รักตัวเอง

<<
เมษายน 2557
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
23 เมษายน 2557
 

เกาะกระแสโลกร้อน น่ากลัวหรือเป็นแค่เรื่องธรรมชาติ

ประเด็นเรื่องโลกร้อน หรือภาวะเรือนกระจกหรือการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก ยังเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันอีกพักใหญ่ เพราะวันนี้ ถึงแม้จะมีประกาศอย่างเป็นทางการจากองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมโลกแล้วว่าโลกกำลังแย่ เพราะถูกทำลายด้วยฝีมือมนุษย์ ก็ยังมีทั้งคนที่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงและมีกลุ่มคนที่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ โดยเสนอแนวคิดแค่ว่ามันเป็นวัฏจักรของการเปลี่ยนแปลงของโลกในแบบที่มันควรจะเกิดขึ้นก็เท่านั้น โดยโลกกำลังปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และสุดท้ายก็จะปรับตัวเข้าสู่สมดุลตามธรรมชาติเอง ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรมากมาย เรื่องนี้ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่าฝ่ายไหนจะถูก คงต้องรอเฉลยในวาระสุดท้ายของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น ก็ไม่รู้ว่าคำตอบที่ได้จะมีประโยชน์อะไรหรือไม่



          เป็นเรื่องที่น่าแปลกอยู่ไม่น้อยทีเดียว ที่องค์ความรู้ที่มนุษย์เรียกว่าวิทยาศาสตร์ยิ่งมีมาก เป็นระบบมากขึ้น และซับซ้อนยิ่งขึ้น แต่กลับไม่ได้ถูกนำมาใช้พัฒนาอย่างยั่งยืนเลย มนุษย์เลือกใช้วิทยาศาสตร์ไปในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้ตนเอง มากกว่าที่จะเลือกการคงสภาพและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ นั่นเป็นเหตุให้มนุษย์ทำลายธรรมชาติไปในแบบทั้งที่ตั้งใจและแบบที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

          และดูเหมือนว่าการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนจะเป็นเพียงแค่สอน และบอกเล่าเนื้อหาที่เป็นเรื่องของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ หรือการค้นพบวิทยาการใหม่ ๆ เท่านั้น ซึ่งการเรียนรู้โดยวิธีนี้ไม่มีทางปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาได้เลย ภาระคงต้องตกกับครูผู้สอน ถ้ายังเลือกสอนด้วยวิธีให้จดให้จำมากกว่าวิธีที่สอนให้คิดและให้ค้นข้อมูล ซึ่งครูผู้สอนก็คงต้องคอยติดตามความก้าวหน้าของวิทยาการมาป้อนให้ลูกศิษย์อยู่ตลอดเวลาถ้าครูผู้สอนทำไม่ได้ หรือทำไม่ทันก็ดูเหมือนว่าวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนนั้น จะดูล้าหลัง และถดถอย การเรียนการสอนแบบนี้ส่วนใหญ่เมื่อเรียนเสร็จความรู้เหล่านั้นก็ถูกนำไปเก็บ และจะถูกนำมาใช้อีกครั้งในชั่วโมงของการเรียนการสอนหรือการสอบที่จะมีขึ้นในวันข้างหน้า สุดท้ายก็ถูกทิ้ง ถูกลืมไป หรือจำได้คลับคล้ายคลับคลา การเรียนการสอนแบบนี้จะแยกความรู้ออกจากชีวิตประจำวันมากกว่าที่จะนำมาใช้ประโยชน์และแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างยั่งยืน

          มาเข้าเรื่องสิ่งแวดล้อมโลกกันดีกว่า ถ้าจะกล่าวว่าระบบทุนนิยม มีส่วนทำให้ธรรมชาติถูกทำลายก็น่าจะพูดได้ว่าเป็นเช่นนั้น เพราะระบบทุนนิยม เป็นระบบที่ส่งเสริมให้ทำอะไรก็ได้ที่ให้ได้มาซึ่งเงินทองและการได้มาซึ่งเงินทองในระบบทุนนิยมหมายถึงการประสบความสำเร็จ ลองนึกภาพเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่ระบบทุนนิยมเพิ่มเริ่มเข้าไป หรือจะหันมองสังคมเมืองกับสังคมชนบทก็น่าจะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน ว่าระบบทุนนิยมทำให้ สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปขนาดใด

          ตั้งแต่มนุษย์เกิดขึ้นในโลก ดูเหมือนเราจะคิดเสมอว่าธรรมชาติถูกสร้างมาให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ และเหมารวมว่าต้นทุนที่ได้มาฟรี ๆ หรือลงทุนน้อยที่สุด ก็คือการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ เช่น การเปลี่ยนต้นไม้เป็นฟืน นำฟืนมาขาย แต่เราลืมปลูกต้นไม้ให้ทันการทำฟืน เปลี่ยนน้ำเป็นพลังงานไฟฟ้านำพลังงานไฟฟ้ามาขาย เราก็ลืมนึกถึงวัฏจักรของน้ำที่ได้เรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม เปลี่ยนน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเป็นพลาสติก แต่เราไม่อยากนึกถึงวิธีการกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นหลังการใช้น้ำมันและพลาสติก เพราะการทำเช่นนี้มีต้นทุน เราลืมไปว่า เราเคยรู้ว่าพลาสติกใช้เวลานานนับร้อยปีกว่าจะย่อยสลาย เรานำต้นไม้มาทำกระดาษ เราใช้กระดาษ แต่เราลืมไปว่าการจะได้กระดาษ ต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ ที่ใช้สารเคมีและพลังงาน เราก็เลยใช้กระดาษกันอย่างเมามัน และตอนนี้เป็นยุคดิจิทัล ขยะอิเล็กทรอนิกส์กำลังเป็นปัญหาใหญ่เพราะเทคโนโลยีเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการส่งเสริมการซื้อและใช้ในระบบทุนนิยม แต่มาตรการหลังการใช้แทบไม่มีใครสนใจเพราะต้องใช้ต้นทุน จึงปล่อยไปก่อน เพราะปัญหายังไม่ร้ายแรงขนาดมีชีวิตต่อไปไม่ได้

          เรามาดูเหตุการณ์ต่าง ๆ รอบโลกกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับสภาพแวดล้อมโลก และทำไมนักวิทยาศาสตร์จึงกังวลกันมาก ซึ่งถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อน คนที่พูดเรื่องนี้ อาจถูกมองว่าเพ้อเจ้อ ไร้สาระ เพราะไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนได้อย่างพอเพียง แต่เมื่อถึงวันนี้ก็ยังมีกระแสคัดค้านในเรื่องนี้อยู่บ้าง

          คณะกรรมการจากรัฐบาลนานาชาติจาก 113 ประเทศ ที่ดูแลเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก (IPCC – Intergovernmental Panel on Climate Change) ได้เปิดเผยข้อมูลวิจัยว่า ในรอบสิบปีที่ผ่านมาอุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงขึ้น 0.13 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น โดยอุณหภูมิของน้ำจะสูงขึ้นและแพร่ลงสู่ระดับลึกที่เพิ่มขึ้น 1.3 กิโลเมตร และระดับน้ำทะเลก็เพิ่มขึ้น 3.1 เซนติเมตรเมื่อเทียบกับเมื่อสิบปีก่อนซึ่งได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2534 – 2542 ส่วนระดับคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1.3 เท่าเมื่อเทียบกับเมื่อ 20 ปีก่อน (ถ้าอยากเห็นผลกระทบในเรื่องนี้ชัด ๆ สำหรับในประเทศไทย เวลาไปเที่ยวเกาะ เที่ยวทะเล ลองถามคนในพื้นที่แถวนั้นดู ว่าทะเลเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร)

          ตอนนี้สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังวิตกกันก็คือ การที่แผ่นน้ำแข็งที่กรีนแลนด์ (อยู่ทางขั้วโลกเหนือ) และที่แอนตาร์กติกา (อยู่ทางขั้วโลกใต้) มีอัตราการหลอมเหลวสูงกว่าที่คาดการณ์กันเอา โดยใช้แบบจำลองจากคอมพิวเตอร์ จากการคำนวณ หากน้ำแข็งจากแอนตาร์กติกาซีกตะวันตกที่เห็นเป็นติ่งละลายหายไปก็จะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นถึง 6 เมตร ถ้าจะเปรียบเทียบขนาดของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกใต้กับทวีปยุโรป ก็จะเห็นว่าแอนตาร์กติกามีขนาดใหญ่กว่าทวีปยุโรปเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ ที่ภูเขาน้ำแข็งส่วนนี้ถ้าละลายหมดจะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงได้ถึง 6 เมตร
 และก่อนที่จะสรุปและประกาศออกข่าวอย่างครึกโครม ดังที่หลายคนอาจได้ดูหรืออ่านข่าวก่อนหน้านี้จากสื่อต่าง ๆ ว่าปริมาณความร้อนในโลกที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ แต่กว่าจะได้ข้อสรุปดังกล่าว ก็ได้มีการถกเถียงกันหลายประเด็นและมีการเสนอสมมติฐานเรื่องความร้อนในโลกที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นน่าจะมีสาเหตุมาจากคลื่นความร้อนจากดวงอาทิตย์มากกว่าที่จะ เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ แต่สมมติฐานนี้ได้ตกไป เพราะมีข้อมูลสนับสนุนไม่เพียงพอ

          ข้อสรุปที่ได้จากรายงานวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลกแสดงว่า อุณหภูมิของอากาศและอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้นเพียง 0.5 องศาเซลเซียสก็มีผลมากต่อการละลายของน้ำแข็ง โดยอุณหภูมิของอากาศที่เพิ่มสูงขึ้นจะเพิ่มอัตราการเคลื่อนตัวของธารน้ำแข็งจากที่สูงลงสู่ทะเล และทำให้น้ำแข็งบนยอดเขาสูงละลายและเกาะตัวกันได้น้อยลง ขณะที่อุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้นก็ทำให้น้ำแข็งที่อยู่ในทะเลบริเวณขั้วโลกละลายเร็วกว่าที่พายุหิมะจะสร้างน้ำแข็งขึ้นใหม่ทันกับอัตราการละลายก็เลยเป็นสาเหตุทำให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกลดลง



          ส่วนใหญ่เวลาเรานึกถึงสาเหตุการทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก หรือโลกร้อน เราก็จะนึกถึงการคมนาคมขนส่งและการอุตสาหกรรมเป็นหลัก คราวนี้มาดูงานวิจัยที่แสดงให้เห็นผลที่เกิดจากการทำเกษตรกรรมกันบ้าง กระแสทุนนิยมได้ผลักดันให้ผู้คนที่อาศัยตามลุ่มน้ำอเมซอน ในทวีปอเมริกาใต้ หันมาปลูกถั่วเหลืองเพื่อส่งขายต่างประเทศ ป่าอเมซอนเป็นป่าผืนใหญ่ที่ทำหน้าที่ฟอกอากาศให้กับโลกมาช้านานซึ่งการปลูกพืชเพื่อการค้า แน่นอนว่าต้องใช้พื้นที่มากมหาศาล และแน่นอนอีกเหมือนกัน ต้องมีการถากถางป่า บุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการปลูกพืชเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน  ผลวิจัยแสดงว่า ขณะนี้ พื้นที่ป่าดั้งเดิมในประเทศบราซิลได้ถูกทำลายไปแล้วประมาณ 13% เพื่อเพาะปลูกพืช โดย 85% ของพื้นที่ดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ทางด้านปศุสัตว์ และอีก 15% ถูกนำมาทำไร่ปลูกถั่วเหลือง ซึ่งการปลูกถั่วเหลืองกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเพราะทำรายได้สูงให้กับเกษตรกร นอกจากนี้ถั่วเหลืองที่เหลือจากการขายยังสามารถนำมาทำอาหารและนำมาทำเป็นพลังงานทางชีวภาพได้ คณะวิจัยจากบราซิล ได้ศึกษาวิจัยผลกระทบของการทำการเกษตรทั้งสองแบบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม พบว่าการทำไร่ปลูกถั่วเหลืองเป็นสาเหตุทำให้ปริมาณฝนตกน้อยลงมากกว่าการนำพื้นที่ไปปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ โดยปริมาณฝนได้ลดลง 15.7% หากนำพื้นที่ป่ามาปลูกถั่วเหลือง และปริมาณฝนจะลดลง 3.9% หากนำพื้นที่ป่ามาทำการปศุสัตว์ ทีมวิจัยได้ให้คำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ว่า ต้นถั่วเหลืองในไร่ถั่วสามารถดูดกลืนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้น้อย ทำให้ ความร้อนสะท้อนกลับไปในชั้นบรรยากาศ มีผลทำให้ความชื้นในชั้นบรรยากาศและปริมาณเมฆในอากาศลดลง ฝนจึงเลยตกน้อยกว่าพื้นที่ปศุสัตว์ซึ่งมีพืชปกคลุมหนาแน่นกว่า ทีมวิจัยได้เสนอแนะให้มีการวางแผนปลูกพืชแบบผสมผสานเพื่อปิดหน้าดินและให้สามารถเก็บกักความชื้นไว้ในดินได้

          ย้อนกลับมาดูเหตุการณ์ในอดีต ธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนชาวโลก ในปี พ.ศ. 2548 ด้วยมีเหตุการณ์ปลาเน่าตายลอยเป็นแพในแม่น้ำอเมซอน เนื่องจากน้ำได้ลดระดับลงมากและอุณหภูมิของน้ำก็สูงจนปลาไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ทะเลสาบ Curuai ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำอเมซอนก็ได้แห้งขอดเป็นครั้งแรก และไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดมาก่อน

          ขณะเดียวกันการเกิดไฟป่าก็ยังคงเกิดอย่างต่อเนื่อง สาเหตุมาจากฝีมือของมนุษย์เพราะคนท้องถิ่นต้องการเผาป่าเพื่อนำที่ดินมาเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมกับปัญหาเรื่องปากท้องยังเป็นปัญหาคู่กันมาโดยตลอด และน่าจะแก้ไขได้ยากตราบใดที่ระบบทุนนิยมยังมีแรงผลักดันอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง รายงานวิจัยอีกหนึ่งรายงานที่สนับสนุนแนวคิดเรื่องโลกร้อน ก็คือการเก็บข้อมูลของอุณหภูมิในเทือกเขาแอลไพน์ในอดีตที่มีการบันทึกไว้ แล้วนำข้อมูลจากวงปีต้นไม้และข้อมูลได้จากการวิเคราะห์น้ำแข็งในโมเดลคอมพิวเตอร์ ได้พบว่าขณะนี้เทือกเขาแอลไพน์มีอุณหภูมิสูงที่สุดในรอบ 1,300 ปี อันจะเห็นได้จากผลกระทบด้านการท่องเที่ยวและการเล่นสกีที่ปริมาณหิมะและลานสกีได้ลดขนาดลงอย่างเห็นได้ชัด

          และล่าสุดมีการพบว่า เมืองหลายเมืองในยุโรป ที่ในอดีตเคยมีหิมะตก กลับไม่มีหิมะตกเหมือนเช่นเคย หรือจะมีก็เพียงแค่เกล็ดหิมะตกลงมาพอเป็นกระสาย สภาพอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันชนิดเอาแน่เอานอนไม่ได้ หรือที่ฝรั่งเรียกว่ามีคลื่นความร้อนเข้าแทรก (heat wave) สำหรับข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการตกของหิมะในสก๊อตแลนด์สามารถอ่านได้จากเว็บไซต์//www.scotland.gov.uk/Resource/Doc/156666/0042099.pdf

          สุดท้ายย้อนกลับมาดูประเทศไทย ที่เราจะเห็นได้ว่าอากาศในเมืองไทยก็มีสภาพร้อนมาก และความแตกต่างของอากาศระหว่างกลางวันและกลางคืนในบางพื้นที่เริ่มมีสภาพที่ต่างกันมากขึ้นเหมือนอากาศในทะเลทราย ถ้าสภาพการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องธรรมชาติ เป็นเพียงวัฏจักรของโลก แล้วเราก็จะปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก รวมทั้งมนุษย์คงต้องปรับตัวกันขนานใหญ่เพื่อให้สามารถดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้ Payday Loans Immediate Cash UK
Payday Loans In Hour UK
Payday Loans Instant Approval UK
Payday Loans Instant Payout UK
Payday Loans Instant Transfer UK
Payday Loans Interest Rates UK
Payday Loans Lenders Direct UK
Payday Loans Lenders List UK
Payday Loans Lenders Online UK
Payday Loans Lending Companies UK
Payday Loans Like Vivus UK
Payday Loans No Broker UK
Payday Loans No Brokers UK
Payday Loans No Calls UK




Create Date : 23 เมษายน 2557
Last Update : 23 เมษายน 2557 23:44:48 น. 0 comments
Counter : 1010 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

Hiomardrid
 
Location :
พะเยา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add Hiomardrid's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com