มรสุมของคู่ชีวิตคู่นี้ เมื่อฝ่ายชายสูญเสียความสามารถในการสื่อสาร ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ฝ่ายหญิงจะดูแลอย่างไร ไมเคิล เฟรนช์ เคยเป็นผู้ชายในแบบฉบับที่ผู้หญิงมากมายหลายคนใฝ่ฝัน เขาฉลาด ขยัน แข็งแรง มีมารยาทและจิตใจงดงาม แต่สำหรับคู่ชีวิต เขาได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายเหลือเกินในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะเงิน ไม่ใช่เพราะกิเลส หากแต่เป็นเพราะโรคสมองเสื่อม เขาค่อย ๆ สูญเสียความสามารถในการสื่อสารและความสามารถในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างไปอย่างช้า ๆ และในที่สุด เขาไม่พูดกับภรรยาอีกเลย แม้ในระหว่างรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน ในช่วงปี พ.ศ. 2549 ฉันรู้สึกว่าเขากลายเป็นคนอีกคนที่ฉันแทบไม่รู้จัก ตอนนั้นฉันคิดจะยุติปัญหาด้วยการหย่า นางรูธ เฟรนช์ วัย 66 ปี กล่าวเปิดใจ แต่พอฉันรู้ว่าเขาป่วย ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องแยกทางกันอีกเลย เขาไม่ได้อยากจะไม่พูดกับฉัน เขาแค่พูดไม่ได้ ความผูกพันระหว่างคนทั้งสองเคยแน่นแฟ้นแนบแน่น ทั้งคู่ครองรักกันมานานกว่า 30 ปีและเคยสัญญากันในวันแต่งงานว่า "จะอยู่เคียงข้างกันไม่ว่าจะยามสุขหรือยามทุกข์" ฉันร้องไห้อย่างหนักในวันที่รู้ว่าเขาป่วย ฉันขอโทษเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะฉันตีความการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขาผิดไปหมด นางเฟรนช์ กล่าว ในช่วงวัย 50 ปีปลาย ๆ นายเฟรนช์เริ่มมีพฤติกรรมแปลกแยกจากคนอื่น จนเป็นเหตุให้เขาต้องเปลี่ยนงานครั้งแล้วครั้งเล่า กระนั้นก็ตาม ด้วยประวัติการทำงานที่ดีเยี่ยมในสมัยวัยหนุ่ม ส่งผลให้เขาหางานใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้เสมอ จนถึงวันที่เขาโดนไล่ออกจากงานครั้งสุดท้ายในวัย 66 ปี "ฉันได้ยินหัวหน้าของเขากรี๊ดอย่างหัวเสียเลยตอนที่โทรมาไล่เขาออก นางเฟรนช์ กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน ในวันนั้นเอง นายเฟรนช์ตัดสินใจใช้ชีวิตแบบคนวัยเกษียณและเริ่มปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาท เพื่อตรวจหาสาเหตุการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม พอหมอบอกว่าสมองของเขาฝ่อ ฉันยืนยันกับเขาทันทีว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ฉันจะอยู่ข้าง ๆ เขาเสมอ นางเฟรนช์กล่าวถึงคำมั่นสัญญาที่เธอมอบให้กับชายซึ่งอยู่ในดวงใจของเธอเสมอมาในวันที่มืดมนที่สุดวันหนึ่งของคนทั้งคู่ ในช่วงแรก ชีวิตของทั้งคู่มิได้ยากลำบากมากนัก เพราะอาการของนายเฟรนช์มิได้ทรุดลงทันที ทั้งคู่ยังคงพูดคุยกันบ้างถึงการเตรียมความพร้อมต่าง ๆ เพื่อรอรับมือกับสิ่งที่จะเดินทางมาถึงในวันข้างหน้า บ่อยครั้งนายเฟรนช์ยังจะเดินไปรอรับภรรยากลางทางเมื่อเธอเดินทางกลับจากการสอนภาษาอังกฤษให้แก่ผู้ที่สนใจเรียนภาษานี้เป็นภาษาที่สอง เวลาฉันเห็นเขาเดินตรงมาหาฉันแล้วยิ้ม ฉันจะรู้สึกว่าเขาหล่อจังเลย ทุกครั้งที่ฉันเห็นเขา ฉันคิดอย่างนี้ตลอด นางเฟรนช์บอกเล่าความรู้สึก ทว่า หัวใจรักของเธอมิอาจพิชิตได้ทุกอุปสรรค เพราะผู้ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อมมีพฤติกรรมหลายอย่างที่คาดเดาไม่ได้ วันหนึ่งเธอกลับมาบ้านและพบว่าเขากำลังอยู่ที่เตาโดยที่ไม่รู้ตัวว่าถุงมือกันความร้อนของเขากำลังเริ่มติดไฟ ฉันหัวเสียมากจนตีเขาไปหลายที อะไรจะเกิดขึ้นกับเขา ถ้าฉันกลับมาไม่ทันและฉันก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าฉันจะทำอะไรได้บ้าง นางเฟรนช์กล่าว หมอให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยรายอื่นมาบ้าง แต่ผู้ป่วยโรคนี้แต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกันไป ฝันร้ายของเธอเกิดขึ้นจริงในเดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2552 เมื่อวันหนึ่งในขณะที่เธอออกจากอพาร์ทเมนท์ไปทำงาน สามีของเธอประสบอุบัติเหตุตกบันไดจนเป็นเหตุให้กระโหลกศีรษะร้าว นับตั้งแต่นั้นมา เขาต้องอยู่ในรถเข็นตลอดเวลาและสุขภาพของเขาก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองอีกเลย แม้นางเฟรนช์จะตัดสินใจจ้างผู้ช่วยมาคอยดูแลเขาอีกแรง แต่ผู้ช่วยก็มิได้ทำงานเต็มเวลา ดังนั้น ภาระส่วนใหญ่ในการดูแลผู้เป็นสามีจึงยังคงตกอยู่ที่เธอ เธอแปรงฟันให้เขา เธอพาเขาขึ้นเตียงเพื่อนอนหลับ เธอป้อนอาหารเขาและปรนนิบัติผู้เป็นสามีอย่างเต็มความสามารถ แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงรูปร่างบอบางที่มีปัญหาอย่างมากกับการเคลื่อนย้ายผู้ชายที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า นางเฟรนช์ข้อมือเจ็บ มีแผลในกระเพาะอาหาร เครียดจนคุมการขับถ่ายปัสสาวะของตัวเองไม่ได้และน้ำหนักลดอย่างน่าใจหาย แต่สิ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจและจำใจส่งตัวสามีเข้าสถานดูแลผู้ป่วยแบบค้างคืนในที่สุด คือ อุบัติเหตุภายในห้องน้ำในคืนหนึ่ง อันที่จริงคืนนั้นกำลังดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น เธอแปรงฟันให้เขาและหันไปเก็บแปรงของเขาอย่างเรียบร้อยแต่แค่ในช่วงเวลาพริบตาเดียวนั้นเองที่เธอหันหลัง เขากลับพลัดตกจากรถเข็นลงไปในอ่างอาบน้ำและเธอต้องกระเสือกกระสนอย่างหนัก เพื่อหาทางยกตัวเขาออกจากอ่าง ในคืนนั้นเองที่เธอเริ่มคิดอย่างจริงจังว่า ชีวิตของทั้งคู่อาจกำลังตกอยู่ในอันตรายและเธอจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงมันเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ทุกครั้งที่ฉันพูดกับเขาเรื่องสถานดูแลผู้ป่วย ฉันจะร้องไห้ ฉันแน่ใจว่าเขารู้ว่าฉันไม่เคยอยากส่งตัวเขาออกไปจากบ้าน" นางเฟรนช์กล่าว ในวันที่เธอเอ่ยปากบอกสามีเรื่องการเตรียมย้ายเขาไปสู่สถานดูแลผู้ป่วย นายเฟรนช์ตอบกลับว่า "เธอทำดีที่สุดแล้ว แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้น ๆ แต่ทุกถ้อยคำมีความหมายกับนางเฟรนช์เหลือเกิน เนื่องจากเธอรู้ดีว่าโรคสมองฝ่อได้กัดกินสมองในส่วนที่ควบคุมความสามารถทางการใช้ภาษาของสามีไปแล้ว "เขาจะต้องใช้ทุกพลังที่เขามีอยู่ในตัวเพื่อจะเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกมา นางเฟรนช์กล่าว แม้นายเฟรนช์จะย้ายไปอยู่สถานดูแลผู้ป่วยตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว แต่ความรักระหว่างคนทั้งคู่มิได้สิ้นสุดลง เธอยังคงมาเยี่ยมเขาเกือบทุกวันและใช้เวลากับเขาวันละหลายชั่วโมง เธอยังคงเป็นคนโกนหนวดให้เขาและมักจะปีนขึ้นเตียงไปนอนงีบกับเขาด้วย แพทย์เคยบอกกับนางเฟรนช์ว่า สามีของเธอมิได้สูญเสียความทรงจำอย่างที่ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์เป็น"เขาจะยังคงรู้จักคุณ" แพทย์อธิบายถึงสายใยที่นางเฟรนช์ยังคงรู้สึกได้ในยามที่สามียิ้มมาครั้งหนึ่ง นางเฟรนช์ลองถามชายผู้เป็นดั่งดวงใจของเธอว่า เธอเก็บหัวใจของฉันไว้ที่ไหน นายเฟรนช์ยิ้มตอบและเอามือมาแตะบริเวณหัวใจของตัวเอง
home 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 |