูเจ้าระเบียบเสมอ



                   "อ่ะ...พ่อแกลงมากรุงเทพฯ เหรอ...งั้นตามสบายเถอะ เชิญฉลองกันในวงศาคณาญาติ คนนอกไม่รบกวนล่ะเกรงใจ" พูดพลางขยับตัวหนีทันที แต่ก่อนจะทันได้หมุนร่างจากไปก็ถูกวิมุตติคว้าคอเสื้อเอาไว้ได้ และผลักไสเข้าไปในรถทันที



                   "ไปด้วยกัน!!" ดั่งปกาศิตวิมุตติสตาร์ทรถแล้ววิ่งออกไปทันที โดยไม่ฟังเสียงโวยวายของเพื่อน



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2556 4:34:21 น. 1 comments
Counter : 1350 Pageviews.

 
ตามอ่านค่าาา สนุก


โดย: ป้าแสงแมวศรี วันที่: 1 มีนาคม 2556 เวลา:3:52:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.