สวัสดีค่ะ
ในช่วง 1-2 ปีนี้ ใครที่ลงทุนหุ้นไทยอยู่ก็ต้องยอมรับว่า ทำกำไรได้ไม่ง่ายนัก เพราะมีปัจจัยต่างๆ มากมายที่มากระทบตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ฯลฯ หลายคนถึงขั้นกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ ราคาปรับตัวลงไปเรื่อยๆ จะคัทลอสก็ไม่กล้า กลัวขายปุ๊บ ราคาจะปรับขึ้นมา ส่วนจะซื้อถัว ก็กลัวว่า ซื้อแล้ว ราคาจะไหลลงต่อ ถ้าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็ต้องบอกว่า ตัวเราเองอาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนหุ้น เพราะยังรับกับราคาหุ้นที่ขึ้นลงผันผวนไม่ค่อยได้ แล้วตัวเราควรลงทุนแบบไหนดีล่ะ วันนี้ K-Expert มีการลงทุนแบบจัดพอร์ตมาแนะนำกันค่ะ
การลงทุนแบบจัดพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) ก็คือ การแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์การลงทุนต่างๆ ตามระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ เช่น หากรับความเสี่ยงได้สูง ก็สามารถแบ่งเงินในสัดส่วนเยอะหน่อยมาที่การลงทุนหุ้น แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้ไม่มาก ก็ควรกระจายเงินมาเน้นลงทุนในพวกตราสารหนี้อย่างพันธบัตร หุ้นกู้ หรือเงินฝาก แทนที่จะเน้นลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว วิธีนี้จะช่วยให้เราลงทุนในสไตล์ที่เหมาะกับตัวเรามากขึ้น ช่วยลดอาการกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เมื่อตลาดหุ้นทิ้งดิ่งปรับตัวลงมาแรงๆ ได้
แล้วตัวเราควรจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไรดีล่ะ K-Expert ได้ออกแบบพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ตัวเรายอมรับได้ 3 แบบคือ สูง กลาง และต่ำ โดยมีรายละเอียดตามตารางด้านล่างค่ะ
ระดับความเสี่ยง | หุ้นไทย | หุ้นต่างประเทศ | ตราสารหนี้ไทย | ตราสารหนี้ต่างประเทศ |
สูง | 40% | 15% | 30% | 15% |
กลาง | 20% | 10% | 50% | 20% |
ต่ำ | 0% | 0% | 80% | 20% |
ส่วนตัวเราเองจะรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนนั้น แนะนำให้ทำแบบสอบถามเพื่อประเมินระดับความเสี่ยงในการลงทุนที่เหมาะสม (Customer Risk Profile) ได้ที่ธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซึ่งจะเป็นตัวช่วยบอกได้ว่า ตัวเรารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนค่ะ
เมื่อตัวเราได้มีการจัดสรรเงินลงทุนตามพอร์ตการลงทุนไปแล้ว ก็ต้องมี การติดตามดูแลพอร์ต กันอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ เพื่อให้มั่นใจว่า สัดส่วนการลงทุนของเราไม่ต่างจากสัดส่วนที่ตั้งใจลงทุนไว้ในตอนแรก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรารับความเสี่ยงได้สูง ซึ่งกำหนดสัดส่วนลงทุนในหุ้นไทยไว้ 40% หากตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สัดส่วนลงทุนในหุ้นไทยสูงขึ้นเป็น 50% แบบนี้ก็ต้องมีวินัยที่จะขายหุ้นไทยออกไป เพื่อให้สัดส่วนในหุ้นไทยกลับสู่ระดับ 40% ที่กำหนดไว้ค่ะ หรือถ้ากังวลว่า ตัวเองจะไม่มีเวลามาคอยปรับพอร์ต การลงทุนในกองทุนผสมที่มีการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับพอร์ตที่ได้แนะนำไว้ ก็เป็นอีกตัวเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจค่ะ
หวังว่า การจัดพอร์ตการลงทุนที่ได้แนะนำไป จะช่วยให้เพื่อนๆ สามารถลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น สำหรับเงินลงทุนที่ตั้งใจจะเอามาจัดพอร์ตการลงทุนนั้น ควรเป็นเงินเย็นที่เราไม่มีแผนจะใช้อย่างน้อยๆ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อให้สามารถลงทุนได้ยาวๆ และได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องได้ล่ะค่ะ
------------------------------------------------------
Recommended! ตัวช่วยที่เกี่ยวข้องกับบล็อกวันนี้
>>> K-Expert Tool: ผู้ช่วยจัดการสินทรัพย์ออนไลน์ <<< โหลดฟรี