เมื่อเราได้ทำงานใน San Francisco :)
13 SEP 2012 [10:36]

สวัสดีค่าาา

ไม่เข้าใจว่าจะสวัสดีใครเนาะ 55+
หลังจากไม่ได้เข้ามาอัพเดทข่าวคราวไปพักใหญ่ ว่าย้ายมาแล้วเป็นยังไงบ้าง ได้งาน ได้การมั้ย อะไรยังไง

ก็ตามที่บอกไปคราวที่แล้ว ตัดสินใจโดยฝากชีวิตไว้กับความเชื่ออย่างแรง (Step out of Faith) ย้ายจาก Tracy มาเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่กันเองที่ Castro Valley เพราำะใกล้เมืองมากขึ้น โอกาสในการทำงานก็มีมากขึ้น ที่บอกว่าฝากชีวิตไว้กับความเชื่อก็คือ ตอนที่ตัดสินใจย้ายนั่น สามีก็ยังทำงานคนเดียว แล้วงานก็ไม่ได้การันตีชั่วโมงทำงานเลยด้้วย เดือนนึงหน้าจะหาได้ประมาณ 1400 - 1600 เหรียญต่อเดือนเท่านั้น...ค่าเช่าเท่าไหร่รู้มั้ย? $1,050!! (อ่อ..2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ฟรี น้ำ+ค่ากำจัดขยะ+เคเบิล)

เอ่อ หักค่าเช่าไปก็เืืกือบไม่เหลืออะไรแล้ว ไหนจะค่าไฟค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่าแพมเพอร์ส...มึนมั้ย 55+ ดูยังไงก็ไม่พอ แต่ก็ตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องย้าย อธิษฐานแทบทุกวัน และเชื่อว่าพระเจ้าจะดูแลเรา ระหว่างช่วงที่เตรียมตัวย้ายออกมาเราก็สมัครงาน สามีก็หางานใหม่ เอาที่มันการันตีชั่วโมงทำงานด้วย (จริงๆก็สมัครงานมาแล้วนานแล้วนะ แต่ไม่มีใครเรียกไปสัมภาษณ์)ช่วงที่ตัดสินใจว่าจะย้ายแล้วนั้นเราก็คอยหางานให้สามี พอดีไปเจองานที่ทำที่ึคลังสินค้า น่าสนใจดี จ่ายเท่ากันแต่ทำเป็น Full time เราก็ให้สามีไปยื่นใบสมัครซะ

วันที่ไปยื่นน่ะ พอตกเย็นมา ระหว่างกำลังนั่งกินซี่โครงหมูอย่างเอร็ดอร่อย..สามีก็ได้โทรศัพท์ให้ไปสัมภาษณ์!! อร๊ายยยดีใจ ก็พอถึงวันก็ไปสัมภาษณ์ตามนั้น ผ่านสัมภาษณ์ไปได้ 1 รอบ ก็ต้องไปทำข้อสอบอีก ระหว่างที่สามีรอไปทำข้อสอบ เราก็ได้คอลไปสัมภาษณ์งาน!!! เป็น Travel Agent ตัวบริษัทเองตั้งอยู่ใน Financial District, San Francisco เป็นบริษัททัวร์ที่ทำทัวร์ไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็น อืม...เรียกว่าอะไรล่ะ เป็นเอเจนซี่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสิงคโปร์แอร์ไลน์ให้ดูแลแพ็คเกจทัวร์ของทางสายการบิน (ไม่ใช่เอเจนซี่ไก่กานะคร๊า)

หลังจากวันที่สามีไปทำข้อสอบ วันอาทิตย์ 25 มีนา (จำแม่น) เราก็ย้ายเข้าอพาร์ทเม้นท์ใหม่กัน บ่ายวันนั้นหลังย้ายเสร็จ สามีก็ได้รับโทรศัำำพท์แสดงความยินดี เพราะได้งานแล้ว!!! เย้

ของเรา เราก็ไปสัมภาษณ์งานวันอังคาร อพาร์ทเม้นที่ย้ายมานี่อยู่ใกล้ Bart (รถไฟ) ที่เราจะต้องนั่งเข้าไปซานฟรานฯ เราเดินไปสถานีได้เลย (15นาที) วันนั้นสามีใจดีขับรถไปส่ง..แม่เจ้า หาที่จอดรถยากมากกกกกกกกก ที่ซานฟรานนี่ไม่มีที่จอดฟรีนะคะขอบอก วนอยู่ 2-3 รอบ ฝนก็ตกปรอยๆ GPS ก็พางง สุดท้ายเลยเข้าไปจอดใต้ตึกนึง (เสียตังค์เด้อค่า)เราก็ลงไปสัมภาษณ์ สามีก็นั่งรอที่ coffee shop ล่างตึก ปรากฎว่าบริษัทเล็กมากกกก ออกแนวธุรกิจครอบครัว เพราะทั้งบริษัทมีอยู่ 5 คน..

พอเรามาถึงเราก็คุยกับผู้หญิงคนนึง (ระหว่างรอบอสว่างมาสัมภาษณ์เรา) เค้าก็ถามเรื่อยๆ ถามประสบการณ์นู่นนั่นนี่ คือคุยกันเฉยๆ (มารู้ทีหลังว่านั่นแหละสัมภาษณ์ 555+)คนนี้พอเข้ามาทำงานแล้วก็รู้ว่าชื่อ โยคี เป็นคนมาเลย์ (จีน) เป็นอาม่า 55+ อายุ 49 แล้วมั้ง ใจดี ทำงานทีนี่มา 6 ปีแล้ว

เอาล่ะ พอสัมภาษณ์กับโยคีัเสร็จก็มาคุยกับบอสต่อ บอสเป็นแขกมาเลย์์...เอ่อ ก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรมาก ก็ถามว่าทำอะไรมา ฯลฯ เสร็จแล้วก็กลับบ้านกัน วันนั้นเสียค่าจอดรถไป $20 (600 บาท) แน่ะ สำหรับ 45 นาทีแค่นั้น แพงมากกกกกกกก


วันต่อมาก็ได้คอลให้ไปสัมภาษณ์อีกรอบวันศุกร์!! เย้ย ชักจะเข้าท่า พอไปวันศุกร์ก็ไม่ได้สัมภาษณ์ไรเล๊ย แต่เรียกมาฟังผลว่าได้งานนะ ค่าจ้างเท่าไหร่ เราได้ $1800 พอครบ 3 เดือนจะเพิ่มเป็น $2000 (ตอนนี้ทำงานมาแล้ว 6 เดือนยังไม่ได้ขึ้นให้เลย...เฮ้อ )

เชื่อมั้ยว่าพระเจ้าอวยพร? พระเจ้าอวยพรเรา เมื่อเราเชื่อและไว้วางใจในพระองค์จริงๆนะคะ จากที่เคยจะกลับเมืองไทย พอเราคิดให้รอบคอบ อธิษฐาน เราเชื่อว่าพระเจ้ามีเหตุผลที่พาให้ครอบครัวเรามาอยู่ที่อเมริกานี่ ขอบคุณพระเจ้ามากมาย

ตอนนี้เวลามาทำงานก็นั่งรถไฟมา 45 นาทีถึง ค่ารถวันละ $9.20 (เกือบ 300 บาท/วัน นะ) อากาศในซานฟรานก็ตลอดเวลาจนเราต้องซื้อเสื้อโค๊ทมาใส่ ไม่ว่าหน้าไหนก็หนาวตลอดเพราะมีลมพัดบ่อยๆ เำพราะอยู่ใกล้มหาสมุทรแปซิฟิก คนที่นี่ใส่บู๊ทตลอดเลย เราชอบดูคนทำงานแถวนี้นะ บางคนก็เหลือเชื่อ..ใส่กระโปรงสั้นอ่ะ คือเราแบบ..หนาวจะแย่นะเนี่ยยยย ใส่กันได้ไงน้อ

ส่วนใหญ่เรามาทำงานก็ทำงานอย่างเดียวแล้วก็กลับ ไม่ค่อยได้เดินเที่ยวอะไร นานๆทีจะมีเวลา เราชอบตึกในซานฟรานนะ สวยงาม น่าเดินเล่นอย่างแรง อิอิ เสียอย่างเดียวอาหารแพง เราก็เลยต้องห่อข้าวมากินเองเกือบทุกวัน ไม่งั้นก็มาม่าบ้าง แม็คบ้าง 55+

ตอนนี้ที่ทำงานมา 6 เดือนนี่ถามว่าชอบงานมั้ย ก็ไม่เท่าไหร่ อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าเราไม่ค่อยชอบทำงานในออฟฟิศ (น้ำหนักขึ้นมา 7 โล ภายใน 3 เดือนแรก ) วันไหนที่งานยุ่งๆ เราสนุกมาก แต่วันไหนไม่มีงาน ไม่มีรีเควสมันน่าเบื่อที่สุดในโลก

เพื่อนร่วมงานดีมาก แต่บอสอ่ะ...เค้ามีอคติกับเรา (พอทำงานไปซัำกพัก) เนื่องด้วยบุคลิคของเราเอง (เพิ่งมารู้หลังๆนี่หละ) เราเป็นคนไม่ค่อยพูด เรามีัปัญหาเราแก้เอง อันไหนไม่รู้อะไรเราภามเพื่อนร่วมงานก่อน เพราะเราเองอาวุโสน้อยที่สุดแล้วในบริษัท นานๆทีจะถามบอสที เราเป็นทำงานเร็วมาก รับมาปุ๊บไม่ถึง 10 นาทีเราเสร็จ มี 5-6 รีเควสเราทำไม่เกิน 2 ชั่วโมง

พอทำเสร็จเร็ว ก็ทำให้ดูเหมือนเราไม่ได้ทำอะไร (คือนึกออกมั้ย คือมันทำเสร็จไปแล้ว) ในขฯะที่บอสเองเป็นคนยุ่ง ทำไอนู่น จับไอ่นี่ ไม่เสร็จข้ามไปทำอันใหม่ คือเค้าเป็นงี้จริงๆนะ เค้าโฟกัสไม่เ่ป็น เพื่อนร่วมงานก็บ่น แล้วเค้ายังขี้ลืม พอเค้าบอกให้เรา สร้างแพ็คเกจใหม่ขึ้นมา เราก้ทำให้ ทำไปสองอันเลยด้วย อาทิตย์ต่อมาประชุมพนักงาน ก็มาว่าเราละว่าไม่ทำงาน บอกให้ทำแพ็คเกจทำไมไม่ทำ ปรากฎว่าเค้าลืมว่าเราส่งมาให้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว พอรู้ตัวว่าตัวเองลืมก็มาโทษเราละว่าทำไมไม่บอก ไอ่เราก็..คือส่งให้ทั้งอีเมล์ แถมปรินท์ไปยื่นต่อหน้าอีกนะ..

ทำงานกับคนแบบนี้มันเหนื่อยนะ ไอ่ที่เราทุ่มเท มันเหมือนเทน้ำลงกองทราย ลืมตลอด มองแต่สิ่งที่อยากมอง ไอ่ที่เราทำดี ไม่เคยจำ เหนื่อยๆมาก ตอนนี้ก็เลยพยายามหางานใหม่อยู่ ไอ่ที่ทำก็ทำไปเรื่อยๆ ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี คนไม่ค่อยเที่ยว บริษัทก็ดูเหมือนจะเริ่มมีปัญหาเรื่องคนเกิน เพราะแต่ละคนก็เงินเดือนไม่น้อย (แต่เราได้น้อยสุดในบริษััทนะ 55+)

รายรับเลยดูไม่สัมพันธ์กับรายจ่าย บอสก็มาขู่ทุกครั้งที่มีประชุมว่า เร็วนี้ๆอาจจะต้องเลย์ออฟ ใครออกซักคนเพราะเค้าควักเนื้อตัวเองมา 2 เดือนแล้ว

เฮ้อ..เอาน่้ะ เราเองเพิ่งได้รับคอลให้ไปสัมภาษณ์เป็นลูกเรือกับ United Airlines วันที่ 25 นี้ อิอิ ถ้าได้ก็คงจะดี แต่ว่าต้องไปสัมภาษณ์ถึงที่ Houston รัฐ Texas แน่ะ แต่ยูไนเต็ดออกตั๋วให้เราฟรี ตอนนี้ก็พยายามทำการบ้าน อ่านข้อมูล เตรียมตัวไปสัมภาษณ์อยู่ ก็นะ..ไปไกลขนาดนั้นแล้วก็ตั้งใจให้มากหน่อย ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ถึือว่าได้ไปเที่ยวฮูลตันแล้วกัน

พระเจ้าอวยพรหนูด้วยนะคะ หากนี่เ้ป็นน้ำพระทัยก็ขอให้สำเร็จตามนั้นนะคะ







Create Date : 14 กันยายน 2555
Last Update : 14 กันยายน 2555 1:46:51 น.
Counter : 4770 Pageviews.

7 comment
ในที่สุดก็ไม่กลับ เย้ (หรือ เฮ้อ... ดี?)
March,4th 2012 [23:59]


โอ้โห เลขเวลาอย่างสวย หนึ่งนาทีก่อนเที่ยงคืน เหอๆ

สวัสดีค่ะ ผู้อ่าน

เราทิ้งบล็อกไปนานเป็นเดือนเลย เพราะวุ่นวายกับชีวิต ตัดสินใจไม่ได้ ทำอะไรไม่ถูกงง อยู่พักใหญ่

ความเดิมตอนที่แล้วคือ จะกลับเมืองไทยดีมั้ย อยู่ไปก็ลำบากจัง นู่นก็ไม่มี นี่ก็ไม่ได้ งานก็หายาก ใครๆก็พร่ำบอกว่า "It's the wost time ever of America's economy" โอ้แม่เจ้า....อะไรมันจะขนาดน้าน กลับไปชิลๆที่เมืองไทยเหมือนเดิมดีมั้ย


หลังจากลังเลอยู่นาน ก็เริ่มมีเค้า มีลางเข้ามา...เริ่มจากสุดท้ายลูกสาวก็ได้ประกันสุขภาพผ่าน Healthy Families ต้องจ่าย $24 ต่อเดือนก็พอไหว ยังไงซะก็ครอบคลุมไปถึงทำฟันกับ Vision care ด้วย ก็พอโอเค

ส่วนของตัวอิชั้นกับสามี ก็โดน Medi-Cal ปฎิเสธกลับมาเป็นรอบที่สอง ด้วยข้อหาทำงานมากกว่า 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถือว่าเป็น Full-time

ทั้งๆที่อธิบายจนปากเปียกปากแฉะแล้วว่ามันม่ายช่ายยยยยยย ก็บอกไปแล้วว่างานคุณสามีมันไม่การันตี hour บางอาทิตย์ทำมากกว่า 30ชั่วโมง บางอาทิตย์ทำแค่สองวัน หรือบางอาทิตย์ก็ไม่มีงานซะงั้น อิเจ้าหน้า county ก็ไม่ฟัง จะปฎิเสธท่าเดียว อร๊ายยยยยยยยยยยย นี่ถ้าชั้นเป็น illegal immigrant ก็คงได้สบายบรื๋อไปแล้วสินะ แล้วนี่หล่อนจะมี Income guideline ไว้ทำพระแสงอะไรเนี่ย ถ้าจะดูแค่ชั่วโมงทำงานน่ะ

รายได้ครอบครัวเราตอนนี้ยังไง๊ ยังไงก็ต่ำกว่าไกด์ไลน์ มันก็ไม่สน นี่แล้วพวกคนที่ทำงาน Mcdonald ได้ชั่วโมงละ 8 เหรียญกว่าๆ มันจะมีปัญญาซื้อประกันสุขภาพม๊ายยยยยยยยยยย มันไม่ make sense อย่างแรง พูดแล้วก็ให้มีน้ำโห ชิ


ก็ตามนั้น ไคญ่ามีประกันสุขภาพซะที เราก็เลยได้พาไปฉีดยาให้มัน Up-to-date วัคซีนซะ

ก็อธิษฐานแล้ว อธิษฐานอีก ปรึกษาคนนู้นคนนี้ เล่นเอาเครียดไปตามๆกัน จนถึงขั้นทะเลาะกันเรยทีเดียว เพราะตอนนั้นเราไม่มีโทรศัพท์ใช้ โทรศัพท์มีของคุณสามีเครื่องเดียว เราก็อยู่ที่บ้านมีแต่อินเตอร์เนต พอไม่มีโทรศัพท์ก็ไม่รู้จะโทรหาใคร หรือใครจะโทรหาได้ยังไง ส่ง sms คุยกับสามีเหมือนที่เคยตอนอยู่เมืองไทยก็ทำไม่ได้ ชีวิตไร้การติดต่อสื่อสารจากโลกภายนอกที่สุด วันๆเอาแต่ออน facebook รอใครซักคนโผล่มา จะได้แชทกะเค้า (น่าเศร้ามากเนอะ) ชีวิตหดหู่สุดๆอ่ะ


สุดท้ายเลยซื้อตั๋วเครื่องบินแบบ refundable ไว้ กำหนดเดินทางกลับ 11 เมษา เพราะสามีได้รับ offer จากโรงเรียนให้ไปสอน เปิดเทอมเดือนพฤษภา แถมขึ้นเงินเดือนให้อีกตะหาก ข้อเสนอเย้ายวนใจอย่างแรง แถมเรายังจะสามารถหางานได้ง่ายกว่าที่นี่ มีปัญญาพาลูกไปฝากเนอร์สเซอรี่ ขับรถไม่เป็นก็ไม่ต้องกังวลเพราะจะมีรถเมล์วิ่งให้ควั่ก รวมถึงแท๊กซี่และรถไฟฟ้าต่างๆ นานา


แต่เราก็แบบว่า open กันนะ คือระหว่างนี้ ที่ยังไม่ถึงเวลากลับก็มองหางานใหม่ไปด้วย ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ก็คืนตั๋วซะ ยอมเสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อย แล้วก็อยู่ต่อ ก็รอกันไป....


จนเมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว ทะเลาะกันใหญ่โต หลายเรื่องรวมทั้งเรื่องที่ว่าทำไมเค้าไม่หาโทรศัพท์ให้เราใช้ซะที อยู่มาตั้ง 6 เดือนโดยไม่มีโทรศัพท์เลยเนี่ย มันยากนะ เพราะเวลาเราสมัครงาน นายจ้างจะต้องโทรหาเค้า แล้วงานเค้า ระหว่างเวลางานห้ามรับโทรศัพท์....อ้าว....พอเค้ากลับมาบ้าน บางทีเราเห็น Misscalled เราก็แบบ ของเราป่ะเนี่ย สาเหตุที่ไม่ได้งานทำ เพราะเค้าไม่ได้รับโทรศัพท์รึป่าวฟะเนี่ย

แถมไหนจะไม่สามารถโทรหาเค้าได้อีกล่ะ เวลาคุณสามีขอไปนอนบ้านเพื่อน หรือกลับดึก หรืออะไร เราติดต่อเค้าไม่ได้เลยเพราะเค้าไม่มีโทรศัพท์ ไอ่ครั้นจะไปเคาะห้องแม่สามีขอใช้โทรศัพท์ตอนดึกๆดื่นๆก็เกรงใจอีก

หลายสิ่งหลายอัน ทะเลาะกันใหญ่โต จนเราต้องไปหา youth pastor ให้ทำ Marriage counseling ก็ได้คุยกัน ในหลายแง่มุม

(ดีนะว่าคุณ Pastorเป็น แฟมิลี่แมนมากๆ ช่วยอธิบายให้คุณสามีเข้าใจอะไรได้เยอะ นะคบคนเด็กกว่าบางทีมันก็มีปัญหาเรื่องมุมมองน่ะ แถมยังมีเรื่องภาษาเข้ามาเกี่ยวข้องอีก เพราะเวลาทะเลาะกันเนี่ย ต้องทะเลาะเป็นภาษาอังกฤษ แล้วเราก่ไม่ใช่ว่าจะแตกฉานนะนั่น ทะเลาะกันก็ใช้คำศัพท์เท่าที่เรารู้ แต่ทีนี้บางคำความหมายมันไม่ได้ตรงตัว คือนึกออกมั้ยว่า คำศัพท์ภาษาอังกฤษ มันมีหลายคำที่ความหมายคล้ายๆกัน ใช้กันคนละรูปแบบ ที่มันจะทำให้ความแตกต่าง อาจจะเบาลงหรือหนักขึ้น หรืออธิบาย"ให้เข้าใจ" ได้มากกว่าไรงี้ แต่ด้วยความที่เราไม่รู้มันทำให้เราไม่สามารถสื่อสารได้ตรงประเด็น หรือบางครั้งคำพูดที่ใช้ก็มีความหมายแรงกว่าความตั้งใจของเราอ่ะ เฮ้อ.. Language Barrier...)


กลับมาต่อเรื่องชีวิต สุดท้ายก็ได้คุยกัน เราก้ได้ระบายความในใจ ได้พูดถึงชีวิต ความฝัน คืออย่างที่เกริ่นๆไปแล้ว เราไม่ชอบเป็น Stay-at-home mom เลยนะ ไม่ชอบอย่างแรง เราอยากไปทำงาน เราอยากมีเพื่อน อยากมีความก้าวหน้า ซึ่งถ้าจะให้เราทนอยู่แบบนี้ อยู่ที่ Tracy ต่อไปอย่างนี้อีกเรื่อยๆเป็นปี เราคงไม่ไหว เราขอกลับเมืองไทยดีกว่า tracy เป็นเมืองเล็กๆ อะไรก็ไม่มี งานก็หายากและไม่หลากหลาย จริงๆแล้วเราเองอยากทำงานสายการบินเหมือนที่เราเคยทำ แต่มันเป็นไปได้ยากมากที่เค้าจะมาจ้างเราที่อยู่ tracy ต้องใช้เวลากว่าชั่วโมง ในการขับรถไปสนามบิน

Pastor เลยถามเราว่า ถ้าจะอยู่ที่นี่ต่อ เราอยากให้เป็นยังไง ----คืออันที่จริงแล้ว อีกใจเราก็อยากอยู่ต่อนะ เพราะโรงเรียนที่นี่เรียนฟรี และเราเพิ่งมาได้ไม่ถึงปีก็อยากจะใช้ประสบการณ์ ให้ได้ลอง "ใช้" ชีวิตที่นี่ดูบ้าง แต่ถ้าจะให้อยู่แบบเดิมๆ ซ้ำๆ ไม่มีงาน ไม่มีโทรศัพท์ ไปไหนไม่ได้เพราะไม่มีรถแบบนี้เราไม่ไหว แต่ถ้าได้อยู่ที่นี่ต่อ ความฝันอยากเป็น ลูกเรือ ของเราก็ยังพอมีทางเป็นไปได้อยู่ เพราะเค้าไม่ได้จำกัดว่าเราต้องอายุไม่เกินเท่าไหร่ หรือต้องเป็นโสด ซึ่งข้อนี้ ถ้ากลับเมืองไทย ความเป็นไปได้จะเป็นศูนย์ทันที เพราะลูกเรือที่เมืองไทย ไม่ว่าจะสายการบินต่างชาติ หรือสายการบินแห่งชาติ คัดแต่คนอายุไม่เกิน 26 และเป็นโสด!! ตัดความหวังกันอย่างแรงอ่ะ

ข้อแม้ของเราเลยก็คือ
1. ต้องย้ายออกมาจาก Tracy ภายใน 3-6 เดือน มาอยู่แถบ Bay Area นี่ คิดดูว่าเราหางานจาก indeed.com เวลาพิมพ์ Tracy เข้าไปมันโชว์ว่า มีงานใหม่ 76 งาน แต่พอเปลี่ยนเมืองเป็น Castro valley ขึ้นมาเลย มีงานใหม่ 2,387 งาน.....คิดดูว่าแตกต่างกันขนาดไหนอ่ะ

2. ต้องหาโทรศัพท์ให้เราใช้ เวลาเราสมัครงาน จะได้ไม่มีปัญหา แถมเราจะได้สร้างเพื่อน คุยกับเพื่อนบ้างอะไรบ้าง และสามารถส่ง sms พร้อมโทรตามสามีได้!!

ก็นั่นแหละ สองข้อของเรา Pastor ก็ช่วยคุยและสรุปให้ แต่การที่มันจะทำได้ มันต้องใช้กำลังใจและความเชื่ออย่างมาก รวมถึงเราทั้งคู่จะต้องทำด้วยกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน มันถึงจะไปรอด ซึ่งเป็นจริงอย่างที่สุด


ตอนนี้ก็เลยช่วยกันหางานใหม่เป็นว่าเล่น รวมทั้งมองหาที่อยู่ใหม่ด้วย วันก่อนก็เพิ่งไปยื่น Application ที่อพาร์ทเม้นท์ใน Castro Valley จะได้รึปล่าวยังไม่รู้

ส่วนข้อแม้ข้อที่สองนั้นเป็นจริงไปแร้ววว เพราะสามีเปลี่ยนเครือข่ายโทรศัพท์จาก Metropcs ไปเป็น Sprints และเปลี่ยนโทรศัพท์เป็น Samsung Galaxi II ส่วนเราก็ได้ตามที่ขอ Iphone4s เย้+++ ในที่สุดก็มีโทรศัพท์กับเค้าซะที แถมเป็น Smartphoneสุดไฮโซด้วย (ก็หวังว่าจะมีเงินจ่ายรายเดือนนะ เหอะๆ)

และตอนนี้ก็ทำเรื่องขอ Refund ตั๋วเครื่องบินไปแล้วค่ะ :)

ขอบคุณที่เข้ามาให้กำลังใจกันนะคะ ตอนนี้ก็ต้องเดินหน้าแล้วล่ะ (ขอให้สามีได้งานใหม่เร็วๆทีเถ๊อะ.....ส่วนเราก็ ไปสอบใบขับขี่ซะทีเห๊อะ..... อิอิ)

พระเจ้าขา อวยพรครอบครัวเราด้วยนะคะ ขอให้ทุกสิ่งที่เราทำเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ขอให้ทุกสิ่งที่เราทำนั้นเป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์แต่เพียงผู้เดียวค่ะ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคำแนะนำ และกำลังใจจากผู้คนรอบข้าง ที่พระองค์ทรงทำให้เราได้พบกัน ขอบคุณพระเจ้าค่ะ


พระเจ้าอวยพรทุกคนนะคะ



Create Date : 05 มีนาคม 2555
Last Update : 5 มีนาคม 2555 15:49:18 น.
Counter : 1149 Pageviews.

17 comment
หรือจะกลับบ้านดี??
20 JAN 2012 [18:40]

Happy New Year 2012!!!

สวัสดีปีใหม่ 2555 ค่ะ ขอให้ปีนี้และปีต่อๆไปเป็นปีแห่งความสุขของทุกๆคนนะคะ พระเจ้าอวยพรค่ะ


กว่าจะได้มาเขียนบล็อกใหม่ก็ล่วงมาปีใหม่ อิอิ แถมจะปลายเดือนแล้วอีกต่างหาก นอกจากนั้นยังไม่ต่อเนื่องจากบล็อกที่แล้วด้วยจิ เป็นคนที่ไม่สม่ำเสมอในการเขียนบล็อกอย่างแรง! แหม ก็ลูกซน สามีก็ยุ่งนี่นา (อ้างสุดๆ) ลูกสาวเพิ่งครบ 1 ขวบไปเมื่อวันที่ 14 ที่ผ่านมานี่เองค่ะ กำลังซนและดื้อได้ใจ

ขึ้นหัวข้อมาแบบนี้ก็รู้แล้วใช่มั้ยว่าวันนี้ออกแนวระบาย เฮ้อ...มาถึงเมกาได้ยังไม่เท่าไหร่ อยากจะกลับไทยซะแล้ว แต่มันมีที่มานะ...


จำไม่ได้ว่าได้เล่าไปแล้วรึยังเรื่องเหตุผลหลักของการมาอยู่ที่นี่อ่ะค่ะ ตอนแรกความตั้งใจก็คือ

1. อยู่ที่นี่ให้ครบ 18 เดือน หรือมากกว่า แล้วแต่ว่าแต่งครบ 3 ปีเมื่อไหร่ ก็จะมีคุณสมบัติสามารถสอบเป็น citizen ได้ สอบได้แล้วจะกลับไปอยู่เมืองไทยเหมือนเดิม เพราะสามีชอบเมืองไทย ชอบ lifestyle ที่กรุงเทพ ชอบอาหารไทย มาสอบเอาพาสปอร์ตเจ๋ยๆ เวลากลับเข้ามาใหม่จะได้ไม่ต้องขอวีซ่า หรือตอนแก่หากเปลี่ยนใจอยากมาอยู่นี่จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก แถมมีพาสปอร์ตเมกัน เวลาไปเที่ยว ตปท ก็ไม่ค่อยต้องลำบากขอวีซ่าเท่าไหร่อ่ะ

2. กลับมาเพื่อให้สามี ลงไปเรียนที่ Campus ให้จบ เพราะตอนนี้เรียนออนไลน์อยู่ (เรียนออนไลน์มาตั้งแต่เริ่มมาเป็นอาสาสมัครที่เมืองไทย จนแต่งงาน ก็เลยยังไม่ได้กลับ ก็เรียนต่อไป) ถ้าเรียนที่ Campus ปุ๊บก็เทอมเดียวจบ เวลากลับไทยจะได้ขอ Work permit ได้ซะที

3. มาเจอญาติพี่น้องสามี พาหลานมาเจอปู่ย่ากับอาๆทั้งหลาย



นี่ก็เป็นเหตุผลหลักๆที่มา ถามว่าตั้งใจมาเก็บเงินแล้วกลับไปมั้ย ก็ปล่าวอ่ะ เพราะตอนอยู่เมืองไทยก็เก็บเงินได้เยอะพอสมควรอยู่แล้ว ไม่ถึงกับมากมายเป็นล้านอะไร แต่สามีเป็นคนเก็บเงินเก่ง ทำงานประมาณไม่ถึงปี เก็บเงินได้แสนกว่าบาท จากการเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แถมเราเองก็ทำงานด้วย ช่วยๆกันเก็บไป ตอนมาถึงที่เมกาใหม่ๆ หักค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าวีซ่าไปแล้วก็เหลือติดตัวกันมา $4000 กว่าเหรียญนะ คืออยู่เมืองไทยก็อยู่แบบสบายๆไม่ขัดสน ไม่เดือดร้อนอะไรเท่าไหร่ (หมดไปช่วงเดือนแรกๆเลยเพราะเอาไปซื้อรถมาขับ)

ตอนแรกก็คิดว่า ประสบการณ์การทำงานก็พอมี คงไม่ได้ยากเย็นเท่าไหร่กับการหางานที่นี่ เอาเข้าจริง ไม่ว่าจะงานสายการบิน งาน fastfood งานร้านอาหาร งานห้าง สมัครไปไม่เห็นจะเรียกซักที่เลยอ่ะ และคงเป็นเพราะเมืองที่อยู่มันเล็กๆ งานก็ไม่ค่อยมีความหลากหลาย งานสายการบินที่สมัครไปอย่างน้อยใกล้สุดคือ Oakland ซึ่งก็ต้องขับรถไปเกือบชั่วโมงแน่ะ ที่รับสมัครเยอะๆในเมืองที่อยู่ก็เป็นพวก Health Care ต้องไปเรียนก่อนถึงจะออกมาหางานได้ อ่ะ จะเอาตังค์ที่ไหนมาลงเรียนล่ะช้าน งานการก็ไม่มีทำ

ที่งงไปกว่านั้น คือ แล้วลูกล่ะ จะทำยังไง? ค่า day care ที่นี่อย่างแพง จะให้ไปทำงานที่เดย์แคร์ ก็ไม่ค่อยมีให้ไปทำด้วย จะเอาแต่แบบว่ามีประสบการณ์มาแล้วมั่ง จบคอร์สมาแล้วมั่ง คือจะให้ไปลงคอร์สเรียนก็ได้ แต่ระหว่างเรียนใครจะดูลูกก็เป็นปัญหาอีก เพราะสามีก็ทำงาน แล้วงานของสามีก็ไม่แน่ไม่นอน บางทีต้องไปค้างที่ต่างเมืองเป็นอาทิตย์ๆ อย่างคราวที่แล้วก็ไปฮาวายทั้งเดือนเงี้ย! ตารางงานก็รู้ทุกวันศุกร์ ไม่มีทางรู้ล่วงหน้า บางอาทิตย์ก็ไม่ได้ทำซะงั้น คือบริษัทไม่การันตีชั่วโมงให้น่ะ แถมรถมีคันเดียวอีกด้วย สรุปแล้วก็ไม่รู้จะทำไงกับชีวิต เซ็งจิตอยู่กับบ้าน (ถ้าสามีไปต่างเมืองเป็นอาทิตย์เรากับเจ้ายุ่งก็ตามไปด้วยนะคะ ไปอยู่โรงแรม กลิ้งไปกลิ้งมา) เฮ้อ.....


แย่กว่าเดิมคือเรื่องวัคซีนลูก ไคญ่าวัคซีนขาดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ คือหยุดรับวัคซีนไปตั้งแต่อายุได้ 7 เดือน เรื่องของเรื่องคือไม่มีประกันสุขภาพ สมัคร Medical ไปแล้วก็ไม่ผ่าน สมัคร Healthy Families ไปก็ยังเงียบอยู่ เศร้าใจ สามีก็ชอบบ่นเจ็บหัวใจ นี่ถ้าอยู่เมืองไทยก็ได้วัคซีนครบไปแล้ว สามีป่วยหรอ ก็พาไปโรงพยาบาลได้แบบไม่ลังเล ตอนธันวา ไคญ่าตกเตียง คลำที่หัวเจอก้อนนิ่มๆ จะพาไปหาหมอก็คิดแล้วคิดอีก เพราะมันไม่มีจริงๆ ค่ารักษาพยาบาลที่นี่โหดคอดๆ ถามว่าพาไปก่อนเรื่องอื่นค่อยคิดทีหลังได้มั้ย ก็ได้ แต่คงต้องติดอยู่ที่นี่ไปอีกแสนนานเพราะต้องผ่อนค่ารักษาพยาบาล (ดีว่าตอนนั้นได้เพื่อนที่เป็นหมอเด็กที่ไทยบอกว่ามันแค่หัวโนเฉยๆ ให้รอดูอาการก่อน ว่ามีซึมมั้ย อ้วกมั้ย สุดท้ายไม่มีก็ค่อยยังชั่ว)

ถามว่าทำไมไม่ให้สามีเปลี่ยนงาน ที่มันเอื้อให้เราไปทำงานได้ล่ะ อยากค่ะอยาก อยากมาก แต่งานหายากยังกะขุดทองในเหมืองร้าง ไอ่งานที่ได้มานี่ถ้าไม่เพราะแม่เค้าทำอยู่แล้วก็ไม่รู้จะไดรึปล่าว เนื่องด้วยสถิติคนว่างงานของรัฐแคลิฟอเนียร์สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั้งประเทศรวมกันเสียอีก (เพื่อนบอกมา) ก็เลยเป็นอย่างเนี้ย

อีกอย่างนึงที่บอกว่าจะลงไปเรียนที่แคมปัสก็ไม่ได้ไปแล้ว เพราะ Campus อยู่ที่ San Dimas ใกล้ๆ LA นู่น คือถ้าไป เค้าก็ต้องไปหางานใหม่ แถมต้องไปเช่าอยู่เองด้วย งานจะได้รึปล่าวก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ทำไงล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นคือทางโรงเรียนมาบอกว่าเค้าโดนตัด Student loan นะ เพราะไม่จบภายใน 4 ปี เอาเข้าไป แต่ก็ยังเรียนออนไลน์ได้เหมือนเดิม สรุปแล้ว ไม่มีประโยช์อันใดที่มาที่นี่เลย เรียนอยู่เมืองไทยเหมือนเดิมก็ได้ ทำงานไปเรียนไปอย่างเดิม

นั่นแหละค่ะ ไอ่ที่ร่ายยาวมาทั้งหมด ก็เป็นสาหตุให้เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว เรามานั่งคุยกัน สามีเปิด FB ดูรูปโรงเรียนเก่าที่เค้าเคยสอนมีกีฬาสี เพื่อนๆบริษัทเก่าที่เค้าเป็น Camp Director ไปเที่ยวกัน แล้วคิดถึงเมืองไทยขึ้นมาจับใจ ก็เลยมาบอกเราว่า คิดถึงเมืองไทยอ่ะ อยากกลับเมืองไทย หลังจากประเมินทุกอย่างแล้ว ก็แบบว่า จะมาลำบากอยู่ที่นี่ทำไมเนี่ย กลับไปเมืองไทยก็เรียนได้ ไหนๆก็ไปเรียนที่ Campus ไม่ได้อยู่แล้ว แถมไม่ได้ตั้งใจจะซื้อบ้านอยู่ที่นี่ด้วย

(จริงๆ ตอนมาถึงใหม่ๆ เราก็แอบคิดนิดๆนะ ว่าไม่แน่ก็อาจจะซื้อบ้านอยู่นี่ไม่กลับไทยละ โรงเรียนก็เรียนฟรี การเรียนการสอนดีกว่าที่ไทยเยอะ แต่สามีบอกว่า ถึงโรงเรียนที่ไทยจะสอนแบบให้ลูกจำ แต่เราเป็นพ่อแม่ เราก็สอนให้ลูกคิดเป็นได้ เค้าเป็นอเมริกัน เค้าก็จะสอนลูกให้มีอิสระทางความคิดเหมือนคนอเมริกัน ในขณะที่เราก็ต้องสอนวัฒนธรรม มารยาทความเป็นไทยให้ลูก)

สู้กลับไปอยู่ไทยดีกว่ามั้ย เราจะได้ออกไปทำงานได้อย่างที่เราอยากทำ ไม่ต้องมาติดแหง็กอยู่แต่บ้านแบบนี้ เค้าเองก็คิดถึงงานสอน คิดถึงนักเรียน แถมตอนก่อนจะออกมา ทาง ผอ. ก็เคยบอกไว้ว่ายินดีต้อนรับกลับเสมอ ถ้ากลับไปเมืองไทย ลูกก็จะได้รับวัคซีนครบ เจ็บป่วยเมื่อไหร่ก็มีเงิน มีปัญญาไปหาหมอได้ ไม่ต้องมานั่งจ่ายค่าประกันสุขภาพทุกเดือนๆ ทั้งๆที่ไม่ป่วยอยู่แบบนี้ (ตอนนี้ก็ไม่ได้จ่ายนะ เพราะไม่มี 55) ใช้ชีวิตง่ายๆเหมือนเดิม อยากกินไรก็ได้กิน เดินห้าง ขึ้นรถเมล์ อยากไปไหนก็ไปได้ง่ายๆ

คือที่เมืองไทยมีคอนโดของแม่อยู่แล้วอ่ะ กลับไปก็ไปช่วยแม่ผ่อนเหมือนเดิมไม่แพงเท่าไหร่ แถมเป็นส่วนตัว เพราะแม่กับพ่อเราอยู่ ตจว. คอนโดนี้ซื้อไว้ตอนก่อนเราแต่งงานนิดเดียว หลังจากเรามานี่แม่ก็ได้ย้ายกลับไปทำงานที่บ้าน

กลับไปเมืองไทย ทำงานไปซักหน่อยเราก็คงจะต่อโทได้ อยู่ที่นี่จะได้ต่อมั้ย ดูจะมองไม่เห็นอนาคต มาถึงตอนนี้ไอ่สัญชาติที่เคยอยากได้ก็ดูจะไม่มีความหมายเท่าไหร่ ไว้แก่ๆแล้วเปลี่ยนใจอยากมาอยู่นี่ค่อยให้ลูกขอให้ หรือค่อยขอใหม่ก็ยังได้อยู่ ตอนนี้ใช้ชีวิตสบายๆ มีความสุขดีกว่ามั้ย ชีวิตมันหดหู่เหลือหลายอ่ะอยู่ที่นี่

ก็คิดๆไว้ว่า ไม่แน่พอลูกโตเข้ามหาลัย อาจจะส่งกลับมาเรียนที่เมกาก็ได้นะ เพราะโอกาสมันเยอะกว่า เค้าทำงานได้ทั้งที่เมกา และที่ไทยเลย ก็คงแล้วแต่เค้าจะเลือก (ป๊าดด....มองการณ์ไกล ลูกเพิ่งจะครบขวบไปเมื่อ 6 วันที่แล้วนี่เองนะ)


เฮ้อ....บ่นมาย๊าว ยาว ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเราพล่ามนะคะ
กลับดีมั้ยน้อ

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ



Create Date : 21 มกราคม 2555
Last Update : 21 มกราคม 2555 10:20:31 น.
Counter : 887 Pageviews.

9 comment
ฮาว๊าย ฮาวาย ตอนที่ 1
27 DEC 11 [00:15]

เกิดอาการนอนไม่หลับเนื่องจากตอนเย็นกินแค่ Mc Chicken อันเล็กๆไปหนึ่งชิ้น เฟรนซ์ฟราย ซื้อ Large มาก็จริง แต่คุณสามีชิงฟาดเรียบ :( ไอ่เราก็มีพาเฟ่ต์เหลืออยู่ คุณสามีผู้แสนดี ก็อาสาคลุกเคล้าให้และทดสอบอาหารเป็นพิษให้เกือบครึ่งถ้วย! ฮึ่มมมมมมม

ไงล่ะ พอกลับมาเมกาแล้วเจริญอาหารเชียวนะ บอกให้ไป work out ก็ไม่เชื่อ เดี๋ยวก็ได้เป็น ซานตาครอสจริงๆหรอก ชิ!

พอกินไม่อิ่มก็นอนไม่หลับ เลยต้องมาอะไรกินตอนเที่ยงคืน!! ปรากฎว่าก็ได้ข้าวผัด กับไก่ส้มทอด (Orange Chicken อาหารจีนอ่ะ แปลเป็นไทยไม่รู้ว่าจะเรียกอะไร แหะๆ) ที่แม่สามีเหลือเก็บไว้ในตู้เย็นมากิน เอิ้ก.....เอาเท่าไหร่ ไม่อ้วนเอาเท่าไหร่....(ยังจะกินคู่กับเป๊บซี่อีกแนะ ช่างกล้า)


เอาน่ะ เอาเป็นว่า กินไปเล่นเนตไป ได้อ่านบล็อกเพื่อนแล้วก็ระลึกได้ว่าเราไม่ได้อัพบล็อกมาหลายอาทิตย์แล้วนา วันนี้มาอัพเรื่องฮาวายดีก่า เดี๋ยววันหลังค่อยอัพเรื่องคริสมาสตร์เนาะ


เรื่องของเรื่องคือบริษัทส่งสามีและแม่สามีไปทำงานที่ฮาวายเดือนนึง ไอ่เราผู้ซึ่งไม่มีงานทำและขับรถไม่เป็นก็จำต้องติดสอยห้อยตามไปด้วย มิฉะนั้นคงอดตายอยู่ที่นี่ ค่าตั๋วก็ไม่แพงเร๊ยยย (กัดปากสุดฤทธิ์) ประมาณ $660 ก็เกือบๆสองหมื่นบาทไทยเอง T^T ทำไงได้อ่ะ...จำเป็นง่ะ ดีนะว่าสามีได้ค่าอาหารจากบริษัท ตกเป็นเงินวันละ $25 แล้วแม่สามีก็ช่วยออกค่าตั๋วให้อีกครึ่งนึง เราเลยได้ไปด้วย


และเนื่องจากเราต้องออกค่าตั๋ว(ของเรา)เอง ของสามีและแม่บริษัทออกให้ ทำให้เราไม่ได้บินไปพร้อมกัน เพราะวันที่เค้าบินกันมันแพงกว่าเกือบเท่าตัว เราเลยบินสองวันหลังจากสามีบิน กลายเป็นประสบการณ์บิน 5 ชั่วโมงรวดครั้งแรกสองคนกับเจ้าตัวเล็ก ซึ่งคุณไคญ่าเค้าอายุน้อยกว่า 2 ขวบ ยังถือเป็น Infant ก็เลยไม่เสียค่าตั๋วแต่อย่างใด เสื้อผ้าเราแพ็คไปกับสามีแล้ว เหลือแต่เรา ไคญ่า คาร์ซีท และรถเข็น รวมทั้ง Laptop เรา กระเป๋าผ้าอ้อม อาหารเด็ก....เอ๊ะ ชักเหลือเยอะ แฮะ 555+

วันเดินทางก็เลยต้องไปนอนบ้านเพื่อนสามี เพราะจะให้เค้าไปส่งที่สนามบิน เราบินจาก Oakland กับ Hawaiian Airline ค่ะ บินตรงรวดเดียวไป Honolulu เลย ปัญหาคือ ชั้นจะทำยังไงถ้าอยากเข้าห้องน้ำล่ะเนี่ย แถมไคญ่าก็ไม่ใช่เด็กเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้ ตอนนี้แข็งแรงดิ้นได้ ดิ้นดี เสียงดังด้วย ถ้าจับให้นั่งเฉยๆ คุณเธอร้องยังกะถูกเชือดแน่ะ เฮ้อ.....เอาน่ะ เป็นไงเป็นกัน พอขึ้นเครื่องก็เจอแจ็คพอต คนนั่งข้างเราเป็นคุณยายท่าทางใจดี แล้วเธอก็ใจดีจริงๆ เคยเป็นพยาบาลมาก่อน มีหลานมาแล้ว 3 คน (เสร็จเรา ฮี่ๆ) พอเครื่องเริ่มถอยเราก็จับไคญ่าเข้าเต้า ได้ผล หลับคร่อก แจ็คพอตกว่านั้น คุณเธอหลับไป 3 ชั่วโมงรวด ฮิ้ววววววววว

ตื่นมาก็เล่น คุณยายก็มาเล่นด้วย ไม่มีการร้องไห้งอแง ให้เราลำบากใจ ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ

พอถึงสนามบินก็มีเพื่อนที่เคยไปมิชชั่นทริปที่เมืองไทยมารอรับ ตอนแรกกะว่าจะรอคุณสามีมารับที่สนามบิน แต่ตอนไปถึงนั่นมันแค่บ่ายโมง ไอ่ครั้นจะรอ 2-3 ชั่วโมงก็คงจะน่าเบื่อมว๊ากกก ถามเพื่อนว่ามาสนามบินยังไง เค้าบอกว่ามารถเมล์ ป่ะ เมล์ก็เมล์ คิดถึงจะแย่แล้วเนี่ย รถเมล์ ตั้งแต่มาเมกายังไม่ได้ขึ้นซักครั้งเลย ค่ารถเมล์จาก สนามบินไป Waikiki Beach ก็ไม่แพงเท่าไหร่ $2 (คิดเป็นเงินไทยก็แพงอยู่เนาะ ตั้ง 60 บาท) โรงแรมเราชื่อ Ohana West อยู่บนถนน Kuhio

(ชื่อถนนที่ฮาวายนี่เรียกอย่างยาก ส่วนมากเริ่มด้วยตัว K ไอ่ถนนที่อยู่ติดหาด Waikiki ชื่อว่า Kaluakawa ส่วนมอลล์ที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ชื่อ Alamoana Center)

ก่อนมาฮาวายก็คิดถึงภาพ เกาะ และ เกาะ และเกาะ น้ำทะเล ลิงไต่ต้นมะพร้าว (เย้ย) มันคงเป็นอะไรที่สวยแบบเกาะ คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นหรอก เฮ้อ... ชั้นอยู่ Tracy ก็บ้านนอกอ่ะ มาฮาวายก็บ้านนอกอีก แบบว่าคงได้แต่นอนดูน้ำทะเลทั้งวัน เฮ้อ...คงสวยจริง แต่ก็คงน่าเบื่อ

แต่พอรถเมล์วิ่งออกมาจากเขตสนามบินเท่านั้นแหละ เอ๊ะ อะไรกัน โรงงานอุตสาหกรรม เอ๊ะ นั่นอะไร China Town อ๊ะ นั่นห้างนี่ เอ๊ะ walking street อ๊ะ (ตาเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ) สภาพบ้านเมืองเหมือนที่สิงคโปร์เลย อ๊ะ กรี๊ดดดดดดดดด ชั้นอยู่ในเมืองแล้วววววว

(คือต้องเข้าใจนะคะว่าที่ Tracy นี่มันเป็นเมืองแบบว่า เงียบๆ ออกแนวบ้านนอกนิดหน่อย ก็มีห้างแหละ แต่เราขับรถไม่เป็นก็ไปไหนไม่ค่อยได้ พอมาเจอห้างและร้านโปรดในระยะ walking distance เลยตื่น ออกแนวบ้านนอกเข้ากรุงอ่ะ 55)

รถยังวิ่งไปไม่ถึงโรงแรมเลย เราออกอาการเห่อสุดฤทธิ์เพราะคิดถึงเมืองไทย ที่ กทม เราอยากไปไหนก็นั่งรถเมล์ไปได้ตลอด ที่เทรซี่ไม่มีรถเมล์ แต่ฮาวายมีรถเมล์!!! เราเลยบอกเพื่อนว่า ชั้นอยากย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วเนี่ย อากาศก็กำลังดี ไม่หนาวมากแหมือนแคลิฟอเนียร์ตอนนี้ (ก่อนมาฮาวายหนาวประมาณ 4 องศาได้) บ้าเห่อ....

ลงรถเมล์ก็เดินต่ออีกหน่อย ระหว่างทางก็มีร้านขายของน่าเดินเต็มไปหมด ที่สำคัญมี Ross ด้วย!!!!! น่าไปเดินเล่นที่สุด อิอิ จนถึงโรงแรมก็ได้เจอหน้าคุณสามีสุดที่รักซะที จุ๊บๆ

To be continue นะคร้า จะตี 1 แย้ว ไปนอนก่อน เดี๋ยวมาต่อพรุ่งนี้นะค้า



Create Date : 27 ธันวาคม 2554
Last Update : 27 ธันวาคม 2554 15:40:30 น.
Counter : 957 Pageviews.

3 comment
สวัสดิการดีๆจากรัฐ California : ในวันที่เราเริ่มตั้งตัว
Oct 3nd 2011 [00:03]

นั่งเล่นเนตเป็นเพื่อนสามีทำการบ้าน อิอิ

เข้าพันธุ์ทิพย์ไปเกือบสิบรอบ เข้าๆออกๆ Facebook จนมันไม่อัพเดทอะไรให้แล้ว นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะมาอัพบล็อกนี่นา ไม่ได้เขียนมาหลายวัน มาอัพหน่อยก็ดี


ตอนนี้ก็มาอยู่ที่นี่ได้ประมาณ เดือนครึ่งแล้วค่ะ ยังรู้สึกไม่ชินเท่าไหร่ ยังติดความรู้สึกเหมือนมาพักร้อน อีกไม่นานก็กลับไทยอยู่เลย

เข้าเรื่องดีกว่า พวกเรามาที่นี่ด้วยเงินเก็บจากไทยไม่เท่าไหร่ค่ะ ประมาณแสนกว่าๆ ได้วีซ่าปุ๊บก็รีบมาเลย เพราะคุณสามีจะได้มาจบเทอมสุดท้ายที่ Campus ใช้เวลาน้อยกว่า Online เยอะ เพราะไม่แน่ใจว่าคลาสออนไลน์ที่้ต้องการจะเปิดเมื่อไหร่ และเหลืออีกไม่กี่ตัวก็หมดแล้วด้วย ส่วนเรื่องทำงาน คุณสามีก็คุยๆกับแม่ไว้แล้ว แล้วแม่ก็ติดต่อเจ้านายให้ว่าถ้ามาถึงก็จะให้เริ่มงานได้ทันที หลังจากกลับจาก Ohio ก็เลยเบาใจว่ายังไงก็มีงานรออยู่น่า ไม่อดตายหรอก เราก็ป่ะ ไปก็ไป ก็ลาออกจาก Air Asia ซะ :(

วันที่ไปยื่นใบลาออก ก็ต้องไปคุยกับพี่นก BKK Station Manager คนที่เป็นคนสัมภาษณ์เราวันแรก คนที่บอกเราว่าเค้าชอบบุคลิกเรานั่นแหละ พอเห็นหน้าพี่นก เราก็น้ำตารื้นขึ้นมาทันทีเลย พี่นกก็บอกว่า โอเค พี่อนุญาตนะ เพราะว่าเราต้องย้ายตามครอบครัวไปใช่มั้ย แล้วมองหน้าเรา

เราก็พยักหน้าพร้อมกับน้ำตาไหลพรากๆ ฮือๆ ร้องไห้ในที่สาธารณะซะแร้วช้านน พี่นกก็ถามว่าทำไมอ่ะ ไม่อยากไปหรอ.... ตอนแรกมันก็อยากไปอ่ะนะ แต่พอได้ทำงานที่นี่ ได้เจอที่ๆคิดว่าเราจะได้สนุกสนานกับการทำงาน มีเพื่อนร่วมงานดีๆ อีกครั้งมันก็อดเสียดายไม่ได้ ไปที่นู่นจะได้เจอแบบนี้อีกมั้ย พี่เค้าอุตส่าห์รับเราเข้าทำงานแท้ๆ พอต้องมาลาออก ก็เลยไม่อยากจะไปซะอย่างนั้นอ่ะ เฮ้อ แต่ทำไงได้ ตั๋วเครื่องบินก็ซื้อไว้แล้ว ญาติๆที่โน่นก็รอเจอหลาน ยังไงก็ต้องไปล่ะนะ

อ่ะ ออกทะเลไปไกลโข กลับเข้าฝั่งได้แล้ว ฮี่ๆ

มาถึงปุ๊บ หลังจากกลับจากพาน้าไปทัวร์ Road Trip แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาหารถมือสองกันทันที เพราะว่าต้องใช้ไปทำงาน อยู่ที่นี่ถ้าไม่มีรถก็เหมือนไม่มีขาเลยทีเดียวล่ะ ที่นี่เราเห็นมีป้ายรถเมล์ด้วย แต่ยังไม่เคยเห็นรถเมล์ซักคน ไม่รู้ต้องรอกี่ชาติถึงจะได้ขึ้นนะ 55

ใช้เวลาหารถกันประมาณเกือบสองอาทิตย์ สุดท้ายก็ได้มาคันนึง Toyota Corola DX ปี 95 (แอบเก่า T^T) สีขาว ถึงจะหลาย(สิบ)ปี แต่ด้านในก็ยังกิ๊งอยู่นะ อย่างน้อยก็มีกระจกไฟฟ้า กะเซ็นทรัลล็อคหละ อ่อ มีCD player ด้วย ไม่รู้ว่าถ้าซื้อที่ไทยจะราคาเท่าไหร่ แต่มาที่นี่จ่ายไป $3300 ก็ประมาณ 99,000 บาท เจ้าของเป็นชาวเวียดนามที่เป็น Citizen สามีบอกเห็นว่าคนเอเชียก็เบาใจหน่อย เพราะส่วนใหญ่จะรักษารถกว่าคนเมกัน ซึ่งก็น่าจะจริงแหละ ที่นี่เราจะเห็นรถยุบหน้ายุบหลังวิ่งบนถนนบ่อยมากกก ประมาณขับไปชนเสามาก็ปล่อยมันเป็นงั้นแหละ บางทีขี้เกียจซ่อมก็ขายต่อมันซะเลย ไปซื้อใหม่เอา เพราะมันไม่แพงเท่าไหร่


หลังจากจ่ายค่ารถไป สามีก็ต้องไปต่อใบขับขี่ แถมซื้อประกันนู่นนั่นนี่ เงินเก็บที่สะสมมาหายไปในพริบตา ได้รถมาแล้วเราก็ยกโขยงกันนั่งเครื่องไป Ohio เพราะน้องสาวสามีเพิ่งคลอดลูกสาว คุณแม่สามีก็เลยได้เป็นย่า มีหลานสาวสองคนพร้อมกันในปีเดียว เจ๋งป่ะล่ะ! Family time ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ได้เวลาบินกลับมาทำการทำงานกันแล้ว แต่ค่ะ แต่......


ไอ่ที่คิดไว้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่รู้เกิดเหตุขัดข้องอันใด งานที่คิดว่าจะเริ่มก็ยังไม่ได้เริ่มซะที เจ้านายของหม่อมแม่ผลัดไปนู่นนั่นนี่เรื่อย อาทิตย์ดันไปพักร้อนอีกตะหาก หลอกคุณสามีเรารอ ไม่ได้ไปสมัครงานที่อื่น เพราะเค้ารับปากว่าจะได้ทำที่นี่ เอาล่ะสิ งานเข้าล่ะทีนี้ เงินที่เก็บมา จ่ายค่าเบี้ยประกันรถไปแล้วด้วย แถมค่าข้าว ค่าแพมเพอร์ส...ตอนนี้เหลือแค่สองร้อยกว่าเหรียญเท่านั้นเอง!!!!!!!! แง....

ตั้งแต่เมื่อวานนี้เลยช่วยคุณสามีหางานเป็นว่าเล่น เราเองก็เกรงใจแม่สามี เค้าก็แสนจะดี๊ดี ออกให้แทบทุกอย่าง ไอ่ที่ต้องจ่ายเอก็มีแค่ค่าน้ำมันของรถพวกเราเวลาจะเอาไปไหน นอกนั้นจะกินจะอะไรออกให้เกือบหมด ทั้งๆที่เค้าก็ไม่ได้เป็นคนมีเงินอะไรมากมาย แต่เพื่อลูกชายอ่ะนะ เฮ้อ

ร่ายมาซะยาว ก็อย่างที่บอกไปแหละค่ะ ครอบครัวเราเลยนับว่าอยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว เรียกได้ว่า start over เริ่มต้นใหม่เลยล่ะ เพราะต่างคนต่างทิ้งหน้าที่การงานดีๆมาที่นี่ แต่ไหนๆก็มาแล้วก็ต้องเอาให้รอดล่ะ

สถานะตอนนี้ของครอบครัวเราคือ "จน" ฮับ เพราะไม่มีใครทำงานซักคน รถก็มีคันเดียว เราเองก็ยังไปทำงานไม่ได้ เพราะต้องเลี้ยงลูก เจ้าตัวนี้ยิ่งโตยิ่งยุ่ง 8 เดือนแล้ว ทั้งคลาน ทั้งเกาะเดิน กรี๊ดกร๊าดมากมาย

เวิ่นเว้ออีกละ จะได้ความรู้มั้ยเนี่ย โอเค ในเมื่อเรา "จน" ทางรัฐแคลิฟอเนียร์ก็มีสวัสดิการต่างๆ ที่คอยช่วยเหลือ แล้วสวัสดิการที่นี่คือเต็มที่จริงๆ ไม่มีกั๊กเหมือนบ้านเราแต่อย่างใด อันแรกที่เราต้องสมัครก่อนก็คือ ไคญ่าต้องมีประกันสุขภาพก่อน เพราะว่าต้องยังต้องรับวัคซีนอีกหลายตัวจนกว่าจะโต แน่นอนว่าเราคงไม่มีปัญญาจ่ายตอนนี้ เพราะครั้งต่อไปที่ควรจะไปพอหมอคือ 9 เดือน (เดือนหน้า)

หลังจากศึกษาข้อมูลต่างๆแล้วก็ได้เจอกับตัวนี้




โปรแกรมนี้จะเพื่อเด็กโดยเฉพาะ พอสมัครให้ไคญ่าไปแล้วก็ปรากฎว่าได้บัตร Medi-cal มา เท่าที่ไปถามที่คลินิคก็บอกว่าเป้น No-cost นะ เราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เวลาที่พาไคญ่าไปรับวัคซีน เพียงแค่โทรไปนัดวันเวลากับหมอ ตามรายชื่อที่เค้าให้มาก็พอแล้ว ยอดเยี่ยม!!

ขั้นตอนการสมัครก็ไม่มีอะไรมาก เข้าไปที่ link นี้เลยค่ะ

https://www.healtheapp.net/

เป็นลิงค์ที่เป็น E-Application เข้าไปก็กรอกข้อมูลตามที่เค้าขอมา เอกสาเพิ่มเติมที่เค้าจะขอก็คือใบเกิดของลูกและใบยืนยันถิ่นที่อยู่ค่ะ ว่าเราอยู่ใน county ไหน เพื่อที่เค้าจะได้ส่งเรื่องไปให้ county ดำเนินการต่อได้ค่ะ

แต่ไม่รู้ว่าจะครอบคลุมไปถึง Dental ด้วยรึปล่าว เดี๋ยวคงต้องถามทางเจ้าหน้าที่อีกที เพราะตอนนี้ไคญ่ามีฟัน 4 ซี่แล้ว อีกไม่นานคงต้องพาไปเคลือบฟลูออไรด์ แล้วค่าทำฟันที่นี่แพงมหาโหดอ่ะ

โปรแกรมที่สองนี่เจ๋งสุดๆ ตามภาพเลยค่ะ



แง่ก...ตีหนึ่งแล้ว ขอมาอธิบายต่อพรุ่งนี้แล้วกันค่ะ วันนี้ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ ไม่ไหวละ ฝันดีค่า

-------

เช้าแล้ว (เอ่อ อันที่จริงเที่ยงแล้ว อิอิ)

มาต่อกันดีกว่า อย่างภาพที่เห็นด้านบนโปรแกรมนี้มีชื่อว่า WIC ย่อมาจาก Women Infant and Children เป็น Nutrition Program ที่ช่วยเหลือทางด้านอาหารแม่และเด็ก รวมไปถึงคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย การดำเนินการอาจแตกต่างกันไปเล็กน้อยตามแต่ละรัฐค่ะ

(ที่บอกว่าต่างเพราะน้องสาวสามีก็เพิ่งไปสัมภาษณ์ก่อนเรา (Ohio) ปรากฎว่าเค้าเจาะเลือดตรวจ Blood work ให้เลย แต่ของเราต้องไปโรงพยาบาลเอาผลตรวจมาให้เค้าเอง แต่เราก็ยังไม่ได้ให้เพราะไม่มีประกันสุขภาพ)

วิธีการสมัครก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพียงแต่หาข้อมูล สถานที่ตั้งของ WIC ในเมืองที่เราอยู่ แล้วก็ walk-in เข้าไปสมัครได้เลยค่ะ เค้าจะถามข้อมูลเบื้องต้นจากเราเล็กน้อย แล้วจะนัดหมายวันสัมภาษณ์อีกที พร้อมให้ list เอกสารที่เราต้องนำมาวันสัมภาษณ์แนบมาด้วย

พอถึงวันสัมภาษณ์ก็สบายๆ พาคุณลูกไปด้วย แถมสามีด้วยก็ได้ (แอบเห็นว่าคนที่มารอนัดวันนี้ มีแต่เม็กซิกันทั้งน้านน พูดภาษาสเปนกันโขมงโฉงเฉง) พอไปถึงเค้าก็จับเรานั่งดูวีดีโอเกี่ยวกับโปรแกรมและวิธีการใช้ WIC checks อ้างอิงตามวีดีโอ ตอนนี้ทางอเมริกากำลังสนับสนุนนมแม่ ดังนั้นหากคุณแม่ท่านไหนยังคงให้นมแม่อยู่ ก็จะได้รับมูลค่าและปริมาณอาหารที่สามารถซื้อได้ในเช็ค มากกว่าคุณแม่ที่ให้นมผง เพราะร่างกายต้องการสารอาหารมากกว่าเพื่อจะนำไปผลิตน้ำนม และเจ้าหน้าที่บอกเพิ่มเติมอีกว่า ทางแคลิฟอเนียร์กำลังจะเปลี่ยนกฎใหม่ สำหรับแม่ที่เพิ่งคลอดลูกเดือนแรก หากตั้งใจจะไม่เลี้ยงนมแม่ ทาง WIC ก็ไม่ให้เช็คสำหรับซื้อนมผงในเดือนแรกค่ะ เป็นการบังคับทางอ้อมเพื่อให้แม่เลี้ยงนมแม่อย่่างน้อยก็เดือนแรกนั่นเอง

พอจบวีดีโอ ก็เข้าไปชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูงทั้งแม่ทั้งลูก
ไคญ่า 8 เดือนนิดๆ ก็สูง 27 นิ้ว หนัก 17.9 pound
ส่วนเราส่วนสูงก็เท่าเดิมแต่ต้องคิดเป็น ฟุต ประมาณ 5.35 ฟุต อะไรประมาณนั้น ยังคงงงๆกับมาตราวัดที่นี่อยู่ 55 ยังไม่คุ้น ส่วนน้ำหนักตอนนี้ลดมาเหลือ 108 pounds ก็ประมาณ 49 kg แล้วค่ะ ลดลงมาจากตอนก่อนท้องอีก เพราะก่อนท้องหนัก 54 kg อิอิ ถือว่าโชคดีไป ลดได้เยอะ อิอิ

เสร็จแล้วก็ไปสัมภาษณ์นิดๆหน่อยๆ ก่อนที่เค้าจะให้เช็คเรามา มันเป็นเช็ครายเดือนนะคะ วันที่เริ่มใช้ได้ก็คือวันที่เรารับเช็ค สิ้นสุดวันที่เดียวกันในเดือนถัดไป จากนั้นก็ไปรับของรอบใหม่มา สามารถใช้ได้แทบทุกที่ที่รองรับ WIC ซึ่งที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Walmart,Winco Food,Safeway,Savemart etc. ก็รับหมดอ่ะค่ะ แต่ในเช็คก็จะมีข้อจำกัดที่เราต้องคอยดูด้วยว่าอาหารประเภทไหนซื้อได้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นพวกนม ขนมปัง ไข่ ผัก ผลไม้ ชีส อาหารเด็กค่ะ จะไม่มีให้ไปซื้อเนื้อ (เสียดายจัง เง้อ) แต่ในขณะเดียวกัน เค้าก็จะจำกัดประเภทด้วย อย่างเช่นน้ำผลไม้จะซื้อได้เฉพาะที่เป็น 100% เท่านั้น ซื้อพวกปรุงแต่งเรื่อยเปื่อยไม่ได้

ซึ่งปริมาณอาหารและเช็คที่ให้มาก็พอสำหรับหนึ่งเดือนเลยอ่ะ เราว่า อย่างที่เพิ่งไปซื้อ Baby food มา เค้าก็จะกำหนดว่าให้ซื้อพวก ผัก ผลไม้ขนาด 3.5 oz ได้ 24 กล่อง หรือ 4 oz 20 กล่อง แล้วแต่จะเลือก ส่วน Baby meat 2.5 oz ให้ซื้อได้ 15 กล่อง อันนี้คือในเช็คแค่ 2 ใบนะคะ ยังมีแบบเดียวกันอีกประมาณ 2-3 ใบ

เอารูปมาโชว์สำหรับรอบแรกที่ไปซื้อก่อน



เรากะคุณสามีก็เลือกกันมันเลย อ๊ะอันนี้ไคญ่ายังไม่เคยกิน เอาอันนี้ อันนี้ด้วย 55 ต้องขอบคุณ US Goverment มากๆ สำหรับสวัสดิการดีๆที่ช่วยเหลือคนจนๆ (ชั่วคราว) แบบเรา

และที่จะขาดไม่ได้ก็ต้องขอบคุณประชาชนชาวอเมริกันทุกคนที่เสียภาษี เพราะเงินส่วนนี้แหละที่เค้านำมาเป็นสวัสดิการหมุนเวียนช่วยคนจน คนรายได้น้อย ในวันที่เราตั้งตัวได้แล้ว ได้ทำงาน ได้เสียภาษี เราก็รู้ว่าเงินที่เราเสียไปไม่ได้ไร้ประโยชน์ (เหมือนภาษีที่เมืองไทย T^T) เพราะมันจะไปจุนเจือให้อีกหลายๆครอบครัวที่ต้องการจะเริ่มต้น จะสร้างครอบครัวเหมือนเราได้รับความช่วยเหลือเช่นเดียวกัน :)

เอารูปสาวน้อย 8 เดือนกับ แดดดี้มาโชว์นะค้า รูปนี้ตอนไป โอไฮโอ เยี่ยมน้องสาว น้องเขย และหลานสาวค่ะ



คุณย่าพร้อมสองหลานสาว อายุห่างกัน 8 เดือน



วันนี้แค่นี้ก่อนเนาะ ขออนุญาตไปทานข้าวบ่ายก่อนนะค้า
เดี๋ยวยังมีอีกสวัสดิการมาเล่าใหอ่านต่อค่ะ

พระเจ้าอวยพรนะคะ



Create Date : 03 ตุลาคม 2554
Last Update : 4 ตุลาคม 2554 4:12:13 น.
Counter : 1224 Pageviews.

12 comment
1  2  

I'm in awe
Location :
Castro Valley,CA  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]



บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็นคนไกลบ้านแล้ว ก็ยังแต่งบล็อกไม่เป็นเหมือนเดิม อิอิ แวะมาแลกเปลี่ยนเรื่องราวด้วยกันบ่อยๆนะคะ ยินดีอย่างยิ่งหากเรื่องราวในบล็อกนี้เป็นประโยชน์ต่อคุณค่ะ :)
New Comments