|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 22
ตอนที่ 22 ความกังวล
หญิงสาวเฝ้าเพียรถามตนเองว่าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อใด ที่สายตาตนเองเฝ้าจับจ้องมองกิริยากุสุมาลย์พระพี่เลี้ยงร่วมน้ำนมของตน นับแต่วันที่เคียงฟ้าฝันถึงคืนวิวาห์ของมหิตาเทวีและเจ้านาคราชจำแลง เวลาล่วงผ่านเลยไปอีกหลายเดือน แม้แต่เป็นแค่เพียงความฝัน แต่ดวงจิตกลับซึมซับเอาความรู้สึกของพระธิดาแห่งจุมภะปุระไว้ในใจตนทั้งหมด ยามที่อยู่ในความฝันความสงสัยทั้งปวงรวมทั้งตัวตนของหล่อนแทบจะถูกหล่อหลอมไปรวมกับมหิตาเทวี ความฝันในคืนนี้ก็เช่นเดียวกัน
"ทำอะไรน่ะพี่กุสุมาลย์" หล่อนถามถามออกไป แม้จะคาดเดาเอาไว้บ้างแล้วก็ตาม
"กำลังคัดดอกไม้สำหรับล้างพระบาทภูวิษะเจ้าเพคะ" หญิงงามแห่งตำหนักในตอบโดยทูลตามตรง มิได้ล่วงรู้ถึงความรู้สึกเคลือบแคลงในทรวงพระเทวีเลยแม้แต่น้อย
"นั่นเป็นงานเล็กน้อย ให้นางกำนัลอื่นทำก็ได้นี่"
"ไม่ได้หรอกเพคะ พวกนั้นมิได้ใส่ใจนักจัดของถวายก็เพียงตามหน้าที่ ไม่สมเกียรติภูวิษะเจ้า" ยิ่งฟังคำตอบที่แสดงความชื่นชมสวามีแห่งตนออกมาเท่าใด หทัยของมหิตาเทวียิ่งคล้ายมีก้อนหินหนักถ่วงอยู่ภายใน
"เสด็จพี่รู้ว่าพี่กุสุมาลย์ใส่ใจในการถวายการรับใช้ถึงเพียงนี้คงดีพระทัย แต่...เราก็อดน้อยใจมิได้..."
"ทำไมเล่าเพคะ ? " กุสุมาลย์หยุดมือจากงานที่ทำ คลานมาเบื้องหน้าพระพักตร์
"เดี๋ยวนี้พี่กุสุมาลย์ใส่ใจเสด็จพี่ภูวิษะมากกว่าเราเสียอีก"
"โถ...พระเทวีอย่าทรงน้อยพระทัยไปเลยเพคะ อย่างไรพระองค์ก็ทรงเป็นที่รักของพี่เสมอ ทรงประสงค์ให้พี่รับใช้สิ่งใดเป็นพิเศษบ้างไหมเพคะ?" นางในคนสนิทจับพระหัตถ์มากุมพลางคลี่ยิ้มถามอย่างเอาพระทัย แต่เมื่อพระนางน้อยมิได้ตรัสตอบจึงเสนอความคิดไป
"บ่ายนี้หม่อมฉันว่าง จะทำขนมให้เสวยดีไหมเพคะ? จะเทียนปั้นอย่างที่ทรงโปรด หรือจะเสวยอื่นใดดีเพคะ?"
"เห็นเราเป็นเด็กอยู่ร่ำไปเชียว คิดจะเอาขนมมาล่อเราเหมือนเสด็จพี่มิมีผิดเลย" เมื่อพระเทวีคลี่ยิ้มออกมาได้กุสุมาลย์ก็คลายกังวล
"ถึงไม่ใช่เด็กก็เสวยขนมหวานได้นี่เพคะ รับนะเพคะหม่อมฉันจะได้จัดทำถวาย"
"อืม...ขอบคุณนะพี่กุสุมาลย์"
"หามิได้เพคะ" พระพี่เลี้ยงโฉมงามกล่าวจบก็คลานถอยออกไป มหิตาเทวีทอดพระเนตรตาม และอดดำริไปมิได้ว่าทรงกังวลพระทัยมากเกินไปหรือเปล่า
แต่ยิ่งนานวันความขุ่นข้องเป็นปมที่ซ่อนลึกเข้าไปในฤทัยกลับขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ราวไฟร้อนที่เริ่มแรกแค่เปลวเทียนแสงน้อย แต่กลับถูกคนรอบข้างช่วยโหมกระพือ ในขณะที่องค์เองก็พร้อมจะลู่เอนไหวไปตามแรงลมด้วย ก่อนตะวันรอนของวันนั้นพระภคินีพินทุมณีเทวีก็เสด็จมาเยี่ยนเยือน มหิตาเทวีถวายการต้อนรับอย่างดีเช่นเคย
"เสด็จพี่เสด็จมาถึงที่นี่มีเหตุอันใดรึเพคะ?"
"แค่คิดถึงน้อง...แล้วจักมาหามิได้รึ?" พระพี่นางทอดพระเนตรมาอย่างมีเลศนัย ก่อนจะคลี่โอษฐ์แย้มสรวลออกมา
"หามิได้เพคะ น้องยินดีที่เสด็จพี่มาเยี่ยมเยือน" พินทุมณีเทวีมิได้สดับฟังคำตรัสตอบ แต่สอดสายพระเนตรไปรอบโถงนั้น
"แล้วสวามีเจ้าล่ะ?"
"เสด็จพี่ภูวิษะไปราชกิจกับเสด็จพ่อเพคะ" พระพี่นางมิได้สนพระทัยฟังคำตอบเท่าใดนักคล้ายทรงทราบอยู่ก่อนแล้ว พระองค์แค่ตรัสถามไปตามมารยาทเท่านั้น
"แล้วแม่กุสุมาลย์คนโปรดของเจ้าล่ะ"
"พี่กุสุมาลย์ไปทำขนมให้หม่อมฉันเพคะ ส่วนพี่ศรีดาราก็..."
"พอที! พี่ไม่ได้ถามถึงนางม้าดีดกะโหลกนั่นเสียหน่อย เจ้าจะรายงานเรื่องนางกำนัลทั้งตำหนักเลยหรือไรน้องพี่? " พระขนิษฐาฟังแล้วอดมิได้เผลอสรวลออกมาด้วยความขบขัน
"น้องก็กล่าวไปอย่างนั้นแหละเพคะ เชิญเสด็จพี่ประทับดีกว่า"
สองศรีพี่น้องจึงนั่งลงประทับเคียงกันบนตั่งทอง มหิตาเทวีอดประหลาดพระทัยมิได้ ตั้งแต่ทรงสยุมพรมาพระเชษฐคินีดูจะเสด็จมาเยือนบ่อยครั้งกว่า เมื่อกาลก่อนมิโปรดเสด็จมาที่ตำหนักพระขนิษฐานัก เว้นแต่มีเรื่องร้อนมาระคายพระกรรณหรือถูกผู้ใดทูลยุยงจนขุ่นพระทัย มาจึงจะเสด็จมาเกรี้ยวกราดใส่พระขนิษฐาสักที โดยมากมักจะเป็นเรื่องอันไร้สาระ
เหตุมาจากมหิตาเทวีทรงเป็นธิดาองค์โปรดของพระบาทเจ้าสิทธเสณกับพระแม่เจ้ากมุทรามหาเทวี ที่สองพระองค์เรียกไว้รับใช้ข้างพระวรกายเสมอ ยังความไม่พอพระทัยแก่พระพี่นางทั้งหลาย โดยเฉพาะพินทุมณีเทวีเมื่อขุ่นเคืองหทัยก็จะเสด็จมา ตรัสดำรับกระทบกระเทียบอยู่เนืองนิตย์ หาไม่ใช่นั้นแล้วก็จะเสด็จมาเมื่อมีเหตุการณ์ให้ทรงต้องการทราบก่อนผู้ใด บางครั้งมหิตาเทวีก็ประหลาดพระทัยที่พระภคนีมีพระเนตรพระกรรณว่องไวเสมอ สิ่งต่างๆ เหล่านี้พระเทวีน้อยมิทรงถือสาอันใด เพราะแน่แก่พระทัยถึงวิสัยอันเป็นธรรมชาติของพระพี่นาง
แต่ระยะหลังที่สยุมพรแล้วพระนางเสด็จมาเยี่ยมเยือนบ่อยขึ้น และล้วนแต่เป็นครั้งที่พระสวามีมิได้ประทับอยู่ในตำหนัก เหตุนั้นเกิดจากนิสัยโอษฐ์เบาของพินทุมณีเทวี ที่ทรงพลั้งเผลอตรัสกระทบกระเทียบภูวิษะเจ้าไป จึงถูกสวามีของพระน้องยาตอบโต้ด้วยความเย็นชา มิใช่พินทุมณีเทวีจะทรงรู้สึกองค์ว่าทรงก้าวล่วงมิระวังพระเสาวนีย์ หากแต่ทรงเกรงดวงเนตรดุดันราวจะเปล่งประกายไฟนั่นได้ต่างหากเล่า จึงทรงหลบเลี่ยงไม่ปะพักตร์กับภูวิษะเจ้า
"เมื่อกี้เจ้าว่ากุสุมาลย์ไปทำขนมรึ ? "
"เพคะ เสด็จพี่เสวยด้วยกันไหมเพคะ? เดี๋ยวน้องให้ปทุมมาไปบอกให้ทำเพิ่ม"
พระพี่นางพยักพักตร์รับ มหิตาเทวีจึงหันไปสั่งนางกำนัลให้ไปบอกแก่กุสุมาลย์ ทั้งสองพระองค์สนทนากันอยู่ครู่ใหญ่ ปทุมมาก็นำเทียนปั้นดอกสวยที่เรียงรายกันอยู่ในพามาถวาย
"รสดีนะ"
"เพคะ หากเสด็จพี่ทรงโปรด หม่อมฉันจะให้พี่กุสุมาลย์ทำไปถวายที่ตำหนักบ่อยๆ ดีไหมเพคะ?"
"น้องพี่นี่น่ารักช่างเอาอกเอาใจเยี่ยงนี้ สวามีของเจ้าช่างมีบุญนัก" ทรงแย้มโอษฐ์สีชาดสวยสดให้พระขนิษฐา ซึ่งกำลังแย้มสรวลด้วยความเอียงอาย
"แถมยังมีนางกำนัลที่เชี่ยวชาญงานเรือน คอยปรนนิบัติเอาใจอีกด้วย" ทรงเน้นสุรเสียงแล้วจ้องมองดวงเนตรคู่งาม ที่มีแววหวั่นไหวนั่นก่อนจะตรัสต่อ
"อันที่จริงๆ กุสุมาลย์นี่จะว่าไปช่างเพียบพร้อม ทั้งรูปโฉมโนมพรรณสมเป็นเบญจกัลยาณี การบ้านการเรือนรึก็คล่องแคล่ว หนำซ้ำยังเป็นคนสนิทของเจ้า หากยกขึ้นมาร่วมหอก็คงมิต้องกังวลใจ คนกันเองอย่างไรคงไม่เผยอขึ้นมาเทียมเทียบให้น้องพี่ลำบากใจเป็นแน่" จู่ๆ ก็ทรงตรัสขึ้นอย่างมิมีเค้าโครงใดมาก่อน สร้างความตกพระทัยแก่มหิตาเทวียิ่งนักถึงกับอุทานสุรเสียงสั่นออกมา
"เสด็จพี่!!!?" เมื่อทรงแลเห็นพระขนิษฐาสีพระพักตร์ซีดเผือด และอุทานออกมาด้วยความตกพระทัย พินทุมณีเทวียิ่งแน่พระทัยว่าทรงมาถูกทาง จึงแสร้งตรัสถามด้วยสีพระพักตร์ฉงน
"ทำไมรึ? พี่พูดสิ่งใดผิดไปหรือ? การจะมีนางห้ามมิใช่เรื่องแปลก หากไม่มีสิน่าแปลกกว่านัก"
"แต่เสด็จพี่ภูวิษะทรงสัญญาว่าจะรักน้องเพียงผู้เดียว"
มิเพียงแววเนตรแต่สุรเสียงนั้นก็สั่นไหวอีกด้วย แม้ยามปกติจะมิค่อยสนพระทัยฟังดำรัสร้อนดังอาบพิษของพระพี่นางก็ตามที แต่เมื่อทรงตรัสตรงกับเงื่อนปมในใจมหิตาเทวีอดหวาดหวั่นมิได้
"โถ...น้องพี่ เจ้าช่างซื่อเสียนี่กระไร" พินทุมณีเทวีทรงยกหัตถ์ขึ้นลูบนวลปรางขนิษฐา
"ชายใดก็กล่าวเช่นนี้ทุกคนดอกน้องพี่ แล้วยิ่งเขาเป็นเพียงคนไร้รากยิ่งต้องปองรักผูกสมัครกับน้องพี่ให้แน่นหนายิ่งขึ้น จะกล่าวคำสัตย์สาบานแบบนี้ก็มิใช่เรื่องแปลก....โอว...นี่พี่มิได้กล่าวเกินจริงดอกหนา..." สุรเสียงทรงอ่อนลงบ้าง เมื่อเห็นขนิษฐาแห่งตนมีสีพระพักตร์ย่ำแย่คล้ายจะกรรแสง ก็ทราบได้แน่ชัดว่าเพียงเวลาไม่นานนักน้องยาก็มอบฤทัยทั้งดวงถวายแด่พระสวามีไปจนหมดสิ้นแล้ว
"มหิตา...พี่มิได้ตั้งใจจะทำให้น้องร้องไห้ เพียงแต่สิ่งที่พูดไปเป็นธรรมชาติบุรุษเพศที่เจ้าควรจะเรียนรู้ไว้ แน่นอนเจ้าเป็นธิดาของพระเสด็จพ่อมีหรือจะกล้าทิ้งขว้าง ยิ่งเจ้านำมาซึ่งลาภยศยิ่งต้องยกเจ้าไว้สูง มิให้หญิงใดมาหยามเจ้าได้ แต่...อันสัญชาติบุรุษไม่นานนักดอกคงหาหญิงงามมาประดับเรือน ถึงเวลานั้นพี่อยากให้เจ้าเตรียมใจ และจักดียิ่งหากเจ้าป้องกันปัญหานี้แต่เนิ่นๆ ด้วยการเป็นฝ่ายเลือกนางห้ามเหล่านั้นมาถวายเสียเอง เราจักได้ควบคุมหญิงพวกนั้นมิให้เผยอขึ้นมาได้"
"เสด็จพี่ทรงหมายความว่า?"
"ก็กุสุมาลย์นี่อย่างไรเล่า...นางภักดีเจ้านัก ถึงแม้ยกขึ้นมาก็คงมิบังอาจกล้ากับเจ้าดอก"
แม้จะรู้อยู่ว่ามหิตาเทวีทรงรักใคร่โปรดปรานนางพี่เลี้ยงโฉมงามที่ดูแลกันมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ แต่ด้วยความเป็นสตรีมีผู้ใดบ้างเล่าต้องการแบ่งปันชายอันเป็นที่รักกับผู้อื่น แม้นางกุสุมาลย์ผู้นี้ก็มิมีข้อยกเว้นเช่นกันจึงลองหยั่งเชิงดู แล้วก็เป็นดังคาดพินทุมณีเทวีลอบสบตากับนางบัวลออนางกำนัลคนสนิทที่ตามเสด็จมา ก่อนจะแย้มสรวลออกมาด้วยความพอพระทัย
"เสด็จพี่...น้องขอบพระทัยที่ทรงห่วงใย แต่ทรงคิดการณ์ไกลไปไหมเพคะ ภูวิษะเจ้าและพี่กุสุมาลย์ก็มิได้มีทีท่าจะพึงใจกันเลย"
"อย่างนั้นรึ?....งั้นเจ้าก็คอยสังเกตไปก็แล้วกัน หากเห็นว่าใช่ก็ควรจัดการแต่เร็วไว มิใช่ให้สวามีเจ้าไปยกนางขึ้นมาเอง แบบนั้นเป็นการหลู่เกียรติเจ้า"
พินทุมณีเทวีทรงตรัสต่ออย่างคล่องแคล่วมิมีติดขัด ข้างฝ่ายนางบัวลออนางนั้นอดมิได้ที่จะส่งสายตาชื่นชมให้เทวีแห่งตน ว่าชาญฉลาดในการเลือกเฟ้นหาจุดทิ่มแทงดวงใจผู้อื่น เมล็ดพันธุ์แห่งความกังวลได้ถูกหว่านไว้ในพระทัยพระขนิษฐาแล้วอย่างแนบเนียนยิ่งนัก
"กุสุมาลย์น่ะเป็นหญิงงามเพียบพร้อมยากยิ่งที่ชายใดจะไม่เหลียวแล แต่ถ้าน้องไม่เอ่ยปากมีหรือนางจะหาญกล้า" ทรงตรัสย้ำความลงไป สองเนตรก็เฝ้าสังเกตสีพระพักตร์ขนิษฐา ส่วนนางบัวลออกรีบกราบทูลซ้ำย้ำความสำทับลงไปอีกผู้หนึ่งทันที
"จริงเพคะ กุสุมาลย์นั้นงามจับตาหากท่านภูวิษะจะต้องใจก็มิใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าเป็นนางศรีดารานี่สิเพคะหางพระเนตรคงไม่เหลือบแล" กล่าวจบบัวลออก็ยกมือขึ้นป้องปากกลบเสียงหัวร่อ เหล่านางกำนัลที่ติดตามมาก็พลอยขบขันไปด้วย
"พวกเจ้านี่...เห็นเป็นเรื่องขบขันไปได้ ถึงแม้จะจริงก็ไม่ควรกล่าว" พินทุมณีเทวีทรงปรามอย่างไม่เป็นจริงเป็นจังนัก สุดท้ายก็ทรงสรวลร่วมวงไปจนได้ ตรงกันข้ามกับขนิษฐาของพระองค์ซึ่งทรงหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
"หากเป็นความประสงค์ของภูวิษะเจ้า น้องคงไม่ขัดข้อง..." สุรเสียงแผ่วลงเป็นอันมาก พระพี่นางสดับแล้วก็แย้มสรวลออกมาอย่างพึงใจ
"เขาจะกล้าเอ่ยรึ? ในเมื่อให้สัตย์ปฏิญาณกับเจ้าแล้วนี่....แต่สัญชาติบุรุษหาเชื่อได้ อีกประการนี่ก็เป็นราชประเพณีมาแต่โบราณ จะมีอื่นก็มิใช่เรื่องแปลกน้องพี่อย่าคิดมากไป ถึงเจ้าไม่ยกกุสุมาลย์ให้มิช้านานก็คงมีนางอื่นอีก มิสู้เลือกคนของเราไม่ดีกว่ารึ ?" เมื่อเห็นขนิษฐายังก้มพักตร์นิ่งอยู่มิตอบรับอันใดก็ทรงถอนพระทัย
"เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา เจ้าโตแล้วควรยอมรับมัน"
"จริงเพคะ หญิงเราควรจัดการเลือกเฟ้นหญิงงามถวายพระสวามีเป็นการควบคุมดูแลอยู่เบื้องหลัง ทำให้ยิ่งทรงเกรงพระทัยนะเพคะ ทรงดูพระพี่นางเป็นตัวอย่างสิเพคะ" บัวลออสอดคำขึ้นมาหากศรีดาราอยู่คงได้สวนกลับให้เกิดวิวาทะเป็นแน่
"แล้วเสด็จพี่ทำพระทัยได้รึเพคะ? เมื่อต้องเห็นหญิงอื่นกับสวามีอันเป็นที่รักร่วมเรือนเคียงหมอนกัน"
"....ก็เพราะเยี่ยงนั้นน่ะสิ ในเมื่อเราห้ามสัญชาติบุรุษมิได้ ก็ต้องเตรียมใจและเลือกเฟ้นสิ่งที่อยู่ในความควบคุมได้น่ะสิ อีกประการการที่เราวางตัวเป็นคนใจกว้างนั้นมีแต่จะทำให้สวามีกริ่งเกรงเราอีกด้วยรู้ไหม?"
"หม่อมฉันมิได้เข้มแข็งอย่างเสด็จพี่...อีกอย่างภูวิษะเจ้ามิเคยตรัสเรื่องนี้กับน้องเลย ยิ่งมิเคยแสดงท่าทีต้องใจพี่กุสุมาลย์อีกด้วย"
"ฮึ...แน่ใจรึน้องพี่?...เจ้านี่อ่อนเดียงสาจริงๆ แต่เอาเถอะถ้าอยากรอให้เขาเอ่ยปากเองก็ตามใจ ถือเสียว่าพี่ไม่ได้พูดก็แล้วกัน" ตรัสจบพินทุมณีเทวีก็ทรงยืนขึ้นด้วยท่าทีปั้นปึ่ง และทำท่าจะเสด็จดำเนินกลับ มหิตาเทวีจึงรีบกุมหัตถ์ภคินีอย่างเอาพระทัย
"เสด็จพี่อย่ากริ้วน้องเลยเพคะ....หม่อมฉันเพียงแต่มิเคยคำนึงถึงเรื่องที่เสด็จพี่ตรัสเท่านั้นเอง"
พระเชษฐคินีเห็นดังนั้นก็ทรงแย้มสรวลอย่างพอพระทัย ที่เติมเชื้อไฟลงไปในดวงฤดีพระขนิษฐาให้หวั่นไหวได้ ต่อไปนี้เห็นจักต้องจับตามองมิช้านานคงเกิดเรื่องมาสู่พระเนตรพระกรรณเป็นแน่แท้ ราชบุตรเขยเมื่อขัดพระทัยพระธิดาองค์โปรด ก็เท่ากับขัดพระทัยพระบาทเจ้าและพระแม่เจ้า แล้วมีหรือจะยังทำท่ายโสโอหังใส่ผู้ใดได้อีกเล่า แค่ดำริไปยิ่งสาแก่พระทัยยิ่งนัก หากวันที่เกิดเรื่องราวขึ้นจริงจะน่าชมดูสักเพียงใด
ส่วนที่หญิงงามที่เพิ่งถูกกล่าวถึงนั้น กำลังก้าวเข้ามาในห้องทรงพระสำราญพร้อมกับศรีดารา นางคนหลังรีบคลานไปนั่งข้างพระวรกายมหิตาเทวี และเขม่นมองไปยังกลุ่มของนางบัวลออคู่อริ ปล่อยให้กุสุมาลย์พร้อมด้วยนางกำนัลอีกผู้หนึ่งซึ่งประคองพานใส่ขนมหวานคลานตามหลังมา
"ถวายบังคมเพคะ พระเทวีทั้งสอง หม่อมฉันเพิ่งทำขนมตราทองมาเพิ่มอีกชนิดเพคะ ให้ลองเสวยกันดูว่าถูกโอษฐ์ไหมเพคะ รับรองว่าไม่หวานมากดอกเพคะ" นางกำนัลคนงามเลื่อนพานใส่ขนมตราทองสีเหลืองอร่าม แกะเป็นดอกตราถวายพระเทวีทั้งสองพระองค์
"น่ากินจริง ไฉนทำเสียเยอะเจียว ?" พินทุมณีเทวีทรงหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาพิจารณา
"หม่อมฉันทำเยอะหน่อย จะได้แบ่งไปเสวยที่ตำหนักพระองค์ด้วยเพคะ และเป็นของหวานไว้ต้อนรับเสด็จ ตอนภูวิษะเจ้าเสด็จกลับมาน่ะเพคะ"
"อ๋อ...ทำเผื่อน้องเขยเรานี่เอง...ช่างดูแลเอาใจใส่กันน่าชื่นใจแทนน้องเรายิ่งนัก" แล้วจึงหันไปตรัสกับขนิษฐาของพระองค์
"หากพี่เป็นเจ้า พี่จะดีใจไม่น้อยที่มีคนคู่ใจอย่างกุสุมาลย์มาร่วมเรียงเคียงหมอนอีกผู้หนึ่ง" กุสุมาลย์ได้ยินเข้าถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ และยิ่งหันไปพบดวงพักตร์มหิตาเทวีซีดเซียวยิ่งนัก ก็รีบแก้ตัวออกมา
"ภูวิษะเจ้าเป็นพระสวามีของพระเทวี หม่อมฉันมิบังอาจเอื้อมเพคะ โปรดอย่าทรงตรัสเช่นนั้นเลยเพคะ!!"
"เป็นไรไปเล่ากุสุมาลย์ เจ้าเองก็สะสวยงดงามมิใช่น้อย กิริยามารยาทเรียบร้อย อีกทั้งยังเก่งการเรือน ใครได้ครองคู่คงปลาบปลื้มยิ่งนัก....จะปล่อยไปก็น่าเสียดายนะมหิตาเจ้าลองคิดดูหน่อยเป็นไร"
"ทรงกล่าวเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันมิมีสิ่งใดเทียมเทียบพระเทวีน้อยได้เลย" ยิ่งทูลก็ยิ่งมิกล้าสบตามหิตาเทวีนายตน
"คนเจียมตัวเช่นนี้สิค่อยน่าส่งเสริม เจ้าว่าจริงไหมบัวลออ" แต่พระพี่นางมิได้สนใจสีพักตร์ของน้องยาองค์เองเลย ยังคงตรัสกับนางกำนัลของตนต่อไป
"จริงเพคะ....กิริยามารยาทหมดจดงดงาม ไม่เหมือนบางคนเป็นถึงลูกขุนน้ำขุนนางใหญ่ แต่กิริยานี้เอะอะมะเทิ่งมิผิดอันใดกับชาวบ้านที่ตลาดล่างก็มิปาน" กล่าวไปก็ชม้ายตามองไปที่ศรีดารา ซึ่งฝ่ายนั้นขุ่นเคืองจนเก็บกลั้นอารมณ์ไม่อยู่
"บัวลออเจ้าว่าผู้ใด!!"
"เปล่านี่...ข้าก็พูดทั่วๆ ไป" บัวลออยังแสร้งตีสีหน้ายิ้มเย้ยตอนกล่าว
"ศรีดาราแล้วเจ้าเป็นอย่างที่บัวลออว่าหรือเปล่า? หากใช่ก็ควรปรับปรุงมิใช่มาขึ้นเสียงถกเถียงกันต่อหน้าข้าเยี่ยงไพร่เช่นนี้"
พินทุมณีเทวีทรงเหลือบมองด้วยปลายเนตร มิเคยชมชอบบุตรีของขุนพลมหัทธนะมาแต่ไหนแต่ไร เพราะทั้งกิริยาไม่งามอีกทั้งทรงโดนนางกำนัลคนสนิทยุยงให้ชิงชังตาม
"แต่ผู้ดีก็มิควรว่ากระทบกระเทียบผู้อื่นแบบนี้นี่เพคะ"
"นี่ข้าพูดแล้วยังเถียงอีกรึ? มหิตาอบรมคนของเจ้าบ้างหาไม่แล้วสักวันข้าทนไม่ไหว จะหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้าไม่ได้นะ" พระนางชี้หน้านางศรีดาราซึ่งอีกฝ่ายมิได้กริ่งเกรงกลับสบสายพระเนตรนิ่ง
"พี่ศรีดารา!! เงียบซะ!! น้องขออภัยแทนด้วยเพคะเสด็จพี่ น้องหย่อนการขัดเกลาเองโปรดอย่างทรงกริ้วเลยเพคะ"
"เฮอะ!! เพราะเจ้าใจอ่อนเยี่ยงนี้น่ะสิ นางกำนัลของเจ้าถึงได้กระด้างกระเดื่องถึงเพียงนี้ เอาเถอะเห็นแก่เจ้า....ข้าจะไม่ถือสาแต่อย่าให้มีครั้งที่สอง" ทรงตวาดด้วยสุรเสียงขุ่น
"เพคะเสด็จพี่..." มหิตาเทวีพระพักตร์เสีย ส่วนกุสุมาลย์นั้นส่งสายตาตำหนิไปยังสหายร่วมตำหนักจนอีกฝ่ายก้มหน้าหนี แต่ยังลอบทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ
"พระเทวีเพคะอย่าทรงกริ้วไปเลย คนป่าเถื่อนขัดเกลาอย่างไรก็หาดีขึ้นได้หรอกเพคะ โปรดทรงเห็นใจในธรรมชาติของนางด้วย"
บัวลออถือโอกาสทูลพร้อมกันนั้นก็กระทบกระเทียบนางศรีดาราไปด้วย จนคนที่ก้มหน้าอยู่นั่นเงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่ แต่ติดที่ครั้งนี้กุสุมาลย์ดึงแขนรั้งไว้โดยแรง จึงมิกล้าแสดงกิริยามากไปกว่านั้นประเดี๋ยวจะเสียไปถึงพระเทวีแห่งตน
"ข้ากลับดีกว่า...หมดอารมณ์จะคุยเสียแล้ว ครั้งหน้าข้ามาก็อย่าเสนอหน้ามาให้เห็นอีกล่ะ" ตรัสจบก็เสด็จดำเนินด้วยพระพักตร์บึ้งตึงออกมา ส่วนนางบัวลออนั้นหันมายักคิ้วหลิ่วตาด้วยแววเยาะเย้ยอย่างเปิดเผย จะมีก็เพียงมหิตาเทวีเท่านั้นที่ถอดหทัยด้วยความกลัดกลุ้ม
"น้อมส่งเพคะเสด็จพี่"
เมื่อขบวนเสด็จของพินทุมณีเทวีจากไปไกลแล้ว กุสุมาลย์รีบคลานไปเบื้องหน้าพระพักตร์แล้วทูลถวายความด้วยใจอันร้อนรุ่ม
"พระเทวีเพคะ....หม่อมฉันมิเคยคิดบังอาจเอื้อม อย่าทรงสดับฟังคำพูดของพระภคินีเลยเพคะ หม่อมฉันหามีความทะเยอทะยานไม่ อีกทั้งภูวิษะเจ้าก็มิเคยคิดกับหม่อมฉันในแง่นั้น ใจของหม่อมฉันมีเพียงรับใช้ทั้งสองพระองค์ด้วยความภักดีเท่านั้นเพคะ" นางโฉมงามละล่ำละลักกราบทูล แต่มหิตาเทวียังนิ่งเงียบมิได้ตอบคำคล้ายว่าตกอยู่ในภวังค์ของความโศกตรม
"นั่นสิเพคะ อย่าไปฟังคำเหลวไหลของพระพี่นางเลย พินทุมณีเทวีก็ทรงเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร นึกจะตรัสสิ่งใดก็ตรัสมิได้คำนึงถึงความรู้สึกผู้อื่น อย่าได้ทรงใส่พระทัยเลยนะเพคะ"
ศรีดารากราบทูลขึ้นมาอีกผู้หนึ่ง แต่หาได้ทำให้ความหนักหทัยของเทวีผู้เลอลักษณ์ทุเลาเบาบางลงได้เลย เพราะทรงมีความคิดหม่นหมองในใจมาพักใหญ่แล้ว และทันทีที่ถูกพระเชษฐคินีตรัสซ้ำย้ำเตือน ก็เหมือนยิ่งขยายรอยแผลนั้นให้กว้างขึ้น
"นึกจะพูดก็พูดนั่นมันพี่ศรีดารามิใช่หรือ? จะพูดจะจาก็หามีความเกรงใจเราไม่ ทั้งที่เราได้เตือนหลายครั้งแล้ว เช่นนี้ควรปล่อยให้เสด็จพี่ทรงเฆี่ยนเสียทีกระมัง" นางคนที่ถูกตำหนิถึงกับนิ่งอึ้งไปก่อนจะรีบก้มลงกราบแทบพระบาท
"หม่อมฉันขออภัยเพคะ หม่อมฉันมิได้ตั้งใจจะทำให้เสียพระพักตร์ เพียงแต่...หม่อมฉันทนนางบัวลออกระทบกระเทียบเช่นนั้นมิได้ ก็เลย...."
"แล้วอย่างไร? ทนไม่ได้นึกจะวิวาทก็ทำเลยงั้นรึ ? ทั้งที่อยู่ต่อหน้าเราและเสด็จพี่พินทุมณีแท้ๆ หาได้มีความกริ่งเกรงเลยสักนิด" ศรีดาราไม่เคยเห็นมหิตาเทวีกริ้วใส่ตนเช่นนี้มาก่อน ก็ได้แต่ก้มหน้านั่งตัวลีบหลบสายพระเนตรที่จ้องมองลงมา
"อย่าทรงกริ้วเลยเพคะ หม่อมฉันจะกำราบแม่นี่เอง แต่จะว่าไป...ก็มิใช่ความผิดของศรีดาราเพียงฝ่ายเดียว บัวลออเองก็สอดแทรกยั่วยุตลอดเวลา แล้วพินทุมณีเทวีก็ทรงให้ท้ายด้วย"
"หมายความว่าเสด็จพี่ของเราผิดงั้นหรือ? ผิดที่ปกป้องนางกำนัลของตนเองอย่างที่เราเองก็กระทำอยู่เช่นกัน!!"
"...หะ...หามิได้เพคะ หม่อมฉันมิบังอาจ" กุสุมาลย์ต้องก้มหน้านิ่งไปอีกผู้หนึ่งเมื่อลมโทสะของพระเทวีพัดมาทางตน
"ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของพี่กุสุมาลย์ เราย้ำเตือนหลายหนแล้วใยจึงไม่ตักเตือนอบรมพี่ศรีดาราเสียที นี่มิใช่เวลามาวิเคราะห์ว่าผู้ใดผิดผู้ใดเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หรือจะปล่อยให้ไปทะเลาะกันหน้าพระพักตร์พระแม่เจ้าเลยดีไหม? แล้วยามนั้นเสด็จแม่จะตำหนิผู้ใดก็คงไม่พ้นเราสินะ !?"
"หามิได้เพคะ!!" นางกำนัลทั้งสองนางหมอบลงกราบเคียงกัน และส่งเสียงขอประทานอภัยดังประสานไปทั้งโถง
"มัวแต่ก้มหัวขอโทษแล้วแก้ไขสิ่งใดได้งั้นรึ ? ดีนะเสด็จพี่ไม่ถือโทษโกรธเอา หากมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีกพี่กุสุมาลย์จักต้องรับผิดชอบ"
"เพคะ...ทรงอภัยให้หม่อมฉันด้วย" กุสุมาลย์รีบรับคำ ข้างฝ่ายศรีดารายิ่งสำนึกผิดว่าโทษของตนไปลงที่พระพี่เลี้ยงคนงามเสียได้
พระเทวีอย่าทรงกริ้วพี่กุสุมาลย์เลยเพคะ เป็นหม่อมฉันไม่ดีเอง แต่มิได้ทำให้คลายความพิโรธลงแม้แต่น้อย
"จะไปไหนก็ไปได้แล้วทั้งคู่เลย!! " เทวีผู้เลิศลักษณ์เมินพักตร์ไม่มองนางกำนัลทั้งสองด้วยขุ่นเคืองเป็นทุน จึงตรัสไล่ไปให้พ้นพระเนตรพระกรรณเสีย
"เพคะ!!" ทั้งสองตอบรับพร้อมกันแล้วจึงคลานถอยออกไป เมื่อถึงบานทวารก็ลุกขึ้นก้าวออกไปนอกโถงไป ปทุมมานางกำนัลอีกผู้ที่ยังรั้งอยู่ในห้องทรงพระสำราญรีบยกพัดขึ้นโบกเอาพระทัย
"อย่าทรงกริ้วเลยนะเพคะ"
มหิตาเทวีมิได้ตรัสตอบในพระทัยยังมิได้คลายความร้อนรุ่น อันสิ่งที่พินทุมณีเทวีตรัสทิ้งไว้เป็นนัยยะนั้น มิได้ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง พระนางตรัสถามองค์เองในพระทัย ว่าผู้มีสายพระเนตรว่องไวอย่างพระพี่นางนั้นคงจะแลเห็นสิ่งใดเข้า แม้ภูวิษะเจ้าจะมิได้แสดงท่าทีเสน่หากุสุมาลย์ก็ตามที
แต่นางโฉมงามนั้นเล่ากลับแสดงความชื่นชมสวามีพระองค์ออกมาอย่างมิมีปิดบังเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเจ้านาคราชนั้นก็ทรงสิริโฉมยิ่งกว่าบุรุษใดในหล้า หญิงใดจักชื่นชมท่วงท่าองค์อาจพิลาศล้ำนั้นก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด ความกังวลในพระทัยนั้นขยายวงกว้างออกไปลุกลามมาถึงในใจเคียงฟ้า หญิงสาวนึกภาพใบหน้างดงามหวานล้ำกับกิริยาอันแช่มช้อยของกุสุมาลย์แล้ว ก็นึกหวั่นใจแทนมหิตาเทวีขึ้นมาทันที
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 26 พฤศจิกายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2555 1:23:15 น. |
Counter : 2453 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|