การอยู่ร่วมในสังคมพหุวัฒนธรรมนั้น สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือ ความแตกต่างทางด้านวิธีคิด ความเชื่อ และการปฏิบัติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธาที่แต่ละคนต่างได้รับการอบรมสั่งสอนตามพ่อแม่และบรรพบุรุษที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ดังนั้น การเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคมจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การเคารพในการปฏิบัติที่แตกต่างของศาสนิกชนศาสนาอื่นด้วย
ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี เป็นคำกล่าวที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ และต่างก็คงเชื่อมั่นในคุณงามความดีตามหลักธรรมคำสอนของแต่ละศาสนา และเชื่ออีกเช่นกันว่าถ้าคนไทยทุกคนมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและหมั่นศึกษาใฝ่เรียนรู้ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงหลักคำสอนที่ถูกต้องแห่งศาสนาของตน และต่างนำพาไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ศาสนาก็จะเป็นพลังสำคัญในชีวิตที่เป็นเหมือนดั่งดวงประทีปคอยส่องสว่างกลางใจทุกคน อันจะนำพาไปสู่ สันติสุข และ สันติภาพ ในสังคม
การ แสวงหาจุดร่วมและสงวนจุดต่าง จึงเป็นสิ่งจำเป็นท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความเชื่อ และวัฒนธรรม ดังนั้นในการอยู่ร่วมกันทุกคนต้องเรียนรู้ เข้าใจ และเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างกันระหว่างศาสนา ต้องไม่คุกคามอัตลักษณ์ ความเชื่อ ศรัทธาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และการปฏิบัติอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ไม่อาจมองข้าม
วิถีชีวิต 5 ศาสนิกในประเทศไทย เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่น่าสนใจจัดทำขึ้นโดยคณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมกิจการศาสนาและศาสนิกสัมพันธ์ ในคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา เนื่องจากเห็นว่ามักมีบ่อยครั้งที่ศาสนิกต่าง ๆ มีทัศนคติหรือการปฏิบัติที่อาจกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกและการการวางตัวที่ยากลำบากต่อกัน อันเนื่องมาจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจหรือการเข้าใจที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงในศาสนาของต่างศาสนิกหรือแม้แต่ในบางครั้งก็ยังไม่เกิดความเข้าใจในศาสนาที่ตนนับถือได้อย่างถ่องแท้
5 ศาสนิก ที่กล่าวถึงในหนังสือดังกล่าว คือ พุทธ อิสลาม คริสต์ พราหมณ์-ฮินดู และซิกข์ เป็นการหยิบยกประเด็นที่ทุกศาสนิกคุ้นเคยและเป็นวัฒนธรรมร่วมในสังคม 4 ประเด็น คือ ข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ข้อปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต วันสำคัญทางศาสนา ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ โดยมีการเกริ่นนำถึงรูปแบบและหลักคำสอนพื้นฐานของแต่ละศาสนา