|
วันไหนที่ท่าน คิดดี พูดดี ทำดี
เมื่อสักครู่ฉันเช้าที่โรงครัว มีญาติธรรมคนหนึ่งทำงานเป็น รปภ.(พนักงานรักษาความปลอดภัย) ของห้างบิ๊กซีเอ็กตร้าท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ตัวเขาเองกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่เสร็จแล้ว พนักงานเช็คบิลแอบเอาเหล้าใส่ไว้ในกระเป๋าจนถูกจับได้ เสร็จแล้วหัวหน้าแคทพีเรียกเข้าไปพูดคุยกับ รปภ.เกี่ยวกับเรื่องนี้ รปภ.ก็ได้รายงานเข้าส่วนกลางเสร็จ ให้เขียนรายงานส่งตามไปทีหลัง หัวหน้าแคทพียังไงไม่ทราบ เสร็จแล้วให้พนักงาน รปภ.ท่านนี้ ออกจากงาน แต่ทางบริษัทก็ได้ย้ายเขามาที่บิ๊กซีเอ็กตร้าแห่งใหม่ อาตมาก็บอกเขาไปว่า หัวหน้าแคทพีคนนี้ใช่ไม่ได้ ไม่มีเหตุไม่มีผลเท่าที่ควร รปภ.บอกว่า หัวหน้าแคทพีบุคคลนี้นั่งร้องไห้บีบน้ำตา อาตมาบอกไปว่า ตัวเขาทำกับคนอื่นโดยไม่สมเหตุสมผล ตัวเขาเองก็ไม่นานก็ตองโดนคาดโทษถูกออกจากงานเช่นเดียวกัน ในโลกของการทำงาน คนรุ่นใหม่ไฟแรงทั้งหลายต่างก็เฝ้าหาทฤษฎีแห่งความสำเร็จมากมาย มาใช้แก้ปัญหาและหาหนทางเจริญก้าวหน้า แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ และเจอประตูสู่ความสำเร็จ งั้นลองมาดู ธรรมะที่ใช้ในการทำงาน เพื่อให้คุณประสบความสำเร็จในการทำงาน ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ นั่นคือ อิทธิบาท 4 ธรรมแห่งความสำเร็จ
อิทธิบาท 4 ธรรมะที่ใช้ในการทำงาน ประกอบด้วย...
1. ฉันทะ คือ ความรักงาน-พอใจกับงานที่ทำอยู่ 2. วิริยะ คือ ขยันหมั่นเพียรกับงาน 3. จิตตะ คือ ความเอาใจใส่รับผิดชอบงาน 4. วิมังสา คือ การพินิจพิเคราะห์ หรือ ความเข้าใจทำ
ฉันทะ : ความรักงาน-พอใจกับงานที่ทำอยู่
อันดับแรกต้องสำรวจตนเองว่า มีความชอบหรือศรัทธางานด้านใด แล้วมุ่งไปในเส้นทางนั้น อาจเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเอง ฉันทำงานเพื่ออะไร ฉันมีความสุขหรือไม่หากงานที่ทำอยู่ไม่ใช่งานที่รักเสียทีเดียว เผื่อเราจะได้มีเวลาค้นหาและปรับเปลี่ยนตัวเอง หรือปรับศรัทธาของตัวเองให้เข้ากับงานที่ทำอยู่
อย่างไรก็ตาม เชื่อเถอะว่างานแต่ละอย่างนั้น ไม่มีทางที่ใครจะชื่นชอบไปทั้งหมดทุกกระบวนการ ดังนั้น ถ้าคุณพอใจที่จะทำ และมีความสุขกับงาน เชื่อว่างานที่คุณทำอยู่ต้องออกมาดีแน่ ๆ
วิริยะ : ขยันหมั่นเพียรกับงานที่มี
งานทุกอย่างจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียร ความวิริยะจึงเป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จได้ ยิ่งคุณขยันเท่าไรผลตอบแทนที่คุณจะได้รับมันก็มีมากเท่านั้น ที่สำคัญความวิริยะจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความรักในงานจากฉันทะนั่นเอง และความวิริยะไม่ใช่การทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย แต่เป็นการหมั่นฝึกฝนตนเองต่างหาก
ทั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตสำหรับคนทำงานร่วมกันคือ จะต้องขยันด้วยกันทั้งหัวหน้าและลูกน้อง ยิ่งผู้เป็นหัวหน้ายิ่งสำคัญมาก ถ้าเป็นคนเกียจคร้าน คิดกินแรงอย่างเดียว ลูกน้องก็มักขยันไปได้ไม่กี่น้ำ เดี๋ยวก็รามือกันหมด แต่ถ้าหัวหน้าเอาการเอางาน ก็จะสามารถดึงลูกน้องให้ขยันขันแข็งขึ้นด้วย
จิตตะ : เอาใจใส่รับผิดชอบกับงานที่ทำ
จิตใจที่จดจ่อกับงานล้วนเกิดผลดีต่องานที่ทำ จิตตะเป็นธรรมะที่แสดงถึงสติ ความรอบคอบและความรับผิดชอบที่จะตามมา ซึ่งในสังคมการทำงานปัจจุบันนี้ มุ่งเน้นแย่งชิงตำแหน่งกัน และขัดขาจนลืมคิดไปว่า งานที่ตนเองต้องรับผิดชอบนั้นคือสิ่งใดกันแน่ จิตตะจึงมีความสำคัญในการทำงานโดยไม่วอกแวกออกไปนอกลู่นอกทาง ดังนั้น เมื่อคุณมีทั้งฉันทะและวิริยะแล้ว จิตตะจะเป็นเสมือนรั้วของเส้นทางที่ไม่ให้ไขว้เขวออกนอกทางสู่ความสำเร็จได้
อย่างไรก็ดี ปกติคนที่โตเป็นผู้ใหญ่รู้ผิดชอบ มักจะใส่ใจกับงานอยู่แล้ว เพราะธรรมชาติจะทำให้หยุดคิดยาก แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือ ชอบคิดเจ้ากี้เจ้าการแต่เรื่องงานของคนอื่น คอยติ คอยสอดแทรก คอยวิพากษ์วิจารณ์ ในขณะที่ธุระของตัวกลับไม่คิดไม่ดู ซึ่งไม่ส่งผลให้งานของเราดีขึ้น พระพุทธเจ้า จึงทรงสอนให้เป็นนักตรวจตรางาน คือให้มีจิตตะ แล้วก็ทรงให้โอวาทสำทับไว้ด้วยว่า "ควรตรวจตรางานของตัวเอง ทั้งที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำ"
วิมังสา : การพินิจพิเคราะห์และใช้ปัญญาตรวจสอบงาน
สุดยอดของวิธีทำงานให้สำเร็จอยู่ในอิทธิบาทข้อสุดท้ายนี้ วิมังสา แปลว่า การพินิจพิเคราะห์ หมายความว่า ทำงานด้วยปัญญา ด้วยสมองคิด ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ คนเราแม้จะรักงานแค่ไหน บากบั่นเพียงใด หรือเอาใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าขาดการใช้ปัญญาพิจารณางานด้วยแล้ว ผลที่สุดงานก็คั่งค้างและผิดพลาดจนได้
เราอาจลองทบทวนตัวเองนิ่ง ๆ ว่าวันนี้ทั้งวันเราทำอะไรบ้าง สรุปกับตัวเองว่าทำเพื่ออะไร เราจะได้มีกำลังใจต่อในวันต่อ ๆ ไป และไม่ทำผิดซ้ำซากอีกเช่นเดิม พร้อมกันนั้นเราจะสามารถเห็นหนทางได้ว่า เส้นทางไหนที่จะนำเราสู่ความสำเร็จได้จริง ๆ
จะเห็นได้ว่า หลักธรรมะที่ใช้ในการทำงาน เป็นเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว หากเรานำ อิทธิบาท 4 มาปรับใช้ในการทำงาน รักงานที่ทำ ขยันทำงาน รับผิดชอบงาน และรู้จักไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ทางแห่งความสำเร็จคงไม่เกินเอื้อม...เชื่อเถอะ คุณก็ทำได้ ทุกอย่างอยู่ที่ "ใจ"
ผู้ที่เป็นหัวหน้าคนงานหรือทุกสาขาอาชีพไม่ว่าองค์กรใด จะต้องมีความสุขุมเยือกเย็น ไม่ใช่ฟังความข้างตัว จะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนและรายงานถูกต้องตามความเป็นจริงใฟ้มากที่สุดให้หน่วยเหนือหรือผู้บังคับบัญชาที่สูงขึ้นไปให้รับทราบ ไม่ใช่เอาอัตตาความถูกต้องตัวเองเป็นใหญ่ มากกว่าเหตุและผล ไม่เช่นนั้นแล้วการบริหารคนบริหารงานจะไปไม่รอด คุณค่าของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพย์สิน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความคิด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้ แต่ขึ้นอยู่กับความประพฤติที่ประกอบด้วยเหตุและผลที่ไม่เห็นแก่ตัว ยืนอยู่ในความถูกต้องอย่างสม่ำเสมอเป็นหลักต่างหาก
ที่มาบทความหรือบทเทศนา....
Create Date : 01 มิถุนายน 2556 |
Last Update : 1 มิถุนายน 2556 9:56:44 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3009 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|