นักวิชาการไทย แนะรัฐ ปฏิรูปการศึกษา และเร่งสร้างวัฒนธรรมการอ่าน
บทเรียนการอ่านจากเพื่อนบ้าน นักวิชาการไทย แนะรัฐ ปฏิรูปการศึกษา และเร่งสร้างวัฒนธรรมการอ่าน เพื่อส่งเสริมให้ คนไทยรักการอ่าน อุทยานการเรียนรู้ TK park .
..
...
.
..
ในงานประชุมวิชาการ Thailand Conference Reading 2011 โดยสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ TK park ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ นอกจากการบรรยายพิเศษและการอภิปรายในหัวข้อต่างๆแล้ว ยังมีการนำเสนอรายงานด้านการส่งเสริมการอ่านของเพื่อนบ้านที่น่าสนใจ ซึ่งมีบางประเด็นที่ไทยเองควรนำมาขบคิด! หากต้องการให้คนไทยหันมาอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น 10-20 เล่มต่อปีภายในปี 2556 หลังพบสถิติการอ่านเพียง 2-5 เล่มต่อปี รองศาสตราจารย์ เซติโอโน ซูกิฮาร์โต | รองศาสตราจารย์ เซติโอโน ซูกิฮาร์โตอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย Atma Jaya Catholic อินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ สื่ออินโดนีเซียเคยรายงานว่าอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีอัตราการไม่รู้ หนังสืออยู่ในระดับสูงติดหนึ่งในเก้า โดยระหว่างปี 2538-2548 อัตราการไม่รู้หนังสือของผู้ใหญ่สูงมากกว่าร้อยละ90 และยังมีรายงานของภาคเอกชนที่ให้บริการการศึกษาฟรีแก่เด็กในชุมชนแออัดระบุ ว่า เด็กๆ ชาวอินโดนีเซียไม่มีนิสัยชอบอ่านหนังสืออีกด้วยนั้น ใน เรื่องนี้รองศาสตราจารย์ เซติโอโน ซูกิฮาร์โต ได้โต้แย้งรายงานดังกล่าวว่า ปัญหาการไม่รู้หนังสือที่มีมาเนิ่นนาน รวมทั้งปัญหาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการรู้หนังสือของเด็กโดยทั่วไปใน อินโดนีเซียนั้น ไม่ได้มาจากปัญหาด้านวัฒนธรรมแต่อย่างใด แต่เกิดจากการไม่สามารถเข้าถึงหนังสือมากกว่า และคนส่วนใหญ่ของประเทศมีฐานะยากจนโดยเฉพาะเด็กๆในพื้นที่ที่ห่างไกล ทั้งนี้จากรายงานการวิจัย ตำนานของวัฒนธรรมการไม่รู้ หนังสือ : กรณีของเด็กอินโดนีเซีย ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ระบุว่า เด็ก อินโดนีเซียเป็นนักอ่านตัวยงไม่ใช่ไม่มีนิสัยรักการอ่าน แต่ห้องสมุดที่มีมีอยู่จำกัดเฉพาะในเมืองใหญ่ ทำให้เด็กยากจนในพื้นที่หลายแห่งที่ห่างไกลขาดโอกาสเข้าถึงหนังสือในห้อง สมุด แต่เด็กๆมักไปร้านขายหนังสือเป็นประจำในวันหยุดสุดสัปดาห์และเลือกหยิบอ่าน หนังสือที่ชอบและให้ความเพลิดเพลินมากกว่า เช่น การ์ตูน หรือ นิยาย และไม่ชอบอ่านตำราหรือหนังสือเรียนที่ครูและผู้ปกครองสั่ง | รองศาสตราจารย์ เซติโอโน ซูกิฮาร์โต มองว่า การอ่านหนังสืออ่านเล่น เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านของเด็ก และการอ่านโดยสมัครใจถือเป็นก้าวแรกในการสร้างวัฒนธรรมการอ่านของเด็ก รวมทั้งการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงห้องสมุดและหนังสือจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการพัฒนาการรู้หนังสือของเด็กปัจจุบันเด็กชาวอินโดนีเซียมีความกระตือรือร้นหรือสนใจในการอ่านหนังสือมากขึ้น ที่สำคัญคือ ผลการวิจัยชิ้นนี้ ยังได้ชี้ให้เห็นว่า การอ่านหนังสือเบาสมอง หรืออ่านในสิ่งที่ชอบ ก็มีคุณค่า สามารถนำไปสู่นิสัยรักการอ่านได้ และทำให้ประสบความสำเร็จในการเรียนได้เช่นกัน ดังนั้น จากคำกล่าวที่ว่า เด็กอินโดนีเซียไม่มีนิสัยรักการอ่าน จึงเป็นเพียงตำนานไปแล้ว ด้าน ศาสตราจารย์ แอมบิกาปาธี ปานเดน ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและภาษาศาสตร์ และประธานคณะกรรมการเอเชียเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสมาคมการอ่านนานา ชาติ จากประเทศมาเลเซีย ได้นำประสบการณ์น่าสนใจมาแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะผลวิจัยที่พบว่า พฤติกรรมการอ่านของคนรุ่นใหม่ใน มาเลเซียในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ในภาวะถดถอย การ อ่านกำลังสูญเสียความนิยมไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม ครอบครัวและโรงเรียน การอ่านของคนมาเลเซียกลายเป็นเพียงกิจกรรมเพื่อให้สอบผ่านเท่านั้น เพราะระบบการศึกษาในมาเลเซียให้ความสำคัญกับการสอบแข่งขันมากกว่า และเมื่อจบแล้วพฤติกรรมการอ่านของพวกเขาก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ศาสตราจารย์ แอมบิกาปาธี ปานเดน ระบุถึงพฤติกรรมดังกล่าวว่า คน เรียนจบปริญญาแล้วมักไม่อ่านหนังสือ จึงไม่ต่างอะไรกับคนอ่านหนังสือไม่ออก! คนมีการศึกษาในมาเลเซียไม่อยากอ่านหนังสือเป็นผลมาจากการ ไม่ได้ปลูกฝังนิสัยการอ่าน และไม่ชอบการอ่านหนังสือ ดังนั้นยุทธศาสตร์ส่งเสริมการอ่านของมาเลเซียจึงมุ่งส่งเสริมวัฒนธรรมการ อ่าน โดยตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อส่งเสริมการอ่านขึ้น เพื่อจัดกิจกรรมที่จะส่งเสริมพฤติกรรมการอ่านในมาเลเซีย เช่น โครงการ Read 1 Malaysia เพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมการอ่านตลอดชีวิต การจัดนิทรรศการ กิจกรรมการอ่านที่หลากหลายที่ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าร่วม เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนมาเลเซียอ่านหนังสือ และโครงการ NILAM ที่กระทรวงศึกษาธิการริเริ่มขึ้น เพื่อส่งเสริมและบ่มเพาะความรักในการอ่านสำหรับนักเรียนทั้งชั้นประถมและ มัธยม เป็นต้น | ศาสตราจารย์ แอมบิกาปาธี ปานเดน | เช่นเดียวกับ ศาสตร์จารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการคนสำคัญของไทยที่ได้กล่าวถึงนิสัยการอ่านของคนไทย ในมิติด้านวัฒนธรรมในงานเดียวกันนี้ว่า คนไทยไม่ใช่ชาตินักอ่าน และการอ่านของคนไทยก็ผูกพันกับระบบการศึกษาแบบเก่า ที่มุ่งให้เด็กจดจำความจริงเพียงด้านเดียว ทำให้เด็กเครียดและเบื่อการอ่าน ขณะที่ความจริงมีหลายมิติและมีความซับซ้อน ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความตื่นตัว และเพลิดเพลินในการอ่าน แม้ปัจจุบันคนไทยสามารถอ่านออกเขียนได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คนไทยกลับอ่านหนังสือกันน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน ตราบเท่าที่เราไม่ทำให้การอ่านนั้นเป็นการหาความสุขของชีวิต หากเรายังไม่มีการปรับปรุงระบบการศึกษา สังคมไทยก็จะยังไม่เป็นสังคมรักการอ่าน และการส่งเสริมการอ่านก็...ไร้ความหมาย รองศาสตราจารย์ อรศรี งามวิทยาพงศ์ | แนวคิดดังกล่าวยังได้สอดรับกับมุมมองของ รองศาสตราจารย์ อรศรี งามวิทยาพงศ์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้หยิบรายงานวิจัยเรื่อง ปัจจัยส่งเสริมคนไทยให้มีวัฒนธรรมการอ่าน ขึ้นมาแลกเปลี่ยนด้วยว่า อุปสรรค การอ่านที่สำคัญ คือ ความล้มเหลวของการส่งเสริมการอ่าน ที่เกิดขึ้นในสถาบันการศึกษา ดังนั้น เมื่อการศึกษาเป็นอุปสรรคและบั่นทอนการอ่าน จึงควรมีการปฏิรูป ระบบการศึกษาใหม่ที่ต้องเอื้อต่อการส่งเสริมการรักการอ่าน โดยต้องให้ความสำคัญกับการคิดยุทธศาสตร์ในระดับมหภาค ซึ่งจะมีผลต่อปัจจัยที่เอื้อและปัจจัยที่เป็นอุปสรรคของการเกิดและการตายของ วัฒนธรรมการอ่าน ปัจจัยดังกล่าวจะมีอิทธิพลต่อการส่งเสริมการอ่านอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่กำหนดวิถีชีวิตของผู้คน เช่นกรณีของประเทศเนเธอแลนด์ ซึ่งเคยเป็นประเทศที่มีสถิติการอ่านสูง ปัจจุบันอัตราการอ่านหนังสือเริ่มลดลง สาเหตุคือ วิถีชีวิตที่เอื้อต่อการอ่านที่เปลี่ยนแปลงไป รองศาสตราจารย์ อรศรี กล่าว อย่างไรก็ดี ยังมีการตั้งข้อสังเกตจาก ดร.ชัยยศ อิ่มสุวรรณ รองเลขาธิการ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ถึงปัญหาการอ่านของคนไทยว่า ในด้านโครงสร้างพื้นฐานการอ่านของคนไทยนั้นแทบไม่มีปัญหา เพราะมีทั้งร้านหนังสือจำนวนมาก | ขณะที่ต่างจังหวัดเองก็มีห้องสมุดจำนวนมากแต่ก็ยังอยู่ในหลักพันแห่งจากจำนวน 8,000 ตำบล แสดงให้เห็นว่ายังไม่เพียงพอ
Create Date : 06 มิถุนายน 2557 |
Last Update : 6 มิถุนายน 2557 11:40:08 น. |
|
0 comments
|
Counter : 595 Pageviews. |
|
|
|