Group Blog
 
All Blogs
 

อยากทำอาชีพเสริม ต้องเริ่มยังไง

สวัสดีค่ะ

ยุคนี้ ทำงานประจำเพียงอย่างเดียว รายได้ที่ได้รับอาจไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่เยอะแยะมากมายใช่ไหมคะ การทำอาชีพเสริมจึงเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้และตอบโจทย์ความต้องการของใครหลายคนได้ สำหรับใครที่สนใจทำอาชีพเสริมและกำลังมองหาอาชีพเสริมทำอยู่ K-Expert ขอแนะนำให้รู้จักกับ 3 องค์ประกอบของการทำอาชีพเสริม ได้แก่ “เวลาให้ ใจรัก และทักษะ” เพื่อให้สามารถเริ่มต้นอาชีพเสริมได้อย่างมั่นใจ ซึ่งรายละเอียดในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันค่ะ

เริ่มจากเรื่อง เวลา การจัดสรรเวลาถือเป็นเงื่อนไขพื้นฐานสำคัญที่ต้องทำให้ได้ เพราะการมีอาชีพเสริมนั้น เราต้องจัดสรรเวลาว่างในช่วงหลังเลิกงานไปจนถึงก่อนนอน และเวลาว่างในวันหยุดสุดสัปดาห์มาทำ สำหรับใครที่มีภาระต้องดูแลครอบครัว หรือยังเรียนหนังสืออยู่ การเจียดเวลามาทำอาชีพเสริมก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้รอบคอบ และจัดสรรเวลาให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบกับเรื่องต่างๆ ในชีวิต

ต่อมา เป็นเรื่องของ ใจรักหรือความชอบ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญเพราะช่วยให้เรามีความสุขเมื่อกำลังทำอาชีพเสริม ทั้งนี้ เนื่องจากเราต้องใช้พลังงานเกือบทั้งหมดไปกับงานหลัก หากงานหลักที่ทำเครียดแล้ว ยังต้องทำอาชีพเสริมที่ตัวเองไม่ชอบอีก ก็จะทำให้ชีวิตหดหู่ ดูไม่มีความสุขเกินไป ดังนั้น แนะนำให้เลือกอาชีพเสริมที่เรารัก เสมือนว่าเป็นงานอดิเรกที่เราทำเพลินๆ ช่วยผ่อนคลายความเครียด และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ แถมยังสามารถสร้างรายได้ไปด้วยในตัว

สุดท้ายคือเรื่อง ทักษะ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะช่วยสร้างกำลังใจให้ทำอาชีพเสริมนั้น เพราะการทำในสิ่งที่เราชำนาญมักจะช่วยสร้างรายได้ได้ง่ายกว่าการเลือกทำในสิ่งที่เราขาดทักษะ อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้รีบด่วนตัดสินใจปิดโอกาสตัวเองหากมองว่าเราไม่มีทักษะในเรื่องนั้น เพราะคนที่เพิ่งมาค้นพบความสามารถแฝงของตัวเองในภายหลังก็มีอยู่ไม่น้อย

ถึงแม้ว่าตอนนี้เรายังมีองค์ประกอบของการทำอาชีพเสริมไม่ครบถ้วนก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากสามารถจัดสรรเวลาได้และมีใจรัก ก็ให้เสริมทักษะเข้าไป โดยการศึกษาข้อมูลหรือพูดคุยกับผู้ที่อยู่ในวงการเพื่อให้เห็นแนวทางปฏิบัติมากที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเริ่มต้นลงมือทำ โดยทำแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อค้นหาเอกลักษณ์และความแตกต่างให้กับตัวเอง เช่น ถ้าอยากรับงานถ่ายภาพเป็นอาชีพเสริม ก็เริ่มจากการถ่ายรูปแนวเก๋ๆ มีสไตล์เป็นของตัวเองให้กับญาติพี่น้อง แฟน หรือเพื่อนฝูง โดยตั้งใจทำผลงานให้ออกมาดี หากเป็นแบบนี้ก็มีโอกาสได้งานจากการบอกต่อของคนที่เราไปถ่ายภาพให้ฟรี

หากมีใจรักและทักษะแล้ว แต่งานยุ่งมาก ก็ลองปรับกระบวนการทำงาน โดยอาจต้องถ่ายงานบางอย่างให้กับคนที่เราไว้ใจเป็นผู้ดำเนินการให้ (outsourcing) เช่น ขายชุดเดรสสำหรับคนทำงานเป็นอาชีพเสริม จะมีขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาคือ การตัดเย็บ ก็ให้โอนงานนี้ออกไปเพื่อให้เรามีเวลาสำหรับกระบวนการอื่น เช่น การออกแบบและหาลูกค้าให้มากขึ้น อีกเทคนิคหนึ่งที่สามารถช่วยได้หากมีปัญหาเรื่องการจัดสรรเวลาคือ พยายามทำงานบนอินเตอร์เน็ต เช่น ขายของออนไลน์ เขียนบล็อกหรือรีวิวสินค้า เป็นต้น ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา เพราะสามารถทำงานที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ที่เราสะดวก

สำหรับคนที่มีเวลาและมีทักษะที่โดดเด่น แต่ขาดใจรัก ก็ให้แก้ที่รูปแบบของอาชีพเสริม เช่น บางคนทำขนมเก่ง แต่ไม่อยากเป็นแม่ค้าขายขนม หรือบางคนชอบเดินทางท่องเที่ยว แต่ไม่อยากเป็นเป็นไกด์ทัวร์ หากเป็นเช่นนี้ คำแนะนำคือ อย่าฝืนตัวเอง แต่ให้ลองประยุกต์แนวทางการทำอาชีพเสริมบนทักษะพื้นฐานของเรา เช่น เปิดโรงเรียนสอนทำขนม หรือเขียนบล็อก เขียนหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแนวผจญภัยค่ะ

อาชีพเสริมที่เราเลือกทำเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งของการสร้างรายได้เท่านั้น หากอาชีพเสริมที่ทำมีแนวโน้มส่งผลเสียต่องานหลักหรืองานประจำ หรือส่งผลกระทบต่อชีวิตครอบครัว ชีวิตส่วนตัว รวมถึงสุขภาพร่างกายของเราแล้ว แนะนำให้หยุดอาชีพเสริมนั้นไว้ก่อน เพราะความสุขไม่ได้เกิดจากการที่เรามีเงินเยอะเสมอไป ขอให้ทุกคนเจออาชีพเสริมที่ใช่และถูกใจค่ะ

------------------------------------------------------

Recommended! ตัวช่วยที่เกี่ยวข้องกับบล็อกวันนี้
>>> K-Expert Tool: โปรแกรมรับ-จ่าย สำหรับบันทึกเงินออมและลงทุนอย่างง่าย <<< โหลดฟรี




 

Create Date : 01 มีนาคม 2559    
Last Update : 1 มีนาคม 2559 11:27:22 น.
Counter : 891 Pageviews.  

หนีความผันผวนไปลงทุนกองทุนอสังหาฯ

สวัสดีค่ะ

ราคาหุ้น ทองคำ หรือน้ำมัน ที่ช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ ทำให้เพื่อนๆ หลายคนเริ่มบ่นกันว่า ลงทุนแล้วได้กำไรยาก อยากหาตัวช่วยลงทุนที่ราคาไม่ขึ้นลงผันผวน หรือจ่ายเงินปันผลให้สม่ำเสมอ มีการลงทุนไหนที่เป็นแบบนี้บ้าง K-Expert ขอแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ค่ะ ซึ่งเชื่อว่า น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของเพื่อนๆ ได้ แล้วการลงทุนทั้ง 2 รูปแบบ มีรายละเอียด และวิธีการลงทุนเป็นอย่างไรบ้างนั้น มาดูกันเลยค่ะ

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กันก่อนนะคะ กองทุนอสังหาฯ คือการที่เรานำเงินไปให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เพื่อไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งก็มีให้เลือกลงทุนหลากหลายประเภทเลยค่ะ ทั้งโรงแรม ห้างสรรพสินค้า โกดังสินค้า ฯลฯ โดยกองทุนอสังหาฯ เองก็แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ 

1. กองทุนที่ซื้ออสังหาฯ มาเป็นกรรมสิทธิ์ (Freehold) กองทุนประเภทนี้จะซื้ออสังหาฯ นั้นๆ มาบริหาร เรียกได้ว่า เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้น รายได้ของกองทุนจึงมาจากค่าเช่าและกำไรจากการขายอสังหาฯ เมื่อสิ้นสุดอายุของกองทุนฯ ค่ะ

2. กองทุนที่ลงทุนในสิทธิการเช่าของอสังหาฯ (Leasehold) กองทุนประเภทนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาฯ โดยตรง แต่ลงทุนในรูปแบบของการเซ้ง ทำให้มีสิทธิในการรับรายได้ของอสังหาฯ ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ ดังนั้น รายได้ของกองทุนฯ จึงมาจากค่าเช่าเพียงอย่างเดียว

3. กองทุนที่มีคุณสมบัติทั้ง Freehold และ Leasehold กองทุนประเภทนี้เรียกได้ว่า เป็นลูกครึ่งคือ ในกองทุนเดียวกันนั้นมีการลงทุนในอสังหาฯ ทั้งแบบ Freehold และ Leasehold เช่น กองทุนลงทุนอสังหาฯ 3 แห่ง โดยมี 2 แห่ง เป็นแบบ Freehold และอีก 1 แห่ง เป็นแบบ Leasehold ค่ะ

ปัจจุบันต้องบอกว่า ไม่ได้มีกองทุนอสังหาฯ กองใหม่ออกขายแล้วนะคะ เพราะสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ให้ออกเป็น ทรัสต์เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (REIT) แทน ซึ่งจริงๆ แล้ว REIT ก็มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับกองทุนอสังหาฯ รูปแบบเดิมที่เราคุ้นเคยกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันบ้าง โดยจุดที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลยคือ เรื่องของสัดส่วนการกู้ยืมเงิน กองทุนอสังหาฯ สามารถกู้ยืมได้ไม่เกิน 10% ของสินทรัพย์รวม ขณะที่ REIT สามารถกู้ได้มากขึ้นคือ ไม่เกิน 35% ของสินทรัพย์รวม และได้ไม่เกิน 60% ถ้าได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือเป็นแบบที่น่าลงทุน (Investment Grade) อีกจุดที่เป็นข้อแตกต่างของกองทุนอสังหาฯ และ REIT คือ ผู้บริหารกองทุนอสังหาฯ ต้องเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เท่านั้น ขณะที่ REIT จะเปิดกว้างมากขึ้น โดยสามารถบริหารโดยบลจ. หรือบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนอสังหาฯ ตามเกณฑ์ที่กลต. กำหนดก็ได้ค่ะ

จุดเด่นของการลงทุนในกองทุนอสังหาฯ และ REIT คือ การจ่ายเงินปันผลในสัดส่วนที่สูง เพราะมีข้อกำหนดว่า จะต้องจ่ายผลตอบแทนหรือเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิ ดังนั้น หากอสังหาฯ ที่ลงทุนสามารถสร้างรายได้และมีผลกำไรที่ดีสม่ำเสมอ ผู้ลงทุนก็มีโอกาสได้รับเงินปันผลที่สม่ำเสมอด้วยล่ะค่ะ

ความยากในการลงทุนรูปแบบนี้ที่หลายคนมักเจอคือ ไม่รู้ว่าจะลงทุนในกองทุนอสังหาฯ หรือ REIT กองทุนไหนดี เพราะไม่แน่ใจว่า กองทุนไหนจะสร้างรายได้ที่ดี หรือราคาที่จะลงทุนนั้นแพงไปหรือไม่ หากเพื่อนๆ ประสบปัญหานี้ ตัวช่วยหนึ่งที่ขอแนะนำคือ การลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนอสังหาฯ และ REIT ซึ่งกองทุนรูปแบบนี้ผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้ช่วยในการเลือกกองทุนอสังหาฯ หรือ REIT ที่น่าสนใจ และมีแนวโน้มสร้างรายได้ที่ดี โดยกระจายเงินลงทุนไปยังกองทุนอสังหาฯ หรือ REIT หลายๆ กองทุน ซึ่งสิ่งที่จะต้องแลกมาก็จะเป็นค่าธรรมเนียมในการบริหารที่มากกว่าการที่เราลงทุนในกองทุนอสังหาฯ หรือ REIT โดยตรงด้วยตัวเองล่ะค่ะ

กองทุนอสังหาฯ และ REIT เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจในยามที่สภาวะการลงทุนผันผวนสูงอย่างในตอนนี้ แม้ว่าการลงทุนรูปแบบนี้ดูแล้วจะมีโอกาสสร้างรายได้กลับมาให้เราสม่ำเสมอ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในการลงทุนอยู่ด้วยนะคะ ยกตัวอย่างเช่น อสังหาฯ ที่กองทุนไปลงทุนทำรายได้ไม่ดี จนจ่ายเงินปันผลไม่ได้ และราคากองทุนฯ ก็ปรับตัวลงไปเรื่อยๆ ดังนั้น ก่อนลงทุนก็อยากให้เพื่อนๆ ศึกษาข้อมูลให้เข้าใจเสียก่อน แล้วค่อยตัดสินใจลงทุนกันนะคะ

------------------------------------------------------

Recommended! ตัวช่วยที่เกี่ยวข้องกับบล็อกวันนี้
>>> K-Expert Tool: ผู้ช่วยจัดการสินทรัพย์ออนไลน์ <<< โหลดฟรี




 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2559 11:11:11 น.
Counter : 893 Pageviews.  

หุ้นผันผวนขนาดนี้ จัดพอร์ตยังไงดี

สวัสดีค่ะ

ในช่วง 1-2 ปีนี้ ใครที่ลงทุนหุ้นไทยอยู่ก็ต้องยอมรับว่า ทำกำไรได้ไม่ง่ายนัก เพราะมีปัจจัยต่างๆ มากมายที่มากระทบตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ฯลฯ หลายคนถึงขั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ ราคาปรับตัวลงไปเรื่อยๆ จะคัทลอสก็ไม่กล้า กลัวขายปุ๊บ ราคาจะปรับขึ้นมา ส่วนจะซื้อถัว ก็กลัวว่า ซื้อแล้ว ราคาจะไหลลงต่อ ถ้าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ต้องบอกว่า ตัวเราเองอาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนหุ้น เพราะยังรับกับราคาหุ้นที่ขึ้นลงผันผวนไม่ค่อยได้ แล้วตัวเราควรลงทุนแบบไหนดีล่ะ วันนี้ K-Expert มีการลงทุนแบบจัดพอร์ตมาแนะนำกันค่ะ

การลงทุนแบบจัดพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) ก็คือ การแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์การลงทุนต่างๆ ตามระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ เช่น หากรับความเสี่ยงได้สูง ก็สามารถแบ่งเงินในสัดส่วนเยอะหน่อยมาที่การลงทุนหุ้น แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้ไม่มาก ก็ควรกระจายเงินมาเน้นลงทุนในพวกตราสารหนี้อย่างพันธบัตร หุ้นกู้ หรือเงินฝาก แทนที่จะเน้นลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เราลงทุนในสไตล์ที่เหมาะกับตัวเรามากขึ้น ช่วยลดอาการกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เมื่อตลาดหุ้นทิ้งดิ่งปรับตัวลงมาแรงๆ ได้

แล้วตัวเราควรจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไรดีล่ะ K-Expert ได้ออกแบบพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ตัวเรายอมรับได้ 3 แบบคือ สูง กลาง และต่ำ โดยมีรายละเอียดตามตารางด้านล่างค่ะ

ระดับความเสี่ยง

หุ้นไทย

หุ้นต่างประเทศ

ตราสารหนี้ไทย

ตราสารหนี้ต่างประเทศ

สูง

40%

15%

30%

15%

กลาง

20%

10%

50%

20%

ต่ำ

0%

0%

80%

20%

ส่วนตัวเราเองจะรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนนั้น แนะนำให้ทำแบบสอบถามเพื่อประเมินระดับความเสี่ยงในการลงทุนที่เหมาะสม (Customer Risk Profile) ได้ที่ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซึ่งจะเป็นตัวช่วยบอกได้ว่า ตัวเรารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนค่ะ

เมื่อตัวเราได้มีการจัดสรรเงินลงทุนตามพอร์ตการลงทุนไปแล้ว ก็ต้องมี การติดตามดูแลพอร์ต กันอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ เพื่อให้มั่นใจว่า สัดส่วนการลงทุนของเราไม่ต่างจากสัดส่วนที่ตั้งใจลงทุนไว้ในตอนแรก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรารับความเสี่ยงได้สูง ซึ่งกำหนดสัดส่วนลงทุนในหุ้นไทยไว้ 40% หากตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สัดส่วนลงทุนในหุ้นไทยสูงขึ้นเป็น 50% แบบนี้ก็ต้องมีวินัยที่จะขายหุ้นไทยออกไป เพื่อให้สัดส่วนในหุ้นไทยกลับสู่ระดับ 40% ที่กำหนดไว้ค่ะ หรือถ้ากังวลว่า ตัวเองจะไม่มีเวลามาคอยปรับพอร์ต การลงทุนในกองทุนผสมที่มีการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับพอร์ตที่ได้แนะนำไว้ ก็เป็นอีกตัวเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจค่ะ

หวังว่า การจัดพอร์ตการลงทุนที่ได้แนะนำไป จะช่วยให้เพื่อนๆ สามารถลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น สำหรับเงินลงทุนที่ตั้งใจจะเอามาจัดพอร์ตการลงทุนนั้น ควรเป็นเงินเย็นที่เราไม่มีแผนจะใช้อย่างน้อยๆ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อให้สามารถลงทุนได้ยาวๆ และได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องได้ล่ะค่ะ

------------------------------------------------------

Recommended! ตัวช่วยที่เกี่ยวข้องกับบล็อกวันนี้
>>> K-Expert Tool: ผู้ช่วยจัดการสินทรัพย์ออนไลน์ <<< โหลดฟรี




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2559 11:40:19 น.
Counter : 746 Pageviews.  

ติดดอยน้ำมัน ทำไงดี

สวัสดีค่ะ

ถ้าถามว่า การลงทุนอะไรที่ทำให้นักลงทุนเจ็บตัวและติดดอยในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าการลงทุนในกองทุนน้ำมันเป็นหนึ่งในการลงทุนที่เพื่อนๆ หลายคนติดดอยกันอยู่ใช่มั้ยคะ เพราะถ้ามองย้อนกลับไปในช่วง 2 ปีที่แล้ว ช่วงกลางปี 2014 ราคาน้ำมันยังสูงเกิน 100   ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากย้อนอดีตไปช่วง 2 ปีก่อน แล้วไปบอกว่า ราคาน้ำมันจะต่ำกว่า 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คงจะไม่มีใครเชื่อแน่ๆ ทีนี้พอราคาน้ำมันปรับลงมา หลายคนก็มองว่า ยังไงเดี๋ยวราคาก็คงปรับขึ้นไปที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ แต่จนแล้วจนรอดราคาน้ำมันก็ไม่ปรับขึ้น มีแต่จะต่ำเตี้ยลง ทำให้เกิดชาวดอยน้ำมันขึ้นมามากมาย คำถามที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือ จะถือต่อหรือขายคัทลอสไปเลยดี K-Expert มีคำตอบมาฝากเพื่อนๆ กันแล้วล่ะค่ะ

ก่อนอื่นเรามาไล่เรียงกันก่อนว่า สาเหตุที่ราคาน้ำมันปรับตัวลงคืออะไร ตัวการสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงก็คือ การผลิตเชลล์ออยล์ของสหรัฐฯ หรือการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน ซึ่งทำให้ปริมาณพลังงานในโลกเพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับความต้องการใช้น้ำมันที่ยังไม่เพิ่มสูงขึ้นมากนัก เพราะเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ จีน ยุโรป หรือญี่ปุ่นเอง ก็ยังไม่ได้ขยายตัวได้สูงมาก นอกจากนี้ พอราคาน้ำมันปรับลง แทนที่กลุ่มโอเปกซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในการผลิตน้ำมันจะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง เพื่อช่วยให้ราคาปรับเพิ่มสูงขึ้น ก็กลับคงกำลังการผลิตน้ำมันไว้เท่าเดิม เพื่อจะบีบให้ผู้ผลิตเชลล์ออยล์ซึ่งมีต้นทุนในการผลิตน้ำมันที่สูงกว่าการผลิตน้ำมันดิบ ต้องเลิกผลิตและออกจากอุตสาหกรรมนี้ไปค่ะ

ในช่วง 1-2 ปีนี้ที่ราคาน้ำมันปรับตัวลง ก็ต้องยอมรับว่า กลยุทธ์ของผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างโอเปกได้ผลระดับหนึ่ง เพราะราคาน้ำมันในตอนนี้ที่ปรับลงมาที่ประมาณ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็ทำให้ผู้ผลิตเชลล์ออยล์ต้องปิดตัวกันไปหลายราย จากต้นทุนในการผลิตเชลล์ออยล์ที่สูงกว่าการผลิตน้ำมันดิบ โดยต้นทุนของเชลล์ออยล์อยู่ที่ประมาณ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ต้นทุนการผลิตน้ำมันของประเทศใหญ่ๆ ในตะวันออกกลางประมาณ 10-20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเท่านั้น เห็นแบบนี้บางคนอาจจะเริ่มดีใจว่า อีกไม่นานเชลล์ออยล์ก็จะต้องปิดตัวลง แล้วราคาน้ำมันก็จะกลับขึ้นไปที่ 100  ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เหมือนเมื่อก่อนใช่มั้ยคะ

อย่าเพิ่งด่วนดีใจกันไปค่ะ เพราะแม้ว่าผู้ผลิตเชลล์ออยล์จะเริ่มปิดตัวกันไปบ้างแล้ว แต่ข่าวร้ายก็ยังไม่หมดไป นั่นก็คือ อิหร่านซึ่งเดิมเคยถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติเพราะเคยมีการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ตอนนี้การคว่ำบาตรสิ้นสุดลงแล้ว ทำให้อิหร่านกลับมาผลิตน้ำมันได้อีกครั้ง โดยกำลังการผลิตน้ำมันของอิหร่านเองก็ไม่น้อยเลยนะคะ เพราะจะสามารถผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นได้อีก 5 แสนบาร์เรลต่อวัน ดังนั้น แนวโน้มราคาน้ำมันในช่วง 1-2 ปีนี้ จะเป็นลักษณะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ถ้าไปดูคาดการณ์ราคาน้ำมันของกูรูในต่างประเทศอย่างสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ก็มองว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในปีนี้น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปีหน้าอยู่ที่ 47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของโกลด์แมนแซคส์ซึ่งมองว่า ราคาน้ำมันในช่วงครึ่งปีนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ที่ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ดังนั้น สำหรับคนที่ติดดอยน้ำมันกันอยู่ น่าจะพอสบายใจกันได้บ้างว่า ราคาน้ำมันไม่น่าจะปรับตัวลงมามากแล้ว จึงไม่แนะนำให้คัทลอสนะคะ ส่วนจะซื้อเพื่อถัวเฉลี่ยราคานั้น อยากให้ราคาเคลื่อนไหวนิ่งกว่านี้เสียก่อน เพราะราคาน้ำมันในช่วงนี้ แต่ละวันปรับตัวขึ้นลงค่อนข้างแรง และยิ่งเราลงทุนในกองทุนน้ำมันที่ถ้าซื้อวันนี้ แล้วต้องรอลุ้นราคาของกองทุนตามราคาปิดน้ำมันในเช้าวันรุ่งขึ้น ยิ่งยากที่จะคาดเดาได้ว่า จะได้ต้นทุนถูกหรือแพง เลยอยากแนะนำให้รอราคานิ่งกว่านี้ แล้วค่อยซื้อถัวจะดีกว่าค่ะ

สุดท้ายนี้ สิ่งที่อยากฝากเพื่อนๆ นักลงทุนเอาไว้คือ การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือทองคำ เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากๆ (สูงกว่าหุ้นอีกนะคะ) เพราะราคาปรับขึ้นลงค่อนข้างแรง ดังนั้น ไม่ควรลงทุนเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุนทั้งหมด แนะนำให้ลงทุนซัก 5-10% ของพอร์ตก็เพียงพอแล้วล่ะค่ะ

------------------------------------------------------

Recommended! ตัวช่วยที่เกี่ยวข้องกับบล็อกวันนี้
>>> K-Expert Tool: ผู้ช่วยจัดการสินทรัพย์ออนไลน์ <<< โหลดฟรี




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2559 10:18:00 น.
Counter : 948 Pageviews.  

แต่งงานกันแล้ว เปิดบัญชีร่วมกันดีไหม

สวัสดีค่ะ

คู่รักที่ตกลงแต่งงานเพื่อใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เปลี่ยนสถานะจากแฟนมาเป็นสามีภรรยา ก็มีหลายเรื่องที่ต้องพูดคุย ตกลง หรือทำความเข้าใจกัน โดยเฉพาะเรื่องการเงิน ไม่ว่าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงจะมีรายได้มากน้อยแค่ไหน ก็ควรตัดสินใจว่าจะจัดการกับรายได้ และค่าใช้จ่ายของครอบครัวอย่างไรดี ซึ่งหลายๆ คู่ก็เลือกที่จะจัดการเรื่องการเงินในบ้านด้วยการเปิดบัญชีร่วมกัน แต่แน่นอนว่า เมื่อเปิดบัญชีร่วมกันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียที่คู่รัก โดยเฉพาะคู่แต่งงานใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันควรรู้ไว้ ซึ่งมีอะไรบ้างนั้น K-Expert มีคำแนะนำมาฝากเพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนเรื่องการเงินของครอบครัวค่ะ

การเปิดบัญชีร่วมทำให้คู่สามีภรรยาต่างมีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของในเงินก้อนเดียวกัน เพราะเมื่อวางแผนว่าจะซื้อทรัพย์สินอะไรร่วมกัน เช่น ซื้อรถคันใหม่ของครอบครัว หรือดาวน์บ้านหลังใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น การเปิดบัญชีร่วมก็ช่วยให้รู้สึกว่า มีส่วนร่วมในทรัพย์สินชิ้นนั้นด้วยกัน หรือบางคู่อาจเปิดบัญชีร่วมเพื่อเป็นเงินกองกลางเอาไว้ใช้จ่ายร่วมกัน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งซ่อมแซมบ้าน หรือแม้กระทั่งค่าอาหารการกินในบ้าน เพราะไม่จำเป็นเสมอไปที่ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงจะต้องเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงการมีเงินกองกลางก็ช่วยลดปัญหาจุกจิกกวนใจของทั้งคู่ได้ เช่น เวลาทานข้าวนอกบ้าน ไม่รู้ว่าใครจ่าย หรือจะแชร์กัน ก็ใช้เงินกองกลางในการใช้จ่ายได้เลย

ในการเปิดบัญชีร่วมสามีภรรยาจะเปิดเป็นบัญชีเงินฝากธนาคาร หรือบัญชีกองทุนรวมก็ได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการเปิดบัญชีร่วมค่ะ เช่น ต้องการเก็บเงินดาวน์บ้าน หรือเป็นเงินกองกลางเพื่อใช้จ่ายของครอบครัว อาจเหมาะกับบัญชีเงินฝาก หรือกองทุนรวมตลาดเงิน แต่ถ้าต้องการเก็บเงินเพื่อใช้จ่ายยามเกษียณของทั้งคู่ก็จะเหมาะกับกองทุนรวมหุ้น เป็นต้นค่ะ แต่ถ้าจะเปิดบัญชีกองทุนรวมร่วมกัน กองทุนรวมที่เป็นกองทุนประหยัดภาษีอย่างกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จะไม่สามารถเปิดร่วมกันได้นะคะ

คู่สามีภรรยาที่จะเปิดบัญชีเงินฝากร่วมกัน ก็มีเงื่อนไขเล็กๆ น้อยๆ ที่ควรรู้ก่อนเปิดบัญชีค่ะ นั่นคือ ชื่อบัญชีร่วม โดยชื่อบัญชีร่วมมีทั้งหมด 4 แบบด้วยกันคือ “และ” “หรือ” “เพื่อ” “โดย” เพียงแต่ว่าแต่ละธนาคารอาจมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันว่า คู่สามีภรรยาสามารถเปิดบัญชีเงินฝากร่วมในชื่อบัญชีแบบไหนได้บ้าง แต่โดยทั่วไปสามีภรรยาที่เปิดบัญชีเงินฝากร่วมกันมักใช้ชื่อบัญชี “และ” เช่น นายสมชายและนางสมศรี เป็นต้น

นอกจากนี้ ธนาคารอาจกำหนดเงื่อนไขการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากร่วมไว้ด้วย โดยบางธนาคารอาจกำหนดว่าจะถอนเงินจากบัญชีร่วมได้ต้องมีลายเซ็นของทั้งคู่ หรือบางธนาคารให้เลือกได้ว่ามีลายเซ็นเพียงคนใดคนหนึ่งก็สามารถถอนเงินได้ ดังนั้น ก่อนเปิดบัญชีเงินฝากร่วมสามีภรรยา ควรสอบถามรายละเอียดเงื่อนไขจากธนาคารให้ดีก่อนค่ะ

สำหรับการเปิดบัญชีกองทุนรวมร่วมกันก็จะคล้ายกับการเปิดบัญชีเงินฝากร่วมกันค่ะ โดยแต่ละธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อาจกำหนดว่าสามารถเปิดบัญชีกองทุนรวมร่วมกันในชื่อแบบไหนได้บ้าง แต่โดยทั่วไปจะกำหนดให้เปิดได้เฉพาะบัญชี “และ” เท่านั้น และกำหนดด้วยว่าบัญชีเงินฝากที่ผูกกับกองทุนรวมสำหรับรับเงินปันผลหรือเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนต้องเป็นชื่อบัญชีเดียวกับชื่อกองทุนรวมค่ะ เช่น ชื่อบัญชีกองทุนรวมเป็น นายสมชายและนางสมศรี ชื่อบัญชีเงินฝากที่ผูกกับกองทุนรวม ก็จะต้องเป็น นายสมชายและนางสมศรี ด้วยค่ะ

แล้วตอนที่ต้องการขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม โดยทั่วไปต้องมีลายเซ็นของทั้งสองคนในใบขายคืนหน่วยลงทุน โดยต้องไปทำการขายคืนที่ธนาคาร หรือบลจ. หรือตัวแทนขายกองทุน แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปสามารถไปขายกองทุนด้วยตัวเองได้ ก็สามารถมอบอำนาจให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ค่ะ

อย่างไรก็ตาม การเปิดบัญชีร่วมไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินฝาก หรือกองทุนรวมก็มีเรื่องที่ต้องนึกถึงคือ ถ้าเกิดคู่รักกลายเป็นคู่ร้าง จากอยู่ด้วยกันกลายเป็นแยกกันอยู่อย่างถาวร บัญชีที่เปิดร่วมกันไว้จะทำอย่างไร ถ้าตอนที่เปิดร่วมกัน แล้วใส่เงินในบัญชีคนละเท่าๆ กัน แบบนี้คงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก เพราะสามารถแบ่งเงินในบัญชีคนละครึ่งได้เลย แต่ถ้าตอนเปิดบัญชีร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างใส่เงินไม่เท่ากัน ก็อยู่ที่ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะแบ่งเงินกันอย่างไร หารครึ่ง หรือแบ่งสัดส่วนคนละเท่าไร หรือถ้าฝ่ายหนึ่งซึ่งสามารถถอนเงินได้โดยไม่ต้องมีลายเซ็นของอีกฝ่ายหนึ่ง เกิดชิงถอนเงินจากบัญชีออกไปหมด ก็เป็นเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ค่ะ

อ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจคิดว่า แบบนี้ต่างคนต่างมีบัญชีของตัวเองแยกกันไปดีกว่าไหม ก็ต้องบอกว่า การแยกบัญชีก็มีข้อดี เหมือนแยกกระเป๋าเงินของแต่ละคน ยิ่งถ้าใครมีภาระเยอะ เช่น มีญาติพี่น้องในอุปการะ หรือมีลูกติดที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดู การแยกบัญชีก็ช่วยให้คู่สามีภรรยาจัดการเรื่องเงินเรื่องทองของแต่ละคนได้ง่ายกว่า แต่ก็ต้องไม่ลืมนะคะว่า เมื่อตัดสินใจมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแล้ว หลายๆ คู่ก็คงอยากวางแผนการเงินร่วมกัน ซึ่งการเปิดบัญชีร่วมก็เหมือนเป็นเครื่องยืนยันการใช้ชีวิตคู่ของคนสองคนอีกแบบหนึ่งค่ะ

ที่กล่าวมาทั้งหมด น่าจะพอเป็นแนวทางให้คู่สามีภรรยาพิจารณาได้ว่าจะเปิดบัญชีร่วมกันดีไหม หรือจะแยกบัญชีกันไปเลย เพราะแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลง หรือวัตถุประสงค์ในการเปิดบัญชีของคู่รักแต่ละคู่แล้วล่ะค่ะ

------------------------------------------------------

Recommended! ตัวช่วยที่เกี่ยวข้องกับบล็อกวันนี้
>>> K-Expert Tool: โปรแกรมรับ-จ่ายอย่างง่าย <<< โหลดฟรี




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2559 11:24:33 น.
Counter : 859 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  

K-Expert
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




ข้อมูลดี ฟรี มีประโยชน์ เพื่อชีวิตดีๆ ที่มีได้ทุกคน
Friends' blogs
[Add K-Expert's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.