จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
26 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 

เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 44

ตอนที่ 44


                โถงนั่งเล่นหลังคาสูงประดับด้วยโคมระย้าแก้วเจียระไนดวงโต ส่องประกายวิบวับตัดกับความมืดของรัตติกาลภายนอก สมาชิกในโถงนั้นนิ่งเงียบไม่เสียงสนทนาใดๆ ต่อกัน มีเพียงแววตาที่ฉายความคิดออกมา จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งผู้เป็นเจ้าของสถานที่พ่นลมหายใจออกมาโดยแรงก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยเริ่มบทสนทนา ซึ่งชะงักงันไประยะหนึ่ง


                “ภูวิษะ...” เสียงเรียกของสหายทำให้นาคเจ้าในร่างจำแลงเงยพักตร์ขึ้นมอง ดวงเนตรในยามนั้นหม่นหมองนักเมื่อเล่าถึงอดีตที่ผ่านมา


                “ถามจริงๆ ท่านเก็บปิ่นของกุสุมาลย์ไว้เพื่อการใด?”


                “ทำไมรึ?” ไม่มีคำตอบหากมีคำถามสวนย้อนกลับมา ภูวิษะเจ้าเงยหน้าขึ้นสบตาสหายด้วยความรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่น่าสลักสำคัญ ปิ่นเป็นเพียงสิ่งปลีกย่อยของเหตุการณ์ที่เพิ่งถ่ายทอดไปเท่านั้น


                “สิ่งของผู้ตายเป็นอัปมงคลไม่มีผู้ใดเก็บไว้ดอก...เว้นแต่ว่าต้องการระลึกถึง แล้วระลึกถึงสิ่งใด?” ผู้ถามยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทว่าเป็นยิ้มที่นาคเจ้าลงความเห็นว่ายั่วยุโทสะเป็นที่สุด


                “ระลึกถึงบาปที่เราก่ออย่างไรเล่า”


                “เท่านั้นรึ? มิใช่ระลึกถึงด้วยเสน่หาอาลัย?”


                “วิมุตติ!! ท่านเห็นเราเป็นคนเช่นไร?” ดวงหน้างานปานเทวาสลักมีสีเข้มขึ้นทันที


                “นั่นอย่างไรสิ่งที่ท่านพลาด หากเป็นผู้อื่นเราคงไม่อาจปลงใจเชื่อ แต่เพราะเป็นท่าน เราเชื่อว่าท่านกล่าวด้วยความสัตย์จริง ท่านมิได้มีใจให้แม่หญิงกุสุมาลย์ แต่...ในเพลานั้นท่านจะมีสนมกำนัลสักกี่คนก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดไม่ การมีหญิงเดียวในครอบครองนี่สิถือว่าผิดปกติ ผิดราชประเพณีนัก สัจจะวาจาของท่านรักษาได้ยากนัก หากยังครองคู่อยู่ในแดนมนุษย์ ความลับของท่านสักวันหนึ่งความจะต้องแตกเคยคำนึงหรือไม่?”


                 “เรื่องนี้เราก็เคยตรอง เราคิดจะนำมหิตาลงไปสู่แดนบาดาล เพียงแต่...”


                 “แต่กระไร?”


                 “การนำมนุษย์ไปสู่แดนนั้นหาใช่เรื่องง่ายดายไม่ นางต้องเตรียมตัวเตรียมใจหลายประการ ...”


                 “แล้ว?”


                 “ศีลของนาง...ท่านว่าเสมอเราหรือไม่? นางจะทนบำเพ็ญบุญไปถึงเพลานั้นได้หรือไม่ จะให้ได้บารมีจำเนียรกาลคงล่วงผ่านไปเนิ่นนาน ดังนั้น...การครองรักชั่วชีวิตหนึ่งของมนุษย์มันแสนสั้น เราตั้งใจจะทิ้งเชื้อสายเอาไว้บนอาณาจักรนี้ ตามที่พระบาทเจ้าบวงสรวงขอสายโลหิตจากเราให้ดำรงอยู่คู่จุมภะปุระ ดังนั้นสิ่งใดที่นางปรารถนา...เพียงแค่รักแท้หนึ่งเดียว ไฉนเราจะให้มิได้”


                 “มหิตารู้หรือไม่...วันหนึ่งท่านต้องไป”


                 “นางย่อมต้องรู้เว้นแต่นางหลงลืม หาไม่ก็ต้องหาทางขวนขวายบำเพ็ญบุญเพื่อติดตามเราไป หรือไม่ก็....รอให้บุพกรรมมาบรรจบวนเวียนมาพบกันอีก”


                 “ท่านให้จะโลหิตของท่านกับนางกี่องค์”


                 “เพียงหนึ่ง”


                 “แล้วท่านจะจากไป?”


                  “ภูวิษะในคราบมนุษย์จะสิ้นอายุขัย เมื่อบุตรนั้นรู้ความ มันเป็นพันธะสัญญา...ทว่าทุกอย่างไม่อาจเป็นไปตามนั้นตั้งแต่ต้นแล้ว...บางทีนี่อาจเป็นชะตา”


                  “มีเหตุอันใดขัดข้อง”


                  “มนิษิกา...นางไปสู่แดนบาดาลก่อนที่จะได้พบเรา”


                   มนิษิกาเทวีผู้เป็นภคินีของมหิตาเทวีนั่นเอง ที่เป็นคู่ที่ถูกกำหนดอย่างแท้จริง แต่เมื่อสิ้นพระชนม์กะทันหันจึงกลายกลับเป็นร้าย ในเพลานั้นผู้คนโจษจันว่าจะเกิดเหตุวิบัติแก่จุมภะปุระ สิ่งที่พระบาทเจ้าสิทธิเสณทรงกระทำเพื่อแก้ไขจัญไรนี้ คือการยกเทวีองค์น้อย ผู้เป็นดวงหฤทัยองค์สุดท้องขึ้นมาแทนมนิษิกาเทวี ด้วยศาสตร์วิถีแห่งวิษณุเวทเพื่อแก้ชะตาเมือง


                   มหิตาเทวียังเยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าใจสิ่งที่พระบาทเจ้าทรงกระทำ แต่ดำเนินตามทางที่ถูกลิขิตให้ ทั้งการบ้าน งานเมือง งานทรงอักษร ทุกสิ่งนั้นจึงถูกเคี่ยวกรำฝึกฝนมากกว่าพระธิดาองค์ใด และโปรดให้อยู่ใกล้ชิดมิให้ห่างพระเนตรพระกรรณจวบจนถึงวันสยุมพร พระเทวีน้อยก็ปฏิบัติตามรับสั่งได้อย่างดีเยี่ยม เป็นที่ชื่นพระทัยแก่พระบาทเจ้าและพระแม่เจ้ายิ่งนัก


                  “ท่านหมายความว่า...คู่ของท่านไม่ใช่มหิตา!!” เจ้านาคราชพยักหน้ารับ


                  “ถ้าตามชะตาฤกษ์ที่มนิษิกาประสูติก็ควรเป็นนาง แต่นางคงมิใช่คู่บุพเพของเรา ต่อให้พบเราก็มิพึงใจรัก...เรามิอาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จึงปักใจกับมหิตา ส่วนมนิษิกา...นางไปอุบัติเป็นนาคในภพภูมิเรา”


                   ภูวิษะเจ้าหลับพระเนตรลงแล้วระลึกถึงวันเวลาในกาลก่อน ทรงอยากทราบว่าเจ้าหญิงที่จะมาเป็นชายามีพระพักตร์เยี่ยงไร จึงแอบเสด็จมาเงียบๆ เฝ้ารออยู่ในเทวาลัยหลายครั้งหลายครา เผื่อว่าเทวีองค์ใดจะเสด็จมาให้ทอดพระเนตรบ้างแต่มิเคยได้ยลโฉมเจ้าหญิงพระองค์ใดเลย ด้วยข้อห้ามสตรีมิให้เข้าไปภายในยกเว้นได้รับราชานุญาตทรงจากพระบาทเจ้า


                   จวบจนถึงวันที่มีเด็กหญิงตัวน้อยมุดลอดซุ้มไม้ลักลอบเข้ามาในนาคาลัย นางวิ่งวุ่นไปทั่วจนนาคเจ้าอดสนพระทัยมิได้ ใคร่อยากเห็นนางใกล้ๆ นัก จึงเสี่ยงทายหากเผอิญว่านางคือมหิตาเทวี ซึ่งเข้าพิธีสับเปลี่ยนดวงชะตาให้มาแทนที่มนิษิกาเทวี และหากมหิตาเทวีใช่เนื้อคู่ของพระองค์ เทวีน้อยจะเรียกหาภูวิษะเจ้าเอง และจะเสด็จมาจนถึงที่ที่ทรงซ่อนวรกายอยู่ รวมไปถึงพระนางจะไม่ตกพระทัยเมื่อทอดพระเนตรเห็นพระองค์ในร่างของพญานาคราช เมื่อบรรลุทุกข้อตามคำเสี่ยงทาย ภูวิษะเจ้าจึงบังเกิดเสน่หาผูกพันกับมหิตาเทวีมาแต่บัดนั้น


                    ภาพดวงพักตร์เปล่งปลั่งของมหิตาเทวีในวัยเยาว์ พระปรางอิ่มเป็นสีชมพูอย่างเด็กน้อยด้อยเดียงสา ดวงเนตรเป็นประกายระยิบระยับยามที่จ้องมองมายังร่างอันแท้จริงของพระองค์ มันน่าพิศวงนัก..นางน่ารักน่าถนอมยิ่ง หากเจริญชันษาขึ้นกว่านี้คงเป็นหญิงงามเลิศลักษณ์อย่างแน่แท้ ‘นี่เองหรือหญิงที่จะมาเป็นชายา’ ยามนั้นภูวิษะเจ้าแย้มยิ้มออกจากหทัยเลยทีเดียว ข้อกังขาเรื่องคู่เดิมอย่างมนิษิกาเทวีอีกองค์ก็มลายไปสิ้น ในดวงเนตรมีแต่เงาของมหิตาเทวีสะท้อนอยู่


                   “โอ้..พระกามเทพ ท่านทำกระไร ไฉนผิดคู่ผิดตัว แถมไม่ยอมถอนศรรักจากอกท่านด้วย” ผู้จุติมาจากแดนสรวงรำพันขึ้นมา


                    “เรามิอาจเข้าใจเหตุผลนั้นได้ หากเป็นบททดสอบเราพ่ายแต่ต้นแล้ววิมุตติ”


                    “เฮ้อ...พ่ายสิ่งใดมิพ่าย มาพ่ายต่อความรัก ภูวิษะท่านรู้ไหม...ความรักยากหักหาญเอาชนะ มีแต่ยิ่งถลำตกลงในบ่วงมัน พุทธองค์จึงตรัสว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เป็นสัตย์จริงมิเคยเปลี่ยน”


                    “มันเป็นความพ่ายแพ้ที่เราพร้อมยอมสยบแก่นางเอง มิใช่เพราะผู้ใดมากำหนด...ดังนั้นทุกสิ่งที่บังเกิดขึ้นล้วนแต่เป็นเพราะเราผู้เดียว หากมหิตาครองคู่กับมนุษย์เช่นเดียวกัน บางที...ชะตาของเมืองอาจจะไม่เป็นเช่นนี้” ม่านหมอกแห่งความเศร้าหมองเข้าครอบคลุมดวงเนตรนาคเจ้า ยังทรงโทษองค์เองมิได้ปล่อยวาง


                   “ไม่ใช่เพราะท่านผู้เดียวหรอก เป็นเพราะมหิตา...นางกลับพ่ายต่อมโนกรรมของตน นางฟุ้งซ่าน คิดร้ายแก่ทั้งตนเองและผู้อื่น ท้ายสุดก็ตามมโนกิเลสไป นางไม่อาจวางใจ วางตน ให้บริสุทธิ์ได้ จึงเกิดเรื่องบานปลายจนท่านมิอาจควบคุมท่าน บางที...มันอาจจะเป็นการทดสอบชะตาของเมือง รวมถึงชะตาของท่านด้วยก็เป็นได้”


                   “คงจะเป็นเช่นนั้น...” ภูวิษะเจ้าพยักพักตร์รับ


                   “แล้วเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนั้น”


                   “ปีนั้น...จุมภะปุระดำเนินมาครบ 400 ปีตามวาระ ตรงกับอายุของเรา ดังนั้น...พระบิดาจึงให้เราเลือกเจ้าหญิงแห่งจุมภะปุระองค์หนึ่งเป็นชายาแทนมนิษิกาเทวี”


                    “หมายความว่าไม่จำเป็นต้องเป็นมหิตา?”


                   “ใช่...แต่ต้องเป็นเจ้าหญิงที่ประสูติจากมหาเทวีเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวาระสัญญาแก่นครที่บูชาท่าน...นครที่ทรงให้พร หาไม่แล้ว...จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะพุทธองค์เสด็จลงโลกาแล้ว พุทธากำลังเยี่ยมกรายเข้ามาสู่สุวรรณภูมิ อีกไม่ช้าพวกเราเหล่านาค...จะต้องน้อมกายถอยให้พระบารมี ดินแดนนี้อาจจะไม่คงอยู่หากปราศจากโลหิตของเรา ความเชื่อทั้งปวงต้องล้มลงเพื่อปูทางให้พุทธศาสนา การให้กำเนิดกษัตริย์เชื้อวงศ์นาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง...เพียงแต่จุมภะไม่มีบุญถึงวันนั้น”


                   ชายหนุ่มทั้งสองได้แต่นิ่งงันกันไปอีกครู่ใหญ่ แม้รู้แก่ใจว่าความเปลี่ยนแปลงวันหนึ่งต้องมาถึง ไม่มีอาณาจักรใดดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์แต่กระนั้น จุมภะปุระกลับล่มสลายในอุ้งหัตถ์ของพระองค์เอง ภูวิษะเจ้าจึงบังเกิดความรู้สึกขมขื่นยามยิ่งจะบรรยาย


                  “ภูวิษะ...เราเข้าใจความรู้สึกท่าน” ริมฝีปากของวิทยเทพเม้มสนิทลงจนเป็นเส้นตรง


                 “คราหนึ่ง...เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์..ความเยาว์วัยความเขลาทำให้เราผู้เป็นราชบุตรแห่งนคร ก็เกือบจะ...ทำลายนครด้วยมือตนเอง โชคยังดีที่ชะตาเมืองยังแกร่งนัก หรือไม่...เราก็ไม่มีบุญมากพอจะผลาญเมือง หึ หึ มิเช่นนั้นคงจะต้องเสียใจกว่านี้ แม้จะสาปตนเองร้อยปีพันปีก็มิคลายความผิดได้” เสียงหัวเราะขมขื่นออกมาจากลำคอ สองบุรุษสบตากันนิ่งๆ ต่างมีชะตาร่วมกันหลายครั้งหลายครา


                 “แต่ท่านก็...พาตนมาสู่แดนนิรันดร์ได้ แต่เราสิต้องจมปักอยู่กับความผิดบาป แม้พระบิดายังไม่อาจช่วยแก้ไขผ่อนปรนให้ได้”


                 “เป็นท่านไม่ยอมรับความกรุณาจากผู้ใดเองต่างหากเล่า เฝ้าแต่ประนามตนเอง เฝ้าแต่แบกรับความผิดบาปไว้ผู้เดียว แล้วครั้งนี้เล่า....” วิทยาธรเทพแย้มยิ้มบางเบา


                 “ความผิดใหญ่หลวงมิอาจลบล้างได้ หากแต่เรามีสิ่งติดค้างอยู่ในใจ เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...”


                 “บอกความประสงค์ของท่านมาเถิด”


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                 ‘ถ้าเขาเคยเป็นเนื้อคู่ของฉัน...ทำไมชาตินี้เราถึงเกลียดกันขนาดนี้’


                  หญิงสาวจรดปากกาลงในสมุดบันทึกที่พกติดตัวมาที่มหาวิทยาลัย หล่อนใช้เวลาว่างระหว่างรอชั่วโมงเรียนมานั่งเล่นที่สวนหย่อมข้างอาคารเรียน เมื่อก่อนเคียงฟ้าไม่ใช่คนชอบเขียนบันทึกนัก แต่หลังจากที่พบเหตุการณ์ต่อเนื่องในความฝัน หล่อนจึงเริ่มจดบันทึกเรื่องราวที่เห็นในฝันอย่างละเอียด และพบว่ามันต่อเนื่องราวนวนิยายชีวิตเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว


                  ความรู้สึกสับสนทำให้หล่อนจดจ่ออยู่กับเจ้าภูวิษะคนปัจจุบัน แม้รูปกาย ภายนอกหรือแม้แต่ชื่อก็เหมือนกับเจ้านาคราชราวกับเป็นคนคนเดียวกัน ทว่านิสัยใจคอกลับไม่เหมือนสวามีของมหิตาเทวี เจ้าภูวิษะคนใหม่ไม่ใช่คนอ่อนหวาน นัยน์คู่นั้นมองหล่อนอย่างดูแคลนเกรี้ยวกราดตลอดเวลา เขาไม่ชอบหล่อนถึงขั้นรังเกียจ เคียงฟ้าแน่ใจในข้อนั้นแต่ยังอดคิดถึงเขาไม่ได้


                 “ฟ้าทำอะไรอยู่น่ะ” เสียงเรียกจากด้านหลังยังผลให้หญิงสาวสะดุ้งจนสุดตัว หล่อนรีบปิดสมุดบันทึกแต่ไม่ทันเสียแล้ว มิรันตีที่ลอบสังเกตมาคู่ใหญ่ชิงฉวยเอาไปเสียก่อน


                 “เขียนนิยายเหรอ? โอ้โห...มีเนื้อคู่ด้วย” หล่อนหัวเราะคิกคักแล้วเรียกคนโน้นคนนี้มาดู จนเคียงฟ้าอับอายวิ่งเข้าไปแย่งสมุดกันเป็นพัลวัน แต่มิรันตีไม่ยอมคืนให้หนำซ้ำยังวิ่งหนีไปตามระเบียงทางเดิน


                 “แอนไม่เล่นนะ เอาคืนมา!” มิรันตีย่นจมูกแม้ไม่ตอบก็รู้แน่ว่าไม่คืนให้ สองสาวจึงไล่กวดกันไปมาพอจะจวนตัว เพื่อนรักตัวร้ายก็แกล้งโยนสมุดทิ้งไปไกลๆ ตัว สมุดบันทึกเจ้ากรรมหล่นใส่ใครไม่หล่นกลับไปถูกโยนลงตรงหน้าวิมุตติ สองสาวมองตามแล้วถึงกับนิ่งอึ้งไป อย่างไรเขาก็เป็นอาจารย์อาจจะตำหนิเอาได้


                 “ระวังหน่อยเดี๋ยวชนคนอื่นเข้า”


                 “ขอโทษค่ะอาจารย์ ฟ้าเขาเขียนนิยายอยู่เลยอดแกล้งไม่ได้น่ะค่ะ” มิรันตีทำหน้าทะเล้น แต่ทำให้อาจารย์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนก่อนจะมองสมุดบันทึกในมืออีกครั้ง


                 “ไม่ใช่หรอกค่ะ แค่เขียนอะไรเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง” เคียงฟ้าขยับตัวไปอยู่เบื้องหน้าเขา สีหน้าหล่อนไม่สู้จะดีนัก


                 “ขอคืนนะคะ” หนุ่มรูปทองพยักหน้าแต่ไม่ส่งสมุดคืนให้


                 “ไว้หลังจบคาบ คุณไปเอาที่ห้องพักครู” เขาตอบแค่นั้นแล้วถือวิสาสะยึดสมุดบันทึกของหล่อนไป ทำเอาหญิงสาวหน้าเสีย


                 “เดี๋ยวฉันไปเอาเป็นเพื่อน” มิรันตียืนยิ้มอยู่ข้างๆ แต่ถูกปฏิเสธทันทีด้วยเสียห้วน


                 “ไม่ต้อง!!” พูดจบก็เดินหนีไปพร้อมกับสีหน้าบูดบึ้ง


                 “อะไรกันน่ะ ล้อเล่นแค่นี้ต้องตวาดกันด้วย” คนเป็นเพื่อนบ่นอุบด้วยความไม่พอใจ หล่อนชักจะไม่ชอบเคียงฟ้ามากขึ้นทุกทีแล้วสิ จึงเบ้ปากแล้วสะบัดหน้าเดินไปอีกทาง


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                  เคียงฟ้าไม่ได้ไปพบวิมุตติในทันทีหลังจบคาบเรียนอย่างที่เขาบอก เพราะไม่อยากให้มิรันตีติดตามไปด้วย หล่อนจึงจงใจทิ้งเวลาทำเป็นไม่กระตือรือล้นเมื่อมิรันตีเซ้าซี้


                 “ไม่ไปเอาสมุดคืนเหรอ? เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”


                 “ไม่ต้องหรอกไม่ใช่ของสำคัญ อีกอย่างเธออยากไปหาอาจารย์ก็ไปสิ ไม่ต้องกังวลเรื่องสมุดของฉันหรอก” หล่อนพูดอย่างธรรมดาที่สุดแต่คนเป็นเพื่อนก็ดูออกว่าเคียงฟ้ากำลังเหน็บแนม


                 “อะไรกันนี่ยังไม่หายโกรธฉันอีกเหรอ?” มิรันตีสะบัดตัวด้วยความไม่พอใจ หล่อนแสร้งตีหน้าบึ้งใส่บ้าง


                  “แอน...บางทีคนเราก็มีโมเม้นท์ส่วนตัวบ้าง” หญิงสาวตอบแค่นั้น แล้วปลีกตัวจากไปโดยไม่สนใจสายตาไม่พอใจของเพื่อน


                  “หยิ่งนักนะนังนี่...หนอย! อยากจะมีโลกส่วนตัวก็เชิญเลย ฉันไม่สนหรอกเรื่องพี่เจ้าน่ะฉันไม่จำเป็นต้องเอาสมุดเธอเป็นข้ออ้างหรอก คนอย่างฉันอยากจะไปหาเขาเมื่อไรก็ไปได้” พูดจบเชิดหน้าขึ้นแล้วสะบัดตัวเดินไปอีกทาง


                  ใจจริงแล้วเคียงฟ้าอยากได้สมุดบันทึกคืนใจจะขาด หล่อนภาวนาอย่าให้เขาเปิดมันอ่านเลย ปกติอาจารย์ผู้ลึกลับของหล่อนเป็นคนแก่มารยาทเขาคงจะไม่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของนักศึกษาหรอกนะ แต่ถ้าหากเขาอ่านมันล่ะหล่อนควรจะทำยังไงหรือจะปรึกษาเขาดี หญิงสาวขบคิดอยู่ครึ่งวันจนไม่มีสมาธิเรียนหนังสือ แล้วบ่ายแก่ๆ วันนั้นเองหล่อนก็ทนรอไม่ไหวจึงไปนั่งรอเขาในห้องพักอาจารย์ก่อนที่เจ้าตัวจะกลับเข้ามาเสียด้วยซ้ำ


                   “เคียงฟ้า...มานานแล้วหรือ?” หญิงสาวยิ้มบางๆ แทนคำตอบ


                   “ดื่มน้ำหน่อยไหม? หยิบเอาในตู้เย็นได้ น้ำอัดลมก็มี”


                   “ไม่เป็นไรค่ะ”


                   “งั้นชงกาแฟให้ผมสักแก้วสิ กาแฟสาม น้ำตาลช้อนเดียวพอนะ” เมื่อเป็นคำสั่งหล่อนจึงจำใจไปชงกาแฟให้เขา


                    “นี่ค่ะอาจารย์”


                    “ขอบคุณครับ”


                    “ฟ้า...เอ้อ หนูขอสมุดคืนด้วยค่ะ” เขาหยิบมันส่งคืนให้หล่อนแต่โดยดี หญิงสาวยินดีนักเมื่อรับมาแล้วจึงขอตัวทันที


                   “เคียงฟ้า...นั่งคุยกันสักครู่ได้ไหม?”


                   “เฮ้อ..คือหนู ต้องไปเตรียมตัวเรียนคาบต่อไป”


                   “วันนี้ อ.สุรชัย งดสอนครับ” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาหล่อน แล้วผายมือเป็นเชิงให้นั่งลง


                   “อาจารย์จะคุยเรื่องอะไรเหรอคะ?” หล่อนก้มหน้าพูดไม่ยอมสบตาเขา


                   “เรื่องที่คุณเขียนลงในสมุดนั่น...”


                   “อาจารย์อ่านมัน...” หน้าหล่อนแดงก่ำด้วยไม่พอใจขึ้นมาทันที ส่วนเขาไม่มีแววจะรู้สึกผิดด้วยซ้ำ


                  “มันเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันของหนู...อย่างที่แอนบอก หนูเขียนนิยายอยู่” เคียงฟ้ารับสมอ้างทันที


                  “โดยมีพระเอกเป็นเจ้าภูวิษะงั้นรึ?” อาการจี๊ดแล่นลงกระเพาะอาหารทันที หล่อนอุปทานไปว่าวิมุตติกำลังยิ้มเยาะ


                  “ผมขอโทษที่ถือวิสาสะอ่าน” หญิงสาวไม่ตอบรับคำขอโทษนั้น เพราะมันไม่มีประโยชน์แล้วในเมื่อเขาลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของหล่อน


                  “เคียงฟ้า...เคยคิดจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าภูวิษะบ้างไหม?”


                  “จะให้เขาหัวเราะเยาะหนูเหรอคะ?” น้ำตาหล่อนรื้นขึ้นมาทันทีเมื่อนึกใบหน้าของเจ้าภูวิษะ เขาคงดูแคลนหล่อนทั้งเหยียดหยามด้วยวาจาและนัยน์ตาคู่นั้น


                   “ไม่หรอก...เขาไม่มีวันจะหัวเราะเยาะคุณเชื่อผมเถอะ” อาจารย์หนุ่มพูดพลางดันกล่องทิชชู่ให้หล่อนไปใช้เช็ดน้ำตา


                   “เขาเกลียดหนู” ยิ่งพูดหญิงสาวก็ยิ่งน้ำตาไหล ไม่รู้ทำไมเพียงแค่คิดว่าเขาเกลียดก็เสียใจจนทนไม่ได้เสียแล้ว


                   “เขาไม่เกลียดคุณ และไม่มีทางจะเกลียดคุณได้ผมรับรอง” น้ำเสียงนั้นหนักแน่นมั่นคง แววตาที่มองดูหล่อนหาใช่แววเวทนาแบบที่เขาเคยมีให้ แต่คล้ายกับว่ากำลังรื่นรมณ์สิ่งใดอยู่ แท้จริงแล้ววิทยเทพกำลังระลึกถึงบทสนทนาระหว่างตนกับภูวิษะเจ้าเมื่อค่ำคืนก่อน


                   “วิมุตติหากท่านเคยมีรัก ท่านจักเข้าใจ” สุรเสียงของนาคเจ้าเคร่งขรึมยิ่งนัก ยามเอ่ยถึงความรักอันแสนเศร้าของตนเอง ความรักอันบ่วงพันธนาการข้ามภพข้ามชาติมานับพันปีเช่นนี้


                   “แม้มิต้องมีรัก แต่เรามีหัวใจ...ใช่ไร้ความรู้สึก รักนั้นเป็นอย่างไรเราสัมผัสได้” วิทยเทพโต้แย้ง


                   “งั้นท่านก็จงรู้ไว้เถิด ใจเรามีดวงเดียว...แม้อยากได้มันคืนก็มิอาจทำได้...เราเกลียดนาง!!!” ความขมขื่นเจือออกมาอย่างเห็นได้ชัด วิมุตติแม้เห็นใจแต่ก็อดลอบยิ้มมิได้


                   “ท่านรักนาง...”


                    “เกลียด!”


                     “รัก!”


                    “นี่จะรวนเราไปเพื่อกระไร?” หากไม่ใช่สหายเก่านาคเจ้าคงไม่ทนเสวนาต่อเป็นแน่แท้ ส่วนกึ่งเทพรูปทองส่ายหน้าปฏิเสธบอกให้รู้ว่ามิได้หยอกเอิน


                    “ขั้นแรกของความชังคือเจ็บปวด ขั้นต่อมาด้านชา ขั้นสุดท้าย..คือปลง อีกฝ่ายจะทำสิ่งใดมีค่าแค่ตาเห็นแต่ใจนั้นหารู้สึกไม่ ท่านยังข้ามขั้นแรกไปมิได้ อย่าริพูด...ว่าเกลียดมหิตา มีแต่เด็กอมมือเท่านั้นที่เชื่อท่าน”


                    “วิมุตติ...หากมิเคยรักจะไม่เกลียดเข้าใจหรือไม่? เราเกลียดนาง เกลียดชังนิสัยคิดร้ายกับตนเอง คิดแต่สิ่งมัวหมอง แล้วกระทำตามมโนกิเลส มันถึงได้เป็นเยี่ยงนี้ หากนางรักเราแม้สักกระผีกริ้นนางจักเชื่อใจเรา เรื่องจะไม่เป็นเช่นนี้” ภูวิษะเจ้าตรัสด้วยสุรเสียงกังวานขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คู่สนทนาได้แต่พยักหน้ารับ


                     “ก็นางรักท่านน่ะสิ ถึงได้เป็นเช่นนี้...หากไม่รักจักไม่แค้น”


                     “เราต่างหากต้องเป็นผู้แค้น!! เราไปทำสิ่งใดให้นางแค้น”


                     “เยอะแยะ...” นาคจำแลงตบโต๊ะตรงหน้าดังผาง ดวงหน้าแดงกล่ำริมโอษฐ์เม้นแน่นด้วยโทสะ แต่สหายเก่าแก่ชิงยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน


                     “เราแค่ว่าตามสิ่งที่นางคิด..ท่านอย่าเพิ่งมีโทสะ ท่านเล่าแค้นนางหรือไม่?” ภูวิษะเจ้าจึงค่อยลดโทสะลง


                     “เราโกรธนาง เกลียดนาง แต่หาได้แค้นนางไม่” ผู้ฟังระบายยิ้ม


                     “ก็นี่อย่างไรเล่า...ในความเกลียดต้องประกอบด้วยความแค้น ท่านหาได้มีสิ่งนั้นไม่..นี่จึงไม่ใช่ความเกลียดชัง”


                     “แล้วมันเป็นสิ่งใดเล่า?”


                     “มันเรียกว่า ‘ความผิดหวัง’ น่ะสิ”


                     “ความผิดหวังงั้นรึ?...” นาคเจ้านิ่งงันไปอีกครา มันเป็นเพียงแค่ความผิดหวังเท่านั้นเองหรือ ไฉนจึงสร้างความเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้



                     แล้วยามนี้เคียงฟ้าหญิงที่ชาติหนึ่งเคยเป็นชายาของเจ้านาคราชกำลังกล่าวสิ่งเดียวกันมิมีผิดเพี้ยน จึงอดลอบยิ้มออกมาไม่ได้ หัวใจยังรู้สึกตรงกันถึงเพียงนี้แล้วทำไมกำแพงทิฐิของแต่ละฝ่ายจึงสูงนัก แล้วเมื่อใดเล่าใครจะฝ่าฟันปีนป่ายข้ามไป


                    “เคียงฟ้า...เขาไม่มีทางเกลียดคุณได้หรอก เขาแค่...กลัวความผิดหวังครั้งที่สอง หลังจากที่มหิตาเทวีทำให้เขาผิดหวังมาแล้ว” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าอาจารย์หนุ่มทันที จนเขานึกขำสีหน้านั้น ดวงตาหล่อนเบิกกว้าง ริมฝีปากอิ่มเผลอเล็กน้อยเหมือนเปล่งเสียงไม่ออก


                      “อาจารย์หมายความว่ายังไงคะ?”


                     “ไปถามเขาด้วยตัวเองสิ!” เสียงนั้นดังกังวานเข้าไปในดวงจิต แก้วตาสีน้ำตาลนั้นราวกับมีพลานุภาพแผ่ออกมาหล่อนหมดสิ้นคำถามในทันใด รู้แต่ต้องตามเขาไป...ไปหาเจ้าภูวิษะ!



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++







 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2556
1 comments
Last Update : 27 พฤษภาคม 2556 0:02:18 น.
Counter : 1481 Pageviews.

 

มิรันตรีนี่นางเป็นผู้ใดในอดีตงั้นรึ ตามรังควาญเจ้านางน้อยจัง หมั่นไส้นางอะ O^O
มาเจิมแล้วจ้า ^^

 

โดย: Maru FC IP: 58.8.181.62 27 พฤษภาคม 2556 1:24:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.