เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 34
ตอนที่ 34 ใจนางยากแท้หยั่งถึง
แว่วเสียงกรุ๋งกริ๋งของกระดิ่งทองเหลืองที่ประดับไว้ชายหลังคาโบสถ์ ล่องลอยมาตามลมให้ได้ยินเป็นระยะ สองแม่ลูกนั่งเคียงกันอยู่บนขอบกระถางต้นไม้ใหญ่ ในมือของมารดายังถือเต้ากรวดน้ำค่อยรินน้ำออกมาพร้อมกับบทสวดอุทิศส่วนกุศล น้ำใสเย็นค่อยๆ รดหรั่งออกมาต้องนิ้วของผู้อุทิศ
"อิมินา ปุญญะ กัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าฯ ได้สร้าง ขออุทิศส่วนกุศลนี้ไปอุดหนุนค้ำชูผู้ตกทุกข์ได้ยาก เจ้ากรรมนายเวรของเคียงฟ้า ลูกสาวข้าพเจ้า อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย สิ่งใดที่เคยกระทำผิดที่เคยล่วงเกินขอจงอโหสิกรรมให้แก่ลูกสาวของข้าพเจ้าด้วยเถิด...."
ยุพาพักตร์ยังสวดไม่ทันจบดีเมื่อเชยหน้ามาเห็นลูกสาวกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด หล่อนจึงส่งสายตาตำหนิให้หล่อนอยู่ในสมาธิมี ส่งความตั้งใจในการขออโหสิกรรมไปถึงผู้ที่เคยก่อบาปสร้างเวรต่อกันมา แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะร้อนรุ่มไม่สามารถทำสมาธิได้อย่างที่มารดาสั่ง
"ก็หนูจำไม่ได้นี่คะ...ว่าเคยไปทำอะไรมา"
"ฟ้า! ทำไมพูดแบบนี้!!?" มารดาของหล่อนแทบจะทำเต้ากรวดน้ำหลุดมือเลยทีเดียว
"เอาใหม่เดี๋ยวนี้เลย...พูดดีๆ สิลูกคนไม่รู้ก็ย่อมไม่ผิด แต่ไม่ใช่มาบอกปัดแบบนี้ บอกเขาไปว่าชาติก่อนหนูไม่รู้ว่าไปทำอะไรมา แต่ว่าชาตินี้หนูจะไม่ทำอะไรที่ไม่ดี สิ่งใดร่วมเกินกันมาขออภัยต่อกัน" เคียงฟ้ามีสีหน้าไม่พอใจนักทั้งอึดอัดขัดข้องราวกับโดนบังคับให้ขอโทษทั้งที่ไม่เต็มใจ แต่ไม่อาจขัดคำสั่งมารดาได้
"ฟ้าจำไม่ได้หรอกนะว่าชาติที่แล้วทำอะไรมา แต่ถ้าสิ่งใดที่เคยทำลงไปก็ขอโทษด้วย...ถ้าอยากจะให้ชดใช้อะไรก็ขอให้ใช้กันหมดในชาตินี้แล้วกัน....ว้ายย!!!"
หล่อนกรีดร้องเสียงดังออกด้วยความตกใจยุพาพักตร์เองก็เช่น เมื่อจู่ ๆ ขันรองกรวดน้ำพลิกคว่ำ เต้ากรวดน้ำในมือถูกใครบางคนที่มองไม่เห็นปัดกระเด็นไปโดนมือเคียงฟ้าก่อนจะหล่นลงพื้นไป หญิงสองวัยมองหน้ากันเองด้วยความมึนงง
สายลมแรงพัดกรรโชกมาเป็นสาย เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็พบเมฆกำลังหอบเอาความมืดครึ้มเข้ามาปกคลุมผืนฟ้าที่เคยกระจ่างใสจนถึงเมื่อครู่ สองแม่ลูกผวาเข้าสวมกอดกันด้วยใจระทึกทันที หล่อนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คิดว่านี่มิใช่ความปรวนแปรของธรรมชาติตามปกติแล้ว เพราะมองไม่เห็นสิ่งที่นอกเหนือสายตามนุษย์
เช่นคนมีสภาวะทิพย์เยี่ยงวิมุตติซึ่งแฝงร่างอยู่หลังเงาไม้ มองเห็นแม่หญิงกุสุมาลย์อยู่ตรงนั้น นางเดินตามสองแม่ลูกมาตั้งแต่ออกจากโบสถ์ จนมานั่งกรวดน้ำที่โคนต้นไม้นี้ด้วยสีหน้าเครียดขรึมแลดูดุร้ายอยู่ในที และเมื่อยิ่งฟังถ้อยคำของเคียงฟ้าแล้วความไม่พอใจโถมทวีขึ้นมาจนแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว นางระงับอารมณ์ไม่ได้ถึงขั้นใช้มือปัดเต้ากรวดน้ำล้มคว่ำไปทันที
"คนอย่างเจ้ามันไม่มีสำนึก อย่าคิดว่าทำบุญให้แค่นี้แล้วข้าจะให้อภัยเลย ผลบุญของเจ้าข้าไม่รับ!!" เสียงนั้นตวาดดังก้องด้วยความโกธายิ่งนัก
ข้างฝ่ายเคียงฟ้ายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อตั้งสติได้หล่อนก็ยกมือขึ้นมาดู เมื่อครู่รู้สึกเจ็บจนชาจากการถูกปัดเต้ากรวดน้ำทองเหลืองใส่ จึงค่อยเห็นว่าหล่อนโดนขอบที่ดูไร้คมของเต้ากรวดน้ำบาดเอาจนเลือดออก ยุพาพักตร์ยังไม่ทันเห็นแผลลูกสาวเพราะมัวแต่ตกใจกลัว หญิงวัยกลางคนรีบยกมือขึ้นไหว้ปลกๆ กล่าวคำขอโทษขอขมาเป็นพัลวัน
"ลูกขอโทษถ้าลูกทำสิ่งใดให้เคืองโกรธ โปรดอย่าถือโทษกันเลย...ฟ้าขอโทษสิ! ขอโทษเดี๋ยวนี้เลย!!" หล่อนหันไปสั่งลูกสาวแล้วพึมพำขอโทษต่อ
"ลูกสาวของลูกแกยังเด็ก บางทีก็พูดอะไรไม่คิด ได้โปรดอย่าถือสาเลย" แต่เคียงฟ้ายังนิ่งอึ้งจนมารดาต้องเขย่าซ้ำ หล่อนถึงกล่าวคำสมาออกมาได้
"ขอโทษค่ะ หนูขอโทษหนูไม่ได้ตั้งใจทำให้โกรธ!! ก็หนูไม่รู้นี่นาว่าไปทำอะไรไว้ คุณก็บอกมาสิ...ถ้าหนูทำผิดจริงหนูก็ยินดีรับผิด" หากแต่คำพูดของหล่อนนั้นยิ่งพูดเหมือนยิ่งยั่วยุ
"เจ้ามันไร้สำนึก!!" เสียงเดิมตวาดซ้ำแทรกเข้ามาในสายลมแรง จนสองแม่ลูกกลัวตัวสั่นไปหมดพากันยกมือไหว้ไปรอบทิศ แต่ก่อนที่สิ่งเหนือธรรมชาติจะสำแดงฤทธิ์มากกว่านั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมายุติเหตุการณ์ทั้งสิ้น
"โยม? ทำอะไรกันเสียงดังโครมครามไปถึงในโบสถ์?"
ชายจีวรสีกรั กมิได้พลิ้วไหวไปตามลม สีหน้าของภิกษุยังเจือไปด้วยความสงสัย ยุพาพักตร์เห็นพระท่านเดินมาหล่อนดีใจจนน้ำตาคลอและนั่งทรุดตัวลงไหว้กับพื้นทันที บุตรสาวของหล่อนก็นั่งลงข้างๆ ด้วยอาการตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
"เป็นอะไรกัน? อ้าวสีกาเลือดออกนี่?"
"หลวงอาเจ้าขาเมื่อกี้ๆ...." พอจะเล่าเรื่องลมกรรโชกแรงเมื่อครู่ก็สงบลง เมฆหมอกก็พัดหายไปจากท้องฟ้าราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
"ทำไมรึ? แล้วไปทำอะไรมาทำไมหน้าซีดตัวสั่นแบบนั้น"
"เรากำลังกรวดน้ำน่ะค่ะแล้ว...ลมก็พัดมาเหมือนฝนจะตก...แล้วๆ จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงตวาดมาน่ากลัวมากเลยค่ะ" เคียงฟ้าพูดขึ้นบ้างแต่เมื่อเห็นพระท่านทำหน้าประหลาดใจ หล่อนจึงไม่กล้าพูดต่อเกรงจะถูกหาว่าบ้า
"ค่อยๆ พูด ค่อยๆ เล่าก็ได้....ไปทำแผลก่อนดีกว่าไหม เดี๋ยวจะให้เด็กเอากล่องยามาให้ เข้าไปในนั่งในโบสถ์ก่อนก็แล้วกัน"
เมื่อพระภิกษุวัยกลางคนท่านว่าอย่างนั้น หญิงทั้งสองก็เห็นดีด้วยพร้อมกับพากันถอนหายใจโล่งอก แล้วรีบลุกเดินตามไปทันที ปล่อยทิ้งให้วิญญาณของกุสุมาลย์ยืนกำหมัดแน่นอยู่ตรงนั้นผู้เดียว
"อ้าว? ไม่อาละวาดต่อล่ะ?"
คำถามนั่นทำเอาวิญญาณจากอดีตกาลหันขวับไปทำตาเขียวให้เจ้าของเสียงทันที นางจำเจ้าของเสียงได้ขึ้นใจนักและก็เป็นไปดังคาดหมาย กายทิพย์โปร่งแสงของวิทยาธรเทพก้าวออกมาจากมุมหนึ่ง เขามาที่นี่เมื่อใดนางมิทันได้สังเกตเห็น เพราะกำลังจมอยู่กับโทสะจริตของตนเอง
"เกรงใจพระท่านรึไร ?" กึ่งเทพรูปงามเดินมายืนเคียงข้างพร้อมทั้งมองไปตามที่สองแม่ลูกเพิ่งจากไป
"คนอย่างท่านนี่มัน....." ใบหน้างามเมินหนีคล้ายไม่อยากสนทนาด้วย
"แม่หญิงช่างทำให้เราประหลาดใจได้เสมอ ทั้งที่โกรธแค้นถึงเพียงนั้นแต่ยังรู้จักสงบอารมณ์เมื่ออยู่ต่อหน้าพระต่อหน้าเจ้า"
"ข้ามิใช่คนมิรู้จักดีชั่ว!" นางตวัดดวงตางามงอนนั้นใส่ ทำเอาวิทยเทพยิ้มกริ่มด้วยความพึงใจ
"เราก็คิดเช่นนั้น...แม่มิใช่งามเพียงใบหน้า หึ หึ"เสียงหัวเราะนั่นน่าชิงชังนักในสายตาของกุสุมาลย์ จึงอดมิได้ที่จะกล่าวกระทบกระเทียบออกไป
"ถ้าเมื่อครู่พระท่านมิได้ออกมาห้ามไว้ ท่านก็มิคิดจะห้ามหรือไร?"
"แม่มิใช่คนชั่วช้า แม่ไม่ทำเช่นนั้นดอก แล้วยิ่งนี่เป็นเขตพัทธสีมาอีกด้วย" รอยยิ้มสวยยังระบายอยู่บนใบหน้า หญิงงามยิ่งมองก็ยิ่งขัดข้อง
"ใครว่ากันเล่า โอกาสนั้นยังไม่มาถึงเท่านั้น เถรท่านนั้นออกมาขัดจังหวะเสียก่อนต่างหากเล่า!!"
"ถ้าเช่นนั้นเราคงต้องปล่อยวาง หากแม่ปลงใจจะติดอยู่ในบ่วงกรรม ส่วนเทวีน้อยหากต้องตายด้วยมือแม่ก็ถือว่าเป็นกรรมเก่าของนาง" วิมุตติพูดเรื่อยรินไร้สีหน้าวิตกกังวล เหมือนดังแค่พูดเรื่องทั่วๆ ไปเท่านั้น
"ข้าไม่เชื่อ อย่างท่านน่ะรึ? จะยอมปล่อยให้ข้าฆ่านางคนบาปนั่น! มิเช่นนั้นแล้วจะมาคอยตามอยู่เยี่ยงนี้ไปทำไฉน?"
"แม่อยากรู้จริงรึ? ร่างสูงขยับเข้าประชิดกายอรชร พลางโน้มใบหน้าลงข้างหูนางสะคราญโฉมแล้วกระซิบซาบกล่าวคำ
ว่าเราคอยวนเวียนให้แม่ชังน้ำหน้าเล่นไปด้วยเหตุอันใด?"
"ข้าไม่อยากรู้!!? จะมาด้วยเรื่องอันใดของท่านก็ช่างปะไร!!" สีระเรื่อจับต้องสองนวลแก้มหญิงงาม นางขยับร่างถอยออกห่างทันที
"หากแม้นเทวีน้อยต้องสิ้นบุญในชาตินี้ ภูวิษะเจ้าคงเสียใจยิ่งนักด้วยยังมิทันสะสางเรื่องที่ผิดใจกัน แต่เราคงโทมนัสเสียยิ่งกว่า...หากแม่จักต้องกลายเป็นผีร้ายวิญญาณบาป เพราะต้องกรรมด้วยการพรากชีวิตผู้อื่น" เมื่อเหลียวมองหญิงงามข้างกาย เห็นว่านางมิได้โต้ตอบอันใดคล้ายกำลังจมอยู่ในห้วงคำนึง วิทยเทพจึงกล่าวต่อ
"หากแม่ต้องตกทุกข์ไม่สิ้นสุด...ด้วยโทษทัณฑ์นี้...." คำพูดเว้นช่วงหายไปแต่มือใหญ่อบอุ่นนั้นค่อยๆ เอื้อมมาสัมผัสใบหน้านางแทน ปลายนิ้วค่อยไล่ละเลี่ยไปที่นวลแก้มอย่างอ่อนโยน
"แม่เข้าใจหรือไม่...เราไม่ต้องการให้แม่ได้รับทุกข์เข็ญ"
กุสุมาลย์ที่นิ่งอึ้งไปนานเงยดวงหน้าหวานซึ้งนั้นขึ้นจ้องมอง อารมณ์สับสนปรวนแปรฉายออกมาอย่างไม่ปิดบัง สองตานั้นเอ่อล้นไปด้วยน้ำใสอาบอุ่น อีกทั้งแววตานั้นก็หม่นแสง ดวงใจระทมยิ่งนักทั้งแสนโกรธาทั้งรวดร้าวและหวั่นไหวไปกับบุรุษตรงหน้า
"เพื่อข้า? หรือเพื่อกิจของท่านกันเล่า...วิมุตติ?" นั่นเป็นครั้งแรกที่หญิงงามเรียกขานนามของบรุษผู้มาจากแดนสรวง มิใช่เรียกขานด้วยตำแหน่งเหมือนทุกครั้งไม่ หากแต่เสียงนั้นเศร้าสร้อยบาดฤทัยยิ่งนัก
"กุสุมาลย์...."
"ไปให้พ้น !!!?"
อารมณ์อันแช่มช้อยและโศกตรมเมื่อครู่จางหายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยทิฐิอันร้อนแรง นางส่งเสียงตวาดดังกึกก้องพร้อมทั้งใช้สองมือผลักไสร่างวิมุตติโดยแรง ข้างฝ่ายกึ่งเทพมิทันตั้งตัวรับอารมณ์อันแปรปรวนนี้ร่างจิตถึงกับกระเด็นไปตามพลังแห่งความเจ็บแค้นนั้นทันที
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"กุสุมาลย์!!"
วิทยาธรเทพอุทานออกมาด้วยความตกใจ จิตอันเป็นทิพย์ถูกดึงกลับเข้าร่างด้วยความรวดเร็ว แต่มิทันได้ทรงร่างให้ดีจึงเสียหลัก ข้อแขนที่ค้ำใบหน้าไว้ในท่านั่งเท้าคางเลื่อนหล่นตกโต๊ะ เป็นเหตุให้ชายหนุ่มหน้าคว่ำลงไปจนหน้าผากกระแทกกับโต๊ะเรียนเสียงดังก้อง
"อาจารย์?!!"
เสียงนั้นคงดังพอควรจึงทำเอาลูกศิษย์ทั้งชั้น รวมทั้งนักศึกษากลุ่มที่กำลังพรีเซ้นต์รายงานอยู่หน้าห้อง หันมามองยังต้นเสียงที่นั่งอยู่หลังห้องเรียนกันเป็นตาเดียว เจ้าตัวนิ่งไปชั่วอึดใจก็ค่อยเงยหน้าขึ้นทั้งเจ็บหน้าผากทั้งอับอายนักศึกษา เพราะบรรดาลูกศิษย์เข้าใจไปว่าชายหนุ่มนั่งฟังรายงานแล้วเผลอสัปหงกไปจนศีรษะฟาดโต๊ะ จึงพากันกลั้นยิ้มแต่ไม่กล้าหัวเราะออกมา
"ขอโทษนะ...ผมขอพักสัก 5 นาที ไปห้องน้ำสักครู่"
ว่าแล้วอาจารย์คนใหม่ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปดื้อๆ ไม่สนใจสีหน้านักเรียน พอร่างสูงพ้นประตูไปเท่านั้นเสียงหัวเราะที่กลั้นกันมานานก็ดังขึ้นสนั่นห้อง
ตอนเย็นวันนั้นตรีภูมิทำหน้าระรื่นเข้ามาหาถึงห้องพักอาจารย์ วิมุตติเห็นเข้าก็ถอนหายใจออกมาด้วยพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายมาทำไม แล้วก็เป็นจริงดังคาดเมื่อหนุ่มร่างท้วมเอ่ยออกมา
"เฮ้ย! ได้ข่าวเอาหัวโหม่งโต๊ะมาเหรอวะ? ไหนเอาหัวมาดูหน่อยซิไอ้รูปหล่อ อิ๊ อิ๊"
แม้ยามปรกติชายหนุ่มจากเมืองเหนือไม่ค่อยเปลี่ยนสีหน้ามิว่าจะสนทนาเรื่องใดก็ตาม มีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ที่ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอเท่านั้น แต่คราวนี้เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นเม้นริมฝีปากบางลง ด้วยหมั่นไส้กิริยาคนตรงหน้าเป็นกำลัง
"เอาน่า...ไม่ต้องอาย เขาเม้าท์กันไปทั้ง มอฯ แล้วเว้ย ฮ่า ฮ่า"
"มาด้วยเรื่องแค่นี้น่ะรึ?"
"เรื่องแค่นี้ที่ไหนนี่เรื่องทอล์ค ออฟ เดอะ ทาว เชียวนะเว้ย!! เมื่อคืนไปทำอะไรมาวะถึงไปนั่งหลับตอนสอนได้"
"ไม่ได้หลับตอนสอนเสียหน่อย...แค่เคลิ้มตอนฟังรายงาน"
"ก็นั่นแหละมึง...หลับก็คือหลับ อย่ามาเลี่ยงบาลี ไงไปทำไรมาวะเสียฟอร์มเจ้าวิมุตติหมด?" คำพูดนั้นคล้ายจะเห็นใจแต่สีหน้าของตรีภูมิแสดงออกตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัด เหมือนดีใจที่เห็นคนขี้เก๊กฟอร์มหลุดเสียบ้าง
"ช่างเถอะ...อย่าสนใจเลย" ชายหนุ่มตัดบทเรียบๆ
"โถ...แค่นี้ทำใจน้อย ไหนเอาหัวมาดูหน่อยซิ" หนุ่มร่างท้วมไม่รอให้วิมุตติอนุญาต แต่ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือข้ามโต๊ะไปเสยผมที่ปรกหน้าผากอีกฝ่ายขึ้นทันที
"อู้ว...โนเป็นลูก แกนี่...ท่าจะหลับลึกแฮะ" หนุ่มรูปงามปัดมือเพื่อนออกจากศีรษะตนเองด้วยใบหน้ามุ่ยๆ
"เฮ้ยๆๆๆ อย่าคิดมาก...ดูอย่างข้าปะไร หน้าแตกไม่รู้วันละกี่สิบหน ยังไม่เห็นรู้สึกห่าไรเลย" เขาเข้าใจไปว่าคนมาดดีอย่างวิมุตติรู้สึกเสียหน้าจึงบูดบึ้งอยู่เช่นนี้
"ไม่ใช่หรอก...พอดีมีเรื่องหงุดหงิดนิดหน่อยน่ะ ก็เลยนอนไม่พอ...ตอนนี้ก็เลยเซ็งๆ อยู่"
"อ้าว? ไปทำอะไรมาวะ? หรือทะเลาะกับเจ้าภู?"
"เจ้าภู? ภูวิษะเกี่ยวอะไรด้วย?" คิ้วเข้มนั่นเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ
"ก็ตอนนี้เจ้าภูพักอยู่บ้านแกไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่เจ้าภูแล้วแกไปทะเลาะกับใครมาล่ะ?"
ตรีภูมิเก่งตรงที่จับอารมณ์คนอื่นได้ไว อีกทั้งเพื่อนของเขามิได้มีมิตรสหายมากนัก จึงทายว่าต้นเหตุเป็นญาติรูปงามของเขานั่นเอง แม้จะเดาเรื่องไม่ถูกต้องนักแต่ก็ถือว่าใกล้เคียงจนคนฟังพิศวง
"กับเจ้าภูน่ะถึงทะเลาะกันวันละร้อยหน ก็งั้นๆ แหละ ชินแล้ว" ว่าแล้วก็เผลอเรียกขานนามนาคเจ้าย่นย่อตามคู่สนทนาไปอีกคน
ถ้านับจากครั้งที่วิทยาธรเทพยังเป็นเพียงมานพน้อยอ่อนเยาว์ มิได้มีสภาวะอันเป็นทิพย์ได้ถูกบิดาผู้เป็นใหญ่ในแว่นแคว้น ส่งมาศึกษาเล่าเรียนที่สำนักตักศิลาผู้มีอาจารย์อันเลื่องชื่อ เฉกเช่นเดียวกับบุตรมนุษย์ผู้มีมาจากวงศ์ตระกูลสูงทั่วไป
ความคิดของบิดานี้คล้ายคลึงกันมิว่าจะอยู่ในชั้นวรรณะใด ไม่ยกเว้นแม้แต่พญานาคราชผู้เกรียงไกรก็เช่นกัน ย่อมอยากให้บุตรธิดาของตนได้รับการศึกษาที่ดี มีความรู้ความสามารถในการดำรงชีวิตเมื่อเติบใหญ่ โอรสเจ้านาคราชยามนั้นยังเยาว์วัย พญามหิทธราบดีทรงโปรดให้จำแลงกายไปศึกษาเล่าเรียนกับอาจารย์ผู้มากด้วยคุโณปการในภพมนุษย์ จึงเข้ามาศึกษาเล่าเรียนที่เดียวกันหากล่าช้ากว่าวิมุตติสองสามปี
นับแต่วันนั้นผ่านมาวันเวลามานานนัก จนต่างฝ่ายต่างเปลี่ยนสถานะจากนักศึกษาไปเป็นอื่น เพื่อนผองร่วมสำนักศึกษาก็ถูกโชคชะตาพัดพาให้เวียนว่ายตามบุญกรรมแห่งตน ได้พบปะบ้างหายหน้าลาลับมิพานพบกันอีกก็มีมากนัก คงเหลืออยู่ไม่กี่ผู้ที่ก้าวข้ามพ้นวิถีมนุษย์มาสู่ภพนิรันดร์ ด้วยน้ำมิตรนี้เองจึงทำให้ทั้งสองไม่เคยถือโทษโกรธเคืองกัน แม้ปะทะคารมกันหนักนิดเบาหน่อยก็ปล่อยวางไป
"งั้นทะเลาะกับใครมาวะ?" คนช่างสงสัยยังซักไซ้ต่อ
"นี่...ไม่มีอะไรหรอกน่า...ทำไมต้องคิดว่า.." วิมุตติยังกล่าวไม่จบประโยคดีก็ต้องชะงักไปเมื่อตรีภูมิขัดขึ้นมาได้อย่างถูกต้อง
"หรือว่าผู้หญิงวะ!!?" เมื่อเห็นว่าเพื่อนนิ่งอึ้งไปซ้ำยังมองมาที่ตนตาค้าง หนุ่มร่างท้วมก็รู้ว่าตนมาถูกทางแล้ว ความรู้สึกใคร่รู้ยิ่งถูกกระตุ้น
"ผู้หญิงที่ไหน? นี่แกแอบไปปิ๊งใครเข้า...โห อุบเงียบเชียวนะเอ็ง ไม่บอกเพื่อนฝูงบ้างเลย"
"ตรี...เราไม่ได้....ยังไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย อย่าเพิ่งตีความไปไกลสิ" เจ้าของเรื่องถอนหายใจและพยายามเก็บซ่อนสีหน้าให้สนิท แต่ดูเหมือนจะช้าไปแล้ว
"งั้นจะบอกว่าผู้ชายหรือไง?"
"จะบ้าเรอะ!!" เสียงตอบนั้นหมดอารมณ์จะพูดคุยไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังยกแฟ้มขึ้นมาตบศีรษะตรีภูมิโดยแรง ก่อนจะรวบข้าวของบนโต๊ะมาไว้ในมือแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมตัวกลับบ้าน
"อะไรวะ? แซวเล่นนิดเดียวก็โกรธ" คนปากเปราะรีบเดินตามเพื่อนรักไปทันที
"เฮ้ย! บอกหน่อยสิผู้หญิงที่ไหน?...นะๆๆๆ เห็นแก่ความอยากรู้ของเพื่อนสนองหน่อย"
"แกไม่รู้จักหรอก" คำเฉลยหลุดมาจนได้เมื่อโดนลูกตื๊อ
"ว่าแล้ว!! กลุ้มเรื่องผู้หญิงจริงๆ ด้วย"
"นี่จะหยุดพูดได้หรือยัง?" เสียงตอบกลับมาฟังดูห้วนนักคล้ายไม่อยากพูดถึง ยิ่งทำให้ตรีภูมิขำเข้าไปอีก
"อะไรว้า...หล่อๆ อย่างแกนี่ยังต้องมากลุ้มเรื่องผู้หญิงอีกเหรอ?" ร่างสูงขยับปากจะตอบโต้แต่เหลือบไปเห็นนักศึกษาสาวหน้าตาคุ้นเคยคนหนึ่งเดินตรงมาจึงยกมือขึ้นห้ามเพื่อน
"พี่เจ้าคะ" เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังมาแต่ไกลนั่นเป็นเสียงของมิรันตี
"เป็นไงบ้างคะพี่ ยังเจ็บหัวอยู่หรือเปล่า" คำถามนั้นทำเอาหนุ่มร่างท้วมซึ่งยืนอยู่ข้างๆ รีบยกมือขึ้นปิดปากกลบเสียงหัวเราะทันที จนวิมุตติปลายหางตามองด้วยความไม่พอใจ
"ไม่เป็นไรแล้วครับ"
"แอนเป็นห่วงค่ะ เสียงอย่างดังเลย..กลัวพี่เจ้าจะได้แผลจัง" หล่อนคงไม่รู้ตัวว่ายิ่งพูดยิ่งย้ำความอับอายให้เขา
"น้องแอน...อย่าไปถามมันแบบนี้ แค่นี้ไอ้เจ้ามันก็อายตายห่าแล้ว"
"อ๊ะ...ขอโทษค่ะ แอนไม่ได้ตั้งใจ"
"ไม่เป็นไรครับ" เขายังคงตอบเรียบๆ ตามเคย
"เอางี้ไหมคะ? ให้แอนเลี้ยงขอโทษแล้วกัน แอนรู้จักร้านอร่อยๆ ไม่ไกล มอฯ เราด้วย ไปด้วยกันนะคะ" หล่อนคะยั้นคะยอพร้อมกันนั้นก็ยกมือขึ้นดึงแขนชายหนุ่มทันที
"เพื่อนๆ ก็ไปด้วยนะคะ ไปเถอะค่ะพี่เจ้าแอนจะปิดปากพวกนั้นเองรับรองไม่มีใครกล้าล้อ" หล่อนรีบออกตัวเพราะรู้ว่าเขาจงใจเว้นระยะลูกศิษย์กับอาจารย์พอสมควร
"เอ่อ...พอดีวันนี้ผมนัดกับตรีไว้ ว่าจะเลี้ยงต้อนรับเจ้าภูวิษะมากรุงเทพฯ ต้องขอตัวล่ะครับ ขอบคุณที่อุตส่าห์ชวน" ตรีภูมิที่ยืนอยู่ข้างเกาหัวแกร่กๆ ทันทีที่ถูกยกมาอ้าง เขาก็เพิ่งรู้ว่าวันนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับญาติของเพื่อน
"เจ้าภูวิษะมากรุงเทพฯ เหรอคะ?" นัยน์ตาหล่อนเป็นประกายทันที
"งั้นแอนไปด้วยดีกว่า" หล่อนตัดสินใจทันทีโดยไม่ถามไถ่ว่าอีกฝ่ายจะอนุญาตหรือไม่
"อ้าว? น้องแอนไหนว่าจะกินข้าวกะเพื่อนไง" รุ่นพี่ของหล่อนเองก็งง
"โอ้ย...เพื่อนๆ นี่เจอกันอยู่ทุกวัน ไม่ไปสักวันก็ไม่เป็นไรหรอกพี่ตรี"
"เล่นง่ายแบบนี้เลยเหรอน้องแอน? ไม่ต้องไปบอกพวกนั้นเหรอว่าไปแล้ว" มิรันตีเม้มปากเหมือนเด็กถูกขัดใจ
"เดี๋ยวค่อยโทรไปก็ได้น่าพี่ตรีก็ แล้วถึงไม่โทรถึงเวลาไม่เห็นแอนพวกนั้นก็ไปกันเองได้น่า" หล่อนพูดจบก็หันมาคลี่ยิ้มหวานให้วิมุตติ
"เราไปกันเลยนะคะพี่เจ้า"
"ไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ เพราะว่าไม่ใช่เลี้ยงกันเป็นส่วนตัวมีผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ด้วย ผมเกรงว่าจะไม่เหมาะ"
เขายิ้มอ่อนๆ ให้หล่อนเหมือนที่เคยทำประจำจนติดเป็นมารยาท ก่อนจะปลายตามองมือที่ดึงแขนเสื้อของเขาไว้แน่น หากเป็นปกติแล้วมิรันตีแน่ใจว่าตนเองจะต้องตื๊อต่อและสำเร็จจนได้ หล่อนไม่เคยมีใครปฏิเสธหล่อนสำเร็จสักครั้ง แต่พอเป็นผู้ชายตรงหน้าหญิงสาวจำต้องยอมปล่อยมือ คล้ายว่าหากรุกล้ำมากกว่านี้เขาอาจจะหายวับไปต่อหน้าต่อตาได้ทันที จึงจำต้องเว้นระยะไว้ไม่ลุกไล่ประชิดเกินไป
"ค่ะ...ถ้าอย่างนั้นพี่เจ้าสัญญานะคะ ว่าครั้งหน้าต้องไปกินข้าวกับแอน" หล่อนทำตัวเป็นสาวน้อยว่าง่ายน่ารักขึ้นมาทันที
"ไว้ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกันครับ" อาจารย์คนใหม่ไม่ได้ตอบคำใดเป็นการรับปาก แต่ยังคงรักษามารยาทดีนั่นไว้ได้อย่างเหนียวแน่นจนมิรันตีอึดอัดใจ
"ขอให้สนุกนะครับ ไปตรี..." เขายิ้มให้หล่อนอีกครั้ง ก่อนจะหันไปพยักหน้าเรียกตรีภูมิ หญิงสาวจึงจำเป็นต้องยกมือไหว้ร่ำลาเมื่อโดนตัดบท ทั้งสองเดินมาไกลจนถึงลานจอดรถ เมื่อเห็นว่าห่างสายตามิรันตีแล้วหนุ่มร่างท้วมจึงถามขึ้นมา
"มีงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าภูจริงเหรอวะ? ทำไมฉันไม่เห็นรู้มาก่อน?"
"อ๋อ...ก็เพิ่งคิดจะจัดเมื่อกี้น่ะ" หนุ่มรูปทองตอบหน้าตาย ทำเอาตรีภูมิทนเก็บเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ ต้องหัวเราะเสียงดังออกมา
"ไอ้บ้าเอ้ย! ฮ่า ฮ่า ฮ่า แล้วแกจะเชิญผู้ใหญ่ที่ไหนมาร่วมได้งานตอนนี้วะ?"
"พ่อเราไง!" คำตอบนั้นทำเอาหนุ่มร่างท้วมชะงักเสียงเราะลงทันที เมื่อนึกถึงชายภูมิฐานวัยกลางคนที่ดูเจ้าระเบียบเสมอ
"อ่ะ...พ่อแกลงมากรุงเทพฯ เหรอ...งั้นตามสบายเถอะ เชิญฉลองกันในวงศาคณาญาติ คนนอกไม่รบกวนล่ะเกรงใจ" พูดพลางขยับตัวหนีทันที แต่ก่อนจะทันได้หมุนร่างจากไปก็ถูกวิมุตติคว้าคอเสื้อเอาไว้ได้ และผลักไสเข้าไปในรถทันที
"ไปด้วยกัน!!" ดั่งปกาศิตวิมุตติสตาร์ทรถแล้ววิ่งออกไปทันที โดยไม่ฟังเสียงโวยวายของเพื่อน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2556 |
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2556 4:34:21 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1350 Pageviews. |
|
|