Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
1 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
ฝ่าดงฝี



ฝีนะครับ ไม่ใช่ผี

เคยสงสัยมานานแล้ว ว่าทำไมเด็กบ้านนอกจะต้องเป็น"ฝี" กันบ่อยๆ ตอนผมเด็กๆ เคยผ่านประสบการณ์เป็นฝีไม่น่าจะต่ำกว่า 20-30 ครั้ง! มักจะเป็นบริเวณ ขา ฝ่าเท้า น่อง บั้นท้ายก็ไม่เว้น เป็นมันไม่ได้หยุดหย่อน จนเหมือนเพื่อนสนิทที่รู้ใจ แต่ที่รับไม่ค่อยได้คือเป็นที่เปลือกตา เรียกว่า "กุ้งยิง" อายเพื่อนทั้งห้อง

ฝีจะเริ่มจากจุดที่เป็นหนองเล็กๆ ก่อน มือเด็กๆมักอยูไม่สุข บีบเค้นมันจนอักเสบทุกทีๆ บางครั้งต้องนอนร้องโอยๆ จะเดินจะนั่งก็ลำบาก ต้องรอจนกว่าฝีจะสุกได้ที่ บีบหนองสีขาวขุ่นออกมาจนหมดนั่นแหละ จึงเหมือนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นทีเดียว หลังจากนั้นจะคันรอบๆหัวฝี ต้องอดใจไม่เกามัน แล้วฝีจะค่อยๆยุบหายไปเอง

การรักษาฝี ไม่เคยกินยาแก้ปวด หรือยาแก้อักเสบอะไรทั้งนั้น เข้าใจเอาเองว่าเป็นโรคที่หมอแผนปัจจุบันไม่มีทางเข้าใจ เราใช้ "กอเอี๊ย" เป็นยาจีน สีดำๆ เหนียวๆ แผ่บนแผ่นกระดาษ หรือผ้า แล้วปิดไปบนหัวฝีอีกที หากไม่สะอาด ฝีแรกหายไป แต่รอบๆเกิดติดเขื้อ ผุดขึ้นมาอีก ต้องเริ่มต้นการรักษาแบบเดิมๆ ใหม่ เสียกอเอี๊ยกันอีกหลายแผ่น

พวกเราต่างสันนิษฐานกันไปต่างๆนาๆ ว่า คนที่เป็นฝีน่าจะเกิดจากกินโปรตีนน้อย คิดอีกทีก็ไม่น่าใช่ เพราะเรากิน ไข่เป็ด ปลาทู ออกบ่อยไป พี่ๆบอกว่าให้กินถั่วเขียว ฝีจะหายเร็ว หากเป็นเด็กผู้หญิงมักจะไม่ค่อยเป็นฝี แต่ก็ไม่จริงทุกราย เพราะมีเพื่อนเป็นสาวชาวใต้คนหนึ่งบอกว่ามีแผลเป็นที่เกิดจากร่องรอยของการเป็นฝีในร่มผ้าหลายแห่ง

ปัจจุบัน ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคดีขึ้น เด็กๆได้รับการดูแลอย่างดี ยังไม่เคยเห็นเด็กเมืองกรุงเป็นฝีตามขา เข่า แต่หลายคนไปผุดที่ใบหน้า หมดหล่อกันเป็นแถว จึงเป็นโอกาสทองของคลีนิครักษาสิวที่เกิดอย่างกับเห็ดหน้าฝน รักษาครั้งละหนึ่งพันบาท เดือนละ 4 ครั้ง โกยเงินโกยทองในยุคเศรษฐกิจตกสะเก็ดกันอยู่เงียบๆ





Create Date : 01 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 9 มกราคม 2553 20:19:28 น. 21 comments
Counter : 6561 Pageviews.

 
ไม่เคยเป็นฝี เป็นแต่สิว อ่านดูจากอาการแล้ว คล้าย ๆ กับเป็นสิวนะคะ คุณ Insignia Museum

รูปภาพสวยดีจังค่ะ เห็นหน้าคนโบราณแล้ว ต้องรีบไปส่องกระจก หน้าป้าเดซี่ก็โบราณ ๆ อย่างนี้เลยค่ะ จริง ๆ


โดย: Oops! a daisy วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:6:35:04 น.  

 
โถ่ ...หนูก็นึกว่าเรื่อง ผี กะลัง อินๆ อยู่ด้วย


เป็นฝี เม็ดเดียวก็แย่แล้ว ทั้งปวด ทั้งบวม อักเสบ เดาเอาค่ะ
ยังไม่เคยเป็นฝีและไม่อยากเป็นฝีค่ะ กลัววว


โดย: ลูกนางฟ้าลงมาเกิด วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:6:39:10 น.  

 
โชคดีจังที่เกิดไม่ทันตอนนั้น ม่ายงั้นนนล่ะก็
ชอบรูปถ่ายมากมายค่ะ สมัยรัชกาลที่สี่,ที่ห้ารึปล่าวคะ


โดย: จันทร์ไพลิน วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:6:44:53 น.  

 
หุหุ เคยฝ่าดงมาเหมือนกันค่ะ

สมัยยังเด็กละอ่อนอยู่

นั่นน่ะสิคะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นคนเป็นฝีกันเลย คงเพราะได้รับการดูแลดีนั่นะเอง


โดย: วันวานที่ผ่านมา วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:7:19:42 น.  

 
คิดถึงกอเอี๊ยะ

อีกสิ่งหนึ่งที่กำลังหายจากเมืองไทย


โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:31:26 น.  

 
สมัยเด็ก ๆ ตอนที่ปลูกฝีนี่ จำความเจ็บปวดได้จนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ เป็นเหตุผลนึงที่เรายังกลัวหมออยู่


โดย: NoiseN วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:42:33 น.  

 
โรคเป็นฝี คงโบราณซะแล้วนะคะ ฝีเล็กๆน้อยๆในอดีตมันคงพัฒนากลายเป็นเนื้อร้ายกระมัง คิดเองนะ หุ หุ หุ

ชวนไปเที่ยวประเทศเกาหลีค่ะ....รอต้อนรับนะคะ


โดย: nathanon วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:04:03 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ครับ


โดย: \\ton\\ วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:2:13:35 น.  

 


โดย: จันทร์ไพลิน วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:6:46:50 น.  

 
รูปที่นำมาลงนี้ น่าจะ พ.ศ. 2449 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 (ถ้าอ่านลายมือที่เขียนไว้ไม่ผิด)

ผู้คนในภาพนี้เป็นคนไทยเชื้อสายลาวที่อาศัยอยู่ในภาคกลางของประเทศไทยครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:19:25:13 น.  

 

ขึ้นต้นเรื่องฝี แต่หักมุมจบเรื่องสิวได้ดีครับ


โดย: Flying Dragon of WDC วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:57:50 น.  

 
สวัสดีครับท่านพี่


โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:28:12 น.  

 
สวัสดีค่ะ แวะมาเยี่ยมอีกตามเคย
ไม่ได้มาเสียนาน แต่ก็ยัีงไม่ได้ลืมกันนะค๊า
ฝีออยไม่เคยเป็นค่ะ เคยเป็นแต่ตากุ้งยิงค่ะ
สงสัยตอนเด็กๆๆ ออยคงไปแอบดูหนุ่มๆแก้ผ้ามั่งค่ะ

ออยชอบรูปถ่ายค่ะ ดูโบราณและก็ดูขลังดีค่ะ
คุณInsignia Museum สบายดีนะคร๊า
รักษาสุขภาพด้วยนะค๊า



โดย: Borken วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:40:49 น.  

 
ตอนเด็กๆ ปลูกฝีกันทุกปี

แต่ก็ยังมีแอบเป็น

ต้องถือว่าเป็นโรคในอดีตจริงๆนะคะ

เป็นโรคที่ขึ้นหิ้ง คลาสสิก ไป.แล้ว...

โชคดีที่เดี๋ยวนี้ฝีหายไป ไม่งั้นเราอาจจะต้องเจอ คลินิครักษาฝี อีกอย่าง...
นอกเหนือคลินิครักษาสิว กับคลินิคลดความอ้วน ที่มีอยู่ทุกสามช่วงตึก


โดย: ทากชมพู วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:17:34 น.  

 


โดย: จันทร์ไพลิน วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:5:55:32 น.  

 
สวัสดีครับพี่ วันนี้ชี้ขาดแล้วมั้งใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ


โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:47:29 น.  

 
อ่านเรื่อง "ฝี" ที่ไม่ใช่ "ผี" แล้วพาลคิดถึงสิ่งอันเกี่ยวเนื่องกับการรักษา "ฝี" แบบโบร่ำโบราณอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที นั่นคือ กระปุกตังฉ่าย

เด็กยุคนี้คงจะทำหน้างง ๆ ว่า การเป็นฝี มันจะเกี่ยวอะไรกับกระปุกตังฉ่าย บางคนอาจไม่เคยเห็นแม้แต่กระปุกตังฉ่ายว่ามีหน้าตาอย่างไร

เอาเป็นว่า มันคือกระปุกดินเผาเล็ก ๆ ปากเล็กแต่ป่องตรงกลางกระปุก ที่เขาเอาไว้ใส่ตังฉ่ายอันเป็นเครื่องปรุงอาหารสำคัญของคนไทยเชื้อสายจีน

คราวนี้ถ้าใครเป็นฝี โดยเฉพาะบริเวณแข้งขาตาตุ่ม หรือตามต้นขา หรือก้นกอยแบบที่เจ้าของบล็อกเคยเป็น ก็อาจจะรักษาเบื้องต้นโดยการติดกอเอี๊ยสีดำ ๆ ไว้ก่อน รอจนฝีเม็ดนั้นสุกเกือบจะได้ที่ จึงจะถึงวิธีการรักษาแบบถอนรากถอนโคน คือใช้กระปุกตังฉ่าย

คนที่ชำนาญในการรักษาแบบนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนสูงอายุ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ซินแส" หรือ "ซิงแซ" ที่พอจะแปลเป็นไทยได้ว่าอาจารย์ อะไรประมาณนั้น

พอคนป่วยไปถึงมือซินแส แกจะให้ไปนั่งหรือนอนบนแคร่ในบ้าน แล้วตัวแกเองก็จะไปหยิบกระปุกตังฉ่ายที่ล้างและทำความสะอาดแล้วออกมา พร้อมกับกระดาษหนึ่งแผ่น กับเครื่องเขียนแบบจีน อันมีภู่กันจีนกับแท่นหมึก

ตัดหรือฉีกกระดาษฟางเป็นแผ่น กว้างยาวประมาณ 3 คูณ 6 นิ้ว แล้วฝนหมึกจีนกับน้ำ แล้วจัดแจงจุ่มภู่กันก่อนจะเขียนยันต์แบบจีน ที่เรียกว่า "ฮู้" ด้วยตัวหนังสือจีน หรือตัวหนังสืออะไรก็ไม่รู้ เพราะเคยถามแม่ แม่ก็บอกว่าอ่านไม่ออกเหมือนกัน

พอเขียนเสร็จก็จัดแจงเอาฮู้แผ่นนั้นเผาไฟ แล้วใส่ลงในกระปุกตังฉ่าย ปากก็ท่องอะไรขมุบขมิบ รอสักครู่จนไฟไหม้ฮู้แผ่นนั้นจนจวนมอดแล้ว ซินแสจึงเอากระปุกตังฉ่ายนั้นครอบลงบนหัวฝีที่บวมเป่ง

คนป่วยจะรู้สึกร้อนวะวาบบริเวณแผล และจะรู้สึกถึงแรงดูดจากภายในกระปุก เนื่องจากกระปุกตังฉ่ายในตอนนั้นเป็นสูญญากาศ เพราะควันที่เกิดจากการเผาฮู้ไล่อากาศออกจนหมดสิ้น เมื่อครอบเข้าตรงฝี จึงดูดเอาฝีที่กำลังบวมเป่งเม็ดนั้นแตกโพล้ะ หนองที่อยู่ภายในทะลักล้นออกมาจนหมดสิ้น พอเสร็จ ซินแสจะเช็ดหนองและบริเวณปากแผลให้สะอาด แล้วใช้ขนไก่จุ่มเหล้าขาวทารอบ ๆ แผลเป็นอันเสร็จพิธี

แต่ถ้าดูดครั้งแรก "หัวฝี" ยังไม่ยอมออก ก็ต้องผ่านกระบวนการดูดหัวฝีเป็นครั้งที่สองด้วยวิธีการเดิม เพราะเชื่อกันว่า จะรักษาฝีให้หายขาด ต้องเอาหัวของมันออกมาให้ได้

ทั้ง ๆ ที่ชาวบ้านต่างรู้วิธีการคร่าว ๆ ว่า การดูดฝีแบบนี้ สิ่งอันจำเป็นคือกระปุก กับกระดาษเผาไฟ ที่เป็นวัสดุที่มีกันแทบทุกบ้าน แต่ก็ไม่มีใครหาญกล้าทำการรักษาด้วยตนเอง ยังต้องแวะเวียนกันไปหาซินแสทุกครั้งที่ต้องการรักษาฝี อาจเป็นเพราะค่ารักษาที่ต้องจ่ายครั้งละ 1 บาท ไม่แพงเกินไป หรือเพราะไม่กล้าทำเองเพราะเขียนฮู้ไม่เป็น ท่องคาถาไม่ได้

หลายปีต่อมา การแพทย์แผนใหม่เริ่มขยายตัวเข้าถึงชาวบ้านมากขึ้น สุขศาลา และโรงพยาบาลมีหมอมาประจำการ ประกอบกับซินแสคนดังกล่าว อำลาวงการกลับไปนอนเฝ้าป่าช้าเสียแล้ว ผู้คนในละแวกย่านนั้น จึงเริ่มรู้จักคำว่า "ผิวหนังอักเสบ" และ "ยาปฏิชีวนะ" ว่าเป็นที่พึ่งของการรักษาฝีแบบทันสมัย แทนกระปุกตังฉ่าย กับฮู้แบบดั้งเดิม

แต่นั่น ก็ต้องแลกกับค่ายา และค่ารักษาที่แพงกว่าเดิมอีกหลายสิบบาท.....


โดย: ลุงแว่น วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:9:33:50 น.  

 
ขอบคุณคุณลุงแว่นที่เข้ามาเล่าประสบการณ์ให้คนรุ่นหลังฟัง
เป็นความรู้ที่หาที่ใดไม่ได้ครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 11 มกราคม 2552 เวลา:12:34:23 น.  

 
ที่คุณลุงแว่นเีขียนมานี่ เห็นภาพเลยครับ หยึย...

เมื่อก่อนผมก็เคยเป็นฝีหลายครั้ง ถึงขนาดเดินแทบไม่ได้ก็เคย วิธีรักษาบ้านผมคือ โดนจับขึงพืดแล้วบีบหัวมันออกมาครับ ร้องจ๊ากลั่นบ้านเลย น่ากลัวมาก


โดย: คุณม้าม วันที่: 5 มีนาคม 2552 เวลา:0:34:36 น.  

 
อ่านแล้วนึกถึงฝีที่หลังของน้องที่ที่ทำงาน
ถ้าเป็นตอนนี้ก็ถูกผ่า

เรื่องกระปุกตังฉ่าย ของลุงแว่น น่าสนใจมากค่ะ
เป็นกรรมวิธีที่ซุกซ่อนภูมิปัญญาเอาไว้อย่างดี
ไม่ว่าจะการเผากระปุกให้ร้อน ฆ่าเชื้อ และไล่อากาศให้กระปุกเป็นสูญญากาศดูดฝีออกได้


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 5 พฤษภาคม 2552 เวลา:12:19:40 น.  

 
เคยเป็นครับ ที่ก้น แปะกอเอี๊ยะ

กุ้งยิงที่ตาก็เป็นบ่อยมาก ทุกวันนี้ก็ยังเป็น



โดย: c IP: 58.8.139.242 วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:17:23:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Insignia_Museum
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 66 คน [?]




ความตั้งใจในการทำบล็อกเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เริ่มต้นด้วยการเขียนถึงถิ่นที่อยู่ในวัยเด็ก ต่อมาเป็นเรื่องเครื่องหมายต่างๆ เรื่องศิลปะ ภาพถ่ายในยุคก่อนๆ อาหารการกิน และอะไรต่อมิอะไรที่ประสบพบเห็น สนใจอะไรขึ้นมาก็อยากรู้ให้มากขึ้น กลุ่มเนื้อหาจึงแตกแขนงไปเรื่อยๆ
New Comments
Friends' blogs
[Add Insignia_Museum's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.