จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
16 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 

เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 42

ตอนที่ 42
ความตายของกุสุมาลย์


             ในห้องนั้นมิได้มืดสนิทยังมีแสงไฟสลัวจากโคมไฟดวงเล็กข้างเตียง ส่องให้เห็นว่าเจ้าของห้องนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง ร่างอ้อนแอ้นทอดถอนหายใจ จิตใจหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องราวที่ผ่านภพไปเมื่ออดีตชาติ โดยไม่รู้ตัวว่าแรงคะนึงนั้นเป็นคลื่นจิตชั้นดีที่จะเรียกหาวิญญาณหญิงงาม


             “พี่กุสุมาลย์...พี่ตายเพราะอะไร?” เสียงพึมพำรำพึงลอดริมฝีปากออกมา แต่ไม่มีคำตอบใดกระจ่างในห้วงความคิด เคียงฟ้าพลิกตัวลงนอนแต่ไม่อาจข่มตาให้หลับสนิทได้


             “...เจ้าอยากรู้รึ?”


             เสียงแผ่วเบาปรากฏขึ้นในห้วงสำนึก แต่ก็ปลุกให้เคียงฟ้าลุกพรวดจากที่นอน แล้วเหลียวมองไปรอบห้องด้วยอาการตื่นตระหนก เมื่อแรกก็มองไม่เห็นสิ่งใดหล่อนจึงถอนหายใจว่าหูแว่วไปเอง แต่พอจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เสียงผู้หญิงสะอึกสะอื้นก็ปรากฏขึ้นที่มุมห้อง หญิงสาวหันขวับไปตามทิศทางของเสียงทันที


             ห้องนอนอันคุ้นเคยมืดสนิทลงมองไม่เห็นแม้แต่แสงโคมไฟ แต่มุมหนึ่งกลับค่อยๆ กระจ่างขึ้น ให้เห็นเขาโครงร่างสตรีอรชร นางนั่งพับเพียบก้มหน้าร่ำไห้อยู่หน้ากระจกทองเหลือง แม้ไม่เห็นหน้าชัดเจนนักแต่ทราบได้ในทันทีว่านั่นคือผู้ใด วิญญาณจากอดีตกาลค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วผินหน้ากลับมาเคียงฟ้า ดวงหน้าซีกหนึ่งมีรอยแผลสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำพาดผ่าน ส่วนอีกซีกหน้าแม้งดงามโสภาแต่ขาวซีดไม่ต่างกับคนตาย นัยน์ตาที่เคยงดงามมาบัดนี้แดงก่ำรวกับโลหิต แววตาทอแสงแห่งความพยาบาทจนวาวโลด


             “เจ้าอยากรู้ใช่ไหม? อยากรู้ใช่ไหมมมมมมมมมมมมม?!!!!!” เสียงถามกรีดร้องจนเสียดแทงเข้าไปในใจ เคียงฟ้านั่งตัวแข็งทื่อไม่อาจขยับเขยื้อนได้


            “ข้าจะบอกให้..เพราะเจ้านั่นแหละ!!!” วิญญาณภูตแสยะยิ้ม ดวงตามาดร้ายมีน้ำตาไหลออกมา ทว่ามันเป็นสีเลือดไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างน่าสะพรึงกลัว


            “ข้าอุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้ามาแต่น้อย...ทั้งรัก ทั้งถนอม ไม่ต่างกับน้องร่วมสายเลือด แล้วดูสิเจ้าสินางหญิงใจทราม!!”


            “พะ...พี่..กุ..สุ..มาลย์” เคียงฟ้าได้แต่อึกอักเสียงตอบไม่เต็มปาก


            “จงดูให้เต็มตา วาระสุดท้ายของข้า!!” ภูตสาวตวาดก้องด้วยความเคียดแค้น จากนั้นหันไปรำพันถึงความทุกข์ของตนเองต่อ


            “พระเทวี...ทั้งที่ข้ารักท่านเช่นนี้ นี่คงเป็นความประสงค์ของท่านสินะ...” วิญญาณสาวพูดพึมพำเหมือนคนไร้สติ เจ้าของห้องเห็นเข้าทั้งหดหู่เวทนาและหวาดกลัวไปพร้อมๆ กัน เมื่อพบว่าสติของกุสุมาลย์ในวาระสุดท้ายของชีวิต นางวิปลาสไปเสียแล้ว


            “ภูวิษะเจ้า...ขอบพระทัยที่ประทานทางเลือกให้...”


            สีหน้านางยามกล่าวถึงชายที่เทิดทูน ความน่าสะพรึงเมื่อครู่จางหายไปคงเหลือแต่ความเศร้าสร้อย จากนั้นนางก็ควานเอาปิ่นจากลิ้นชักของตั่งวางเครื่องประทินโฉมขึ้นมากำไว้ ในความมืดปิ่นเงินในมือกุสุมาลย์กลับเรืองรอง คล้ายต้องการให้เห็นชัดเจนว่าเป็นปิ่นที่นาคเจ้าเคยประทานให้เมื่อครั้งก่อน กุสุมาลย์ชูปิ่นขึ้นสูงแล้วหันปลายแหลมของปิ่นเข้าสู่ตนเอง เคียงฟ้าเข้าใจแล้วนางจะทำอะไร หญิงสาวคล้ายจากหลุดจากอาการสะกด เมื่อขยับตัวได้หล่อนลุกขึ้นวิ่งมาหากุสุมาลย์ทันที...


            ...แต่อนิจจา...ปิ่นในมือหญิงงามแทงลงมาสุดกำลัง มันรวดเร็วเกินกว่าเคียงฟ้าจะห้ามทัน ปลายแหลมของมันแม้มิใช่ของมีคมแต่ด้วยแรงของผู้เป็นเจ้าของ จึงทิ่มทะลุคอนางทันที


            “กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!! พี่กุสุมาลลลลลลลลลล...ย์" หล่อนกรีดร้องลั่น พยายามเข้าไปประคองร่างกุสุมาลย์ที่ล้มตะแคงไป แต่ยังไม่ทันถึงตัวร่างนั้นกลับขยับตัวเงยหน้าที่นองไปด้วยเลือดจากทั้งนัยน์ตาสองข้างและบาดแผลที่คอขึ้นมองแล้วแสยะยิ้มให้เคียงฟ้าอย่างน่าสยดสยอง


            “เจ้าอยากได้ปิ่นเงินนี่คืนสินะ...เป็นปิ่นที่ภูวิษะเจ้าประทานให้ข้า...เจ้าหึงหวงสินะ”


             กล่าวจบนางก็ยันตัวขึ้นด้วยแขนทั้งสองข้าง เลือดจากลำคอระหงไหลเจิ่งนองมาเป็นสาย กุสุมาลย์จัดท่านั่งได้เรียบร้อย นางก็คลี่ยิ้มงดงามทว่าน่าสะพรึงกลัว นัยน์ตาสองข้างแดงก่ำจนน่ากลัว มือเรียวค่อยดึงด้ามปิ่นออกจากลำคอตัวเองอย่างยากเย็นคล้ายติดขัด จนนางต้องเงยหน้าขึ้น


             “ข้าแทงลึกไปหน่อย...เจ้าคงต้องรอสักครู่” สีหน้านางบ่งบอกได้เพียงนางวิกลจริตไปเสียแล้ว


             ไม่นานนักกุสุมาลย์ก็ดึงปิ่นให้พ้นจากลำคอได้สำเร็จ ทว่ามีโลหิตแดงฉานพุ่งตามออกมาเป็นสาย วิญญาณหญิงงามยื่นปิ่นในมือไปให้เคียงฟ้า


             “นี่เพคะพระเทวี รับไปสิเพคะ” เคียงฟ้าร้องไม่ออกได้แต่ยกสองมือขึ้นปิดปาก


             “บอกให้เอาไปไงเล่า!!!”


              เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองนางก็เกรี้ยวกราด ปาปิ่นลงแทบเท้าอีกฝ่าย ภาพตรงหน้าสยดสยองจนเคียงฟ้าไม่อาจคุมสติได้อีกต่อไป หล่อนกรีดร้องออกมาด้วยความกลัวแล้วสิ้นสติไปในที่สุด...


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


             “พระเทวี! พระเทวี! เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”


              ดวงเนตรงามค่อยปรือขึ้นมาท่ามกลางความโล่งอกของทุกผู้ในห้องนั้น เรียกเสียงถอนหายใจจากเหล่าบรรดานางกำนัล ดวงหน้าแต่ละนางดูจะขวัญเสียไม่แพ้กัน ต่างพากันร่ำไห้สะอึกสะอื้นกันทั่วทั้งตำหนัก


             “ทำพระทัยดีๆ ไว้เพคะ ไม่อย่างนั้นพี่กุสุมาลย์จะจากไปอย่างเป็นกังวลนะเพคะ” ปทุมมาประคองร่างเทวีแห่งนางขึ้นมานั่ง หญิงสาวสะบัดหน้าด้วยความงุนงง เมื่อพบว่าหล่อนเข้ามาสู่ภพอดีตโดยไม่รู้ตัว


             “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เมื่อกี้พี่กุสุมาลย์ยังอยู่ตรงนี้ นางหายไปไหนแล้ว” ทุกผู้ล้วนแต่ปิดปากเงียบสนิท มีเพียงมหิตาเทวีทรงยืนแล้วตรัสขึ้นมาด้วยท่าทางไม่ต่างกับละเมอ


             “มัวทำอะไรกันอยู่...เมื่อกี้ข้าเห็นพี่กุสุมาลย์ นาง...นาง เอาปิ่น...ปิ่นที่เสด็จพี่ประทานให้...” ตรัสได้แค่นั้นวรกายก็โอนเอนคล้ายทรงร่างไม่อยู่ ปทุมมาและศรีดารารีบปรี่เข้ามาประคอง


             “พระเทวีทรงพระสุบินไป...เพคะ”


             “สุบิน...ฝัน? แปลว่าข้าฝันไปเองอย่างนั้นรึ?” ดวงตากลมโตค่อยมีแววแห่งความหวัง “ถ้างั้นพี่กุสุมาลย์ก็ยังอยู่ นางมิได้ฆ่าตัวตายใช่ไหม?!” เมื่อดำริออกมาดังนั้นก็ดีพระทัยขึ้น


              “งั้นไปหานางกัน อย่าปล่อยให้นางอยู่คนเดียวเป็นอันขาด!” เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวียิ้มออกมาทันที บางทีการกลับมาครั้งนี้อาจจะยังทันเวลา หล่อนอาจจะช่วยชีวิตกุสุมาลย์เอาไว้ได้


              “พระเทวี...” แต่พวกนางกำนัลอิดเอื้อน และต่างก็มีน้ำตาไหลนองหน้า


              “ชักช้าอยู่ไย เดี๋ยวจะเสียการ”


              “พระเทวีเพคะ...พี่กุสุมาลย์จากพวกเราไปแล้ว..ฮือ” เป็นศรีดาราที่ทูลถวายพร้อมทั้งร้องไห้ออกมาอย่างไม่ปิดบัง พลอยให้นางกำนัลอื่นๆ สะอื้นไห้ตามกัน


              “....พี่กุสุมาลย์” สุรเสียงที่ตรัสออกมาคล้ายจะขาดพระทัยตาม พระนางค่อยทรุดวรกายลงนั่งอีกครั้งด้วยความเลื่อนลอย อัสสุชลรินออกมาเป็นสายเมื่อรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับกุสุมาลย์

               ความจริงแล้วเช้ามืดของวันนั้นกุสุมาลย์ตัดสินใจปลิดชีพตนเองลงอย่างเงียบๆ โดยที่เพื่อนนางกำนัลยังหลับไหลไม่ทันรู้ตัว เมื่อได้ยินเสียงร่างอรชรล้มฟาดลงกับพื้นกระดานแล้วกระตุกร่างอย่างรุนแรง นางจึงค่อยตื่นขึ้นมาพบกับความตกใจสุดขีด เสียงร้องของความช่วยเหลือดังไปทั่วทั้งตำหนัก มหิตาเทวีรับทราบตั้งแต่ตื่นบรรทม พระนางมิได้ตรัสสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว ราวกับดวงหทัยจะหลุดลอยตามพระพี่เลี้ยงคนงามไปด้วย ชายาแห่งนาคเจ้าสิ้นสติสมประดีไปในทันที กว่าจะได้สติอีกครั้งก็ล่วงไปยามบ่ายเสียแล้ว


               เคียงฟ้าจึงได้แต่นิ่งเงียบปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้ม สมองอื้ออึงไปด้วยความโกรธ...โกรธใคร โกรธทั้งตนเอง โกรธมหิตาเทวี...โกรธพินทุมณีเทวี


              “เสด็จพี่พินทุมณี!!” หล่อนอุทานออกมาเหมือนนึกถึงบางสิ่งได้ เท่านั้นเองกองกูณฐ์ในใจก็ลุกลาม สีพระพักตร์ของมหิตาเทวีเคร่งเครียดดวงเนตรวาววาบอย่างกริ้วจัด พลันผลุนผลันลุกขึ้นดำเนินไป เหล่านางกำนัลพากันมองด้วยความงงงวย


              “จะเสด็จไหนเพคะ?”


              “ไปตำหนักเสด็จพี่พินทุมณี!” มหิตาเทวีหมายมาดไปถามหาผู้รับผิดชอบความตายของกุสุมาลย์!


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


               ข้างฝ่ายพินทุมณีเทวีทรงสำราญอยู่ด้วยการปรนบัติจากนางกำนัล มิทันได้เฉลียวพระทัยว่าอีกไม่ถึงอึดใจต่อมาพระขนิษฐาจะนำไฟร้อนมาถวาย จนกระทั่งเสียงอื้ออึงดังขึ้นหน้าตำหนัก ตามด้วยสุรเสียงมหิตาเทวี


               “หลีกไป!!”


               ชายานาคเจ้าผลักไสนางกำนัลที่ออกมาขวางทางเสด็จ แล้วดำเนินไปอย่างเร่งรีบ มิได้ต้องการให้นางประจำตำหนักนำเสด็จตามราชประเพณี ทรงสาวพระบาทรวดเร็วกระทั่งศรีดารา ปทุมมาและนางอื่นๆ ต้องรีบสาวเท้าก้าวตาม สร้างความงุนงงแก่ผู้พบเห็นเป็นอันมาก กิริยาอ่อนหวานนุ่มนวลของพระนางดูจะมลายหายไปสิ้น


              “พระเทวีเพคะ....เดี๋ยวรอให้พวกนางไปทูลว่าจะเข้าเฝ้าก่อนดีกว่านะเพคะ” ศรีดาราแม้ไม่นิยมพระภคินีของนายตนนัก แต่การบุกตำหนักเช่นนี้เกรงว่าจะถูกครหาได้ จึงทูลห้ามปรามแต่มิเป็นผล


              “ไม่ต้อง!! พวกเจ้าต่างหากไปบอกนางให้ออกมาพบข้า” ว่าแล้วก็ใช้ดรรชนีชี้กราดใส่นางกำนัลของพินทุมณีเทวีจนลนลานไปทั่ว


               ความอลหม่านเกิดขึ้นเพียงครู่เดียว พินทุมณีเทวีก็เสด็จออกมาด้วยความฉงนพระทัย พระขนงขมวดมุ่น แววเนตรบ่งบอกความไม่พอพระทัยยิ่งนัก


              “มหิตา! มาเอะอะมะเทิ่งที่ตำหนักข้าทำไม?” ทรงตำหนิพระขนิษฐาด้วยความขุ่นพระทัย แต่เมื่อสบดวงเนตรวาวโลดของมหิตาเทวีแล้วก็ทรงรับรู้ได้ว่านี่มิใช่เหตุการณ์ปกติ


              “เจ้ามีเรื่องด่วนอะไรมาปรึกษาพี่งั้นรึ? สีหน้าสู้ไม่ดีนัก...หรือเป็นเรื่องสวามีเจ้ากับกุสุมาลย์” แม้จะไม่พอพระทัยกิริยาองค์ขนิษฐานนัก แต่เมื่อทอดพระเนตรเห็นสีพระพักตร์มหิตาเทวีแล้ว ก็ทรงคาดว่าต้องเป็นเรื่องร้ายแรง จึงกระหายใคร่รู้ลืมเลือนความไร้มารยาทของผู้มาเยือนไปได้


              “เพคะ...เรื่องพี่กุสุมาลย์” มหิตาเทวีตรัสตอบ พลางแย้มสรวลอย่างเย็นชายิ่ง ก่อนที่จะตรงดิ่งเข้าไปหาพินทุมณีเทวี


              “เดาไม่ผิดเลย...ทำไมภูวิษะขอจะยกนางขึ้นมาใช่ไหมเล่า ข้าก็เคยเตือนเจ้าแล้ว”


              “มิใช่เพคะ พี่กุสุมาลย์จะไม่ก่อปัญหาใดๆ ให้หม่อมฉันอีกแล้ว เพราะว่านางตายแล้ว!!”


              “เจ้าว่าอะไรนะ?” พระภคินีประทับนิ่งวรกายเย็นเฉียบขึ้นมาทัน ในขณะที่พระขนิษฐาหลั่งอัสสุชลด้วยความคับแค้น


              “เกิดเรื่องอันใดขึ้น? นางเป็นอันใดตาย?”


               “เป็นอันใดน่ะรึ? ยังมีหน้ามาถามอีกหรือพินทุมณี” เคียงฟ้าในร่างมหิตาเทวีสั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธแค้น ว่าแล้วก็ถลาเข้าตบตีพินทุมณีเทวีเป็นการใหญ่


               “เพราะเจ้านั่นแหละ เพราะไอ้กล่องประทินโฉมบ้าๆ นั่น” ไม่พูดเปล่าสองมือก็จิกทึ้งพระเกศาที่เกล้าไว้อย่างประณีตของพินทุมณีเทวีจนหลุดลุ่ย โดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสปัดป้อง


                “นี่เจ้าเป็นบ้าอะไร?” ตรัสถามได้แค่นั้นก็โดนตบอีกฉาด คราวนี้แรงจนพระพักตร์สะบัด พระนางจึงพิโรธขึ้นมา แล้วยกหัตถ์ขึ้นตีตอบบ้าง


                คราวนี้สองพระองค์ตบตีกันชุลมุน มหิตาเทวีแม้วรกายเล็กบอบบางกว่า แต่ด้วยความพิโรธทำให้เรี่ยวแรงมากกว่าปกติ ทรงผลักพระพี่นางล้มกลิ้งแล้วถลาตามไปทุบตีต่อ จนพินทุมณีเทวีกรีดร้องขอความช่วยเหลือ นางกำนัลสองตำหนักจึงค่อยได้สติช่วยกันแยกทั้งสองพระองค์ออกจากกัน


                “ปล่อยข้า ตบนางแค่นี้ยังไม่สาสมหรอก!”


                 มหิตาเทวีตะโกนก้องด้วยสุรเสียงกริ้วจัด และสะบัดพระวรกายจากการห้ามปรามของนางกำนัล ไม่ยอมลุกขึ้นจากวรกายพระภคินี จนต้องใช้นางกำนัลถึงสามคนมาช่วยกันดึงจึงจะแยกออกจากกันได้ พินทุมณีเทวีนั้นมีพระโลหิตไหลออกจากมุมโอษฐ์ พระปรางแดงช้ำพระนางกรรแสงด้วยความเจ็บพระทัย


                 “นี่เจ้าเป็นบ้าอะไร มาตบข้าทำไม?”


                 “แค่ตบยังน้อยไป ข้าอยากจะฆ่าเจ้าเสียซ้ำ ฆ่าให้ตายตามพี่กุสุมาลย์ไปเลยยิ่งดี!”


                 “นี่เจ้ากำแหงกับข้าซึ่งเป็นพี่เจ้าขนาดนี้เชียวรึ?”


                 “ข้าไม่มีพี่เป็นคนต่ำทรามเยี่ยงเจ้า เจ้ามิใช่พี่สาวข้าอีกต่อไปแล้ว!!” ตรัสจบก็ทำท่าจะถลาไปตบตีอีกรอบจนนางกำนัลต้องคว้าข้อพระกรไว้ ส่วนพินทุมณีเทวีนั้นถอยกรูดด้วยความตกพระทัย


                 “มหิตา!! นางบ้า! เจ้ามันบ้าไปแล้ว กุสุมาลย์ตายแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า มาตบข้าทำไม?” ทรงตวาดตอบโต้พระขนิษฐา


                 “ก็เพราะไอ้กล่องประทินโฉมของเจ้าไงล่ะ ไหนเจ้าบอกว่าแค่ผงคัน แล้วทำไมพี่กุสุมาลย์ถึงเสียโฉม บอกมาสิ!!”


                 “นางเสียโฉม?!” พินทุมณีเทวีทรงนิ่งอึ้งไปบ้าง ด้วยว่าแม้ระยะหลังจะแปลกใจที่ไม่เห็นกุสุมาลย์ตามเสด็จองค์ขนิษฐาไปที่ต่างๆ เลย ที่แท้นางเสียโฉมเลยเก็บตัวเงียบกระนั้นหรือ


                 “ไม่จริงน่า..มันก็แค่ผงคัน อย่างมากก็เป็นผื่นแค่นั้น”


                 “อย่ามามดเท็จ!! นี่ถ้ายกให้เจ้าหญิงแห่งกันทรานครไป เรื่องราวมิเลวร้ายกว่านี้รึ? นี่ดีแค่ไหนแล้วที่พี่กุสุมาลย์เป็นเพียงนางกำนัล”


                 “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงเล่า ว่าเรื่องมันจะเป็นขนาดนี้ ที่สำคัญข้าไม่เคยบอกให้เจ้ายกให้กุสุมาลย์ใช้สักหน่อย เจ้าต่างหากที่มอบกล่องให้นางเอง...อ๋อ...ที่แท้เจ้าริษยาความงามของนาง นี่เจ้าริษยากระทั่งนางกำนัลของตัวเองรึ น่ารังเกียจจริง!” พินทุมณีเทวีตรัสรวดเดียวจนพระขนิษฐาโต้ตอบไม่ทัน


                “น่าสงสารนางแท้ๆ มีนายเป็นหญิงใจทรามริษยาแม้กระทั่งพี่เลี้ยงร่วมน้ำนม เจ้ามอบกล่องประทิมโฉมนั่นให้นางเองแท้ๆ ยังมาโทษข้าอีก นางเสียโฉมก็เพราะเจ้าความใจดำของเจ้านั่นแหละ” ทรงใช้ดรรชนีชี้พระพักตร์มหิตาเทวี พลางหันไปตรัสถามปทุมมา


                “ปทุมมาบอกข้า กุสุมาลย์ตายด้วยเหตุอันใด หรือนางคนริษยานี่ฆ่านาง”


                “มิได้เพคะ! มิได้..มิได้เกี่ยวกับพระเทวี พี่กุสุมาลย์ฆ่าตัวตายเองเพคะ” คนตอบร่ำไห้ไปพลาง


                “ฆ่าตัวตาย....!!?” พินทุมณีเทวีสดับแล้วหดหู่ไปด้วยอีกพระองค์


                “ใช่...นางฆ่าตัวตาย เจ้าสะใจแล้วใช่ไหม? กล่องประทินโฉมของเจ้าไม่ว่าใครได้ไปก็ล้วนแต่กลายเป็นคนอัปลักษณ์ทั้งสิ้น แล้วจะอยู่สู้หน้าใครได้ เป็นเจ้านั่นแหละ...ยุยงข้า นางคนอำมหิต” มหิตาเทวีทรงกรรแสงออกมาอย่างหนัก พินทุมณีเทวีสดับแล้ววรกายก็สั่นเทาไปด้วยความโกรธ


                “ข้ามิคิดเลย ข้าเพียงหวังช่วยเจ้ากำจัดศัตรูหัวใจ และมิได้คิดว่าเจ้าจะใช้ทำร้ายกุสุมาลย์...มาบัดนี้เจ้ากลับโยนความผิดนี้มาให้ข้า กล่องประทินโฉมนั้นมีเพียงแค่ผงคันไม่สามารถทำอันตรายใครได้มากไปกว่านั้น แต่เจ้า...เจ้าต่างหากเจ้าใส่ยาอะไรลงในกล่องนั้น กุสุมาลย์ถึงได้....เจ้าฆ่านางด้วยมือของเจ้าแท้ๆ ยังจะมาปัดความผิดให้ข้าอีก เจ้ามันอำมหิต!!”สรุเสียงประนามนั้นเสียดแทงเข้าไปในพระทัยองค์ขนิษฐา จนไม่อาจสดับต่อได้


                “พินทุมณี! นางคนสารเลวหลอกข้ายังไม่พอ นี่เจ้ายังปัดความผิดให้ข้าอีกรึ? เจ้าอย่าอยู่เลย” ตรัสจบก็พุ่งเข้าใส่พินทุมณีเทวีทันที ยังผลให้พระภคินีกรีดร้องออกมาด้วยความตกพระทัย


                “ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย นางเป็นบ้าไปแล้ว มหิตาจะฆ่าข้า!!”


                “ใช่! ข้าจะฆ่าเจ้า!!”


                 ศึกระหว่างสองพระเทวียังดำเนินไปอีกครู่ใหญ่ พินทุมณีเทวีร้องเรียกหาคนช่วย ส่วนมหิตาเทวีนั้นก็เล่าหยิบฉวยสิ่งใดได้ก็ปาใส่พระพี่นางให้วุ่นวายไปหมด โดยมีนางกำนัลทั้งสองฝ่ายเป็นกำแพงกั้น แต่ไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงโดยง่าย จนกระทั่งมีผู้ตามเจ้านาคราชให้เสด็จมาห้ามปราม


                “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ตีกันไม่อายบ่าวไพร่บ้างหรือไร!!” สุรเสียงทรงอำนาจตวาดก้อง คล้ายห้วงเวลาชะลอตัวลงครู่หนึ่ง ทุกผู้คนล้วนหันมามองยังต้นเสียง


                “ท่านภูวิษะ!!” นางกำนัลทั้งสองฝ่ายรีบหมอบลงถวายความเคารพทันที


                 ภูวิษะเจ้ากวาดสายพระเนตรไปทั่ว ก็พบว่าสองเทวีนั้นผมเฝ้ายุ่งเหยิง พระปรางบวมช้ำ โดยเฉพาะพินทุมณีเทวีดูจะบอบช้ำมิใช่น้อย น้ำพระเนตรไหลอาบแก้มจนแป้งที่พอกไว้เลอะเทอะทั้งสองพระองค์ มองแล้วก็ส่ายพระพักตร์ก่อนหันไปไล่ทหารที่กรูกันอยู่ด้านนอกเพราะได้ยินเสียงเอ็ดตะโร


                “เรื่องของพวกผู้หญิง พวกเจ้ากลับได้ ไม่เรียกไม่ต้องเข้ามา” รับสั่งเสร็จก็หันซักถามสองพระนาง


                “ทำอะไรกัน ตบตีกันเป็นเด็กๆ ไปได้ อายเสียบ้างสิ!”


                “ก็ถามเมียเจ้าสิ นางน่ะบุกมาตำหนักข้าแล้วตบข้าเสียเลือดกลบปาก เจ้าเห็นไหมภูวิษะสั่งสอนนางเสียบ้าง” นาคเจ้ายังมิทันตรัสตอบ มหิตาเทวีก็ตรัสสวนพระพี่นาง


                “แค่นี้ยังน้อยไป ถ้าเทียบกับชีวิตพี่กุสุมาลย์เจ้าแค่ปากแตกเท่านั้น!”


                “เมียเจ้าขู่ข้าเจ้าเห็นไหม?” ภูวิษะเจ้าเหลือบพระเนตรมองพระชายาเป็นการปราม มหิตาเทวีจึงค่อยสงบโอษฐ์ลง พินทุมณีเทวีทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ค่อยมีกำลังพระทัยขึ้น จึงกล้าตรัสต่อ


                 “คอยดู ข้าจะไปฟ้องเสด็จแม่ ว่าเจ้าตบข้าอย่างไร้เหตุผล”


                  “ข้าน่ะหรือไร้เหตุผล ก็เจ้าน่ะ..เจ้ามัน”


                  “เอาสิ เจ้าพูดเลยต่อหน้าสวามีเจ้า แล้วคอยดูว่าภูวิษะจะคิดเห็นเป็นเช่นไร? “คำขู่นั้นได้ผลมหิตาเทวีชะงักงันไปทันที พระหัตถ์ที่ยกขึ้นเตรียมตบหน้าพระพี่นางเปลี่ยนเป็นกำแน่น มิกล้าตรัสสิ่งใดอีกต่อไป พระภคินีทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ได้พระทัย จึงตรัสต่อทันที


                 “ทำไมไม่พูดต่อล่ะ! ต่อหน้าสวามีเจ้าเลย จะได้รู้กัน...ว่าเจ้าน่ะมันร้ายกาจแค่ไหน!!” หนนี้มหิตาเทวีทำท่าจะถลาเข้าใส่ ภูวิษะเจ้าต้องรีบคว้าวรกายชายาเอาไว้แนบพระอุระ


                 “มหิตาพอได้แล้ว!”


                 “ก็นาง...นาง!”


                  “นางทำอันใด?” พอถูกพระสวามีตรัสถามถ้อยคำของมหิตาเทวีก็ติดอยู่ริมโอษฐ์มิกล้าตรัสต่อ สุดท้ายมหิตาเทวีหันไปเล่นงานพระพี่นางต่อ มิได้พูดถึงสาเหตุที่พาองค์มาถึงตำหนักนี้


                  “เอาสิ! ไปฟ้องเสด็จแม่เลย ถ้ากล้าฟ้องข้าจะทูลเหมือนกันว่าเจ้าคิดจะทำอะไรเจ้าหญิงจากกันทรานคร” สีพระพักตร์พินทุมณีเทวีซีดเผือดลงทันที


                  “เป็นความจริงหรือนี่?” เจ้านาคราชทอดพระเนตรไปยังพินทุมณีเทวีเพื่อค้นหาความจริง


                  “เรื่องนั้นน่ะข้าแค่พูดเล่นประสาสตรีเท่านั้น ภูวิษะท่านคงไม่ถือเป็นจริงเป็นจังดอกจริงไหม? ตอนนั้นข้าคิดว่านางคนกันทราจะมาเป็นเมียอีกคนของเจ้า ข้าก็เลยโกรธแทนน้องพูดจาเลอะเทอะไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง” พระพี่นางตรัสแก้องค์คล่องแคล่วนัก


                 “เราเข้าใจวิสัยสตรียามสนทนา” ภูวิษะเจ้าดูสงบนิ่งที่สุดกลางพายุอารมณ์นั้น ทำให้พินทุมณีเทวีทรงโล่งพระทัย “ถ้าหากพูดจาเกินเลยไปบ้างก็ล้วนเป็นความพร้อมใจทั้งสองฝ่าย” ดวงเนตรคมจ้องมาตรงๆ คล้ายต้องการกำราบมิได้พินทุมณีไปฟ้องได้ถ่ายเดียว หากสนทนาก็เป็นทั้งฝ่ายที่ร่วมกันออกความคิดเห็น ย่อมผิดทั้งคู่!


                 “ระ..เรื่องนั้นน่ะ ก็แค่พูดกันเล่นๆ เท่านั้นดอก มิได้มีอันใดมากไปกว่านั้น”


                 “เรื่องนั้นเราเข้าใจ ท่านเป็นพี่สาวอย่างไรก็ห่วงใยน้องสาว คราวนี้หวังว่ายังคงเป็นเช่นนั้น มหิตานางกำลังเสียใจ โปรดอย่าได้ถือสาหาความใดๆ จากนางเลยพระเทวี” พินทุมณีเทวีสดับฟังแล้ว ต้องขบริมโอษฐ์ด้วยความขุ่นเคืองพระทัย


                 ภูวิษะอย่างไรก็เป็นสวามีองค์ขนิษฐา เลี้ยวลดเข้าข้างเทวีน้อยจนได้ แม้ทรงกริ้วแต่มิปรารถนาให้ขุดค้นสาเหตุไปถึงชนวนต้นเรื่อง มิเช่นนั้นแล้วอย่างไรก็คงติดร่างแหไปด้วย จะไม่เป็นการดี อีกประการพระสวามีแห่งตนก็เสด็จประพาสต่างเมือง หาได้มีผู้ใดคอยปกป้อง พระนางคงหาเหตุผลมาแก้ต่างกับบุรุษผู้ชาญฉลาดตรงหน้าได้เป็นแน่แท้ จึงได้แต่ตัดพระทัย


                “งั้นก็พาเมียเจ้ากลับไปได้แล้ว ไปสิ!”


                 ภูวิษะเจ้าเหลือบมองวรองค์อ้อนแอ้นในวงพาหาแล้วจึงพยักพักตร์ให้ มหิตาเทวีจึงยอมอ่อนลงซบพักตร์ลงบนพระอุระสวามี


                 “พินทุมณีเทวี ประทานอภัยให้มหิตาด้วย ยามนี้นางไร้สติข้าจะดูแลมิให้นางมารบกวนท่านได้อีก จากนั้นจะให้นางจัดของมาถวายเป็นการขออภัยแก่พระเทวีอีกครั้ง เรื่องนี้ขออย่าได้อื้ออึงไปมิได้เป็นการดีเลยแก่ผู้ใดเลย” ตรัสจบก็น้อมเศียรลงเล็กน้อย เป็นการอภัยแทนชายาแห่งตน แล้วจึงประคองมหิตาเทวีกลับไป ปล่อยทิ้งให้พระพี่นางขบไรทนต์ด้วยความฉุนเฉียว


                 “มหิตาเจ้าตบข้าวันนี้ อย่าได้คิดว่าเรื่องจะยุติเพียงแค่นี้นะ!!”


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2556
3 comments
Last Update : 16 พฤษภาคม 2556 23:22:52 น.
Counter : 1515 Pageviews.

 

555 ทวงปุ๊บมาปั๊บเลย เย้ เย้^___________^

 

โดย: Maru FC IP: 58.8.39.127 17 พฤษภาคม 2556 19:06:59 น.  

 

มาตามอ่านค่ะ สนุกมาก ๆ เลย

 

โดย: ~My Birthday is on April 14~ 18 พฤษภาคม 2556 10:11:52 น.  

 

Maru FC : ตอนนี้มาเร็วแล้วนะคะ

~My Birthday is on April 14~: ขอบคุณค่ะ มาอ่านบ่อยๆ นะคะ

 

โดย: แก้วกังไส 19 พฤษภาคม 2556 18:05:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.