Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
22 พฤศจิกายน 2548
 
All Blogs
 
♥~♥ ชีวิต 2 ปี ในอเมริกา ♥~♥




ชีวิตสองปีในอเมริกา
วันนี้เป็นวันครบรอบ 2 ปี กับการมาใช้ชีวิตในอเมริกาคะ
มานั่งนึกย้อนกลับไปว่าใน สองปีที่ผ่านมาเนี่ย มีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับชีวิตของพี่ตุ๊กตา...ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองมากพอสมควร เลยเขียนไว้ใน Blog เพื่อเก็บเอาไว้อ่านด้วย และก็เผื่อแผ่เพื่อน ๆ ใน Blog เผื่อแวะเข้ามาอ่านกันนะคะ...มีสารุบ้าง ไม่มีสาระบ้าง....





จากวันที่ตัดสินใจละทิ้ง...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เมืองไทย มาใช้ชีวิตใหม่ในเท็กซัส...สหรัฐอเมริกา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเรา...หลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องพบกับคำว่า "อดทน" หลายคนที่มาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศคงจะเข้าใจคำว่า "อดทน"ได้เป็นอย่างดี...เมื่อก่อน ว่าอดทนแล้วน๊ะ แต่ "อดทน" ที่เมืองนอกเนี่ย มันต้องอดทนจริงๆ......อยากเขียนเรื่องราวความทรงจำใน สองปีที่ผ่านมา ซึ่งตัดสินนใจมาใช้ชีวิตใหม่ มันมีอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ มากมาย เดี๋ยวคงจะค่อย ๆ ลำดับไปทีละเรื่องแล้วกัน...บางทีก็สับสนอยู่นา......เรื่องบางเรื่องอาจจะไม่เป็นเรื่องก็อ่านผ่าน ๆ ไปก็ได้นะคะ
แค่อยากเก็บความทรงจำที่ผ่านมาเป็นตัวหนังสือเก็บไว้อ่านคะ

22 พฤศจิกายน 2546

สิ่งแรกที่ย่างก้าวออกจากประเทศไทย คือการเดินทางมาอเมริกาคนเดียว....กลัวซิคะ กลัวไปหมด ทำอะไรไม่ถูก กลัวตอนเปลี่ยนเครื่อง กลัวไม่ทันเครื่องที่จะต้องไปต่อ กลัว แต่ก็ต้องขึ้นเครื่องคนเดียวอยู่ดี ประสบการณืเดินทางคนเดียว ก็มีให้อ่านนะคะ ถ้าใครว่างก็ลองเข้าไปอ่านนะคะ หลังจากที่เดินทางคนเดียวในครั้งนั้น ถึงวันนี้ ไม่กลัวแล้วค่ะ
ติดตามอ่านเรื่อง ขึ้นเครื่องบินคนเดียว คลิกที่นี่นะคะ
เมื่อครั้งแรกที่มาอยู่อเมริกา........มาอยู่ที่เท็กซัสคะ...ช่วงแรก ที่มาก็มาฐานะคู่หมั้น ยังไม่ได้แต่งงานนะคะ ก็เผื่ออยู่ไม่ได้จะได้กลับทันอิอิ....โจอี้ (สามี) ยังเรียนไม่จบปริญญาโท เรามาใช้ชีวิตแบบไม่ใช่คนร่ำรวย และไม่ร่ำรวยจริง ๆ แต่เราสองคนก็ร่ำรวยความรัก ความดูุแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เรามาพักอยู่เป็น รูมเมท กับ Delana ซึ่่งเป็นผู้หญิงที่น่ารัก เป็นเพื่อนของโจ อายุแก่กว่าเราสอง สามปี เธอทำงานอยู่กับบ้าน เราจึึงมีโอกาสพูดคุยกันเกือบจะทุกวัน แต่ว่าเราเป็นคนค่อนข้างขี้เกรงใจ ขี้กลัวกลัว ไม่กล้าคุยภาษาอังกฤษกับใครนอกจากโจอี้ ดังนั้น ระยะเวลาที่อยู่บ้าน Delana 6 เดือนเต็ม ๆ เราได้แต่ดูทีวี ซึ่งSub เป็นภาษาอังกฤษ ได้แต่ฟังสำเนียง ขึ้น ๆ ลง ๆ ของพวกฝรั่ง เดาเอาเองมั่ง ซึ่งไม่เข้าใจความหมายหรอกคะ ตายละ ภาษาของเราที่พูดกับโจอี้ก็เป็นภาษาอังกฤษที่แย่เอามากมาก พูดเป็นศัพท์ คำ ๆ ไม่เข้าใจก็หยิบ Talking Dec ขึึ้นมาเป็นพระเอกผู้ช่วยนางเอกตลอดการปราศัยทุกครั้งไป.....มือไม้้ก็เอามาประกอบกันวุ่นวายไปหม๊ด กว่าจะเข้าใจกันแต่ละเรื่อง....นี่เป็นเรื่องจริงนะคะ คนเราไม่เคยอยู่ด้วยกัน แถมคนละเชื้อชาติคนละภาษาอีกตะหาก.....ใครบอกว่าไม่มีปัญหาในปีแรก พี่ตุ๊กตาไม่เชื่อเด็ดขาด...
เราจะลงไปทำอาหารในครัวก็ต้องดูก่อนนว่า Delana อยู่รึเปล่า ถ้าไม่อยู่เราจึงลงไปทำอาหาร กลายเป็นคนกลัวฝรั่งเอามากมาก เพราะว่าไม่กล้าพูดกับฝรั่งเลย โจอี้พยายาม พาเราไปพบเพื่อน ๆๆ แต่เราก็บ่ายเบี่ยงไม่ค่อยอยากไป จนโจอี้ก็บอกเราว่า ถามตรง ๆ ว่าเป็นอะไร ทำไมไม่อยากไปพบปะเพื่อนฝูงของเขา....เราก็ตอบตามตรง ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เวลาเขาถามอะไร ฉันแปลไม่ออก "ฉันเหมือนเป็นตัวตลกในหมู่เพื่อนยู".....โจ บอกว่าอย่าคิดแบบนั้น คิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน ไม่มีใครว่าเราเรื่องภาษาอังกฤษ พยายามฟัง ถ้าเราไม่พูดซะเลย แล้วเมื่อไหร่เราจะเป็น เมื่อไหร่เราจะพูดกับคนอื่น ๆ หรือว่าเราจะพูดกับโจคนเดียวเท่านั้น......เราก็มานั่งคิด เออ จริง นี่มันชีวิตจริง ๆ เราไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เราต้องอยู่อีกนานหรือตลอดชีวิต เราต้องมีวิถีชีวิตแบบเดียวกับพวกฝรั่ง ต้องพูดคุย ต้องออกไปซื้อของต้องพบปะเพื่อนฝูง ต้องมีสังคม ต้องมีการเรียนรู้ ตอ้งช่วยเหลือตัวเอง เมื่อยามโจอี้ไม่อยู่ ถึงได้คิดอย่างไรก็ยังไม่กล้าอยู่ดี.....เฮ้อ.....





14 กุมภาพันธ์ 2547
เราได้ทำพิธีสมรส แบบฝรั่งกันถูกต้องตามกฏหมาย มีพิธีที่ไม่หรูหรา เราทำพิธีแต่งงานกันที่โรงแรม ซึ่งเราสองคนตั้งใจจะแต่งงานกันในโบสถ์ที่พ่อแม่โจอี้ แต่งงานกันที่ Dallas แต่ข้อผูกมัดทางศาสนา ทำให้บาทหลวงบอกปัดเราว่าเราไม่สามารถแต่งงานในโบสถ์ได้ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เราสองคนไม่ชอบเรื่องศาสนา
โจอี้ ไม่เคยเข้าโบสถ์ ในวันอาทิตย์ เหมือนครอบครัวฝรั่งส่วนใหญ่เค๊าทำกัน.... พี่ตุ๊กตาก็ไม่เคยไปวัด นั่นไม่ได้แสดงว่าเราไม่มีศาสนา แต่ศาสนาไม่ค่อยมีผลใด ๆ ต่อการดำรงชีวิตของเราสองคนเท่านั้นเอง.....
จะว่าไป โบสถ์ มีความสำคัญกับชีวิตของพี่ตุ๊กตา ไม่น้อย ไม่ได้เกี่ยวกับศาสนาหรอกคะ เป็นการไปเรียนภาษาอังกฤษ ที่ โบสถ์ เดี๋ยวค่อยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเรียนภาษาอังกฤษ ถัดไปนะคะ ขอติดไว้ก่อน

มาต่อเรื่องแต่งงานก่อน พิธีวิวาห์แบบเรียบง่าย ของเราจัดขึ้นในวันแห่งความรัก (14 กุมภาพันธ์ 2547)วันนี้มีความหมายดี จำง่ายด้วยค่ะ....ในวันแต่งงานมีโอ๋กับเอก เป็นน้องสาวลูกของน้า และสามีโอ๋ มาร่วมเป็นญาติเท่านั้น เพราะว่าโอ๋ กับเอก อยู่ Boston แต่ก็ไม่รู้สึกเหงาอะไรเท่าไหร่ เพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ที่มาแต่งงานไกลและประเทศสหรัฐก็เข้ามายาก ทำใจเอาไว้แล้วงานแต่งงานก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อย
ถ้าต้องการดูรูปงานแต่งงานก็ ตาม Link นี้ไปนะคะ
คลิกตรงนี้นะคะ


เอกสารปรับสถานะ
เรื่องต่อไปก็ต้องทำเอกสารปรับสถานะให้อยู่ในประเทศสหรัฐได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย และสามารถได้ใบสำคัญต่าง ๆ ที่ต้องมี ใช้เวลานานมาก เกือบ 10 เดือนกว่าทุกอย่างจะลงตัวเรียบร้อย
เรื่องเอกสาร พี่ตุ๊กตาก็เขียนเอาไว้ ถ้าต้องการศึกษา ตาม Link นี้ไปนะคะ คลิกที่นี่นะคะ






เริ่มไปเรียนภาษาอังกฤษ
ระหว่างนี้ ก็นั่ง นอนอยู่บ้าน ไม่กล้าออกจากบ้านไปไหน กลัวฝรั่งเอาเป็นเอาตายเลยเอ้า....อิอิอิ และแล้วโจอี้ก็ไปสอนหนังสือ ที่ Montgomery Collage เขาก็ไปพบ คลาสเรียน ภาษาอังกฤษ ESL ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วง Summer ของปี 2004 เรียนฟรีค่ะ เรารู้จักกับรุ่นน้องคนไทย ชื่อเจนนี่ เค๊ามาอยู่ก่อนเราประมาณ เกือบสองปี เลยชวนกันไปเรียน เพราะว่าเราไม่มีรถ เราไปเรียนเองไม่ได้ เจนนี่มีรถ เราสองคนเลยกลายเป็นเพื่อนคู่หูกันจนทุกวันนี้.....

ESL English second language
ส่วนมากคนที่เข้ามาอยู่สหรัฐอเมริกา จะเข้าชั้นเรียน ESL Class หากว่าภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงเหมือนพี่ตุ๊กตา เพราะว่า เป็นการเรียนการสอน การใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จริง ๆ เค๊าเน้น แกรมม่า และศัพท์ คำแสลง ประโยค เปรียบเปลย ต่าง ๆ ที่คนอเมริกันเค๊าใช้กััน....ขอบอกตามตรงว่าอยู่เมืองไทย เรียนตกภาษาอังกฤษ ประจำคะ ต้องทำการซ่อมทุกครั้งไป และเป็นการเรียนภาษาอังกฤษกับครูภาษาอังกฤษที่เป็นคนไทย เราก็จะได้สำเนียงแบบไทย ๆ คราวนี้มาเรียนภาษาอังกฤษ กับครูภาษาอังกฤษ ต้นตำหรับ หมายถึง ภาษาอังกฤษ อเมริกันนะคะ ไม่ใช่ อังกฤษ อังกฤษ เพราะ สำเนียงภาษาอังกฤษ ขอแต่ละชาติไม่เหมือนกัน ที่เมืองไทย เรียนสำเนียงของประเทศอังกฤษค่ะ ตอนแรก ๆ ก็ไม่ค่อยเก็ตเท่าไหร่ ฟังสำเนียงอังกฤษ ทุกคนก็เหมือนกันหมด หลังจากที่เรียนได้พักหนึ่ง อ้อ...ถึงบางอ้อ เพราะว่าขนาด คนสหรัฐอเมริกาเอง ภาษาอังกฤฤษ สำเนียงเค๊ายังแตกต่างกันเลยค่ะ จะว่าไปก็เหมือนกับคนไทยที่อยู่กันคนละภาค พูดภาษาไทย แต่เป็นภาษาไทยเหนือ หรือ ไทยอีสาน หรือไทยใต้ ตะวันออก สำเนียงภาษาไทยยังแตกต่างเห็นได้ชัด ที่อเมริกาก็เหมือนกันค่ะ พี่ตุ๊กตา มาเรียนภาษาอังกฤษของพวกเท็กซัส ก็จะออกสำเนียง South America
เวลาคครูที่สอน เค๊าก็จะบอกเหมือนกันว่า เค๊าฟังภาษาอังกฤษของพวกทางเหนือไม่ออกเหมือนกันอิอิ ก็คงเหมือนเรา ฟังสำเนียงคนใต้ไม่ออก ฟังคนเหนือบางคำไม่เข้าใจอ่ะเนอ๊ะ
ทุกอย่างต้องมาเริ่มต้อนเรียนกันใหม่คะ แต่ ส่วนมาก คนไทย ภาษาอังกฤษของคนไทยก็จะอยู่ระหว่าง Level 3-4 เกือบจะเหมือนกัน....เพราะว่า่เราเรียนมาเราไม่ได้ใช้ และก็ถ้าไม่ใช้ ก็ลืมจริงมั๊ยคะ
สรุปว่า มาอยู่อเมริกาได้เรียน ESL อยู่ Level 5 แล้วค่ะ หลังจากได้เรียนอยู่ประมาณ 3 เดือน ได้เริ่มกล้าพูดภาษาอังกฤษ กับเพื่อน กับครู....เริ่มออกจากบ้านไปเรียน มีเพื่อนมากขึ้นแล้วนะคะ
เราเริ่ิมมีความกล้ามากกว่าความกลัว....เพราะว่าเพื่อนที่เรียนด้วยกันก็ภาษาอังกฤษ กระท่อนกระแท่น เหมือน ๆ กัน เลยกล้าพูดกล้าคุย
แต่ก็กล้าพูดภาษาอังกฤษกับที่โรงเรียนเท่านั้น ถ้าอยู่ข้างนอกก็ให้โจอี้ออกหน้าพูดทุกอย่างไม่ว่าจะซื้อของ ถามอะไรก็แล้วแต่....ตามหลังสามีว่างั้นเหอะ เมื่อไหร่เราจะกล้าหนอ.....ความคิดตอนนั้นก็ว่าไป ซักวันเราต้องทำอะไรด้วยตนเองให้ได้......




เพื่อนรักคนดีที่ 1 เล้ย.....
คอมพิวเตอร์คะ อินเตอร์เน็ตคะ....ระหว่างที่ไม่พูดไม่จากับคนมาเป็นเวลาเกือบ ครึ่งปี อิช้านก็บ้าระห่ำ ดูทีวี กับใช้ิเตอร์เน็ต เป็นว่าเล่น เข้าเว็บโนน้น...ออกเว็บนี้...เข้าไปสมัครสมาชิกไปทั่ว เพราะ หาเพื่อนคุยไม่ได้ ต้องหาเพื่อนทางอินเตอร์เน็ต....แต่ก็ไม่ผิดหวัง มิตรภาพ ความเป็นเพืือนทางอินเตอเน็ต มันก็มีพลังมหาศาล ทำให้ชีวิตของเราหายเหงาไปได้เป็นระยะเวลานานทีเดียว.....เพื่อนในอินเตอเน็ตก็มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป ไม่ดีเราก็เลิกพูดคุยด้วย เลิกส่งข้อความ ก็เท่านั้น.... แต่มาพูดถึงเพือนดี ดี ในอินเตอร์เน็ตดีกว่า ระหว่างที่ไม่มีอะไรทำก็ได้ขอเปิดเว็บบอร์ดเป็นของตัวเองกับทาง Pantown ซึ่งก็เป็นสมาชิก Pantip อยู่แล๊น...ก็มิยาก โดยไม่มีบัตรประชาชนอีกตะหากตอนนั้น แต่ก็ได้เปิดบ้านเป็นของตัวเอง ใช้ชื่อ" ชีวิตในอเมริกา" เริ่มติดงอมแงม มีเพื่อนเข้ามาทักทายมากมาย จนปัจจุบันนี้ เปิดบ้านมาปีกว่าแล้่ว มีสามชิกทั้งในประเทศไทย ต่างประเทศ หลายประเทศ เข้ามาเป็นเพื่อนคุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรื่องราวต่าง ๆ รู้สึกภูมิใจกับบ้านหรือเว็บนี้เป็นอย่างมาก เพราะว่าทำให้คนหลาย ๆ คนหายเหงาเหมือนกับเราได้มากทีเดียว...








สอบใบชับขี่ในอเมริกา
เรื่องนี้ภูมิใจตัวเองมากค่ะ เพราะ่ว่าต้องทำด้วยตัวเองหมด ก่อนมาจากเมืองไทยก็ทำใบขับขี่สากลมา ก็ขับได้แค่ 1 ปีนะคะ แต่่ว่าขอบอกว่าใน 1 ปีแรกที่มา ไม่กล้วขับรถเองอ่ะ ก็มันขับคนละด้านกับเมืองไทย เลยไม่รู้สึกว่าคุ้นเคย ถึงจะขับรถมานานแล้วก็ตาม อิช้านเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ จนเจนนี่ไปสอบก่อนล่วงหน้า เจนนนี่ก็เล่าบรรยายสรรพคุณการสอบให้ฟัง ยิ่งทำให้อิช้านเนี่ย หัวหดเข้าไปใหญ่ ยังอ่ะ ยังงัยก็ยังไม่พร้อม เจนนี่เอาหนังสือคู่มือมาให้อ่านก็อ่านไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ มันเป็นภาษาอังกฤษ เอาข้อสอบเก่า ๆ จากแคลิฟอเนียมาให้ลองทำ โจอี้บอกว่าไม่เหมือนกัน กฏของแต่ระรัฐอาจแตกต่างกันเล็กน้อย เพราะว่าพื้นที่ไม่เหมือนกัน เท็กซัส กว้างมาก แคลิฟอเนียส่วนมากเปป็นเนินเขา เอาซิเรา จะเอาอะไรมาเป็นตัวอย่างละเนี่ย เลยต้องจำใจอ่านหนังสือ แบบชนิดแปลคำต่อคำเลยแหละ แต่ก็ไม่ได้อ่านหมด เพราะ่ ไม่เข้าใจ อาศัยนั่งรถไปกับโจอี้แล้วก็นนั่งจินตนาการว่าเราขับเอง เราควรจะเลี้ยวตรงไหน ไฟอันไหนเป็นอย่างไร แต่พอลองขับจริง ๆ มันนพาลจะเข้าข้างทางซะทุกทีไป มันไม่ชินอ่ะคะ แย่จัง ทำไมทำไม่ได้ฟ๊ะ.....นั่งนึกในใจ จนแล้วจนรอด รอมาปีกว่า ถึงจะได้ฤกษ์ ไปสอบใบขับขี่ ก็นั่งเป็นคุณนายมาเป็นปีแล้ว ทีนี้อยากขับไปไหนมาไหนเองมั่่งแล้วอ่ะจิ เลยต้องทำใจ หาข้อสอบทางอินเตอร์เน็ตมาลองทำจนรู้สึกว่าเราค่อนข้างมั่นใจ เลยไปสอบ เรื่องสอบใบขับขี่ที่เท็กซัส...

พี่ตุ๊กตา เล่าเรื่องสอบใบชับขี่ไว้ อยากอ่านก็ตาม Link ไปนะคะ คลิกที่นี่นะคะ






ทำกับข้าวไทยกินเองได้แล้วแหละ

เกิดมาท้องพ่อท้องแม่ จนต้องมาใช้ชีวิตที่อเมริกา ยังไม่เคยทำกับข้าวด้วยตัวเองเลยซักครั้งเดียว เมื่อก่อนอยู่เมืองไทย ตอนช่วงเรียนหนังสือ ก็มียายเป็นคนทำกับข้าวให้กิน ต่อมาเริ่มทำงาน ก็มีแม่ คอยทำกับข้าวให้กิน เรามีหน้าที่ แม่...วันนี้มีอะไรให้ตากินมั่ง หิว หิว และแล้วทุกอย่างก็ได้กินสมใจ มาอยู่อเมริกา ใหม่ ๆ ก็เจริญอาหารฝรั่งค่ะ เป็นคนชอบกินพวกเบอร์เกอร์ ขนมปังอยู่แล้ว มันกินง่ายดี....มาอยู่นี่ใหม่ ๆ ไม่่คิดถึงอาหารไทยเท่าไหร่ค่ะ พอผ่าน 3 เดือนไป ทีนี้อาการอยากกินอาหารไทยมาเข้าสิงห์ร่าง จนโจอี้ต้องพาไปตระเวนกินอาหารไทย ตามร้านต่าง ๆ ทั่ว Houston แต่ว่าขอบอกว่าอาหารไทยที่ Houston รสชาติ ไม่เหมือนอาหารไทยดั้งเดิมเลยคะ อย่างว่า เพื่อนปากท้องชาวฝรั่งก็ต้องทำให้ถูกปาก ถูกลิ้นของฝรั่ง งั้นก็ขายไม่ล่าย อยู่ม่ายล่าย

ตัดสินใจบอกโจอี้ว่า เราจะทำอาหารไทยกินเองแล้วน๊ะ เป็นไงเป็นกัน ฉันจะโทรถามแม่ว่าทำอย่างไร อยากกินอันไหนก็ถามสูตรแม่ แม่ทำอาหารเก่ง ทำอาหารอร่อยไม่งั้นเหิดร้านอาหารไม่ได้แน่ แม่เป็นแม่ค้าตลอดชีวิตแม่ ทำอาหารให้คนนับหมื่นนับพันกิน ถ้าไม่อร่อยแม่คงไม่เลี้ยงเรามาจนโตป่านนี้แน่ ๆ แต่ทำไม ไอ้ลูกไม้ไม่หล่นใกล้ต้นหนอ.....แม่ ยาย ป้า น้า ทำอาหารเก่งเหมือนกันหม๊ดยกเว้นตัวเราน๊ะ.........
แต่ก็ไม่ยากอะไร เคยเป็นลูกมือ ยายกับแม่ทำมาก่อน เห็นแล้วก็รู้ว่ารสชาติแบบไหนอร่อยก็เป็นใช้ได้ ตั้งแต่นั่นมาเราก็เลยหัดทำกับข้าวกินเองแทบจะทุกมื้อ จนเดี่ยวนี้ทำอาหารเริ่มเก่งแล้ว จากที่ไม่เคยรู้เรื่องกับข้าวกับปลา......นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตเหมือนกันน๊ะเนี่ย


ได้ใบ Work Permit (ใบอนุญาติทำงาน)
ขอไปก็หลายอาทิตย์กว่าจะได้ค่ะ ก็ใช้เวลานานเหมือนกัน แต่กับบางรัฐวันเดียวก็ได้ แปลกมากไม่ยักกะเหมือนกัน ใบนี้มีระยะเวลาแค่ 1 ปีนะคะ ก่อนที่เราจะได้กรีนการ์ด ถ้ามีกรีนการ์ดก็ไม่ต้องใช้ใบนี้แล้วคะ
7 มกราคคม 2548
ไปทำ ใบ Social

ภูมิใจกับการได้งานทำด้วยตัวเอง

มาอเมริกา ก่อนมาเจ้านายเก่าบอกว่า อยู่ที่นี่ต้องทำงานกันทุกคน หือ....มาอยู่เป็นคุณนาย ซะ 1 ปี แบบว่า สามีก็ไม่ได้ร่ำรวย เป็นมนุษย์เงินเดือน เราก็เริ่มรู้สึกว่าเอ...เราต้องมีหน้าที่ส่งเงินให้แม่เรานี่นา.....ให้โจอี้หาเงินคนเดียว เราก็ไม่ได้ง่อยเปรี็ยะเสียขา....ยังมีแรงทำงาน แต่ว่าอย่างว่า ใจอยากทำงานคะ แต่เรื่องภาษาอังกฤษ และความกลัวยังฝังอยู่ในรอยหยักของสมองน้อย ๆ อยู่เลยอ่ะ
ช่วงแรกโจอี้เป็นคนส่งเงินไปให้แม่ที่เมืองไทย...เราตกลงกันก่อนที่จะแต่งงานกันว่า หากเรามาแต่งงานใช้ชีวิตในอเมริกา เราต้องขาดรายได้เพราะว่าเราทำงานเลี้ยงแม่เรา เป็นอันว่าโจอี้เข้าใจระบบการเลี้ยงดูบุบพการี ตามแบบอย่างครอบครัวคนไทย ซึ่งเป็นฝรั่งก็ไม่ต้องมีหน้าที่ส่งเงินให้แม่ทุกเดือนเหมือนอย่างเรา แต่เราต้องทำความตกลงกันก่อน ไม่งั้นแม่เราก็ไม่มีเงินใครจะดูแล ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง โจอี้ส่งเสียเงินเดือนให้แม่ทุกเดือนไม่มีขาด....ซึ่งเราก็ได้แต่พูดว่าอยากทำงาน แต่ไม่ได้เริ่มต้นก้าวออกนอกบ้านซักที ไปตามร้านฟาดฟู๊ด นั่งนึกในใจ งานง่าย ๆ เราต้องทำได้ซิ แต่พอเห็นเค๊าพูดภาษาอังกฤษกันปร๋อ....หัวหดอีกแล้วตุ๊กตา
เมื่อไหร่เราจะพูดกับฝรั่งรู้เรื่อ่งฟร๊ะ......เบื่อเหลือเกินแล้ว ทำไมคนอื่นเค๊ามาทำงานกันได้เรามาแหง๊กอยู่กับบ้านได้เป็นปี ๆ น่าเบื่อ....ช่วงที่คิดนี้ก็เวลาไปไหนก็สายตาชำเรืองมองคนที่เค๊าทำงานกันว่าเค๊าทำกันอย่างไรบ้าง เป็นแคชเชียร์ก็งว่ายดีนี่หว่า..........แต่เอ......เงินเรายังไม่ค่อยรู้จักเหรียญมัีนมีกี่เหรียญ ราคามันต่างกันตรงไหนมั่ง ลองมานั่งนับเหรียญ นับเงินดู ก็ยังยากสำหรับเราอยู่ดี
จริงค่ะ มาแรก ๆ เรื่องเงินนี่นับไม่ค่อยถูกค่ะ เรียน ESL เขาก็สอนมานะคะ แต่เป็นเพราะว่า ฝรั่งส่วนมากจะใช้เครดิตรการ์ด ไม่พกเงินสดกัน คุณซะมีก็ทำบัตรเครดิตรให้ เรา ไอ้เราก็ยังไม่ค่อยได้ใช้ ไม่กล่้าไปซื้อของเอง ไอ้คำว่าไม่กล้าเนี่ย.......มันเหนียวแน่นติดตัวมัก...มัก...แกะยังงัยก็ไม่ออกคะ

มีนาคม 2548



ได้ฤกษ์ เบิกชัย กับการออกจากความกลัว ความไม่กล้า......สลัดมันทิ้งไปเลยค่ะ ตั้งแต่นั้น ตั้งปนิธาน ว่าปีนี้ต้องหางานทำให้ได้ และแล้วก็เริ่มคิดสมัครงาน ที่แรกที่อยู่ในหัวใจคือร้านอาหารไทยคะ เพราะว่างัยก็พูดภาษาเดียวกัีน จะให้ไปล้างชามก็เอา ตอนนั้นคิดว่าอะไรก็ทำ แต่ก็ต้องผิดหวังกับคนไทย.....ทำให้รู้สึกว่า ไม่มีใครช่วยเหลือเรา เราต้องช่วยเหลือตัวเอง
หลังจากนั้น ก็ตั้งใจเด็ดขาด จะไม่ง้อคนไทย ไม่ง้อร้านอาหารไทย เราจะทำงานกับฝรั่งให้ได้.....มันทำให้มีพลังผลักดันอยากมากมาก นึกน้อยใจเหมือนกัน คนไทยยังไม่ช่วยเหลือกัน เคยมีแต่คนพูดว่าคนไทยในต่างแดน เจอกันที่ไหนมักช่วยเหลือกันเสมอ หรือว่าเรา....จะโชคไม่ดีก็ไม่ทราบ.....
ถึงตอนนั้นก็เริ่มบอกเพื่อน ๆ หรือครูที่รู้จักที่โรงเรียนว่าเราอยากทำงาน คุณครูก็ใจดี หางานง่าย ๆ ให้ทำ ไปสัมภาษณ์ ครั้งแรก ไม่รอดอ่ะ....แห้ว...กินแห้ว....แต่ว่า คนเราไม่ย่อท้อคะ....สมัครไปเรื่อย จนได้งานทำที่ H.E.B. เจอการสัมภาษณ์แบบสามรอบ.....ไม่ได้สมัครเป็นผู้จัดการซักหน่อย แต่ก็มีเรื่องสนุกมากค่ะ....อยากตามไปอ่านเรื่องราวการหางานทำของพี่ตุ๊กตา ก็ตาม Link ไปนะคะ
สมัครงานร้านอาหารไทย (แห้วค่ะ)

สมัครงานแจก Sample (แห้วอีกแหละคะ)

สมัครงานครั้งที่ 3 (อ่ะ อ๊ะ อ๊า..)

ครั้งนี้มีลุ้นนะคะ



สัมภาษณ์งานแบบ (Group Interview)




วันที่ได้งานทำครั้งแรกในอเมริกา


อ้อ ลืมสรุป ได้งานทำตั้งแต่เดือนเมษายน ถึงตอนนนี้ก็ทำงานมาได้ 8 เดือน แล้วค่ะ หลังจากทำงานมาเดือนที่หก ก็ได้เงินแต่ละชั่วโมงเพิ่มขึ้นนิดหน่อย ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยนะคะ

ได้อะไรจากการทำงานกับฝรั่งบ้าง
1. ได้ความกล้า มาเป็นอันดับแรก ก็ถ้าไม่กล้าก็ไม่ได้ออกมาสมัครงานอ่ะจิ
2. ได้ใช้ภาษาอังกฤษ แบบที่ไม่่ต้องไปเรียน เพราะว่า ต้องพูดทุกวัน เจอลูกคค้านับร้อย ๆ ต่อวัน ถ้าไม่หัดพูดคงทำงานไม่ได้แน่ ครั้งแรกก็ประม่า เอามากมาก เวลาพูดก็จะเบา เพราะว่ากลัวสำเนียงเพี็ยน (มันก็เพี๊ยนนั่นแหละคะ) ลูกค้าส่วนมากไม่เข้าใจภาษาอังกฤษของพี่ตุ๊กตาคะ จนเพื่อนร่วมงานต้องคคอยออกหน้าแทนบอกว่าเราเป็นพนักงานใหม่ จนแรก ๆ ๆไปทำงานท้อ ท้อ กลัว วันแรกกลับบ้้านเล่นเอาเป็นไข้เลยค่ะ คิดมาก พรุ่งนี้เราจะไปทำงาน จะต้องเจอลูกคค้าพูด ฟังเราไม่เข้าใจอีก ไม่อยากไปทำงาน บ่นกับโจอี้ ว่าไม่อยากไปทำงานแล้ว คนฟังภาษาอังกฤษของเราไม่รู้เรื่อง...บ่นไปปนั่งร้องไห้ไปด้วย
โจอี้ก็บอกว่า อย่ากลัว ให้พูดเสียงดัง ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ต้องไปเลียนแบบฝรั่งซึ่งเขาพููดเร็วรัวกัน เราพูดให้ชัดเท่าที่่จะทำได้ ถ้าไม่เข้าใจ ให้ถามอีกครั้ง ไม่ต้องกลัว ถ้ามัวแต่กลัวก็จะไม่มีวันกล้าพูดภาษาอังกฤษ หลังจากนั้น ก็พยายามรวบรวมความกล้า ยิ้มไว้ก่อน บางทีไม่เข้าใจ ก็บอกลูกค้าไปเลยว่าเราไม่เข้าใจ ขอให้พูดอีกครั้ง บอกเขาไปเลยว่าเราเป็นพนักงานใหม่ และภาษาอังกฤษไม่คล่อง....ูลูกค้าส่วนใหญ่จะใจดี ....โชคดีที่เพื่อนร่วมงาน ทุกคนเป็นคนน่ารัก และก็ช่วยเหลือ สอนทุกอย่างเกี่ยวกับการทำงาน และได้หัวหน้าที่ใจดี คอยกระตุ้นเราเรื่อยว่าเราทำดีแล้ว ภาษาอังกฤษก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ขออย่างเดียวเวลาทำงาน ถ้าไม่รู้ให้ถาม อย่า่ทำเมื่อไม่แน่ใจ หรือไม่รู้.... พี่ตุ๊กตาก็ถามมันตั้งแต่เช้ายันเลิกงานเลยอ่ะ ถามมันทุกอย่าง เพราะว่าเราไม่เคยทำงานกับฝรั่ง ระบบแตกต่างกัน เรียกว่าทุกอย่าง ต้องเรียนรู้ใหม่หมด สำหรับพี่ตุ๊กตา....
3. เรียนรู้ วิธีการขายของ เทคนิคต่าง ๆ เพราะว่า เมื่อมาเป็นพนักงานขายของ เค๊าจะมีการอบรมอยู่บ่อยครั้งค่ะ เวลาไปอบรมก็ไม่ได้เก๊ตกะเค๊าซักเท่าไหร่ รู้มั่งไม่รู้มั่ง เอาเอกสารกลับมาให้โจอี้อธิบายช้า ๆ ให้ฟังอีกที
4. รู้เรื่องการทำงานแคชเชียร์........จำได้มั๊ยคะว่า ตั่งแต่มาอเมริกาไม่ค่อยได้ใช้เงินสด หรือ เหรียญซักเท่าไหร่ เวลาไปเรียน ESL คุณครูก็จะสอนบ่อยมากเกี่ยวกับการใช้เงิน แต่ก็ไม่เข้าใจซักเท่าไหร่ แต่มาทำงาน มีโอกาศได้เป็นแคชเชียร์ด้วยเอ๊า...หัวหน้าบอกให้เรียนรู้งานแคชเชียร์ เราก็บอกว่าเราไม่เก่งเรื่องคิดเงิน คิดเป็นแต่ยัังไม่คล่องเรื่องเหรียญ หัวหน้าก็ให้ท้ายว่า ยูทำได้อยู่แล้ว....
เอาก็ เอาวุ๊ย.....ก็เรียนรู้ไป จนตอนนี้ คลอ่งแล้วค่ะ เรื่องเงินเนี่ย.....ไม่อยากเชื่อ
5. การตรงต่อเวลา การทำงานกับฝรั่งเนี่ย ไม่เหมือนบ้านเรา ที่นี่เขาคิดกันเป็นวินาทีเลยทีเดียว ทำงาน วันละ 8 ชั่วโมง ทำสองชั่วโมงแรกได้พัก 15 นาที ต่อจากนั้น อีก สองชั่วโมงก็จะได้พัก 30 นาที สำหรับทานอาหาร และก็จะมีเบรคช่วงสุดท้ายอีก 15 นาที สรุุปว่า เราทำงานแปดชั่วโมง แต่ต้องทำงาน 8 ชั่วโมงครึ่งนะคะ เพราะว่าถือว่า ครึ่งชั่วโมง นี่เป็นพักอาหารกลางวันไป.... ถ้าทำงานเมืองไทย ได้เงินเดือน โอ๊ย...มาทำกับฝรั่งยากค่ะ ต้องปรับตัวกันใหม่
6. มีความเห็นแก่ตัวเองมากขึ้น....ต้องอธิบายก่อนนะคะ ว่าไม่ใช้นนิสัยของพี่ตุ๊กตา นิสัยพี่ตุ๊กตา เป็นคนชอบช่วยเหลือคน งานเราทำเสร็จ ก็จะกุลีกุจอไปช่วยงานหน้าที่คนอื่น แรก ๆ ก็เป็นแบบนั้นนะคะ ก็คงมีแต่เราคนเดียวที่หน้าใหญ่ ชอบช่วยเหลืองานคนอื่น... พอหลัง ๆๆ งานเรา ไม่เคยมีใครมาช่วยเหลืทอเราเลย เขาก็ ยืนมองกันเฉย ๆ เลยรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเรานี่หว่าแบบเนี๊ยะ งานทุกอย่าง เราสามารถ ช่วยทุกตำแหน่งได้ แต่เวลาเราไม่เคยมีใครมาช่วยงานเรามั่ง ได้แต่เรียกเราไปช่วย......ระยะหลัง นี่ไม่ช่วยแล้วค่ะ รู้สึกว่าเราเหนื่อยกว่าคนอื่น เงินก็ได้เท่า ๆ กัน....นี่เป็น ส่วนหนึ่งที่ทำให้นนิสัยของพี่ตุ๊กตาเปลี่ยนไป.....แต่ลึก ๆ ก็ยังคงเป็นคนเดิม ชอบช่วยเหลือนะคะ ....แต่ต่อไปนี้ ต้องดูคนกันหน่อยว่าควรช่วยงานตรงไหนที่ไม่ทำให้เราเหนื่อยกว่าคนอื่น
งานเป็นงาน เผอิญมาทำงานเป็นพนักงานขายใน Grocery Store ยืนทำงานไม่สามารถนั่งได้นะคะ ต้องเป็นช่วงเบรคเท่านั้น ก็คงเหมือนในห้างบ้านเรานั่นแหละค่ะ ที่นี่ทำงานหน้าที่ใครหน้าที่มัน ไม่มีการเกื้อกููล ช่วยเหลือกันทั้งสิ้น เช่น เรายกของหนัก ๆ ไม่ต้องไปเหลียวหน้า เหลียวหลัง หาหนุ่ม ๆ มาช่วยนะคะ อย่าได้หวังเลยคะ ถึงเห็นเรายกของหนัก ก็มองกันเฉย ๆ เพราะว่าถือว่าเป็นงานใครก็งานมัน

แต่มีบางคนนะคะ ที่พี่ตุ๊กตาช่วยงานเค๊า เป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่น ซึ่งงานก็ไม่เหมาะกับเค๊าซักเท่าไหร่ พี่ตุ๊กตาก็ช่วยเค๊ามาตลอด เค๊าบอกกับพี่ตุ๊กตาว่า " You are my sister." เค๊าบอกว่ามีพี่ตุ๊กตาคนเดียวที่ช่วยงานเวลาเค๊าไม่ค่อยทัน...ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง.....อยู่ต่างบ้านต่างเมืองก็ต้องช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด......
7. ใช้เครืองไม้เครื่องมือทีทันสมัย เป็นกะเค๊าเหมือนกันนะคะ เริ่มแรก งง เป็นบื้อ...ไม่รู้เครื่องอะไร เปิดแล้วทำอย่างไร เครื่องทุ่นแรงแยะค่ะที่นี่ ต้องเรียนรู้ลองผิดลองถูกอยู่นานเชียว อย่างว่า ไม่รู้ให้ถามค่ะ มีปากให้เป็นประโยชน์
สรุุปได้ว่า เดี๋ยวนี้ พี่ตุ๊กตา ไม่อายแล้วค่ะ ทักทายคนไปทั่ว จนคนรู้จักกันทั่ว HEB เป็นเพราะว่า พี่ตุ๊กตาทำงานตรงแคชเชียร์ที่พนักงานทุกคนจะต้องมาจ่ายเงินที่เครื่องพี่ตุ๊กตา จึงทำให้ได้พูดคุยกับพนักงาน เกือบจะทุกคน และพนักงานทุกคนก็จะรู้จักพี่ตุ๊กตา มันเป็นความรู้สึกดีที่เราสามารถเปลี่ยนจากคนที่ไม่กล้าพูดกับฝรั่ง แต่หลังจาก 8 เดือนที่ได้มาทำงาน ทำให้พี่ตุ๊กตา เปลี่ยนไปในทางที่ดีมากขึ้น พูดภาษาอังกฤษขึ้น พูดทุกวันนี่นน๊ะ ทำงานได้เงิน เป็นของตัวเอง เป็นคนแกร่งขึ้น เพราะว่าต้องช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น.....

พี่ตุ๊กตา เขียนข้อคิดเมื่อมาใช้ชีวิตในต่างแดน ถ้าสนใจก็ลองเข้าไปอ่านกันนะคะ คลิกที่นี่นะคะ

สรุปได้ว่า การมาใช้ชีวิตในต่างแดนเนี่ย.....ไม่ใช่ของง่าย ๆ นะคะ ต้องต่อสู้กับหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ก็ดีใจ ที่ตัวเองสามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่เคยทำ และได้ต่อสู้กับตัวเองได้ และตัวเองแกร่งขึ้น...ใช้ชีวิตแบบคิดก่อนทำมากขึ้น นี่แหละค่ะ ชีวิตที่เปลี่ยนแปลง 2 ปีในอเมริกา ตอนนี้คิดได้เท่าเนี๊ยะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ...>









Create Date : 22 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2548 11:54:41 น. 18 comments
Counter : 2633 Pageviews.

 
ดีจังเลยคะ...แล้วจะทำงานอยู่ที่นั้นตลอดเลยเหรอคะไม่คิดถึงเมืองไทยเหรอจ๊ะ....


โดย: บันทึกสีขาว วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:12:54:41 น.  

 
ดีใจที่เห็นมีความสุขค่ะ
มันก็เหมือนเริ่มอะไรใหม่ๆอ่ะนะคะ
แรกๆก็คงขรุขระทางไม่ราบเรียบ แล้วไม่นานก็ราบลื่นเองค่ะ
เอาใจช่วยนะคะ


โดย: เกือกซ่าสีชมพู วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:13:24:38 น.  

 
ถือเป็นประสบการณ์ดีๆ เลยนะค่ะ ... มีความสุขนะค่ะที่
เราได้ทำได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และสุขมากๆ ด้วยถ้าหากว่า
เราทำได้ดีน่ะค่ะ


โดย: JewNid วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:13:32:05 น.  

 
ประสบการณ์คล้ายๆ กันเลยค่ะ พี่ตุ๊กตา

ยิ่งเรื่องทำกับข้าวไทยทานนะ เหมือนกันเลย

ตอนอยู่เมืองไทยเหรอ แค่รู้ว่าหน้าปากซอย กับในตู้เย็นมีอะไรบ้างเท่านั้นแหละ

เดี๋ยวนี้เรอะ อยากกินไร ได้เลย ลงมือทำเองเลย ผิดถูก อร่อยไม่อร่อยว่ากันไป

ไม่อร่อยก็ลองใหม่ เนอะ


โดย: พฤษภาคม 2510 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:13:38:18 น.  

 
ดีใจกะพี่ตุ๊กตาด้วยจังค่ะ เป็นชล คงต้องร้องไห้กลับบ้านแน่เลย ....

พี่ตุ๊กตา ทำกับข้าว น่ากินอ่ะ


โดย: หนูชล วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:14:38:15 น.  

 
สวัสดีค่ะ ... แว๊บงานมาทักทายก่อนนะคะ
แล้วจะกลับมาอ่านทีหลังนะคะ


โดย: Petit Patty วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:14:52:34 น.  

 
ถือว่าได้ประสบการณ์ที่หลายคนๆ ไม่เคยสัมผัสนะคะ..
พอย้อนกลับไปมองวันที่ผ่านๆ คงมีความสุข
และชื่นชมที่ตัวเองสามารถฝ่าฟันมาจนถึงวันนี้ได้นะคะ...



โดย: ยัยบี๋ วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:14:57:25 น.  

 
เข้ามาอ่านค่ะ

มีความสุขมากๆนะคะ


โดย: เบญญาภา วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:15:42:33 น.  

 
2 ปีแล้วเหรอเนี่ย เร็วจังเลยเนอะ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้วกันนะครับ


โดย: Qooma วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:16:06:31 น.  

 
ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีนะคะ
สู้ๆค่ะ


โดย: PoUpeE วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:16:17:01 น.  

 
ได้ประสบการณ์จิงๆนะ

จอยกลับไทยแล้วล่ะ ตามมานะ


โดย: joinping วันที่: 22 พฤศจิกายน 2548 เวลา:23:06:27 น.  

 
สุขสันต์วันครบรอบ 2 ปี นะคะพี่ตา


โดย: ทราย IP: 68.54.123.77 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:23:34:51 น.  

 
ชอบอ่านเรื่องราวของพี่ตุ๊กตามากๆ ค่ะ เพราะชีวิตเราคล้ายๆ กันเลย...นู๋เองยังไม่หางานทำเลยค่ะ ปากก็บอกจะหาๆ แต่ก็ยังไม่หาซักที อยู่มานานกว่าพี่ตุ๊กตาอีก 3 ปีครึ่งแล้วค่ะ...

อ่านเรื่องพี่ตุ๊กตาจบแล้วทำให้มีกำลังใจขึ้นมาอีกโข...อีกไม่นานนู๋ก็คงจะมีเรื่องราวการทำงานที่เมกาของนู๋ให้พี่ตุ๊กตาอ่านมั่งก็นะึคะ


โดย: tiny (tiny ) วันที่: 24 พฤศจิกายน 2548 เวลา:7:09:40 น.  

 
คุณตุ๊กตาเขียนเก่งอะค่ะ ทีแรกคิดว่ามาเป็นสิบๆปีแล้วซะอีก มีแฟนเป็นคนที่นี่ก็ดีอะค่ะ ภาษาสำเนียงจาดีกว่า ของอินทรีทองคำไม่ค่อยได้พูดเท่าไหร่เลย พยายามอ่านอะค่ะเขิลจัง


โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 24 พฤศจิกายน 2548 เวลา:8:45:37 น.  

 
ยินดีด้วยนะครับบ เขียนเก่งจังครับบบ Blog น่ารักมากครับบ


โดย: theatre วันที่: 30 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:28:02 น.  

 
ชึวิตในต่างแดนก็ลำบากมากกว่าในเมืองไทย แต่ก็ต้องอดทน นั่งอ่านบล๊อกนี้กับลูกชาย สอนให้เข้าทราบว่า การช่วยเหลือตนเองเมื่ออยู่ไกลบ้านต้องทำอย่างไรบ้าง เตรียมตัวไว้เผื่ออนาคตของเขาเอง


โดย: ต้อม IP: 202.183.235.53 วันที่: 2 ธันวาคม 2548 เวลา:11:35:55 น.  

 
อ่านแล้ว อยากไปบ้างจัง ค่ะดูแลสุขภาพด้วย น่ะค่ะ


โดย: pomelo IP: 58.8.170.127 วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:12:56:43 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณตุ๊กตา เอ๋อ่านเรื่องของคุณสองรอบแล้ว คล้ายกับชีวิตเอ๋เลยตอนนี้เอ๋อยู่แคลิฟฟอเนียมาได้หกเดือนภาษาอังกฤษพอได้ เอ๋ได้วีซ่าท่องเที่ยวสิบปี แต่ต้องออกจากประเทศทุกหกเดือน เอ๋อยากทำงานเพราะสามีทำงานไม่ได้หลังจากการผ่าตัด เอ๋อยากหารายได้ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำไงจึงจะได้ใบอนุญาติทำงาน แล้วต้องใช้เงินเท่าไหร่ เอกสานอะไรบ้าง แล้วนานไหมกว่าจะได้ ถ้าคุณตุ๊กตามีเวลาว่างจากทำงานแล้วให้คำแนะนำจะเป็นพระคุณมากค่ะ แต่ถ้ายุ่งก็ไม่เป็นไรนะคะเอ๋เข้าใจ. คงสงสัยว่าทำไมไม่ถามสามีเอ๋เอง เอ๋ถามหลายครั้งแต่ไม่มีความคืบหน้าเลยขี้เกียจถาม
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ขอให้ชีวิตประสบความสำเร๊จและมีความสุขนะคะ

เอ๋


โดย: เอ๋ IP: 75.33.196.144 วันที่: 7 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:51:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tukata001
Location :
Texas United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




พี่ตุ๊กตา ยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาเยี่ยมบล๊อคนี้นะค

pk12th

 

Tukata Hemphill

Create Your Badge
Friends' blogs
[Add tukata001's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.