Group Blog
 
All Blogs
 
เทคนิคลงทุนให้ครอบครัวรวยสุข (ภาคใช้เงิน)




สวัดดีค่าาา

   จากส่วนก่อนหน้าที่เราได้พูดถึงแนวทางการลงทุนแบบลงเงินและลงแรงกันไปแล้ว หลายคนอาจจะแอบบ่นในใจว่า โอ๊ย! ทุกวันนี้เราทำงานประจำก็กลับบ้านสามสี่ทุ่ม เสาร์-อาทิตย์ก็ยังต้องทำงาน หรือยังต้องพาลูกไปทำกิจกรรมต่างๆ อย่าคิดเล๊ย! ว่าจะเอาเวลาที่ไหนไปหาเงินเพิ่ม “เสียงกระซิบจากคนทางบ้าน” เรื่องนี้ผู้เขียนเข้าใจดีค่ะ ว่าคุณอาจจะกำลังเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ งั้นเรามาดูวิธีการลงทุนแบบไม่ต้องใช้แรง และไม่ต้องใช้เวลาทุ่มเทถึงขั้นทำธุรกิจกัน นั่นคือการลงทุนด้วยเงิน  และยกหน้าที่ลงแรง ติดตามและจับจังหวะทำกำไร ผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมืออาชีพ อย่างผู้จัดการกองทุน ใช่แล้วค่ะ เราจะแนะนำให้ลงทุนผ่าน “กองทุนรวม”

   ทำไมต้อง “กองทุนรวม”

   อย่างแรกเลย คือลงทุนผ่านผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ เค้าจะช่วยจับจังหวะซื้อขายทำกำไร ติดตามผล ตามนโยบายกองทุนนั้นๆแบบ 24 ชม.แทนเรา หน้าที่เราแค่ศึกษาในกองทุนนั้นๆก่อนนำเงินไปลงทุน และติดตามข่าวที่อาจเกี่ยวข้องกับการลงทุน  อย่างที่สองคือ ลงทุนเงินไม่ต้องมาก ขั้นต่ำ 500 บาทก็เริ่มลงทุนได้แล้ว  อย่างที่สาม คืออยากลงทุนอะไร ก็มีให้เลือกหมด ทั้งตราสารหนี้  หุ้นในประเทศ หุ้นต่างประเทศ ทองคำ น้ำมัน สารพัดอยากจะเลือก แต่ที่สำคัญต้องรู้นะคะว่า สินทรัพย์แต่ละประเภท มีความเสี่ยงสูงต่ำไม่เท่ากัน ก่อนลงทุนเราจึงจะได้ทำแบบประเมินความเสี่ยงของตัวเองให้รู้ตัวกันก่อนว่า เรารับความเสี่ยงได้ระดับไหน แล้วค่อยเลือกลงทุนในสินทรัพย์หรือกองทุนที่เหมาะกับเรา จะได้ไม่ต้องเสียวสันหลังวาบหลังเอาเงินไปลงทุน

   ข้อดีที่ต้องขยาย สำหรับการลงทุนในกองทุนรวม นั่นคือ นอกจากเราจะเลือกลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้แล้ว เรายังสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวม แยกตามเป้าหมายการเงินในบ้านได้อีกด้วย เรื่องนี้ “ดีงามล้านแปด” ดีงามอย่างแรกคือ เราจะสามารถเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จะถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น แทนการฝากเงินแค่ในธนาคาร  “ดีงาม” อย่างที่สอง คือ เราจะถึงเป้าหมายการเงินในบ้านได้จริง โดยไม่ต้องไปเสี่ยงจนพลาดเป้า  เราลองมาหลักในการเลือกลงทุนในกองทุนรวมให้ถึงเป้าหมายการเงินในบ้านกันดูค่ะ ต้องเลือกยังไง ในที่นี้ของกล่าวถึงเป้าหมายที่พ่อๆแม่ๆกำลังทยอยเก็บรายเดือน (ไม่นับเป้าหมายที่มีเงินครบแล้วนะคะ) ดังนี้ค่ะ

1.เป้าหมายแรก คือเงินก้อนเผื่อฉุกเฉิน

   หลายๆครั้งที่เรามักเงินก้อนแรกที่ควรมีก่อนลงทุน อย่างเงินก้อนเผื่อฉุกเฉิน สำคัญอย่างไร ข้อแรก คือเงินก้อนนี้จะเป็นเงินของตัวเองที่เป็นหลักประกันการใช้จ่ายในช่วงเวลาที่ครอบครัวประสบปัญหา ไม่ว่าจะเกิดมีคนในบ้านไม่สบาย ต้องเข้าโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายก้อนโตอาจทำให้เราก็ต้องดึงเงินที่กำลังลงทุนอยู่ ออกมาใช้จ่ายทั้งๆที่ยังขาดทุน หรือถ้าหัวหน้าครอบครัวเกิดโดนพิษเศรษฐกิจ ถูกเลิกจ้างรายได้ขาดหาย เงินก้อนนี้จะยังทำให้คนในบ้านยังคงกินอยู่ได้อิ่มท้องสบายตัวไปได้ถึง 6 เดือน ยืดเวลาให้หารายได้ก้อนใหม่ได้ไม่เดือดร้อนดังนั้นเงินก้อนนี้จึงควรมีอย่างน้อย 6 เท่าของรายจ่ายทั้งบ้านต่อเดือน เช่นถ้าทั้งครอบครัวมีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 20,000 บาท ก็ควรมีเงินก้อนนี้อย่างน้อย 120,000 บาท เก็บไว้ในเงินฝากออมทรัพย์ 1 เท่า และแบ่งลงทุนไว้ในกองทุนตลาดเงิน ซึ่งมีความคล่องตัวสูงใกล้เคียงกับเงินฝากอีก 5 เท่า ให้มีความพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินในครอบครัวได้เงินก้อนนี้ได้ทันทีค่ะ

2. เป้าหมายนั้นสำคัญแค่ไหน

   ดั่งคำพูดที่ว่า “เป้าหมายการเงินในบ้านมีเยอะแยะเต็มตะกร้า แต่เงินมีจิ๊ดเดียว”สิ่งที่เราทำให้ถึงเป้าหมายได้ คือเขียนเป้าหมายเหล่านั้นออกมา เรียงลำดับเป้าหมายจากสำคัญมาก ไปสำคัญน้อย (สำคัญมาก คือ เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องถึงเป้าหมายตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ห้ามขาดแต่เกินได้ เช่น ค่าเทอมลูก ถ้าถึงเวลาแล้วไม่มีลูกอดเรียนหนังสือ ส่วนสำคัญน้อย คือ เรื่องที่เมื่อถึงเวลาเงินมีไม่ครบตามจำนวน ก็ไม่เดือดร้อน แต่เงินเกินได้จะ Happy มากๆ เช่น เป้าหมายไปท่องเที่ยว ยังไม่ได้ไปตามระยะเวลาที่กำหนด ก็ยังไม่เป็นไร เป็นต้น) ซึ่งถ้าเราแบ่งเป้าหมายได้ตามนี้ การจะพอเห็นว่า เป้าหมายที่สำคัญมากๆ ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำๆ อย่างกองทุนตราสารหนี้ จะได้ไม่ต้องรับความเสี่ยงจากความผันผวนจากการลงทุนมากนัก ส่วนเป้าหมายที่สำคัญน้อยๆ ก็เลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นได้ ผันผวนสูงขึ้นได้ เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้นได้ด้วย (High Risk High Return)

3. เป้าหมายนั้นมีระยะเวลาลงทุนนานแค่ไหน

   การวางเป้าหมายต้องชัดเจน ถึงขึ้นรู้จำนวนเงินที่ต้องใช้และรู้ระยะเวลาที่ต้องการใช้เงิน ว่าอีกกี่เดือน หรืออีกกี่ปีข้างหน้า เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เราจะได้เคลียร์ว่าจะมีเวลาเก็บเงินนานแค่ไหน แต่เราจะได้รู้อีกด้วยว่าเราควรลงทุนในระดับความเสี่ยงต่ำ หรือสูง เพราะการลงทุนในระดับความเสี่ยงสูงอย่างหุ้น จะมีระดับความเสี่ยงที่ลดลงได้จากการซื้อถัวเฉลี่ยระยะยาว จากสถิติคือ การซื้อแบบถัวเฉลี่ย หรือเท่าๆกันในทุกเดือน ได้นานถึง 10 ปี จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 5-10% ต่อปี เรียกว่าไม่ขาดทุน และรับผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินธนาคาร แต่ถ้าเรามีระยะเวลาการลงทุนน้อย และยังเป็นเป้าหมายที่สำคัญมากๆ ก็แนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำต่อไปค่ะ

   เพราะการเงินในบ้าน ถ้าไม่มีการลงทุนเลย ก็มีความเสี่ยงในการรับผลกระทบจากเงินเฟ้อ ถ้าไม่มีการวางแผนเลย ก็เสี่ยงที่จะไม่สามารถทำเป้าหมายต่างๆได้ ถ้าลงทุนแล้วไม่ติดตาม ก็เสี่ยงที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนในระดับที่ต้องการ อย่าลืมนะคะ ว่าผู้จัดการกองทุน ช่วยนำเงินไปลงทุนให้ แต่เราเป็นเจ้าของเงิน ต้องติดตามผลตอบแทนทุกๆ ปีด้วยค่ะ


เขียนโดย... K-Expert คุณแม่แอน

ใครพลาดบทความก่อนหน้านี้ไป ตามไปอ่านได้ ที่นี่ ค่ะ




Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2560 11:35:40 น. 1 comments
Counter : 1167 Pageviews.

 
0631364860




โดย: นิน๊บล IP: 124.120.153.187 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา:12:25:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

K-Expert
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




ข้อมูลดี ฟรี มีประโยชน์ เพื่อชีวิตดีๆ ที่มีได้ทุกคน
Friends' blogs
[Add K-Expert's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.