Group Interview กับ United Airlines ที่ Houston, Texas (Flight attendant)
July 12,2013 [11:36 am]


ทิ้งเวลาให้ล่วงเลยมาหลายเดือนเหลือเกินกว่าจะมาแชร์ประสบการณ์ได้ 5555 เขียนบล็อคครั้งสุดท้ายก็กันยาปีทีแล้วน่ะแหละ นานมากกกกกกกก ต้องขออภัยเพื่อนๆที่ติดตามบล็อคเราอยู่ด้วยนะคะ (มีกะเค้าด้วยหรอ? อิอิ)


อย่างที่เกริ่นๆไว้ที่บล็อคก่อนหน้านี้ว่าได้รับเชิญไปสัมภาษณ์กลุ่ม (Group interview) ที่ เท็กซัส โดยทาง United จะให้บินฟรีไปที่ Houston (บินกลับด้วย) แต่เราต้องออกค่าที่พักเอง ไอ่เราก็อยู่ แคลิฟอเนียร์อ่ะนะ ประสบการณ์การเดินทางเองคนเดียวในต่างประเทศก็ไม่มี เพิ่งมาอยู่ประเทศเค้าได้ไม่ถึงปี ก็กล้าๆกลัวๆ แต่ก็นะ โอกาสมันมาทั้งที แบบว่า Opportunity is knocking on your door จะ ignore ไปซะเฉยๆมันก็กะไรอยู่ แถม United ก็เป็นสายการบินในฝันที่ครั้งนึงตอนยังเรียนคอร์ส TOEIC ก็ เคยป่าวประกาศไว้ เมื่ออาจารย์ถามว่าอยากทำสายการบินอะไร ไอ่เราก็ตอบไปว่า United อย่างมาดมั่น ตอนนั้นที่อยู่ไทยก็หาข้อมูลมาแล้วว่าเค้าปิดเบสที่ไทยไปได้ชาติกว่าๆ แล้ว ดังนั้นโอกาสจะได้ทำงานเป็นลูกเรือกับ United มันชั่งริบหรี่ยิ่งนัก มาถึงตอนนี้มีโอกาสทั้งที ไม่คว้าไว้ก็บ้าเต็มที

เงินก็ไม่มีมากมายที่จะไปใช้จองโรงแรมดีๆ ไหนจะค่ากิน ไหนจะเดินทางคนเดียว ถ้าได้เป็นขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้เบสที่ ซานฟรานขึ้นมามิต้องย้ายทั้งครอบครัวไปอยู่ที่นั่นเรอะ? ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าเดินหน้าไปเถอะเรื่องอื่นค่อยคิดทีหลัง 555




ว่าแล้วก็จัดการทำตามที่เค้าบอกมาในอีเมล์ เราต้องโทรเข้าไปที่ศูนย์เพื่อทำการนัดวันสัมภาษณ์ เข้าไปอ่านหาข้อมูลที่บอร์ด indeed.com ก็จะมีคนที่ไปสัมภาษณ์มาแล้วมาให้ข้อมูลเยอะแยะ บางคนบอกว่าโทรติดยากมากกกกกก เพราะทุกคนทั่วประเทศที่ได้รับคำเชิญต้องทำแบบเดียวกันหมด โทรเป็น 20-30 ครั้งกว่าจะติด เอ้อ......พาลให้ชั้นกังวลใจ จะโทรติดมั้ย เบอร์บ้านก็ไม่มี มือถือก็มีสัญญาณบ้าง ไม่มีบ้าง แถมต้องโทรตอนเช้าก่อนขึ้นรถไฟไปทำงานอีก เพราะบนรถไฟไม่มีสัญญาณ จะไปนั่งโทรที่ทำงานก็ใช่เรื่อง เลยวางแผนก่อนหน้าหนึ่งวันว่าจะออกจากบ้านไปส่งลูกเช้าหน่อย ระหว่างเดินไปส่งก็จะกระหน่ำโทรมันเข้าไป


พอเช้าวันนั้นมาถึง โทรรอบแรก ตรู๊ดดด... Sorry, due to the high volume of..bla bla bla สรุปว่าโทรไม่ติด เอาวะเตรียมใจมาแล้วรู้ว่ามันคงไม่ติดง่ายๆ เอาใหม่ วางแล้วโทรรอบสอง.... Sorry...เหมือนเดิม อ่ะวาง เอาใหม่รอบที่สาม ตรู๊ดดดดด Good Morning United In-flight recruitment....bla bla bla กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด ติดแล้ว เย้ๆ ง่ายเหลือเชื่อ

พอติดก็นัดวันไปเสร็จสรรพรวมทั้งนัดไฟลท์ด้วยว่าจะเดินทางกี่โมงอะไรยังไง เรียบร้อยแล้วเค้าจะส่งรายละเอียดมายืนยันทางอีเมล์อีกที เฮ้อ โล่งอก จากนั้นก็ต้องเตรียมตัวหาข้อมูล เกี่ยวกับสายการบินและการสัมภาษณ์ให้มากที่สุดแล้ว เข้ากูเกิ้ล wikipedia ช่วยได้เยอะสุดเรื่องประวัติของบริษัท ปรินท์มาเป็นปึก นั่งอ่านมันทั้งวันทั้งคืน Glassdoor.com เป็นอีกแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยมของที่เมกานี่ เพราะจะมีคนที่เคยทำงาน/สัมภาษณ์ของแต่ละบริษัทมาโพสข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการสัมภาษณ์ของบริษัทนั้นๆ รวมไปถึงการรีวิวสภาพการทำงาน pros/cons ของบริษัทอีกด้วย ช่วยให้คนที่กำลังจะเข้าสัมภาษณ์หรือเริ่มงานกับบริษัทนั้นๆได้มีข้อมูลและเห็นภาพคร่าวๆเกี่ยวกับตัวบริษัทมากขึ้น อย่างของเราในอันนี้ก็มีคนมารีวิวการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ไว้ ซึ่งลงวันที่ไว้เสร็จสรรพทำให้เรารู้ว่าข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลปัจจุบัน และเตรียมการได้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง







Create Date : 13 กรกฎาคม 2556
Last Update : 13 กรกฎาคม 2556 2:20:01 น.
Counter : 8974 Pageviews.

9 comment
๊Here comes an opportunity.. F/A United Airlines...
11 SEP 2012 [14:53]

เขียนเรื่องงานครั้งล่าสุดเมื่อเดือนตุลาปีที่แล้ว มาเขียนอีกทีปาเข้าไปเดือนกันยา แอร๊ยยย เกือบปีเลยทีเดียว อิอิ เอิ้ก จริงๆก็อยากจะมาเขียนหลายทีแล้วนา แต่ไคญ่ายิ่งโตยิ่งยุ่ง ไม่มีเวลาว่างเร๊ยยย

มาอัพเดทก่อน ตอนนี้ได้งานแล้ว (ทำมาจะ 6 เดือนละ) เป็น Travel Agent ทำงานใน San Francisco ค่้ะ อยู่แถว Financial District ใครอยู่ใกล้ๆก็แวะมาทักทายกันได้นะคะ

หลายๆคนไม่รู้ว่า Travel Agent คืออะไร พูดง่ายๆ คือ ทำบริษัททัวร์ค่ะ มีหน้าที่รับรีเควสจากลูกค้า อยากไปไหนบอกมา จัดให้ บริษัทที่ทำอยู่ตอนนี้ ทำทัวร์ไปแค่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้นค่ะ เราก็จัดหาตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ไกด์ ทัวร์ รวบรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน เก็บเงินลูกค้า จบ

มีเท่านี้ ถามว่าชอบงานมั้ย..ไม่ค่อยอ่ะ เพราะนั่งหน้าคอมพ์ตลอดเวลา ไม่มีเบรกด้วยนะที่นี่ คืออยากกินข้าวเมื่อไหร่ก็กิน ส่วนใหญ่เราก็ห่อข้าวมาทำำงานเพราะอาหารในซานฟรานก็แพงน่ะ

ตั้งแต่มาทำงานที่นี่น้ำหนักขึ้นมาแล้ว 7 โล

เศร้ามั้ย 55+

คิดถึงงานสนามบินแทบขาดใจ แต่ทำไงได้ มีให้ทำก็ดีแล้วเนาะ รายได้ก็ไม่ได้น่าเกลียดเท่าไหร่ $1800 ต่อเดือน ทำงาน จ-ศ 9-5 แต่ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีไรเลย ไม่มีหนทางก้าวหน้า เพราะเป็นบริษัทเล็ก (ทั้งออฟฟิศมี 5 คน) บอสเป็นแขกมาเลย์ เอาแน่เอานอนไม่ได้ โมโหร้าย ชอบทุบโทรศัำพท์ (จริงๆนะ) ตอนเข้าไปทำงานใหม่ก็ไล่นักบัญชีออก นี่เมื่อเช้าเพิ่งตะโกนไล่นักบัญชีอีกคนออก จำอะไรไม่ค่อยได้ ยุ่ง และ ฯลฯ เอาเป็นว่าเรื่องเยอะมากกกกก ข้อดีของที่นี่คือเพื่อนร่วมงานดีมาก (ยกเว้นบอสไว้คนนึงนี่หละ) แล้วก็ flexible มาก ลาหยุด มาสาย ไปพักร้อนกันเป็นว่าเล่น

เอาละเล่าไปแค่นั้นพอ เพราะที่ตั้งใจจะเขียนวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ United Airlines
เมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งได้รับเชิญ (Invited อ่ะ) ไปสัมภาษณ์งานตำแหน่ง Customer Service Representative พูดง่ายๆก็เช็คอินเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ ดีใจมากกกกก แต่ก็กังวลมากเหมือนกัน เพราะต้องไปประจำที่ SFO (San Francisco International Airport) ซึ่งไกลมว๊ากกกกกกก ไกลจากอพาร์ทเมนท์ที่เราอยู่ตอนนี้มากกกก แล้วเราไม่ได้ขับรถ แถมรถก็มีคันเดียวอีกตะหาก และสามีต้องใช้ทำงานเพราะเค้าเป็น Merchandiser

ค่าตอบแทนแค่ $12.56/hour และเป็นงานพาร์ทไืทม์อีกตะหาก แล้วมันทำงานเป็นกะ เราก็ไม่รู้จะพาตัวเองไปทำงานยังไง คำนวณค่าใช้จ่าย ค่ารถไฟแล้วตกเดือนละ 400 เหรียญได้มั้ง เอื้อก ถ้าไม่ได้ทำ Full time ก็ไม่มีปัญญาจ่ายหรอกนะ เกริ่นมาทั้งหมด เหมือนจะไม่ไปสัมภาษณ์ใช่มะ..ป่าวค่าาา ก็ไปอยู่ดี

สามีลงทุนพาไปซื้อสูทใหม่ (ถูกๆ) เพื่อการนี้โดยเฉพาะ พอถึงวันสัมภาษณ์อิชั้นก็ระเห็จขึ้นรถไฟ...ปรากฎว่ามันใช้เวลานานมากกกกกกกกก เพราะต้องขึ้นรถจากบ้านแล้วไปเปลี่ยนขบวนทีหลังอีก เพราะรถจากบ้านมันไม่ไปสนามบิน ก็ต้องรอรถอีกคันมา พอขึ้นได้แล้ว มันก็ไปรอสับรางอีก สิริรวมแล้วแค่รถไฟอย่างเดียวเกือบ 2 ชั่วโมง

ทีนี้สถานที่สัมภาษณ์มันไม่ใช่ตัวเทอร์มินอลอ่ะดิ มันเป็นศูนย์อะไรซักอย่างของยูไนเต็ด ไอ่เราก็เลยต้องลงสถานีก่อนหน้าสนามบินแล้วเดิน....ใช่เดิน...2ไมล์ได้มั้ง ไกลโคตรรร แถมใส่รองเท้าส้นสูงอีกตะหาก..ปวดเท้้าสุดๆ

พอไปถึงก็ได้เจอกับความประทับใจอย่างแรก...ผู้สมัคร..คนที่มาสัมภาษณ์วันนั้นมีทุกรูปแบบมากๆ ภาษาอังกฤษเรียกว่า diversity คือ สูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม มีหมด แก่ หนุ่ม คละเคล้าทุกอายุ คือเราเห็นแล้วเรารู้สึกดีมากๆ ที่ทุกคนได้โอกาส งานนี้ถ้าเป็นทีี่เมืองไทย คุณต้องเป็นโสดและอายุไม่เกิน 27 หน้าตาดี ฯลฯ มันตื้นตันมากๆอ่ะ เราก็มองไปรอบๆน้ำตาคลอ (บ้าไปแร้ว เป็นนางงามมิตรภาพเรอะ) คือปลื้มอ่ะ จากใจจริง

รอกันอยู่ในห้องรับรองซักพัก กรรมการก็เดินมากเรียกให้ขึ้นไปชั้นบน เพื่อดู presentation เกี่ยวกับสายการบิน พอดูจบก็มีคนมาอธิบายถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำงานกับยูไนเต็ด ขอบอกว่าสวัสดิการดีมากกกก คุณได้สวัสดิการตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานเลย แต่ช่วงทดลองงานก็ยาวนานมากเช่นกัน 6 เดือนแน่ะ ที่สำคัญคือสายไม่ได้เด็ดขาดเลย (เอาแล้วไงล่ะ นี่ถ้าชั้นนั่ง Bart มาทำงานแล้วมันดีเลย์เนี่ย มีหวังจบเห่)

พอพูดคุยจบก็มีให้ซักถาม ก่อนที่จะเรียกไปสัมภาษณ์ตัวต่อตัว อันนี้เราชอบมาก เพราะเป็นโรคแพ้ Group interview 55+ เจอเมื่อไหร่ตกม้าตายทุกที หลังจากรอประมาณครึ่งชั่วโมงได้มั้ง ก็ได้เข้าไปสัมภาษณ์ กรรมการที่สัมภาษณ์เราเป็นผู้หญิง คำถามที่ถามก็ทั่วๆไป อย่างเช่นทำไมถึงอยากทำงานกับUnited ถามเรื่องการแก้ปัญหาหรือสถานการณ์ที่ผ่านมาในการจัดการกับลูกค้าจากประสบการณ์ของเรา ทำไมเราถึงควรเลือกคุณเข้ามาทำงาน ประมาณนี้ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง

ไอ่เราก็มีเท่าไหร่ใส่ไปให้หมด ประสบการณ์แปลกๆฮาๆก็ขนมาประกอบการสัมภาษณ์หมด คนสัมภาษณ์เราพอเราตอบอะไรไปก็จดยุกๆยิกๆ ไม่รู้เขียนไรมั่ง 55+ สัมภาษณ์เสร็จก็บอกกลับบ้านไป จะรู้ผลทางเมล์์ภายใน 2 อาทิตย์

ิ่อ่าาา จริงๆตอนไปครั้งได้เพื่อนใหม่มาหนึ่งคน เป็นคนฟิลิปปินส์ อาสาขับรถไปส่งเราที่สถานีรถไฟตอนกลับด้วย ซึ่งหลังจากสัมภาษณ์ไปวัน-2วัน เพื่อนคนนี้ก็ได้รับโืทรศัำพท์ว่าได้งานแล้ว พอเค้าส่งข้อความมาหาเรา ไอ่เราก็แบบ เออ..สงสัยแห้วละ เพราะไม่ได้คอล ถามว่าเสียใจมั้ย ไม่เท่าไหร่นะ เพราะคิดว่าคงไปทำงานไม่ได้อยู่ดีน่ะ แล้วตอนสัมภาษณ์ก็ทำไม่ได้ดีเท่าไหร่...

ปรากฏว่า 1 อาทิตย์หลังจากนั้นครับ..อีเมล์ Congratulation มาหาเรย ได้งานจ้าาาา ดีใจมว๊ากกกกกกก แต่แบบ...ชั่งน้ำหนักดูหลายรอบมากๆ ถามคนนั้นคนนี้ สุดท้ายก็ต้องตัดใจ ถึงแม้จะเป็นบริษัทในฝัน แต่ก็นะ ความเป็นจริงมันไม่ให้อ่ะ..เสียจาย..

แต่ค่ะ แต่!!!!!!!!!!

มันยังไม่จบแค่นั้นค่ะ เราเพิ่งได้อีกอีเมล์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว... Invitation ให้ไปสัมภาษณ์เป็น Flight Attendant!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

แต่ครั้งนี้ต้องไปสัมภาษณ์ที่ Houston!!!! ยูำำไนเต็ด จะให้เราบินฟรีไปสัมภาษณ์แต่เราต้องออกค่าโีรงแรมเอง เค้าไม่อนุญาตให้บินไปวันเดียวกับวันที่สัมภาษณ์ หลังจากคุยกับสามีแล้ว และเพื่อนๆยุอย่างแรง (55+) เราก็ตัดสินใจไป อิอิ จะบินวันที่ 24 กันยา นี้้ค่า สัมภาษณ์วันที่ 25

นั่นแหละ เรื่องที่จะมาเล่าวันนี้ สั้นๆตอนท้าย อิอิ พระเจ้าขา ถ้านี่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ ก็ขอให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีนะคะ สู้ๆๆๆ

พระเจ้าอวยพรค่ะ



Create Date : 12 กันยายน 2555
Last Update : 12 กันยายน 2555 6:00:40 น.
Counter : 4278 Pageviews.

4 comment
ไปสัมภาษณ์ ลูกเรือ Cathay SFO Base แบบงงๆ ตกลงเราจะทำงานอะไรดีเนี่ย เฮ้อ
18 OCT 11 [01:00]

ง่าาาาา นั่งพิมพ์มาตั้งแต่เที่ยงคืนครึ่ง กดอะไรไม่รู้ปุ่มเดียวหายหมดเลย เซ็งเป็ดดดดดดดดดดดดดดด T^T


อุตส่าห์รอให้คุณลูกตัวยุ่งเข้านอน เราจะได้มีเวลายาวๆมาอัพบล็อก คุณสามีตัวดีชิงเข้านอนไปก่อนตั้งแต่ 3 ทุ่มกว่าๆ เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า ชิ เราไม่ได้ไปมั่งให้มันรู้ไป ฮึ งอน ไคญ่าก็ไม่รู้วันนี้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน กว่าจะยอมนอนได้ก็เที่ยงคืนไปแล้ว เล่นเอาเราเหนื่อยเลย เฮ้อ..

อย่างที่เกริ่นไปในบล็อกที่แล้ว ใช่ค่ะ เราเพิ่งย้ายมาเมกา เพิ่งลาออกจาก Air Asia มาสดๆร้อนๆ ตอนเดือน กค นี่เอง พอมาถึงนี่ก็ต้องมาเริ่มใหม่ทุกอย่าง สร้างตัวหางานใหม่ ยังดีว่าก่อนมาได้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าคุณสามีจะได้เริ่มงานที่เดียวกับแม่เค้า แต่จนแล้วจนรอด ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์หลังจากกลับจากเยี่ยมน้องสามีที่ Ohio เรื่องก็ยังเงียบ เงินเก็บที่เอามาก็ร่อยหรอเพราะต้องเอาไปซื้อรถมาใช้ รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำวันด้วย เราทนรอเรื่อยๆไม่ไหวละ เลยหว่านเรซูเม่ตัวเองซะเลย กะว่าเอางี้แล้วกัน ใครได้งานก่อนก็ไปทำก่อนเนาะ ให้ได้มีเงินเข้าบ้าง เพราะเราไม่อยากรบกวนแม่สามีมาก เค้าก็ไม่ได้ร่ำได้รวยอะไร ช่วยเราซะมากมายขนาดนี้ เราก็เกรงใจตามประสาคนไทย อิอิ

อันที่จริงจะเรียกว่าหว่านก็ไม่ได้ เพราะส่งไปแค่ 2 ที่เอง แหะๆ อันนึงเป็นของ Gymboree ประมาณครูสันทนาการเด็กอะไรงี้ Requirment ก็ไม่ได้มีไรมาก แค่รักเด็ก เป็นผู้นำ ร้องเพลงเพราะ บลา บลา บลา เราก็คิดว่าเราน่าจะทำได้น่า อุตส่าห์จบปริญญาตรีดนตรีตะวันตกมา (ดูเหมือนจะโหลดวิชาทิ้งไปกับกระเป๋าผู้โดยสารตอนเช็คอินซะแล้ว อิอิ) แถมทำงานเสาร์อาทิตย์ ให้แม่สามีไปส่งก็ได้น่าจะไม่มีปัญหา เราก็ส่งเรซูเม่ไป

ท้าวความเรื่องงานนิดนึง ก่อนหน้าที่จะเดินทางมานี่ เราก็แพลนไว้ว่าอยากจะหางานสายการบินทำที่นี่อีก เพราะมันชอบไปแล้ว แบบว่ารักมากมาย ความรักทำให้คนตาบอด ทำงานก็เยอะได้เงินก็น้อยยังจะอยากทำอีก อิอิ เวิ่นเว้อแระ แหะๆ แต่พอเอาเข้าจริง เมืองที่เราอยู่ Tracy เนี่ย อยู่ห่างจากสนามบินเป็นชั่วโมงๆ ไม่ว่าจะเป็น San Francisco Airport,OAK (Oakland) หรือ San Jose ล้วนแล้วแต่ห่างบ้านเราทั้งน้าน ต้องขับรถกันเป็นชั่วโมงกว่าจะถึง แล้วขอโทษ ชั่วโมงที่ว่านี่ไม่เหมือนบ้านเราที่รถติด แต่ที่นี่ขับเป็นชั่วโมงเพราะระยะทางมันไกลจริงๆ และที่สำคัญไปกว่านั้น อิฮั้นขับรถไม่เป็นฮ่ะ เป็นอันว่า แห้วกิน เราเลยต้องพับโครงการ"อยากทำงานที่สนามบิน" ใส่กระเป๋าล็อคกุญแจไว้เพราะท่าทางจะเป็นไปได้ยากส์ T^T


แต่ค่ะ...แต่ พระเจ้าคงอยากส่งอะไรมาดลใจ หนุนใจ หรือลองใจซักอย่างมั้ง เราเลยไปเห็น Ads ประกาศรับสมัคร Flight Attendant SFO Base ของสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิคใน Craiglist เข้า คุณสมบัติที่เค้าต้องการก็ไม่มีไรมาก เอื้อมแตะ 208 cm, work shift, สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและต้องเป็น Bilingual!!

จริงๆเราเห็นประกาศนี้มาก่อนแล้วแหละในเว็ปของ CX เอง แต่ภาษาที่สองที่เค้าระบุมันไม่มีไทย เราเลยไม่ได้สมัครไป แต่พอใน Craiglist มันขึ้นไทยมาด้วยเราก็แบบว่า เออวะ ไม่มีอะไรต้องเสียนี่นา ส่งๆไปแล้วกัน คือในใจก็ไม่ได้คิดว่าจะได้รับการตอบรับเท่าไหร่ เพราะวันที่ ที่ Ads ลงนั่นมันตั้งแต่วันที่ 9 กันยาแล้ว แต่วันที่เรามาอ่านเจอ มันก็ 1 ตุลาแล้วฮับ ป่านนี้เค้าคงได้คนไปแล้วมั้งเนี่ย แต่ก็ส่งๆไป เพื่อความสบายใจว่าเราได้ทำอะไรบ้าง อิอิ

เช้าวันต่อมาก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เลี้ยงไคญ่า แกล้งสามีไปเรื่อยเปื่อย จนตกบ่ายเราได้มีเวลามานั่งเช็คเมล์แล้วก็เจอว่าใน Inbox เรามีเมล์จากผู้ส่งที่มีชื่อว่า

"SFO Base crew group"

กรี๊ดดดดดด เกิดอะไรขึ้น เอ...หรือมันเป็น Auto Reply หว่า เมื่อวานส่งแล้วก็ไม่ได้เปิดดู ตกลงอะไรน้อ เปิดดูเลยแล้วกัน ก็ปรากฎข้อความว่า

Thank you for your interest in Cathay Pacific Airways. We have tried to contact you at the phone number listed on your resume, however, it says that number is no longer in service. Can you kindly forward an alternate phone number at your earliest convenience. Thank You,

SFO Base Recruitment Team



เย้ยยย รีบหันไปตีหน้ายักษ์ใส่สามีทันที นี่มีโทรศัพท์มาแล้วไม่ได้รับรึป่าวยะ โทรศัพท์เพิ่งได้มาเมื่อวานตกลงมันใช้ได้จริงๆรึปล่าวเนี่ย @#$%^%
(คือเพิ่งได้เปิดเบอร์เมื่อวานก่อนส่งเรซูเม่จริงๆค่ะ เป็นเบอร์ครอบครัวแหะๆ เรากับสามีใช้ร่วมกันไปก่อน ไว้ได้งานทำแล้วค่อยเปิดอีกเบอร์ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีตังค์จ่ายรายเดือน อิอิ)

แว้ดไปนิดนึง ก็แอบเอะใจ เอ....หรือเราเองหว่า เบอร์มันไม่คุ้น ใส่ผิดไปในเรซูเม่มั้ยเนี่ย!!! ว่าแล้วก็กลับไปเปิดดู แม่เจ้า!!! จริงๆด้วย เลขสลับที่กันตัวเดียวเอง ประมาณว่า 345 เป็น 435 อะไรงี้ เย้ยย ความผิดเรานี่นา ขอโต้ดค่ะ คุณสามี เผลอแว้ดไปนิด ว่าแล้วก็จัดแจงตอบอีเมล์เค้าไปใหม่ ขอโทษที่ให้เบอร์ผิดไป ซักพักไม่ถึงชั่วโมง ก็ได้รับโทรศัพท์จาก CX

ให้เราเลือกวันสัมภาษณ์จะเอาวันไหน มี 4,5,6 ตุลา เราก็บ้าจี้เลือกวันที่ 4 ซึ่งก็คือวันรุ่งขึ้น จากนั้นทาง CX ก็อีเมล์สถานที่มาให้เราพร้อมกับ link ศึกษาเกี่ยวกับชีวิต F/A ของ CX ปรากฎว่าโรงแรมที่เราจะสัมภาษณ์อยู่ที่ Burlingame ซึ่งคุณแม่สามีไปทำงานที่นั่นอาทิตย์นี้พอดี๊ พอดี ว่าแล้วเลยเก็บข้าวเก็บของ คุณสามีก็ย่างไก่ แล้วแพ็คไปกิน ไปนอนค้างกันที่โรงแรมที่แม่สามีพักอยู่เลย เพราะใกล้กว่าขับรถจาก Tracy ไปนู่นเยอะ ไม่งั้นต้องตาลีตาเหลือกไปแต่เช้า จะหน้าโทรมปล่าวๆ

ตอนไปแพ็คเสื้อผ้าก็แบบว่า เฮ้อ เหลือหลาย สูทที่พกมาด้วยก็หลวมโพรกซะแล้วเพราะเราผอมลงตั้งแต่มาที่นี่ (จาก 54 kg เหลือ 49 kg ผอมกว่าตอนก่อนท้องอีก) รองเท้าก็ไม่มีใส่ ไม่ได้เอาคัทชูมา เลยไปหยิบของแม่สามีติดมาด้วยเผื่อใช้ได้ พอไปถึงโรงแรมก็ลองชุดกันก่อน อันไหนดี เสื้อกับกระโปรง หรือว่าจะใส่สูทดี ช่วยกันเลือก สุดท้ายก็จบที่สูทเพราะดู Professional กว่า มาถึงรองเท้า ปรากฎว่าไม่ผ่านฮ่ะ เพราะเท้าคุณแม่สามีเบอร์ 9 ของเราใส่เบอร์ 7ครึ่ง พอใส่เบอร์ 9 แล้วเราเดินไม่ได้เลย ขนาดยัดกระดาษทิชชู่ไปแล้วนะเนี่ย ยังเดินไม่ได้อยู่ดี แถมเสียบุคลิกอีก สุดท้ายคุณสามีเลยตัดใจซื้อรองเท้าใหม่ให้เราโดยเฉพาะเลย ขอบคุณมากก๊าบบ จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามั้ยเนี่ย! เงินยิ่งไม่ค่อยมีอยู่

เช้าวันต่อมาก็ออกจากบ้าน เอ้ย โรงแรมประมาณ 10 โมงได้ ไปหาซื้อรองเท้าที่ Payless Shoes store แล้วก็ไปหาอะไรกินกัน พอได้เวลา บ่ายโมงตามนัดเราก็เข้าไป ก่อนเดินเข้าไปเรานึกในใจว่า "SFO BASE" คงต้องมีพวกฝรั่งเยอะแน่ๆเลย ที่ไหนได้พอเดินเข้าแล้วแบบว่า ....เจี๊ยกกกก...ทำไมมีแต่ตาตี่ๆผิวขาวๆผมดำๆทั้งนั้นเลยอ่ะเนี่ย????

ทุกคนกำลังจับกลุ่มเม้าท์มอยกันอย่างสนุกสนาน แต่ว่าการแต่งตัวของคนที่นี่ไม่ได้เนี๊ยบเหมือนบ้านเราเวลาสมัครแอร์กันนะ บางคนปล่อยผมมาก็มี บางคนดูรู้เลยว่าไม่ได้เซทผมแต่อย่างใด มัดมาลวกๆ เราก็ได้เพื่อนใหม่มาคนนึง เป็นคนฮ่องกงชื่อ SUL นั่งข้างๆกัน คุยไปคุยมาถึงรู้ว่าแต่งงานแล้วเหมือนกันด้วย อิอิ

วันนี้มีลูกเรือใส่ Uniform มาช่วยทั้งหมด 3 คน (หมวยทุกคนคร่ะ!) แล้วก็มีกรรมการอีกประมาณ 3 ท่าน พอถึงเวลาเค้าก็พาทุกคนเข้าห้อง แล้วเปิด DVD เกี่ยวกับชีวิตการทำงาน การเทรนของลูกเรือ CX ให้ดูกัน ลูกเรือ SFO Base นี่จะทำงานแค่ route เดียวคือ SFO-HKG-SFO แค่นี้ค่ะ ไม่มีไปที่อื่น จะบินออกจาก SFO ไปค้างที่ฮ่องกงประมาณ 2 คืนแล้วก็บินกลับ หยุดสองวันแล้วไปบินใหม่แบบเนี้ย ซึ่งเราชอบมาก เพราะกำหนดเวลาได้ง่ายกว่า และไม่ต้องคอย Relocate ไปที่นู่นที่นี่ จากตอนแรกที่คิดว่าไม่เป็นไร ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็เฉยๆ เพราะเราประมาณว่าตัดใจไปแล้วเรื่องทำงานสายการบินเพราะมันไกลบ้าน โดยเฉพาะลูกเรือนี่อย่าหวังเพราะเรามีครอบครัวแล้ว และเราก็อยากให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่า ไอ่สาวน้อยหมวกแดง (Emirates Airline) ที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นก็ต้องล้มเลิกโครงการไปโดยปริยาย แต่พอมาเจอตารางบินแบบนี้แล้วมันค่อนข้างโอเค ทำให้เราชักอยากได้งานขึ้นมาตะหงิดๆ อิอิ

ที่สำคัญที่นี่เค้าไม่ได้เกี่ยงว่าโสดหรือแต่งงาน ลูกเรือที่มาวันนี้ก็มีแต่งงานแล้วด้วย เพราะเค้าถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบส่วนตัว หากคุณอยากจะทำงานคุณต้องจัดการเอาเอง ทางบริษัทไม่มีหน้าที่ไปตัดสินคุณว่าจะทำงานแย่กว่าคนโสด ไม่เหมือนสายการบินบ้านเรา ต้องโสด ไม่เคยจดทะเบียนสมรส ไม่เคยแต่งงานและไม่เคยมีลูกมาก่อน!!! ป๊าดดดด มันจะอะไรกันนักหนา นี่ขนาดกราวด์เฉยๆนะเนี่ย เกินไปละ เกลียดมานนนน (ข้อมูลอ้างอิงจากสายการบินแห่งชาติ)

หลังจากดู DVD จบแล้วเค้าก็แบ่งเป็นสามกลุ่ม ไปทำ Group Discussion,Language Test แล้วก็เอื้อมแตะ เราเจอคนไทยหนึ่งคน มารู้ว่าเค้าเป็นคนไทยก็ตอนทดสอบภาษาที่สองนี่แหละ เพราะได้ยินเค้าพูดภาษาไทย เธอเปรี้ยวจี๊ดมากก กระโปรงสั้นติ๊ดเดียวเองอ่ะ อิอิ ส่วนการทดสอบก็ไม่มีไรมาก แค่อ่าน passage ในภาษานั้นๆก็เท่านั้นเอง ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่พูดจีนอ่ะค่ะ ของเราเนื่องด้วยว่าไม่มีลูกเรือไทยมาด้วยในวันนี้เค้าเลยอัดเทปเสียงเราพูดไปให้ลูกเรือไทยฟังค่ะ

จากนั้นก็เอื้อมแตะ ที่นี่เอาแค่ 208 cm เอง เราก็ผ่านฉลุย นิ้วมือเลยเส้นไปเกือบครึ่งมือ จากนั้นก็เข้าไปทำ Group Discussion เป็นอย่างสุดท้าย ซึ่งอันนี้แหละที่เป็นจุดอ่อนของเราเลย เพราะคราวที่แล้วก็ตกรอบ EK เพราะ Group Discussion นี่แหละ เราเลยยังแหยงๆอยู่อ่ะ เริ่มโดยการให้เราแต่ละคนแนะนำตัว พร้อมทั้งบอกเหตุผลว่าทำไมถึงอยากเป็น F/A มีเจ๊ญี่ปุ่นคนนึงชีพูดภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น (ฟังยากมากก) และแต่งงานแล้ว แทนที่จะให้เหตุผลดีๆเรื่องนี้ เธอกลับไปพูดเรื่องสามี เธอบอกว่าเธอเป็นคนญี่ปุ่น สามีเป็น white American พูดภาษาญี่ปุ่นได้นิดหน่อย (จะบอกทำไมเนี่ย ไม่เกี่ยวกะงานเลยเจ้) แล้วเธอก็ว่าที่อยากเป็น F/A เพราะเธอไม่รู้จะทำงานอะไรดี ที่ไม่ได้เริ่มสมัครงานซะทีทั้งๆที่อยู่เมกามานานแล้วก็เพราะมีปัญหาเรื่องบัตรเขียว (เอ๊า ไปบอกเค้าอีก) พอดีเห็นประกาศของที่นี่เลยสมัคร มันเป็น Dream Job ของชั้นเลยนะ (อ้าว เมื่อกี๊บอกไม่รู้จะทำไร) สุดท้ายไม่รู้ท่าไหนเธอจบว่าจะทำซุปมิโสะให้ทานฟรีๆ เอ่อ...เรา งง อิอิ

ก็พูดกันมาเรื่อยๆ มีเจ๊คนนึงเราแบบ ไม่ใช่หงุดหงิดนะ แต่ว่า เจ๊จะย้ำทำไม รู้แล้วว่าทำการบ้านมาดี แต่ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ คือ CX จะมีคำสโลแกนสำหรับการทำงานว่า "straight from the heart" ชีคนนี้ก็พูดอยู่นั่นแหละ พูดหลายรอบมากกกก คือ เจ๊ ทำการบ้านมาน่ะมันก็ดี แต่ไม่ต้องพูดบ่อยก็ได้ พอมาถึงตาเรา เราก็พูดประสบการณ์ไป แถมเล่าเรื่องตอนเสื้อเหลืองปิดสนามบินแถมไปหน่อย เพื่อแสดงสปิริตว่าเราทำเพื่อ Pax จริง อิอิ แต่สงสัยออกแอ็คชั่นมากไปหน่อย เลยโดนโหวตออก ไม่มีโทรมาตามให้ไปรอบสอง อิอิ ถ้าไม่เพราะต้องการคนพูดจีนมากกว่า ก็คงเพราะหน้าเราไม่หมวยหรือเราออกแอ็คชั่นมากเกินไปนี่ล่ะ ฮี่ๆ

หลังจากแนะนำตัวเสร็จก็ให้อภิปรายเรื่องคุณสมบัติ 3 ข้อ ที่จะพิจารณาในการให้รางวัล "The best Employee" เราเองก็จดไปฟังไปออกความเห็นไป เราเห็นว่าเรื่อง Well-grooming เป็นสิ่งสำคัญนะ เสนอไป แต่ไม่มีใครสนใจเค้าเลยอ่ะ T^T สุดท้ายก็จบที่ว่าต้องมี Team-work,Responsibility,Efficiency แน่นอนว่าเจ๊คนนั้นก็พยายามพูดคำว่า "Striaght from The Heart" อีกแล้วในตอนอภิปราย พอเหอะเจ้ พยายามเกิ๊นนน

แล้วสุดท้ายทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ไปรอคอลโทรมาให้ไปรอบสอง แต่ก็อย่างที่บอกแล้ว เราไม่ได้คอล อิอิ ไม่รู้เหมือนกันว่าผิดพลาดตรงไหน จุดอ่อนของเรายังคงเป็น Group Discussion เหมือนเดิม เฮ้อ แต่คิดว่าครั้งนี้ทำได้ดีกว่าคราวที่แล้วอยู่นา


ตอนนี้เลยไม่รู้ว่าจะทำไรกับชีวิตต่อดี ที่มองๆไว้ที่น่าจะเป็นไปได้ หลังจากศึกษาข้อมูลมาพักใหญ่ๆ คือการไปเรืยนเป็น CNA (Certified Nursing Assistant) ที่รายได้ค่อนข้างจะโอเค ถ้าจะทำงานในเมืองเล็กๆที่เราอยู่นะ เราจะกลับไปทำงานสนามบินได้ก็ต่อเมื่อเราย้ายไปอยู่ใกล้ๆสนามบินแค่นั้นแหละ

เพราะตอนแรกที่ตัดใจจากงานสายการบิน ก็มอง CNA เป็นอันดับแรก แต่ไม่รู้ทำม๊ายยยย พระเจ้าอนุญาตให้เกิดการสัมภาษณ์ครั้งนี้ขึ้นนะ ทั้งๆที่เราส่งเรซูเม่ช้ามากกกก อ้อ ลืมบอก กรรมการบอกว่าเรซูเม่ทั้งหมดมี 1400 ฉบับ เค้าคัดมารอบนี้แค่ 270 ซึ่งก็หมายถึงว่าเราเป็นหนึ่งในนั้น! ทั้งๆที่เราส่งไปแบบว่าวินาทีสุดท้ายขนาดนั้น คือเราทำใจได้ระดับนึงไปแล้วว่าคงไม่ได้ทำงานที่รักนี้อีก แต่แล้วพอได้มาสัมภาษณ์เราก็เกิดอยากทำงานนี้ขึ้นมาอีกแล้วอ่ะ เฮ้อ แย่จัง

แต่ CNA ก็เป็นงานบริการเหมือนกัน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำได้มั้ย เราไม่ได้กลัวเลือดหรืออะไร แต่แบบว่า.... ถ้าต้องไปเช็ดอึ๊ เช็ดก้นให้ผู้ใหญ่ เราจะทนได้มั้ยล่ะ ทำให้ลูก ให้เด็กคนอื่นน่ะได้ แต่แบบนี้ เอ่อ....เราไม่แน่ใจเลยอ่ะ เราไม่อยากจะทำงานด้วยความจำทนอีก เพราะมันทรมาน เฮ้อ...อุตส่าห์ค้นจนเจอว่าตัวเองชอบอะไรแล้วแท้ๆ มาตอนนี้กลับทำงานนั้นไม่ได้ซะอีก

สรุปว่าเอาไงดีน้อ???



Create Date : 18 ตุลาคม 2554
Last Update : 19 ตุลาคม 2554 1:36:03 น.
Counter : 7780 Pageviews.

21 comment
เมื่อใครๆก็บินได้ "ใครๆ"ที่ว่าเลยเป็นแบบนี้......
12 OCT 11 [21:32]


วันนี้สามีไปทำงานวันแรก (กะกลางคืน) + เจ้าตัวยุ่งเข้านอนไปแล้ว (หวังว่าคงนอนยาวๆซักทีน้า) เลยมีเวลามานั่งอัพเดทบล็อก หลังจากคิดอยู่นานประมาณ 5 นาที (นานมากก) ว่าจะเลือกอัพกรุ๊ปไหนดี เลยมาจบลงที่กรุ๊ปนี้เพราะติดไว้ว่าจะมาอัพให้ตั้งนานแล้วต่อจากคราวที่แล้ว อิอิ


สถานการณ์ตอนนี้ อิฮั้นว่างงานฮ่ะ อย่างที่บอกว่าเพิ่งย้ายมาอยู่ต่างแดน แถมต้องมาเริ่มตั้งตัวใหม่ที่นี่ เราคนใดคนหนึ่งเลยต้องทำงาน อีกคนอยู่บ้านเลี้ยงลูกไปก่อน เพราะค่า Day Care ที่นี่แพง เราเลยต้องกลายเป็นแม่บ๊าน แม่บ้านไปโดยปริยาย ไว้ตั้งตัวได้เมื่อไหร่ค่อยออกไปหางานทำ แหะๆ

กลับมาที่เรื่องที่จะอัพคราวนี้ จากคราวที่แล้วบอกว่าเพิ่งผ่านการสัมภาษณ์งานกับ Air Asia ตำแหน่ง Ticket Sales Agent ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน และได้รับการขู่ไว้ว่า "ทำเซลล์ที่เคาท์เตอร์น่ะ ทำงานเป็นเวลาก็จริงแต่เรื่องเยอะกว่า Check-in เยอะเลยนะ"

บ๊ะ! มันจะเยอะซักแค่ไหนเชียว อิฮั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้ประมาณ 2 ปี เจอผู้โดย งงๆ นิสัยแย่มาก็เยอะ แค่นี้บ่ยั่นหรอกค่ะ อิอิ ด้วยความที่เราเป็นคนมีความอดทนสูงกว่าชาวบ้านนิดหน่อย ใจเย็นกว่าคนอื่นนิดนึง เราน่าจะรับไหวน่า มันคงไม่ขนาดนั้นหรอก......


นั่นเป็น คหสต ล้วนๆ โดยที่ยังไม่ได้ผ่านการทำงานกับ Air Asia ค่ะ !!!!!!
แต่พอมาเจอเข้าจริงแทบปรี๊ดแตกไปซะหลายที ดีว่าฝึกการทำหน้านิ่ง ไร้ความรู้สึกและการปั้นหน้าฝืนยิ้ม มาได้พักใหญ่ จากการทำงานบริษัทที่แล้ว เราเลยได้ใช้ความสามารถนั้นมาประยุกต์กับงานนี้ได้อย่างดี เป็นยังไงอ่ะหรอคะ ใจเย็นๆ น่า หยิบขนมปังมานั่งอ่านพร้อมจิบกาแฟไปด้วยมะ อิอิ


อย่างที่ทุกท่านทราบ Air Asia เป็น สายการบินต้นทุนต่ำ หรือที่ Low Cost Airline ดังนั้นอะไรที่เรียกว่าเป็น Option เสริมได้ เค้าตัดค่าใช้จ่ายตรงนี้ทิ้งหมด เงื่อนไขเลยจะเยอะ แต่นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงสามารถขายตั๋วราคาถูกได้ ดังนั้นถ้าคุณบินแต่ตัวพร้อมกระเป๋าขึ้นเครื่องหนักไม่เกิน 7 kg 1 ใบ แถมจองตั๋วล่วงหน้ามาประมาณชาติกว่า เดินทางตรงเวลา เช็คอินก่อนล่วงหน้าอย่างน้อยสองชั่วโมง ไปถึงเกทพอดิบพอดี คุณจะได้บินในราคาที่คุ้มค่าสบายกระเป๋า แต่อย่าได้มีปัญหาขึ้นมานะ เพราะค่าใช้จ่ายจะตามมาจุกจิกเยอะแยะเลยอ่ะ


เราก็พูดในฐานะคนเป็น Sales นะคะ ยอมรับว่าเงื่อนไขเยอะจริง แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ ในการวางแผนการเดินทางแต่ละครั้ง ผู้โดยสารย่อมต้องมีหน้าที่ในการหาข้อมูล และวางแผนการเดินทางก่อนทุกครั้ง เพื่อความสะดวกและปลอดภัยของตัวคุณเอง อย่างนึงที่เราว่ามันเกินไปคือค่ากระเป๋าและค่าชาร์จน้ำหนักเกิน เกินไปจริงๆ และต้องขอบอกว่าพนักงานที่ทำงานอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นด้วย ที่ขึ้นราคามาเป็นแพงมหาโหดแบบนั้น

แต่อยากให้เข้าใจว่า คนกำหนดไม่ใช่คนไทยเรานะคะ อิเจ๊ ชื่ออะไรซักอย่างที่อยู่มาเลย์เป็นคนกำหนด และชื่ออิเจ๊คนเนี๊ยแหละ เป็นกล่าวขานเลื่องลือและเกลียดชังของพนักงาน BKK Station เช่นกัน เพราะออกกฎอะไรออกมาแต่ละทีนี่ แต่ละคนเบือนหน้าหนี พร้อมกับบ่นดังๆว่า "โดนผู้โดยสารด่าเละแน่กรู" ขอให้เห็นใจพนักงานด้วยนะคะ เราก็ต้องทำตามหน้าทีอ่ะ

กลับมาที่เรื่องของ "ใครๆ" ที่เกริ่นไว้ เหอะ เหอะ...
ทำงานสายการบินมาก็หลายสาย ไม่เคยนึกว่าฝันว่าจะมาเจออะไรแบบนี้เล๊ยยย มาทั้งมึนๆ งงๆ และไม่สุภาพ เริ่มจากไหนก่อนดีล่ะ เอาพี่ไทยก่อนดีกว่า เพราะเจอบ่อยสุด

FD เป็นโลว์คอสค่ะ ดังนั้นคนที่ไม่เคยขึ้นเครื่องก็จะได้ขึ้นคราวนี้ ผู้โดยสารหลายคนทำให้เราขำ บางคนทำเราน้ำตาซึม บางคนทำให้เราโกรธจัด เฮ้อมากมาย มาที่เคสแรกดีกว่าค่ะ


1. ไม่รอหรอน้อง (ผู้โดยแบบ งงๆ)

วันนั้นเรานั่งเคาท์เตอร์เก็บเงินค่ากระเป๋าเกินอยู่ที่ E23-24 เวลาประมาณ 8.15 น. ก็มี ผดส ชาย คนหนึ่งเดินมาหาเราแล้วมาถามว่า เครื่องที่จะไปหาดใหญ่ออกไปรึยังครับ? (สมมติว่าหาดใหญ่นะคะ จำไม่ได้จริงๆว่าไฟลท์ไหน) เราก็มองนาฬิกา แล้วบอกว่า "เครื่องออกไปตั้งแต่ 7.15 แล้วค่ะ" แล้วเค้าก็ขอบคุณแล้วเดินไป เราก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ นึกว่าคนมาส่งเพื่อน

พอซักประมาณ 9 โมง เราย้ายกลับไปนั่งที่เคาท์เตอร์เซลล์ แล้ว พอเรียกคิวมาก็เจอพี่คนนี้อีก ปรากฎว่าทางเคาท์เตอร์ส่งมาจ่ายค่าเปลี่ยนไฟลท์+ Diff fare (ใครที่เคยบินจะรู้เนาะว่าไฟลท์ FD จะมีกฎว่าเปลี่ยนไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ถ้ามาขอ ทาง Supervisor ก็จะยอมให้เปลี่ยนตลอดแหละค่ะ ถือว่าช่วยผู้โดยสาร)

ระหว่างรอทำตั๋วก็บ่นกับเรา
ผดส : "เนี่ยทำไมเค้าไม่รออ่ะน้อง ปกติเค้าก็รอไม่ใช่หรอ พี่มาช้าไปนิดเดียวเองนะ"
เรา : "เอ่อ...พี่คะ เครื่องเราออกตรงเวลา 7.15 พี่มาตอน 8 โมงนะคะ"
ผดส : "ก็นั่นแหละน้อง ปกติเค้าก็รอไม่ใช่หรอ????"
เรา : "(ยิ้มสยาม)....." พร้อมกับนั่งทำตั๋วต่อไป
: (ในใจ) พี่คะ พี่มาสายตั้งชั่วโมงนึง แมวที่ไหนจะรอล่ะคะ ขนาดรถเมล์หนูว่าเค้ายังไม่รอเลย ไม่ใช่เครื่องบินส่วนตัวเพื่อนพี่นะจะได้รออ่ะ เง้อออ


2. ผู้โดยขาวีน

แบบที่ 2 นี่เจอบ่อยมากกกกกก โดยเฉพาะคนไทย เพราะเรื่องมาสายนี่เป็นกิจวัตร ทำอะไรไม่รอบคอบแล้วโทษคนอื่นนี่ก็เยอะ ไปอ่านกันเลยค่ะ


วันนั้นนั่งเคาท์เตอร์เซลล์ ทางCheck-in บอกมาแล้วว่าเดี๋ยวจะส่งคนมาเปลี่ยนตั๋วไฟลท์สิงคโปร์นะ เราก็รับทราบ อาจจะไม่เข้าที่เราก็ได้ แต่พอเรียกคิวมา คุณเธอมาเจ๊อะกะเราพอดี งานเข้า มาถึงก็เหวี่ยงก่อนเลย

ผดส : "เค้าให้มาเปลี่ยนตั๋วอ่ะ แค่นี้ก็ไม่ยอมให้เช็คอิน แย่มาก แย่ที่สุด"

เรา : แอบดูข้อมูล อ๊ะ เจ๊นี่เกิดปีเดียวกับเรา อายุเท่ากันนี่หว่า ก็อธิบายไป "ไม่ใช่เราไม่ยอมเช็คอินให้นะคะ แต่คุณมาถึงเคาท์เตอร์ตอน 6.40 ไฟลท์เราออกตอน 7 โมง เช็คอินต่างประเทศปิดก่อนเวลาเครื่องออก 45 นาที ก็ปิดไปตั้งแต่ 6.15 แล้วค่ะ ถึงเช็คให้คุณตอนนี้ยังไงคุณก็ไปไม่ทัน เพราะว่าตอนเช้า ตม คิวยาวมากเลยนะคะ ต้องขอโทษด้วยค่ะ" (ชีมาที่เคาท์เตอร์เราตอน 6.45 ค่ะ) "ค่าเปลี่ยนไฟลท์ไปไฟลท์ถัดไป+ค่าส่วนต่างทั้งหมด xxxx บาทค่ะ แพงหน่อยนะคะ เพราะไฟลท์เต็ม"

ผดส : "โห ทำไมแพงอย่างนี้ล่ะ เปลี่ยนฟรีไม่ได้หรอ แล้วมีอย่างที่ไหนไม่เช็คอินให้ ที่ไหนเค้าก็เช็คอินให้ทั้งนั้นแหละ แม่ง บินมาตั้งหลายทีแล้ว มาสายเค้าก็ให้ทั้งแหละ แม่ง แย่ที่สุด "

เรา : (ในใจ: พูดจาไม่สุภาพนะเธอ เราอุตส่าห์พูดดีๆ ตัวเองมาสายแล้วยังมาโทษคนอื่น สายการบินไหนยอมเช็คอินให้เธอไม่ทราบยะ ไฟลท์ ตปท ส่วนใหญ่ปิดเคาท์เตอร์ 1 ชั่วโมงก่อนเครื่องออกด้วยซ้ำ อย่ามามั่วนิ่ม อย่ามาวีน ชั้นทำงานมาหลายสายการบินแล้ว ไม่มีที่ไหนเค้าให้เธอไปหรอกย่ะ)
(ความเป็นจริง) " ต้องขอโทษด้วยนะคะ เราลดให้ไม่ได้จริงๆ ปกติเราไม่ได้ให้เปลี่ยนไฟลท์นะคะ แต่กรณีนี้ทาง Supervisor อนุโลมให้คุณทำได้ เราช่วยได้แค่นี้จริงๆค่ะ" ยังปั้นหน้ายิ้มกลับไป

ผดส : "แม่ง แย่ แม่งเอาเปรียบ คอยดูนะ จะไปโพสท์ลงอินเตอร์เนตให้ทั่วเลย แม่งแค่นี้ก็ไม่ยอมเช็คอินให้ แม่ง ฯลฯ

เรา :

แล้วชีก็เดินจากไป แต่สุดท้ายเราก็เห็นเธอกลับมาเปลี่ยนไฟลท์กับคนอื่นอยู่ดี สรุปแล้วพูด "แม่ง" ไปหลายสิบคำระหว่างพูดกับเรา นี่เธอพูดจาให้มันดีๆได้มั้ยเนี่ย คนแบบนี้ไม่น่าช่วยเลยเนอะ

อีกเคสนึงเกิดตอนเรานั่งเก็บเงินค่ากระเป๋า เธอคนนี้เดินเข้ามาวางใบเสร็จปึง! พร้อมกับพูดว่า "มาเสียค่าโง่ค่ะ" (อะไรฟะ คนนะไม่ใช่กระโถนจะได้มาระบายอารมณ์ใส่กันน่ะ เราก็นั่งทำงานของเราดีๆนา)

เราก็แจ้งราคาไปพร้อมกับบอกว่า คราวหลังเสียค่าน้ำหนักตั้งแต่ตอนจองตั๋วดีกว่าค่ะ หรือย่างน้อยซื้อน้ำหนักกระเป๋าล่วงหน้าอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนเครื่องออกนะคะ จะได้ไม่ต้องเสียแพง

คุณเธอตอบกลับมาว่า "ขอบคุณค่ะที่บอก วันหลังจะได้ไม่โง่ขึ้นสายการบินนี้อีก" อ้าว เป็นงั้นไป บอกดีๆ ทำไมต้องใช้อารมณ์ล่ะเจ้

ผดส ดีๆก็มีเยอะค่ะ บางคนที่ไม่รู้จริงๆ มาจ่ายค่าน้ำหนักเค้าก็ถามเราว่าทำไมต้องเก็บ เราก็บอกไป เค้าก็อ๋อ โอเค มันมีค่าใช้จ่ายตัวนี้นะ งั้นขากลับจ่ายล่วงหน้าเลยได้มั้ย จะได้เสียน้อยหน่อย เราก็แนะนำทุกครั้งถ้าเห็นใครไม่มีกระเป๋าก็ถามตลอด ว่าแน่ใจนะคะว่าไม่มีกระเป๋า ไปจ่ายหน้าเคาท์เตอร์ที่สนามบินมันแพงกว่าเกือบเท่าตัวเลยนะคะ คิดดีๆก่อนนะ

เวลาผดส มาซื้อตั๋วที่เคาท์เตอร์เราก็บอกให้เอากระเป๋าไปชั่งก่อนทุกครั้ง เสียเวลานิดหน่อย ดีกว่าเสียเงินหลายเท่าตัวนะคะ

ก่อนเดินทางรบกวนศึกษาเงื่อนไขต่างๆให้ดีเถอะค่ะ จะได้ไม่มาหงุดหงิดภายหลังอ่ะ

3. ผู้โดยเรื่องเยอะ

อันนี้มีประมาณ 3 เคสหลักๆที่จำได้ เรื่องเยอะจริงๆอ่ะ

อันแรกเป็นของป้ามืด ขอเรียกป้ามืดเพราะแกมืดจริงๆ เป็นฝรั่งผิวดำตัวใหญ่ๆ วันนั้นเรานั่งเคาท์เตอร์เก็บเงินค่ากระเป๋า จู่ๆก็ได้ยินเสียงคนโวยวายที่หน้าเคาท์เตอร์ เราก็หันไปดู ปรากฎว่าเป็นป้ามืดกำลังโวยวายพร้อมกับทุบตีพี่คนขับแท็กซี่อยู่ สอบถามเพื่อนๆก็ได้ความว่า เกิดการเข้าใจผิดกัน พี่ Taxi พาป้าไปดอนเมือง พอไปถึง รู้ว่าผิดที่ แกก็รีบบึ่งมาที่สุวรรณภูมิทันที พร้อมลงจากรถมาช่วยขอร้องเจ้าหน้าที่ที่เคาท์เตอร์ว่าเป็นความผิดแกเอง ช่วยป้าหน่อยนะ ช่วยเช็คอินให้ป้าอีกคน

ปรากฎว่ายังดีที่เคาท์เตอร์เพิ่งปิดไปเมื่อประมาณ 2 นาที ที่แล้ว เลยยังเช็คอินได้อยู่ แถมมันเป็นไฟลท์ในประเทศ ไม่ต้องผ่าน ตม ให้วุ่นวาย ป้ายังวิ่งไปเกทได้ เราว่าพี่ Taxi แกก็มีความรับผิดชอบดีออก อุตส่าห์จอดรถลงมาช่วยป้าเชียวนะ ยังไปทุบตีเค้าอยู่ได้ ไหนๆก็ยังทันน่า ป้า เอาเหอะ

ปรากฎว่านอกจากมาช้า กระเป๋ายังน้ำหนักเกิน ป้าก็มาจ่ายตังค์กับเรา ทำหน้าสะอึกสะอื้น จ่ายเสร็จเราก็บอกว่ารีบไปเลยนะคะ เดี๋ยวไปไม่ทันเครื่องนะป้า แกก็พยักหน้าหงึกๆ แล้วก็เดินไปคนละทางกับที่จะไปเกท อย่างต้วมเตี้ยมๆ เราก็อ้าว ไปไหนฟะ สงสัยไปห้องน้ำอย่างรวดเร็วละมั้ง โอเค ขอให้ไปทันเป็นพอ

เวลาผ่านไป เรากลับมานั่งที่เคาท์เตอร์เซลล์ หันไปมองเคาท์เตอร์ข้างๆ อ้าววววว ป้ามืด!!! ป้ามาทำไมที่นี่ล่ะเนี่ย ป้าต้องบินไปแล้วไม่ใช่เรอะ?????

ถามไปถามว่าได้ความว่า หลังจากเช็คอินเสร็จแล้ว ป้ายังไม่สาแก่ใจค่ะ....ป้าไปแจ้งตำรวจค่ะ จะเอาเรื่องพี่ Taxi !! แน่นอนว่าป้าเลยตกเครื่องไปตามระเบียบ...ป้าคะ สุดท้ายต้องมานั่งเสียค่าเปลี่ยนไฟท์เนี่ย คุ้มมั้ยล่ะคะ ป้าเอ๊ย เวิ่นเว้อที่สุด!!

เคสที่สอง เรานั่งเซลล์ตอนกลางคืนเกือบปิดเคาท์เตอร์อยู่แล้ว ก็มี ผดส กลุ่มใหญ่เข้ามา ไม่ได้จะซื้อตั๋วหรืออะไรแต่จะมาคอมเพลน นำทีมโดยผู้ชายคนอินเดีย สำเนียงอเมริกันมาก จริงๆไม่ได้เข้าเคาท์เตอร์เราหรอก เข้าที่พี่อีกคน แต่เค้าเห็นละว่าท่าทางจะพูดยาวเรื่องเยอะ เลยโบ้ยมาให้เรา แล้วเค้ารับคนอื่นต่อ งานเข้าเลยคับพี่น้อง เค้าก็ร่ายเป็นชุดเลยคร๊าบบบ ภาษาอังกฤษมารัวๆเลย ดีนะว่าสำเนียงอเมริกัน เราเลยเข้าใจได้เกือบหมด ถ้ามาเป็นสำเนียงอินเดียนีมีหวังแย่แน่ๆ
เริ่มตั้งแต่ตอนเช็คอินยันไปเกท เค้าบอกว่าเค้าไม่ได้รับความประทับใจเลย แถมคนที่เกทยังพูดจาไม่ดีใส่กลุ่มเค้าอีก

- เค้าบอกว่าตอนเช็คอิน คนเช็คอินก็ให้เค้าเอาของจากกระเป๋าใบนู้นมาใส่ใบนี้ เพราะน้ำหนักกระเป๋าใบนั้นมันเกิน ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยาก ในเมื่อเอาไปรวมบนเครื่องน้ำหนักมันก็เท่ากันน่ะแหละ! เบ๊อะ...ข้อนี้ขี้เกียจอธิบายสุดๆ พ่อคู๊ณณ เค้ามีจำกัดน้ำหนักกระเป๋าไม่ให้เกินเท่านั้นเท่านี้ ทำไมไม่ทำตาม มันก็ดีกว่าโดนปรับเงินไม่ใช่รึไง เค้าช่วยนะนั่นน่ะ

- เค้าเสียเวลาที่เคาท์เตอร์ทำให้ไปถึงเกทช้า พอไปถึงเกท เจ้าหน้าที่ก็ดันมาพูดจาไม่ดีใส่ (กรุ๊ปเค้ามี 9 คน เป็นฝรั่งหลายคน มีคนไทยในนั้นด้วย ส่วนเค้าเป็นอินเดียคนเดียว) เป็นภาษาไทย เพื่อนที่เป็นคนไทยแปลให้ฟังว่า "should I make these nine people miss the flight?"

อันนี้เราคิดว่าคนที่เกทคงพูดประมาณว่า "เดี๋ยวก็ให้ตกเครื่องซะหรอก มาช้าขนาดนี้" ประมาณนี้อะค่ะ ด้วยอารมณ์ที่น่าจะมาช้า ประตูเครื่องเกือบปิดแล้วอะไรประมาณนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดหรอก ถ้า ผดส คนอื่นยังนั่งอยู่เต็มเกท แต่เราว่ายังไงก็ไม่ควรพูดอยู่ดีแหละค่ะ เราก็ขอโทษแทนเค้าไป

ยังไม่จบเด้อ....

พอขึ้นไปบนเครื่อง เค้าก็บอกว่าเพื่อนฝรั่งเค้าตรงไปนั่งที่ Hot seat ทันที ส่วนตัวเค้ายังไม่กล้า (มั้ง) เค้าเลยไปนั่งที่ตัวเองก่อน ทีนี้พอเครื่องขึ้นแล้วเค้าเลยจะเดินนั่ง Hot seat กับเพื่อนฝรั่ง ปรากฎว่าเจอคุณแอร์มาเชิญ บอกให้กลับไปนั่งที่เดิม พ่อคุณเลยโวยใส่เราเลยทีนี้ว่า ทำไมเพื่อนเค้าไม่โดน เพราะเค้าเป็นคนอินเดียใช่มั้ย เราเลยเลือกปฏิบัติกับเค้าแบบนี้ ทำไมไม่ไปว่าเพื่อนฝรั่งเค้าเลยล่ะ นี่มันเป็นการเหยียดสัญชาตินะ!!!!

เอ่อ....ไปนู่น เราคิดว่ากรณีนี้ แอร์คงคิดไปว่าเพื่อนฝรั่งเค้าก็นั่งที่ตัวเองนั่นแหละ แต่เค้าจะเปลี่ยนมานั่งทีหลัง เราว่าเค้าคงไม่รู้อ่ะ

ยังไงก็แล้วแต่หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดรวดเดียวจบ เราก็ขอโทษเค้าแทนทุกๆคน แต่เค้าบอกไม่ได้อยากฟังคำขอโทษ (แล้วจะเอาอะไรอ่ะ) สุดท้ายเราเลยต้องจดทุกอย่างลงกระดาษ จดชื่อแอร์ จดเลขไฟลท์ จดข้อมูลทุกอย่าง ตามที่เค้าบอกให้เราจด แล้วเขียนอีเมล์ทำเรื่องไปยังหัวหน้า เค้าก็ขอชื่อนามสกุลเราไปด้วย เพื่อที่จะไม่ให้เรื่องนี้เงียบ เค้าบอกว่าอยากให้แน่ใจว่าเรื่องจะไปถึงผู้มีอำนาจ (โอเคค่ะ คุณ ผดส ตามนั้น อิฮั้นจัดให้)

ก็จัดไปตามนั้น วันนั้นเราก็เลยมึนตึ๊บไปเลยฮับ

ยังเหลืออีกหนึ่งเคส เดี๋ยวไว้กลับมาเล่าให้ฟัง ขออนุญาตไปล้างหน้าล้างตา แปรงฟันก่อนนอนก่อนนะคร้า ไม่น่าเชื่อว่าเล่ามาสองชั่วโมงแว้ววว




Create Date : 13 ตุลาคม 2554
Last Update : 13 ตุลาคม 2554 13:17:48 น.
Counter : 3027 Pageviews.

7 comment
เริ่มงานใหม่กับ "ใครๆก็บินได้" Man! You're awesome!
4 APR 2011 [23:25]

สวัสดีค่าาาา

ห่างหายไปนานกับการอัพเดทบล็อกนี้เพราะไม่ได้ทำงานทำการกะเค้า เลยไม่รู้จะอัพอะไร อิอิ

มาวันนี้ก็มาอัพเดทหน้าที่การงานซะหน่อยว่า "ได้งานใหม่แล้วค่าาาา"

เริ่มงานมาตั้งแต่วันที่ 1 เมษาแล้วล่ะ แต่ก็แค่เทรนอยู่ จะเข้าสเก็ตจริงๆก็วันที่ 6 น่ะ เอางี้ดีกว่า มาเล่าท้าวความให้ฟัง เอ้ย อ่านตั้งกะตอนยื่นใบสมัครจนได้งานเลยดีกว่า เผื่อจะเป็นแนวทางให้ใครบ้าง

แต่เกริ่นไว้ก่อนว่า บริษัทนี้...สุดยอด!

จากเดิมที่แพลนไว้ว่าหลังคลอดแล้วจจะไม่หางานเพราะทำวีซ่าคู่สมรสไปเมกาอยู่ กะว่าคลอดแล้ว รอซักพักได้วีซ่าก็จะไปเลย เพราะไม่อยากเริ่มต้นงานใหม่แล้วแป๊บๆก็ลาออกอีก แต่เอาเข้าจริง เอกสารมันก็ไม่เรียบร้อยซะที พี่ชายคุณสามีตกลงจะเป็น Joint Sponsor ให้ แต่ก็ไม่ส่งเอกสารมาให้ซะที ไอ่เราก็ ถ้าไม่มีเอกสารตัวนี้ก็ส่งกลับสถานทูตไม่ได้ นัดวันสัมภาษณ์ก็ไม่ได้ รอมาเกือบ 2 เดือน ก็เงี๊ยบ เงียบ

เลยตัดสินใจว่า เฮ้อ...สงสัยพระเจ้าคงไม่อยากให้ไปแล้วมั้ง ทำไมมันยากเย็นจังน้อ สมัครงานไปพลางๆก่อนแล้วกัน เผื่อว่าไม่ได้ไปจริงๆ อย่างน้อยก็ยังมีงานทำบ้างอะไรบ้าง

อยู่บ้านเฉยๆ (ก็ไม่เฉยอ่ะนะ เลี้ยงเจ้าตัวยุ่งไปด้วย) แล้วมันเบื่อ อยากมีเงินใช้เป็นของตัวเอง ไม่ต้องคอยขอจากคุณสามี จะได้ซื้อของเล่นให้คุณลูกบ้าง พาสามีไปเลี้ยงข้าวได้บ้างอะไรบ้าง

ใช้เวลาทำเรซูเม่ประมาณ 2 อาทิตย์ นานมากกกก ทั้งๆที่ก็แค่อัพเดทเท่านั้นเองอ่ะ แต่มันแบบว่า แหม...ใจนึงก็อยากกลับไปทำงาน แต่อีกใจนึงก็อยากอยู่บ้านกับเจ้าตัวเล็ก ก็เลยแบบว่าไม่รีบ ทำเรื่อยๆ ส่งเรซูเม่แบบหว่านๆไป โดยที่เรื่องมาก เพราะดูแล้วถ้าไม่ใช่งานสายการบินก็จะเรียกเงินเดือนสูงๆ

กะว่าถ้าไม่ได้เงินตามที่อยากได้ชั้นก็ยังไม่เอา ฮึ สามีเลี้ยงอยู่ไม่รีบ เรื่อยๆ รอได้ ได้งานไม่ได้งานก็ช่าง เชอะๆ หยิ่ง 5555

แต่ก็มาจ๊ะเอ๋ในเว็ปสมัครงานว่า Thai Air Asia รับสมัคร Guest Service Agent อยู่ อ๊ะ น่าสนนะ ไหนลองดูซิ อืม...มี อีเมล์ให้ส่งเรซูเม่ด้วยดีจัง

อ่ะส่งเลย ส่งอีเมล์ไป ปรากฎว่า แป่ว....อีเมล์เค้าคงเจ๊งมั้ง คนส่งเยอะเกินเลย error มั้ย รึยังไง? สรุปต้องส่งไปรษณีย์ใช่มั้ยเนี่ย ว้า ยุ่งยากอ่ะ รอแป๊บละกัน

ผ่านไปเกือบอาทิตย์.....


เข้าไปเช็คอีกทีใน Thaicabincrew.com มีแม่นางคนนึงมาโพสต์เรื่องยื่นใบสมัครตำแหน่งนี้ว่า

"โชคดีจัง วันนี้เรา walk-in ไปส่งใบสมัครมา พี่ประชาสัมพันธ์บอกว่า ดีนะคะเนี่ย มาทัน เราปิดรับวันนี้วันสุดท้ายแล้ว"


อ้าว.....ซวยแร้ว ยังไม่ได้ส่งเอกสารเล๊ยยยย เอาไงง่ะ เฮ้อ ช่างมันเต๊อะเนาะ สงสัยพระเจ้าไม่อยากให้ทำ

ก็กลับไปดูในเนตใหม่ ปรากฎว่าเค้าก็เปิดรับตำแหน่ง Corporate Quality Executive ด้วย ทำงานประมาณเป็น Audit อืม...เอาคนอายุ 25-35 มีประสบการณ์ Airline 1 ปีขึ้นไป เข้าแก๊บ! เอาวะ ส่งอันนี้ไปละกัน เรียกเงินเดือนไปเล๊ยย 23k ให้ก็เรียกมาละกัน อิอิ

ส่งเอกสารไปวันที่ 10 มีนา

16 มีนา ก็ได้รับโทรศัพท์

PD: "น้อง...ใช่มั้ยคะ จากแอร์เอเชียนะคะ พี่จะโทรมาแจ้งให้น้องไปสัมภาษณ์ตำแหน่ง Guest Service Agent ที่ Concourse A วันที่ 22 นี้ค่ะ"

เรา : (คิดในใจ : เอ...กรูมะได้สมัครตำแหน่งนี้ไปนี่น้าา แต่ดีเลย วะฮะฮ่า อยากทำอันนี้ ตัดสินใจ เออ ออห่อหมกไปกะเค้าเลย) "ได้ค่ะพี่ กี่โมงนะคะ ตกลงค่ะได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ สวัสดี" เย้!!!! รีบวิ่งหน้าตั้งไปบอกสามี ได้คอลแล้วนะ แอร์เอเชียโทรมา กรี๊ดดดด ดีใจกัน ฮี่ๆ

เวลาผ่านไปประมาณ 1 นาที อ๊ะ เค้าโทรกลับมาอีกทำไมเนี่ย (เป็นเบอร์สนามบินขึ้นต้นด้วย 02-134xxxx เลยจำได้) รึจะโทรมาขอแคนเซิล เพราะจับได้ว่าเราไม่ได้สมัคร GSA หว่า

PD: "น้อง...คะ ในเรซูเม่ เขียนว่าสมัครตำแหน่ง Corporate Quality Executive มาใช่มั้ยคะ คือ ตกลงว่าหนูจะทำอันไหนคะ"

เรา : (อ้าว...ซวยแล้ว) "อ๋อ คือจริงๆ อยากสมัคร GSA นั่นแหละค่ะ แต่ไปดูในเนตเห็นบางคนบอกว่าปิดไปแล้ว เลยยื่นตำแหน่งนั้นไปแทน แต่อยากทำ GSA มากกว่านะคะ"

PD: "โอเค งั้นได้ค่ะ ก็ลองเข้ามาสัมภาษณ์ก่อนละกันเนาะ คุยกันเรื่องค่าตอบแทนนู่น นั่น นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากันนะ โอเคค่ะ"

เย้! สำเร็จได้ไปสัมภาษณ์ล้ววว ป็นบริษัทแรกที่โทรเข้ามาเลยนะนี่ อิอิ

ว่าแต่
+++อิเจ๊ ที่มันไปโพสต์ใน Thaicabincrew ว่าเค้าปิดรับสมัครไปแล้วเนี่ย จงใจสกัดดาวรุ่งคนอื่นใช่มั้ยเนี่ย! ชิ นิสัย!++++

จะร่วมงานกับคนอื่นได้ไงเนี่ยเธอ แย่จัง เค้าจะปิดรับได้ไง ในเมื่อชั้นส่งเอกสารไปหลังจากที่เธอบอกเกือบอาทิตย์ แถมสมัครตำแหน่งอื่นด้วย เค้ายังโทรมาเรียกเลย!

เพื่อนๆคะ อย่าได้ทำแบบนี้กับใครนะคะ สมัครงาน อยากได้งานมากก็จริง แต่ก็ควรมีน้ำใจนักกีฬาด้วย รู้อะไรก็อย่ากั๊ก อย่าพยายามตัดคู่แข่ง ถ้าคุณใช่สำหรับบริษัทนั้น เค้าก็จ้างคุณเองแหละ ถึงจะมีคู่แข่งกี่ร้อยกี่พันก็เหอะ

เราเองถ้าใครถามอะไรก็บอก น้องใหม่เพิ่งจบอยากรู้ว่าเค้าสัมภาษณ์อะไรแบบไหนกันบ้าง เราก็บอกไป ถ้าเผอิญได้งานด้วยกัน ก็กลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานกันภายหลังนะนั่น ช่วยได้ก็ช่วย น้ำใจน่ะมีซะบ้าง โลกจะน่าอยู่ขึ้นเยอะเน้ออ

กลับมาที่เรื่องสัมภาษณ์ต่อ พอถึงวันนัดสัมภาษณ์ก็ต้องขุดต้องงัดเครื่องสำอางค์ ไปซื้อคอนแทคเลนส์มาใส่ใหม่ ซื้อสูทใหม่มาโดยเฉพาะ หัดแต่งหน้าใหม่ หลังจากปล่อยให้หน้าโทรมเป็นศพตายซากอยู่หลายเดือน เพราะไม่ได้ทำงาน+ท้อง+คลอด+เลี้ยงลูก ก็อยู่แต่บ้านไม่รู้จะห่วงสวยไปทำไม ความสวยไม่สำคัญเท่าการบำรุงและเลี้ยงลูก เอาใจใส่ลูกให้ดีที่สุด (นี่..สร้างภาพคุณแม่ดีเด่น อิอิ)


มาถึง concourse A ปุ๊บก็ได้เจอคนที่มารอสัมภาษณ์รอบสอง เราก็เสร่อมารอบแรกอยู่คนเดยว (คนอื่นๆคงมาทีหลัง) เค้านั่งรอกันตั้งนาน ได้นัดก่อนเราด้วยแต่ก็ยังไม่เรียก ไอ่เราหย่อนก้นนั่งไม่ถึงสิบนาที พี่เค้าก็เรียกไปสัมภาษณ์แว้ววว โอ้ววว ตื่นเต้นนิดๆ ห่างหายการสมัครงานมานานนับปี!

เจอกรรมการ 3 คน ก็ตามเสต็ป ไหนแนะนำตัวหน่อยซิ (สัมภาษณ์ภาษาอังกฤษเด้อค่า) เป็นไงเคยทำอะไรมาบ้าง ทำไมถึงออกจากที่เก่า

ไอ่เราก็บอกสาเหตุไปตามจริงว่า "เพราะที่เก่าไม่ได้หางานที่เหมาะสมให้ทำ ยังให้เราเดินไปเกท ไปเช็คอิน เดินเอกสารทั่วสนามบิน ทั้งๆที่เราท้อง 8 เดือน จนเราตกเลือด พอเราขอลดงานบางอย่างก็กลายเป็นว่าเราใช้การตั้งครรภ์มาเป็นข้ออ้าง สุดท้ายมันก็ให้เราไม่ผ่านโปร (ทั้งๆที่ทำงานมาแล้ว 7 เดือน คือ....โปร 7 เดือนเต็มอ่ะ) โดยบอกว่าสภาพร่างกายไม่เหมาะสมต่อการทำงาน และทำงานได้ไม่เต็มที่โดยมีข้ออ้างในการตั้งครรภ์...."

(แม่มมม ก็กรูท้อง 8 เดือน ยังให้เดินทั่วสนามบินจนตกเลือด ไม่มีตำแหน่งงานที่เหมาะสมให้ เราเลยขอเดินน้อยลงกลับหามาว่าเราอ้างอีก ไอ่ท้องกลมๆเดินอุ้ยอ้ายๆ นี่คิดว่าเอาหมอนยัดไว้รึไง ฮึ?? โอ๊ยยย นึกถึงแล้วมันจี๊ด เลิกพูดเรื่องมันดีกว่า บริษัท...แบบนี้ อยากรู้ว่าที่ไหนไปตามอ่านเอาเองแล้วกันค่ะ จบ จบ จบ แต่ก็จะขอแนะนำว่า ใครอยากทำงานที่นั่น อย่าพลาดท้องระหว่างทดลองงานเชียวนะ HR มัน...สุดบรรยาย จบข่าว)

ก็นั่นหละ ก็บอกเค้าไป เรื่องมันเลยโยงไปที่เวลาทำงานของเรา เค้าก็ถามว่าถ้าอย่างนั้นเวลาทำงานแบบ GSA จะมีปัญหามั้ย เพราะมัน Workshift นะ จะไหวรึปล่าว ลูกยังเล็กด้วย เอางี้ดีกว่า พี่เห็นว่าเราเคยทำ Reservation มาก่อน สนใจลองตำแหน่ง Sales มั้ย ทำงานเป็นกะเหมือนกัน แต่ว่ามันจะแน่นอนกว่า เลิกเร็วกว่า ดึกสุดก็สี่ทุ่มน่ะ ( GSA บางที่ถ้ารับเครื่องอาจมีเลิกถึงตี 4 ได้)

เราก็โอเคเลย เออดี จะได้วางแผนเรื่องลูกถูก ว่าจะส่งเนอร์สหรือจ้างพี่เลี้ยงหรืออะไรก็ว่าไป แฟร์ดี มีเวลาให้ครอบครัวด้วย จัดไปค่ะพี่ ตกลง เอาหนูลง Sales ก็ได้

สัมภาษณ์ถามประสบการณ์กันไปซักพัก เค้าก็อ่านไปเจอเรซูเม่ว่าเรียนจบดนตรีตะวันตกมา เลยถามกันใหญ่ว่าเรียนอะไรยังไง ดูน่าสนใจดีเนาะ ร้องเพลงได้มั้ย (ได้ค่ะ) อ่ะไหนร้องให้ฟังซิ (เหวอออ)

ถึงจะเหวอแต่ก็ร้อง 55 คนร้องเพราะซะอย่าง กล้าขอให้โชว์ก็กล้าโชว์ค่ะ จัดไป อิอิ ร้องจบเล่นทำเอาพี่ๆกรรมการยิ้มแก้มปริ ชมกันใหญ่ (วะฮะฮ่า มาถูกทางแล้งค่ะ กรรมการ ให้ร้องเพลงนี่สู้ตาย แต่ถ้าขอให้เต้นขึ้นมาเมื่อไหร่นี่ มีหวังตายสนิท)

สัมภาษณ์เกือบจบ พี่เค้าก็ยังคงเป็นห่วงเรื่องครอบครัวเราอยู่ดี เราก็เลยบอกไปว่า ในสังคมนี้มี Working Mom อยู่เยอะแยะมากมายค่ะ มันอยู่ที่การจัดการแบ่งเวลาอย่างให้มีคุณภาพทั้งในด้านการงานและครอบครัว ซึ่งถ้าคนส่วนใหญ่ทำได้ เราก็เชื่อว่าเราทำได้เช่นกัน พี่ไม่ต้องห่วงค่ะ

พี่เค้าก็ โอเค พี่ให้เราลง Sales แล้วกันนะ พร้อมกับบอกว่า นะ คุณแม่สมัยใหม่เค้าคงมีวิธีจัดการแหละ พี่ชอบบุคลิกเรานะ ว่าแต่เรานี่ดูไม่เหมือนคุณแม่เลยเนาะ (อันนี้แอบยิ้มปากแทบฉีก 555 คุณแม่ยังสาว อายุ 25 อิอิ มีลูกทันใช้ )

สัมภาษณ์เสร็จก็กลับบ้าน รอโทรศัพท์มาตามไปสอบ Attitude test กับสัมภาษณ์รอบสุดท้าย ผ่านไปสองวันก็ได้รับคอล! เย้

สัมภาษณ์รอบสุดท้ายก็ยังงงว่าจะถามอะไรน้อ เพราะวันแรกก็ถามไปเยอะแล้ว มีถามด้วยว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้จะรับมือยังไง สรุปว่าถามไปเกือบทุกอย่าง แล้วรอบนี้จะถามอะไรเราอีกอ่ะ คุยกับคนอื่นๆที่มารอสัมภาษณ์พร้อมกัน เค้าก็ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่า จะยกเคสมาให้ลองแก้ปัญหา (อ้าวว เราทำไปแล้วอ่ะ แล้วให้ทำไรล่ะนี่ หวังว่าคงไม่ให้เต้นนะ!)

มารอบนี้ก็ได้สัมภาษณ์คนแรกอีกตามเคย เข้าไปก็เจอกรรมการคนเดิมหนึ่งท่าน กับอีก2 คนใหม่ เปิดฉากมาพี่คนเดิมก็พูดว่า

กรรมการ : " คราวที่แล้วถามไปเยอะแล้ว ภาษาอังกฤษดี ผล Attitude ก็ไม่มีอะไรให้คอมเมนท์ เป็นคนมีความอดทนสูงดีนะ อืม เอางี้ มีอะไรจะถามพี่มั้ย?" (ถามเป็นภาษาไทยเลยคร่า)

เรา : (เหวอ ไปนิด นึกไม่ถึงว่าจะเจอะแบบนี้ อุตส่าห์เตรียมตัวมาตอบคำถาม 55 เอางี้แล้วกัน ถามมันเรื่องเทรนเหอะ) ได้ข่าวว่าจะมีไปเทรนที่มาเลย์ด้วยเหรอคะ เมื่อไหร่ แล้วนานเท่าไหร่คะ บลาๆๆๆ

ก็นั่นแหละ อันนี้ไม่รู้จะบรรยายอะไรเพราะส่วนใหญ่คุยกันมากกว่า เค้าไม่ได้สัมภาษณ์อะไรที่เราต้องใช้ทักษะและไหวพริบที่เตรียมมาเลยแม้แต่น้อย

มีพี่จาก PD (People department) คนนึงที่เป็นกรรมการถามเราว่า เจอกับสามีที่ไหน ทำไมแต่งงานเร็วจัง เอิ้ก..แปลกดีสัมภาษณ์แบบนี้ (เราโอเคเรื่องนี้ค่า ขำๆ ใครอยากได้ข้อมูลก็ยินดีเปิดเผย แต่ไม่มีเคล็ดลับใดๆให้ได้สามีฝรั่งมาบอกนะคะ เพราะชีวิตนี้เราไม่เคยคิดว่าจะได้แต่งงานกับต่างชาติด้วย อิอิ แต่พระเจ้าให้คู่พระพรคนนี้มาก็สุดยอดแล้ว เป็นสามีที่แสนดี และคุณพ่อที่ยอดเยี่ยม! )

ปล. สามีมีแต่น้องสาวฮ่ะ ไม่มีพี่ชายหรือน้องชายนะคร๊า ใครที่จ้องจะให้แนะนำให้ ก็เลิกหวังไปเรยค่า 555 แต่สามีก็่มีเพื่อนอยู่นะ อิอิ

ก็สรุปพี่เค้าก็บอกว่า เอางี้มาเริ่มงานวันที่ 1 เมษา เลยแล้วกันนะ เจอกัน 9โมง ที่ตึก OSC บลาๆๆๆ

..................

โอ้ววววววว ได้งานแล้ว รวดเร็วดีแท้ นี่กลับไปทำงานเร็วกว่า ถ้าลาคลอดที่บริษัทเก่าแล้วกลับไปทำงานอีกนะเนี่ย!

ก็จากโพสท์วันนี้ก็อยากจะบอกท่านผู้อ่านว่า บริษัทดีๆยังมีอยู่ในโลกนะ

ขอชื่นชมแอร์เอเชียจากใจว่าเป็นบริษัทที่ให้โอกาสคน และมองคนจากความสามารถ ไม่ดูถูกล่วงหน้าไปก่อนแล้ว (เหมือนที่หลายๆบริษัททำ) ว่าคนมีครอบครัวปัญหาเยอะ เดี๋ยวต้องลาลูกป่วย สามีหนีเที่ยว ฯลฯ รับคนโสดดีกว่า

คนมีครอบครัวมีศักยภาพเทียบเท่ากับคนโสดค่ะ อันที่จริงถ้าเทียบในบางกรณี คนมีครอบครัวค่อนข้างที่จะมีความรับผิดชอบมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะโตแล้ว มีครอบครัวแล้ว ทำอะไรยั้งคิดกว่าคนโสด มองหาความมั่นคงมากกว่า ดังนั้นในการทำงานก็พยายามที่จะทำออกมาให้มีประสิทธิภาพเพื่อผลประโยชน์และความก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่จะส่งผลต่อเงินเดือนและอื่นๆที่ใช้ดูแลครอบครัว

เรื่องเจ๋งๆของแอร์เอเชียยังมีมากกว่านี้ค่ะ อยากเล่ามากแต่โพสท์นี้ยาวแล้ว และเราก็ง่วงนอน

เอาไว้จะกลับมาอัพในตอนสองนะคร้าาาาา

"Now everyone can fly" ---- ใครใครก็บินได้!




Create Date : 05 เมษายน 2554
Last Update : 5 เมษายน 2554 0:46:20 น.
Counter : 18702 Pageviews.

25 comment
1  2  3  4  5  

I'm in awe
Location :
Castro Valley,CA  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]



บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็นคนไกลบ้านแล้ว ก็ยังแต่งบล็อกไม่เป็นเหมือนเดิม อิอิ แวะมาแลกเปลี่ยนเรื่องราวด้วยกันบ่อยๆนะคะ ยินดีอย่างยิ่งหากเรื่องราวในบล็อกนี้เป็นประโยชน์ต่อคุณค่ะ :)
New Comments
All Blog