ชีวิตที่เดินบนความเชื่อ 2
2 DEC 11 [11:48]

ว่าจะพาลูกออกไปเดินเล่นที่ Ross ก็มานั่งอัพบล็อกจนเจ้าตัวแสบหลับไปอีกรอบแล้วเนี่ย แหะๆ


ตั๋วเครื่องบินของแม่กับน้องสาวสามีเราเป็นคนจองให้ค่ะ เพราะเราทำงานสายการบิน และก่อนหน้านี้ก็ทำ Agency มา เราก็เลยรู้มากกว่า ว่าต้องทำยังไงอันไหนถูก เราก็หาๆไป จนไปเจอเว็ปเอเจนซี่เว็ปหนึ่ง (ของเมกา) ซึ่งได้ตั๋วราคาค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับเว็ปอื่น เราจองตั๋วได้ช้า เพราะต้องรอกำหนดวันแต่งให้เรียบร้อยก่อน ดังนั้นตั๋วที่ซื้อเลยจะราคาแพง ที่หามาได้นี่ก็คนละ $1400 ได้ ตีเป็นเงินไทยก็คนละประมาณ 42,000 ไปกลับ.....(แม่เจ้าแพงอ่ะ เพิ่งมานั่งนึกถึงตอนนี้ นี่เสียเงินค่าตั๋วไปเกือบแสนเลยนะ)

แม่เค้าก็ให้เลขบัตรเครดิตเรามา ตัวแม่เค้าไม่ได้มีตังค์เลย เค้าไม่แน่ใจว่าเงินในบัตรมีเท่าไหร่ ตอนเราจองเราก็ทำ booking ไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นตัดบัตรก็กรอกข้อมูลลงไป ไอ่เว็ปนั่นก็ตอบรับมาปกติดี คือ โดยทั่วไปแล้ว ถ้าเงินไม่พอมันจะ reject อัตโนมัติใช่มั้ยคะ แต่ไอ่นี้มันดันบอกว่าจะส่ง e-ticket ให้ เราก็วางใจว่าเรียบร้อยแล้ว วันต่อมาพอมันส่งตั๋วมาให้ทางอีเมล์ ปรากฎว่า ชื่อของน้องสามีไม่มีเลข e-ticket....เอาแล้วไง เราส่งอีเมล์ไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีเลข มันก็บอกว่ามีปัญหาทางเทคนิค ให้เช็คกับทางบัตรเครดิตเอง แต่นาทีนั้นเรารอไม่ได้แล้ว เราต้องรู้แน่นอนว่าเค้าได้ตั๋วกัน เราถึงจะสบายใจ เราเลยสายตรงไปเมกาเลย โทรไปหามัน

คนรับสายเป็นคนอินเดีย เราก็บอกว่ามันเป็นอย่างนี้ๆนะ ต้องทำยังไง เกิดอะไรขึ้น มันก็บอกว่า เงินในบัตรไม่พอ มันเลยตัดแค่ตั๋วใบเดียว ถ้าอยากซื้ออีกใบให้เพิ่มเงินในบัตร แต่ราคาไม่เท่าเดิมแล้วนะ (อ้าว....ไอ่เลว คนจะซื้อสองใบ ทำ booking พร้อมกัน ถ้ามันตัดไม่ได้ก็ทำไมไม่ reject ไปทั้งหมด มาตัดแค่ใบเดียวแบบนี้ได้ยังไง ใครจะไปรู้ ยังมีหน้าส่ง booking หลอกมาอีก นี่ถ้าคนไม่ได้ทำงานสายการบินมาก่อนก็ไม่รู้หรอกไอ่เรื่อง e-ticket เนี่ย เพราะทำชื่อ ทำเลขไฟลท์มาให้เสร็จสรรพ ถ้าเป็นผู้โดยสารทั่วไปก็คงปรินท์เอาไปเช็คอิน แล้วไปเจอว่าตัวเองไม่มีตั๋วในวันเดินทางนั่นแหละ ไอ่เลวววววววววววว)

เราเลยบอกให้มัน cancel ตั๋วน้องออก เราจะไปจองกับที่อื่น มันบอกว่าถ้าจะให้แคนเซิลออก จะมีค่าทำ $300 นะ.......สาดดดดดดดด บ้านเมิงเรอะ ชั้นทำเอเจนซี่มาชั้นรู้ได้มั้ย ไอ่เลวววววว แค่กด delete มันก็เสร็จแล้ว หน้าเงินๆๆๆๆ เกลียดมานนน สุดท้ายไม่รู้ทำไงเราก็วางไป ไม่ได้ทำอะไรมันเลย

จากนั้นก็ตัดสินใจโทรไปหา Delta airline ในเมืองไทยแทน (บิน delta กันค่ะ) บอกเคสให้เค้าทราบว่า ว่าจะมางานแต่งงานของเรานะ เป็นแบบนี้ ช่วยยังไงได้บ้างคะ เค้าก็ตัด booking น้องออกให้แล้วทำอันใหม่ไป (ฟรี!!!!!) ทีนี้ด้วยความที่ตั๋วมันบินออกมาจากเมกา เค้าตัดบัตรให้เราไม่ได้ เราต้องโทรไปจัดการเอง เราต้องสายตรงไปเมกา (แหงะ...ยากอีกแล้วอ่ะ) เราก็ต้องรอจนถึงเที่ยงคืน เพื่อรอให้บริษัทที่นู่นเปิด เพราะเวลาไม่ตรงกัน ก่อนวางเราก็ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก

พอเลิกงาน เราก็โทรสายตรงไปเมกาทันที ปัญหาเกิดอีกแล้วค่ะ (อะไรมันจะขนาดน้าน) เพราะเค้าใช้เครื่องตอบรับอัตโนมัติ ทีนี้ด้วยความไฮเทค เค้าก็ไม่มีให้กด 1 กด 2 เหมือนเมื่อก่อน เค้าให้พูดตาม คือจะเลือกอันไหนก็ repeat อันนั้น แต่ก็นะ สำเนียงเรามันก็ไม่ได้ native ขนาดนั้น เราต้องการจะพูดกับเจ้าหน้าที่มันต้องพูดว่า "Representative" ไอ่เราก็พูดตาม มันก็ตอบกลับมาว่า "Sorry,I didn't get that. Could you say it again.If you want to talk to the representative say "representative" bla bla bla เราต้องพูดอยู่ประมาณ 5 รอบ กว่ามันจะยอมแพ้ แล้วบอกให้เรากดเลือกว่าจะ 1 จะ 2 ( แหม..ให้เลือกแต่แรกก็จบไปแล้ว) ไอ่ขำมันก็ขำ แต่มันเครียดมากกว่าเพราะมันมี deadline ที่จะให้ตัดบัตร ถ้าเราช้ามันจะแคนเซิลไปเลย แล้วเราก็จะไม่ได้ราคาที่เค้าให้มาตอนแรก ซึ่งมันก็พอไหว

ระหว่างรอสายไปก็อธิษฐานไปด้วย พระเจ้าช่วยหนูทีเถอะค่ะ ให้มันสำเร็จด้วยค่ะ พอเจ้าหน้าที่รับสาย แจ้ง Booking เสร็จ จะตัดบัตร เค้าจะเอา billing address ด้วย เพื่อป้องกันตัวปลอมมาใช้บัตร เอาเข้าไป ไม่มีอีก เลยต้องวางแล้วโทรหาสามี สามีก็ให้ที่อยู่มา เราก็โทรกลับไปใหม่ ผ่านกระบวนการเดิม เถียงกับเครื่องตอบรับ พอได้พูดกับเจ้าหน้าที่ ก็แจ้งไป ปรากฎว่าอันนี้ไม่ใช่ ก็ไม่สำเร็จอีก ต้องโทรไปหาแม่สามีที่เมกา ขอที่อยู่ใหม่ พอได้มาก็โทรไป ปรากฎเงินในบัตรไม่พออีก ต้องวาง ต้องโทรไปให้แม่สามีเอาเงินไปเข้าแบงค์อีก เราโทรตั้งแต่อยู่สนามบิน จนกลับมาถึงคอนโด โทรๆวางๆ ต้องไปเติมเงิน เหนื่อยมาก ไหนจะสู้กับเครื่องตอบรับ ไหนจะต้องพูดภาษาอังกฤษ ไหนจะเครียดว่าจะได้ตั๋วหรือไม่ได้

บ่อน้ำตาแตก ร้องไห้อีกตามเคย พอกลับมาถึงคอนโดก็คุกเข่าอธิษฐานอีกแล้ว พระเจ้าขา เหนื่อยแล้ว ช่วยหนูทีเถอะค่ะ จนในที่สุดพอได้รับโทรศัพท์จากแม่สามีว่าเอาเงินเข้าแล้วนะ ก็โทรกลับไปหา delta อีกรอบ คราวนี้ ร้องไห้กับเจ้าหน้าที่ซะงั้น เล่าให้เค้าฟังว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่โดนหลอก ขอให้คราวนี้เค้าพยายามหน่อยนะ เงินไม่มีนะ แต่ว่าแม่สามีกับน้องต้องมางานแต่งให้ได้นะ เค้าก็เออออห่อหมก ไปกับเรา จนสุดท้ายเมื่อบอกเลขบัตรตัดไปทุกอย่าง แล้ว ผ่าน!! เราโฮกว่าเดิม ขอบคุณเค้ามากมายๆ วางเสร็จก็ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณที่ช่วยให้สำเร็จค่ะ เราจะได้วางใจซะที......


คิดว่าจบใช่มั้ยคะ ยังค่ะ มีดราม่ากว่านั้นอีก...

พอถึงคืนที่แม่กะน้องเค้าบิน เราก็คุยโทรศัพท์กันว่า เย้ คืนพรุ่งนี้จะได้เจอแม่เธอกะน้องเธอแล้วนะ เจอกันซะที ยังคุยกันตลกๆว่า คงไม่เดินหลงตอนเปลี่ยนเครื่องนะ เพราะเค้าไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้กัน ดีใจกัน วางโทรศัพท์ นอนหลับไป วันต่อมาสามีโทรมาปลุกแต่เช้า บอกข่าวร้าย....แม่สามีเขียนบน FB ว่าตกเครื่อง! ตกเครื่อง!!!!! อะไรนะ ตกเครื่อง พระเจ้าขา นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่อยากหนูจะให้เกิดขึ้นบนโลกเลยนะ หลังจากที่หนูไปฝ่าฟันมาแทบตายกว่าจะได้ตั๋วมา แล้วคลาสตั๋วที่ซื้อมานั่นก็คลาสต่ำสุดแล้วนะ ตังค์ก็ไม่มีแล้วนะ ตกเครื่องแบบนี้จะเอาเงินที่ไหนมาเป็นค่าเปลี่ยนตั๋ว

ร้องไห้แบบโฮสุดๆๆๆ พระเจ้า พระเจ้า ทำไมเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ขึ้นได้คะ ทำไม ทำไม ทำไมคะ??? ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ยังมีเหตุให้แย่ลงไปได้อีกหรอคะ เราโทรหา Delta ตอนนั้นเลย โทรของเมืองไทย เพราะออฟฟิศที่เมกาปิดแล้ว เพราะมันเป็นตอนกลางคืน ทาง delta เมืองไทยทำให้ไม่ได้ เพราะตั๋วออกจากที่นู่น แล้วถ้าจะรอให้ที่นู่นเปิด ก็อาจจะไม่ได้ตั๋วอีก อะไรมันจะขนาดนี้ เราส่งเมล์ไปให้เอเจนซี่เปลี่ยนตั๋วแม่เค้าให้ มันก็เปลี่ยนให้ แต่เป็น class business จาก ซานฟรานมานาริตะ แล้วจากนาริตะมากรุงเทพ มันทำคลาส Y ซึ่งเป็นคลาสที่แพงสุดของชั้นประหยัด ซึ่งหมายความว่า แม่จะต้องไปจ่ายค่าส่วนต่างที่สนามบิน บ้าไปแล้ว??? ชั้นธุรกิจกับ Y class เนี่ยนะ จะไปเอาเงินจากไหนมาจ่าย??? ถึงมีเรื่องแย่ขนาดนั้นเราก็ยังต้องแต่งตัวออกไปทำงาน ตลอดทางก็คิดตลอด คิดจนหัวแทบแตกว่าจะทำยังได้

ตอนนั้นที่รู้อย่างเดียวคือ ต้องอธิษฐาน พระเจ้า ช่วยด้วยค่ะ หมดหนทางแล้ว ถามใคร ใครก็บอกว่าทำไม่ได้ นั่งทำงานไปก็ร้องไห้ไป พี่ที่ทำงานมาถามว่าเป็นอะไร พอรู้เรื่องเค้าก็โทรไปถามเดลต้าให้อีกรอบ เค้าก็ยืนยันคำเดิมไม่ได้อย่างเดียว หมดหนทางแล้ว หมดหนทางจริงๆ นี่สามีจะต้องเข้าพิธีแบบไม่มีญาติซักคนมาร่วมงานหรอ ไม่นะ ไม่นะ

แล้วเราก็คิดออกอย่างเดียว บอกสามีให้โทรหาแม่ บอกให้กลับไปสนามบินตอนนี้เลย (ตอนนั้นเลยเวลาที่ขึ้นเครื่องมาเกือบสามชั่วโมงแล้ว) ที่รู้มาคือน้องสามีปวดท้อง ต้องพาไปหาหมอด่วน เลยตกเครื่อง ทางออกสุดท้ายแล้ว ไปสนามบิน ไปติดต่อเคาท์เตอร์ตั๋วที่สนามบินนะ "เรา" ทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างเกินความสามารถของเราแล้ว พระเจ้าขา ช่วยทีนะคะ หนูทำเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พอแม่ไปถึงสนามบิน สามีก็โทรหาเรา อีกมือก็ใช้อีกเครื่องโทรหาแม่ เราบอกให้ไปต่อแถวที่เคาท์เตอร์ตั๋วนะๆ แล้วก็รอสาย ถามเรื่อยๆ เป็นไงบ้าง ถึงไหนแล้ว สามีก็ถามแม่ ก็บอกว่าอยู่ในแถว รออยู่ เราทำงานไปด้วยโทรศัพท์ไปด้วย เกรงใจมาก แต่นาทีนี้คือแบบไม่คิดอะไรแล้ว นี่มันสำคัญมากเลยนะ

จนสุดท้ายพอไปถึงคิวแม่ของเค้าแล้ว แม่บอกว่าตกเครื่อง....เพราะลูกสาวปวดท้อง เลยต้องพาไปหาหมอ ขอเปลี่ยนไฟลท์...เท่านั้นแหละ จบ เจ้าหน้าที่ที่สนามบินเปลี่ยนให้ ไม่เสียตังค์ซักบาท!!! โอ้โห ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ เป็นคนบ้าไปเลย ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ยิ่งใหญ่ และไม่มีอะไรที่ทรงทำไม่ได้จริงๆ

อ้อ..ที่ช็อคกว่านั้น ที่เพิ่งมารู้ก็คือ ที่บอกว่าน้องสาวปวดท้องอ่ะไม่ใช่...จริงๆแล้วเค้า miss carriage....ค่ะ ช็อค ทั้งเรา ทั้งสามี ทั้งแม่สามีเลยล่ะ เพิ่งมารู้ตอนหลังนี่แหละ

ถามว่าจบหรือยัง? ยังค่ะ เพราะว่า....แม่สามีขายรถไม่ได้!!!! ค่าสินสอดจะมาจากไหนล่ะทีนี้ ที่บินมานี่ก็ไม่ได้เอาค่าสินสอดมาด้วยหรอกนะคะ มาแต่ตัว แค่เอาตัวมายังยากเลย เรื่องต่อจากนี้รอตอนต่อไปนะคะ

พระเจ้าอวยพรนะคะ ขอพาลูกออกไปเดินเล่นก่อนนะคะ :D

อ้อ...ก่อนไป ขอฝากพระธรรมนี้ไว้นะคะ

1 โครินธ์ 13

" ไม่มีการทดลองใดๆ มาถึงท่านนอกจากการทดลองที่เกิดกับมนุษย์ทั่วไป และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ แต่เมื่อท่านถูกทดลองพระองค์จะทรงให้ท่านมีทางออกด้วย เพื่อท่านจะยืนหยัดได้ภายใต้การทดลอง "

เอเมนค่ะ



Create Date : 03 ธันวาคม 2554
Last Update : 5 ธันวาคม 2554 15:42:00 น.
Counter : 1602 Pageviews.

2 comment
ชีวิตที่เดินบนความเชื่อ
1 DEC 11 [14:13]

Honolulu,Hawaii


ก่อนอื่นขอกรี๊ดก่อน....อร๊ายยยยยย ชั้นนั่งพิมพ์ไปตั้งครึ่งหน้าแล้ว อยู่ดีๆคอมพ์ก็ดับ มันต้องเป็นซาตานมาขัดขวางแน่ๆ กรีีดๆๆๆๆ

อ่ะ....พอใจละค่ะ...


แหะๆ สวัสดีค่ะ ไม่ได้อัพบล็อกนี้ซะนานเลย มัวแต่ไปวุ่นวายกับบล็อกคุณแม่แล้วก็บล็อกทำงาน ทั้งๆที่ตอนนี้ก็ไมได้มีงานมีการทำกับเค้าซักหน่อย เง้อ

ตอนนี้อยู่ ฮาวายค่ะ ตามสามีมาทำงานที่นี่ แหม ตอนแรก ก็ตื่นเต้นอยู่หรอก กรี๊ดๆ ชั้นจะได้มาเที่ยวฮาวายแล้ว ได้ยินแต่คนเค้าพูดถึงกัน วันนี้ได้มาเที่ยวเอง กรี๊ดๆ....เอาเข้าจริงมันชักจะไม่เวิร์คเท่าไหร่แล้วอ่ะ หาดมันก็สวยดี อากาศมันก็ดี น้ำทะเลก็ใส บ้านเมืองก็สวย มีตึก มีห้างให้เดินเที่ยว ไม่เหมือน Tracy เมืองบ้านนอกที่อยู่ ไปไหนก็ไม่ได้ แต่ แต่ แต่..ของทุกอย่างที่นี่มันแพงเว่อร์อ่ะค่ะ แพง แพง แพง จริงๆ นะ จะกินอะไรแต่ละทีนี่ต้องคิดแล้วคิดอีก เงินก็ไม่ได้มีเยอะ สามีเอาเงินค่าเบี้ยเลี้ยงอาหารที่ได้จากบริษัทมีจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินให้เราแล้ว จะไปเที่ยวแต่ละทีนี่หน้ามืดมาก อย่างไปเพิร์ลฮาร์เบอร์เนี่ย มันมีเรือ 3 ลำ กับ 1 พิพิธภัณฑ์ให้เข้าชม แต่ว่าเค้าเก็บค่าเข้าแยกกันหมด (ทั้งๆที่มันก็อยู่ด้วยกันอ่ะแหละ) แล้วที่ถูกที่สุดมันก็ $28 แม่เจ้า...เกือบเก้าร้อยบาท เข้าไม่ลงอ่ะ ได้แต่เดินถ่ายรูปข้างนอก ขนาดงานแฟร์ที่หน้าตาเหมือนงานกาชาด หรืองานแฟร์ที่เค้าจัดที่ศูนย์สิริกิตติ์บ้านเรายังไง ยังงั้น ยังเก็บตังค์ค่าเข้าตั้งคนละ $4 แน่ะ เอิ้ก...ก็เข้าใจนะว่าเมืองท่องเที่ยว

เกาะสวาทหาดสวรรค์ของอิฮั้น เลยดูเหี่ยวแห้งขึ้นมาทันที เนื่องจากสถานะการเงินในกระเป๋าตังค์ ว่าแล้วก็นั่งอ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เนตอยู่ในโรงแรมดีกว่า ว่างๆ ก็เดิน window shopping เอามัน แต่ยังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกเกือบสามอาทิตย์ เง้อ...ชักอยากกลับ Mainland แล้วอ่ะ ฮือๆ แต่ยังไงก็ขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสเราได้มาเปิดหุเปิดตา พักยกจากอากาศหนาวที่แคลิฟอเนียร์บ้าง


เวิ่นเว้อมาซะไกล แหม ทำไปได้ทุกบล็อกเลยนะไอ่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อบล็อกเนี่ย ก็อย่างที่บอกว่ามีเวลาว่างในโรงแรม ตอนนี้ก็เลยได้โอกาสกลับมาสำรวจตัวเองอีกรอบ รู้สึกมานานพอสมควรแล้วค่ะ ว่าความสงบสุขในจิตใจมันหายไป ถ้าพูดแบบคริสเตียนก็ต้องบอกว่า จิตวิญญาณมันไม่ได้รับการเติมเต็มเท่าที่ควร เมื่อก่อนตอนเป็นคริสเตียนใหม่ๆ เรากระตือรือร้น แสวงหาพระเจ้ามากมาย ตอนนั้นมีความสุขมากก แต่พอมีเรื่องเกิดขึ้น (เรื่องที่จะเล่าต่อจากนี้) มีปัญหาเข้ามาในชีวิต เราก็แบ่งเวลาให้พระเจ้าน้อยลง สนใจแต่ตัวเองมากขึ้น อธิษฐานน้อยลง ส่วนใหญ่จะทำก็ต่อเมื่อมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ และไม่เฉพาะเราเท่านั้น สามีเราก็ด้วย เพราะเค้าก็เครียดพอกัน สิ่งที่ต้องรับผิดชอบก็มีเยอะ ทั้งเรา ทั้งลูก ทั้งเรียน ทั้งงาน...

อ๊ะ คุณสามีกลับมาแล้วค่ะ เดี๋ยวขอตัวก่อน เพราะว่าเราจะนั่ง Trolley ออกไปหาเพื่อนที่ทำงานที่นี่กัน เดี๋ยวกลับมาแล้วจะมาเล่าต่อให้นะคะ พระเจ้าอวยพรค่ะ



2 DEC 11 [8:11]

ตื่นมาตั้งแต่ตี 5 นั่งอ่านพระคัมภีร์ เสร็จแล้วก็มาเล่นเนตต่อ อ่านกระทู้เรื่องชาวบ้าน มันหยด จนจบ ถึงได้ค่อยไปอาบน้ำ แล้วมาอัพบล็อกตัวเองต่อ อิอิ เจ้าตัวดียังหลับอุตุ อยู่เลย ดีแล้ว คุณแม่จะได้มีเวลาอัพบล็อกให้เสร็จๆ เรื่องราวอาจไม่ถึงขั้นมันส์หยดติ๋งๆ เหมือนกระทู้ใน pantip หรอกนะคะ แต่ก็คิดว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตให้ใครหลายๆคนได้บ้าง คิดอยู่นานว่าจะเอามาลงดีมั้ย เพราะบล็อกเราก็มีทั้งรูป ทั้งชื่อ โหะๆ แต่ก็นะ เราเคยคิดว่ามันน่าอาย แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าจะอายทำไม? ไม่ได้ไปฆ่าใคร ทำผิดก็ยอมรับ แล้วเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาเป็นเรื่องเตือนสติน้องๆ หรือคนอื่นดีกว่ามั้ย เอาเรื่องเหล่านี้มาบอกกล่าว เพื่อเป็นพยานชีวิตแก่คนอื่นจะดีกว่ามั้ย

-------------------------------------------------------

ขอโทษอีกแล้วค่ะ พอพิมพ์ๆอยู่ แล้วรู้สึกว่าไอ่ที่พิมพ์มันออกทะเล เลยย้ายเอาไว้ไปอีกบล็อกนึง ดันต่อซะยาวเลย เพิ่งมาเสร็จเอาตอนเนี้ย [10:41]

ต่อนะ

หลังจากคบหาดูใจกันมาได้เกือบปี กับสามี ก็มีเรื่องให้พลาด เดาไม่ผิดหรอกค่ะ พลาดนั่นแหละ คือเราไม่ได้กินยาคุม ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกินเลย จนวันนั้น เค้ามาเที่ยวหาที่คอนโดก็คุยกันไปเรื่อย ค่ำหน่อยๆ นะ..บรรยากาศก็พาไปจนทำให้เกิดเรื่องขึ้น ครั้งแรก เช้ามาเราก็รีบไปซื้อยาคุมฉุกเฉินมาแก้เหตุ พอคืนต่อมา ติดใจ เย้ย.. เอาเป็นว่าก็ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง ตอนเช้าก็เลยไปซื้อมากินอีกรอบนึง หลังจากนั้นก็ ไม่กล้าทำอะไรกันอีก เริ่มสำนึกได้แล้วว่าเอาตัวเองเข้าไปสู่การทดลองมากเกินไปแล้ว เรากำลังเริ่มหลงกันอยู่ในความบาปแล้วนะ เลยหยุดกันอยู่แค่นั้น ทำผิดไปสองครั้ง ใช้ยาคุมฉุกเฉินทั้งสองครั้ง

แต่แล้วก็เหมือนว่าความบาปมันฟ้องผิดอยู่ จนได้ แต่เราคิดว่าพระเจ้าต้องการสอนเรามากกว่า ไม่ใช่แค่สอนเราในเรื่องการทำความผิดนี้อย่างเดียวเท่านั้น แต่พระเจ้ายังต้องการให้เราได้เห็นถึง การช่วยเหลือจากพระองค์ที่เราเองต้องใช้ความเชื่ออย่างมากๆๆๆๆๆ เข้ามาด้วย

ตอนที่เรื่องเกิด มันเกิดกลางเดือน เรากำลังจะเริ่มงานใหม่ ในต้นเดือนถัดไป พอเริ่มงานไปได้ซักพัก เราก็เริ่มจิตตกแล้วว่า ปกติประจำเดือนเราจะมาตรงเวลาตลอดนะ แต่มันก็ไม่ได้มีอาการแพ้อะไรเลย แค่เราดูโทรมๆ สุดท้าย พอลองตรวจดูก็..นะ สองขีดจริงๆ ปัญหาตามมาอีกเพียบเลยทีนี้ เราเพิ่งเริ่มงานใหม่ สามีก็มาในฐานะ missionary มหาลัยก็เรียนปีสุดท้าย บ้านเค้าเองถึงเป็นฝรั่งก็จริง แต่เป็นฝรั่งจนๆ แบบว่าบ้านเพิ่งโดนยึด แม่เค้าต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อนชั่วคราว (ปัญหามาพร้อมกันในคราวเดียวจริงๆ เป็นบททดสอบที่หนักหนาพอสมควรเลยล่ะ) ครอบครัวเราก็เป็นครอบครัวข้าราชการ พ่อแม่ทำตำแหน่งหัวหน้าเค้า จริงๆแม่เราก็ไม่ค่อยชอบเค้าเท่าไหร่ เนื่องจากเป็น "ฝรั่ง"

แม่โทรมาบอกเราให้คิดใหม่ ที่จะคบกันคนนี้ "รู้มัยว่าคนเค้าจะคิดยังไง ถ้าเห็นแกเดินกับฝรั่ง??" อะโห...เจ็บไปเลยแบบนี้

สามีเป็นคนกระตือรือร้นอยากเจอพ่อแม่เรามาก ให้เราโทรไปบอกก่อนเลยว่าตอนนี้คบกัน คือเค้าอยากแสดงออกว่าเค้าจริงใจ ไม่ได้มาหลอกลูกสาวเค้านะ ประมาณนี้

แต่ทีนี้พอมาเกิดเรื่องนี้ ไอ่ที่ยากอยู่แล้วก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เราร้องไห้ทุกวัน ช่วงนั้นแย่มาก ท้องด้วย แล้วยังต้องทำงานถึงเที่ยงคืน จะบอกที่ทำงานก็ไม่กล้า กลัวเค้าให้ออก เพราะเพิ่งเข้าทำงานเอง แล้วเป็นบริษัทที่เราเองใฝ่ฝันอยากทำงานด้วยมานานแล้วอีกต่างหาก เราเลยตัดสินใจที่จะไม่บอก กะว่า ทำงานได้เต็มที่จนถึงผ่านโปร 4 เดือนแหละน่า

พอรู้ว่าท้องแน่แล้วก็บอกสามี เราก็เลยมานั่งร้องไห้ที่คอนโดด้วยกัน คิดหนักมากว่าจะทำแท้งดีมั้ย งานก็เพิ่งเริ่มทำ ถ้าเอาไว้ ไอ่ที่เคยคิดอยากเป็นแอร์ก็คงหมดหวัง ไหนจะทำให้พ่อแม่ต้องอับอาย ไหนจะทำให้เค้าหมดอนาคตอีก เพราะมหาลัยที่เค้าเรียนก็เป็นมหาลัยคริสเตียน ต้องโดนทำอะไรซักอย่างแน่ๆ ตอนนั้นเราเป็นคนที่ค่อนข้างเอนเอียงไปทางทำแท้ง เพราะสมัยเรียนมีเพื่อนเราเคยไปทำ แล้วมันก็กลับมาใช้ชีวิตปกติได้ สามีเป็นคนบอกว่าให้เอาไว้ ชีวิตใหม่ที่จะเกิดมาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ถ้าทำก็คือฆ่าคนนะ ผิดมากนะ เราไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครควรจะมีชีวิตอยู่หรือตาย สุดท้ายก็นั่งร้องไห้อย่างนั้น จนเราตัดสินใจแล้วว่า ยังไงเราก็จะทำ ปัญหาจะได้ยุติ เค้าก็เลยจนปัญญา ว่าแล้วแต่เรา ก็นั่งร้องไห้ จับมือกันบนโซฟาจนหลับไป ตื่นเช้ามา...ก็ทำใจไม่ได้จริงๆ ทำไม่ลง เราก็บอกว่า ไม่ทำแล้ว ไปคุยกับหัวหน้า missionary กันเถอะ

(จริงๆก่อนหน้าที่เราจะคุยตัดสินกันเรื่องเอาไว้หรือเอาออกนั่น เราเข้าอินเตอร์เนต หาเรื่องคริสเตียนกับการทำแท้ง บางคนก็บอกว่าทำได้ บางคนก็บอกว่าไม่ดี เราอ่านแล้วอ่านอีก ร้องไห้ คุกเข่าอธิษฐาน ขอพระเจ้าบอกทางทีเถอะ หนูยอมแล้ว หนูขอโทษ หนูบาป ขอพระเจ้าอภัยให้หนู ขอพระเจ้าช่วยหนู คุกเข่าร้องไห้แบบนั้นเป็นชั่วโมง....)


เราเลยได้ไปคุยกับหัวหน้า missionary บอกเค้าทุกอย่าง สารภาพทุกอย่าง เราจะจัดงานแต่งงานกัน เราก็บอกแม่ก่อน เพราะพ่ออยู่ต่างจังหวัด แม่เราบอกว่ากะไว้แล้วว่าเราต้องท้องก่อนแต่ง เพราะมันเป็นกรรมของแม่เอง (แม่เราเคยทำแท้ง น้องคนที่สี่ เพราะตอนนั้นพ่อเราไปมีบ้านเล็ก แม่เราเลยปล่อยท้อง เพื่อให้พ่อหยุด แต่อีท่าไหนไม่รู้ก็กินยาขับออก เรารู้เพราะเห็นแม่เดินใส่ผ้าถุงอยู่เกือบสองอาทิตย์) มันไม่ใช่กรรมจากแม่หรอก มันเป็นเพราะเราเอง เราเอาตัวเองไปสุ่การทดลอง และนี่คือบทเรียนที่เราได้รับ แม่เราไม่ให้บอกพ่อว่าเราท้อง แม่จะบอกว่าแม่บังคับให้แต่งกันเอง เพราะเห็นควงกันไปควงกันมามันจะดูไม่ดี

พร้อมกับเรียกสินสอดแสนนึง....เราก็ต้องหามาให้ได้ แต่บ้านสามีก็กำลังมีปัญหา งานแต่ง แม่ก็จะให้จัดที่บ้านที่ต่างจังหวัดด้วย เพราะต้องบอกให้คนแถวบ้านรู้ ไม่ใช่อยู่ๆ จะมามีลูกเลย แต่งที่ กรุงเทพอย่างเดียวไม่ได้ แต่เราเป็นคริสเตียนก็อยากแต่งในโบสถ์ด้วย สรุปว่า เราต้องหาเงินมาจัดงานแต่งงาน 2 ครั้ง พร้อมทั้ง เงินสินสอดอีกแสนนึง โอ้โห จะไปหามาจากไหน แล้วยังมีค่าตั่วเครื่องบินให้แม่กับน้องสาวเค้าบินมาร่วมงานอีกล่ะ


ปัญหาทุกอย่างมันดูไม่มีทางออกเลย ตอนนั้นเงินก้อนเดียวที่มีคือเงินเก็บสามหมื่นของสามี แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง? ค่าเช่าชุด ค่าตกแต่งสถานที่ ค่าสินสอด มืดแปดด้าน มืด มืด มืดไปหมด ทางบ้านเราจะช่วยอย่างเดียวคือค่าอาหารงานที่แต่งที่ ตจว นาทีนั้น อธิษฐานทุกวัน ร้องไห้ทุกวัน แต่ก็ยังไปทำงาน ต้องเลิกเที่ยงคืน ทุกเย็นจะมึนหัวต้องนั่งพัก เพราะท้องอ่อนๆ กินอะไรก็ไม่ลง น้ำหนักก็ลด ฝากท้องก็ไม่ได้ไปเพราะไม่มีเงิน

จะกู้เงินมาเป็นสินสอดก็ไม่ได้เพราะเพิ่งเปลี่ยนงาน ความหวังอย่างเดียวเรื่องค่าสินสอดในตอนนั้น คือให้แม่สามีพยายามขายรถ คันเก่าที่เค้ามีเพื่อเอามาเป็นสินสอด (เพิ่งมารู้ตอนหลังว่ามันเป็นที่แม่เค้ารักมาก เพราะมันเป็นรถคันแรกที่แม่เค้าเก็บตังค์ซื้อเองสมัยเรียน) ระหว่างนั้นเงินสามีหมื่นที่มีก็เอาไปเช่าชุด ถ่ายรูป pre-wedding ซื้อของชำร่วย ทำการ์ด เราเองมีเงินเก็บอยู่หมื่นนึงก็เอาไปเป็นค่าใช้จ่ายให้ผู้ใหญ่ที่โบสถ์ ยกขบวนไปสู่ขอเราที่บ้าน อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เรื่องราวพิสูจน์ความเชื่อเรื่องแรกที่เห็นชัดๆ มากับเรื่องตั๋วเครื่องบินของแม่และน้องสาวสามีค่ะ

บล็อกนี้ยาวแล้ว ขอแบ่งเป็นภาค 2 นะคะ ตามไปอ่านกันนะ




Create Date : 02 ธันวาคม 2554
Last Update : 5 ธันวาคม 2554 15:42:42 น.
Counter : 725 Pageviews.

0 comment
เคยมีคำถามมั้ย พระเจ้า? ทำไมพระองค์ยอมให้เรื่องแย่ๆเกิดขึ้นกับเรา?
29 MAY 2010 (01:05)

สวัสดีค่ะ ค้างกันไปนานกับกรุ๊ปบล็อคนี้
วันนี้เพิ่งได้มีเวลามาแบ่งปัน อิอิ

เอาล่ะค่ะ ทั้งคนที่เชื่อหรือยังไม่เชื่อในพระเจ้าก็ตามแต่
เราคิดว่าทุกคนคงเคยถามพระเจ้าของเรา (หรือคนบนฟ้า หรือเทวดาอะไรตามที่เราจะถามกัน บางทีอาจถามถึงโชคชะตา)

แบบนี้ (แบบเราอ่ะแหละ แหะๆ) ว่า..

พระเจ้าคะ ทั้งๆที่หนูก็อธิษฐานตลอด อ่าน ยึดมั่นเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ในพระคัมภีร์ พยายามรักษาธรรมบัญญัติ ไปสามัคคีธรรมกับเพื่อนๆ ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ หนูทำแต่ความดี

ทำไมหนูถึงยังต้องเจอเรื่องร้ายๆอีกคะ? พระเจ้า พระองค์ไม่สนใจหนูเลยหรอ หนูทำทุกอย่างแล้วนะ ทำไมหนูยังต้องลำบาก หนูยังต้องเผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายแบบนี้ด้วย?

พระเจ้า..หนูรู้ว่าหนูเเป็นคนบาป แต่หนูก็ได้พยายามแล้ว หนูได้สารภาพความผิดบาปของหนูแล้ว ทำไมพระองค์ถึงต้องลงโทษหนูด้วยเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ด้วยคะ

" ทำไมพระองค์ถึงยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น??"

(คนอื่นๆ ก็อาจถามว่า สวรรค์..นี่เราทำอะไรผิด ทำไมถึงต้องกลั่นแกล้งกันขนาดนี้ ต้องลงโทษกันร้ายแรงขนาดนี้เลยหรอ??)


ไม่จริงค่ะ ที่ใครๆบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้วจะเจอแต่เรื่องดีๆ ไม่มีทุกข์ร้อนใดๆ คริสเตียนก็ยังคงมีสภาพเป็นมนุษย์เหมือนคนอื่นๆนี่คะ

เราก็ยังต้องดำเนินชีวิตไปบนโลกนี้ แต่สิ่งนึงที่ทำให้เราเข้มแข็ง ไม่ว่าจะต้องเจอเรื่องราวเลวร้ายซักแค่ไหน นั่นเพราะเรายังมีพระเจ้าเป็นที่คุ้มภัยของเรา ต่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกเกลียดเรา พระเจ้าก็ยังคงรักและให้อภัยเราอยู่ดี

แต่ถ้าถามว่าทำไม บางครั้งพระเจ้ายอมให้เรื่องร้ายต่างๆ เกิดขึ้นกับเรา
ซึ่งจริงๆแล้ว บางอย่างอาจเป็นผลมาจากสิ่งที่เราทำก็ได้? เพียงแต่เราต้องมองย้อนกลับไป


คริสเตียนไม่เชื่อเรื่องบุญกรรม แต่ชาติปางก่อนค่ะ คนเรามีชีวิตเดียวแล้วจิตวิญญาณดวงเดียวเท่านั้น แต่เราก็เชื่อในเรื่องของเหตุผลและการกระทำ

ถ้าคุณไปลักขโมย หรือฆ่าคน พระเจ้าก็จะลงโทษคุณแน่ๆ การสารภาพบาป ถ้าคุณไม่ได้สำนึกและกลับใจใหม่จริงๆ บาปนั้นก็ไม่ได้รับการให้อภัยหรอกค่ะ เราไม่ได้อภัยความบาปกันง่ายๆ แต่ในการ"ให้อภัย" เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ และพระองค์เกลียดการตัดสินคนอื่นด้วยค่ะ


กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า

จงวางใจเถอะค่ะ เมื่อเกิดบางสิ่งบางอย่างที่เราคิดว่า พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลย ทำไมพระองค์ยอมให้้มันเกิดขึ้น ทำไมพระองค์ยอมให้เป็นแบบนี้ วางใจเถอะค่ะ ว่าพระองค์รู้ดีว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่

บางสิ่งบางอย่าง เราอาจคิดว่ามันแย่มาก แต่จริงๆแล้วภายหลังมันอาจเป็นผลดีขึ้นมาก็ได้ เชื่อมั่นและวางใจให้พระองค์จัดการเถอะค่ะ

ฝากพระธรรมหนุนใจใน เยเรมีย์ หน่อยนะคะ :)

"For I know the plans I have for you," declares the Lord, "plans to prosper you and not to harm you, plans to give you hope and a future. Then you will call upon me and come and pray to me, and I will listen to you. You will seek me and find me when you seek me with all your heart. I will be found by you"


องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า " เพราะเรารู้แผนการที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนการเพื่อทำให้เจ้ารุ่งเรือง ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เป็นแผนการเพื่อให้ความหวังและอนาคตแก่เจ้า แล้วเจ้าจะร้องเรียกเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสุดใจของเจ้า"



พระองค์มีแผนการสำหรับเราเสมอค่ะ
อย่ากังวลและฝากความเครียดความทุข์ต่างๆ ไว้ให้พระเจ้าเถอะค่ะ


(01:33)

อ่อย...ตีหนึ่งครึ่งแล้ว ไม่ไหวขอไปนอนก่อนแล้วกันนะคะ ฝันดีค่ะทุกๆคน

พระเจ้าอวยพรค่ะ



Create Date : 29 พฤษภาคม 2553
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 1:34:47 น.
Counter : 1251 Pageviews.

12 comment
Why did I become a Christian? 2
28 APR 2010 (15:05)

มาต่อกันที่บล็อคนี้ค่ะ กับเรื่องราวว่าทำไม เราถึงกลายมาเป็นคริสเตียน

เราแค่ตั้งใจ อยากจะเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของเราเท่านั้นเองนะ ไม่ได้คิดจะโจมตีใคร ทำไมถึงต้องมาต่อว่ากันด้วยล่ะ? ไม่เข้าใจจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีขันติไม่ใช่หรอ?

ถ้าใครอ่านแล้วไม่ชอบใจก็อย่าอ่านต่อเลยค่ะ แต่ถ้ามีวิจารณญาณมากพอ อยากรู้ว่าทำไม คนๆนึงที่เป็นชาวพุทธอยู่ดีๆ ถึงเปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสเตียนได้ ก็ติดตามอ่านกันไปต่อได้เลยค่ะ


หลังจากที่เราไปๆมาๆ เรียนรามไปด้วย คุยๆ กับเพื่อนๆ ที่เป็นคริสเตียนไปด้วย เราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง

เราก็เลยถามเค้าไปว่า รู้ได้ยังไงว่าพระเจ้ามีจริง? พวกเธออธิษฐานกันต่อสิ่งที่มองไม่เห็นไม่ใช่หรอ?
เธอจะรู้ได้ไงว่าพระเจ้ามีอยู่น่ะ ศาสนาพุทธยังมีพระพุทธรูปเลย มีรูปเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่มีวิญญาณอยู่ในนั้น เราบูชาแล้วเค้าก็จะช่วยเรา


เพื่อนๆเลยบอกว่า "ก็ลองสิ ลองอธิษฐานดู ถ้าอ้อไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริงก็ลองทดสอบพระเจ้าดูเลย เราท้าให้ลอง ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าพระเจ้าไม่มีจริงเดี๋ยวก็จะรู้เองนะ"


อธิษฐานหรอ...อืม ไว้ก่อนแล้วกัน ช่างเหอะ

จนวันนึงก็มีเหตุการณ์ที่เป็น เค้าเรียกว่าอะไรนะ การอัศจรรย์เกิดขึ้นกับเรา

โปรดใช้วิจารณญาณค่ะ :


เราไปเที่ยวทะเลกับพ่อแม่และน้อง ไปค้างคืนที่ชลบุรี แล้ววันต่อมาก็จะกลับกรุงเทพฯ
ด้วยความที่เรารีบร้อนเก็บของทำให้เราลืมเอาน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ไป

พอตกกลางคืนตอนถอดมันออก มันก็เลยไม่มีน้ำยาที่ใช้สำหรับแช่คอนแทคเลนส์ค่ะ จะออกไปซื้อก็ไม่ได้เพราะไอ่บ้านที่พักอยู่ ก็อยู่นอกเมืองเหลือเกิ๊นนน เอาวะ แช่น้ำเปล่าเอาก็ได้


เช้ามาเราก็หยิบเอามาใส่อีก เพราะเราสายตาสั้น ถ้าไม่ใส่ก็ทำอะไรไม่ถนัด แต่ด้วยความที่มันเป็นน้ำเปล่าไงคะ ไม่ใช่น้ำยาล้าง+แช่ คอนแทคจริงๆ มันเลยทำให้คอนแทคเลนส์ไม่ลื่น และฝืดมาก แต่ยังไงเราก็ต้องใส่ แล้วเราเองก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะเราเคยใช้น้ำเปล่าแช่มาก่อนแล้ว ก็ใส่ได้ปกติดี

ทีนี้เราก็ใส่เข้าไปข้างนึง ที่ตาขวา กระพริบตา 1 ครั้ง....ปรากฎว่าคอนแทคเลนส์หายไปแล้ว
ตอนแรกเรานึกว่ามันตกพื้นหรือยังไง แต่มันไม่ใช่อ่ะ มันอยู่ในตาเรา ที่ไหนซักที่นี่แหละ เรารู้สึกอยู่นะ ทำยังไงดีอ่ะ เริ่มปวดตาแล้วอ่ะ แต่พ่อแม่อุตส่าห์มาจาก ต่างจังหวัดมาเยี่ยมเรากะน้องๆแล้วพาพวกเราไปเที่ยวทะเล ไม่อยากให้ยุ่งยากเลย


แล้วเราก็พยายามเอามันออกจากตาเราให้ได้ ซึ่งตอนนั้นพวกเราขึ้นนั่งบนรถกันหมดแล้วนะ กำลังจะไปหาข้าวทานกันค่ะ พวกพ่อแม่กะน้องก็คุยกันไป ไม่ได้มีใครสนใจเราเล๊ยยยยย นั่งส่องกระจกอยู่ที่เบาะหลังนั่นน่ะ


ปกติแล้วเราเคยเจอแบบนี้เหมือนกันที่คอนแทคเลนส์มันเลื่อนไปจากตาดำ แต่ว่าปกติแล้วเราก็จะเห็นมันอยู่ตามขอบเปลือกตาอะไรยังงี้ คือยังสามารถกระพริบตา เขี่ยๆ ให้มันออกมาได้ แต่ครั้งนี้เรากระพริบตา หลับตา เขี่ยๆ ก็แล้วทำไง ก็แล้วมากกว่าครึ่งชั่วโมง มันก็ยังไม่ออกมา ไม่โผล่มาแม้แต่ขอบคอนแทคเลนส์เลย ฮือ...ชั้นจะต้องไปโรงพยาบาลมั้ยเนี่ย..ไม่นะ ชั้นไม่อยากทำให้ทุกคนหมดสนุกเพราะต้องพาชั้นไปผ่าตานะ ชั้นจะตาบอดมั้ยเนี่ย ฮือๆๆๆๆๆ

ซักพักพ่อก็จอดรถ ลงไปซื้อตั๋วรถทัวร์ให้น้องชายที่ต้องกลับก่อน เค้าก็เฮโลลงกันไปทั้งรถเลย
เราก็..ไม่ลงอ่ะ ขอเอาอิคอนแทคเลนส์นี่ออกจากตาให้ได้ก่อน ชั้นไม่อยากตาบอดดดดดดดดด


พออยู่คนเดียว ก็แบบ ฮือ...ทำไงดีจะตาบอดมั้ยเนี่ย ไม่เอานะ ฮือ แล้วเราก็ลดกระจงลง หลับตา แล้วลองพูดออกมาดังๆ (ย้ำนะว่าแค่พูดไม่ได้อธิษฐาน) "พระเจ้าขา ทำไงดี ช่วยหนูด้วย หนูยังไม่อยากตาบอด ช่วยหนูที หนูไม่ไหวแล้วหนูปวดตา"


ยกกระจกขึ้นมา ลืมตา......คอนแทคเลนส์ กลับลงมาอยู่ที่ตาดำพอดีเด๊ะ...เอ่อ...อึ้ง

เราก็ยังคิดอยู่ว่า มันบังเอิญน่า..ไม่มีทางหรอกขอปุ๊บได้ปั๊บ แต่ถึงไงก็เถอะ ถ้าพระเจ้าช่วยหนูจริงๆ ก็ขอบคุณพระเจ้าแล้วกันค่ะ


เวลาก็ผ่านไป เราก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เจอศาลเจ้าก็ไหว้ เจอพระก็ไหว้ แต่เราก็ไม่ได้สวดมนตร์หรอกนะ ยังทำใจไม่ได้ ทำงาน ไปเรียนไปเรื่อยๆ

วันนึง วันที่สำคัญมากกกกกกก ในชีวิตเราก็มาถึง!!!!


The KOP comes to Thailand 2009!!!!


ใช่ค่ะ เราเป็นแฟนลิเวอร์พูล เห็นหน้าตาน่ารักๆอย่างนี้ก็ดูบอลนะคะ 55+

เราเองอยากไปดูมากกกกกกก แต่ว่าช่วงที่เค้าเปิดขายบัตรกัน เราจน! เงินเดือนยังไม่ออก ซื้อไม่ได้ พอไปถามตอนนั้นที่ศูนย์อดิดาสแต่ละที...เหลือแต่บัตร 1700,3000 อะไรประมาณนั้น...ไม่ไหวอ่ะ กินแกลบแหงมๆเลยนะ เดือนนี้ถ้าซื้อ เอาไงดี ไม่ไปก็ได้

แต่...วันที่เค้ามีเตะกัน ก็เป็นวันหยุดเรา แถมมมเป็นวันที่เราเรียนที่รามด้วย และที่สำคัญ..เค้าเตะกันที่สนามราชมังคลาฯ ข้างๆรามนั่นเอง

อ๊ายยยยยย เดินเสื้อแดงกันเต็มไปหมด...พากันร้องเพลง You'll never walk alone ด้วย อ๊ายยยยย อยากดู ทำไงดี อยากเห็นตอเรส อยากเห็นพี่เจิด (เจอร์ราด) อยากเจอทุกคนนน

ฮือ...เรียนเสร็จบ่ายๆก็มานั่งเม้าท์กับเพื่อนๆที่โต๊ะ English Clinic เหมือนเดิม
อ๊ะ มีน้องอีกคนอยากไปเหมือนกัน แต่น้อง..ไม่เงินซื้อบัตร เราเองมีตังค์ติดตัวแค่ 1000 ซื้อได้ก็แค่บัตร 600 บาท เท่านั้นเอง แต่หน้างานมันก็มีแต่ตั๋วผีแหละ เอาไงดีๆ

ซักพักน้องก็ชวน พี่อ้อๆ ลองอธิษฐานขอพระเจ้ากันมั้ย? เผื่อจะได้นะ

เราก็ โอเค ไหนๆ ก็ไหนๆ ไม่มีอะไรเสียหายนี่นา

"พระเจ้าขา หนูไม่รู้ว่าเวลาอธิษฐานเค้าทำยังไง แต่หนูอยากขอร้องพระองค์นะคะ ลิเวอร์พูลเนี่ย 4 ปีจะมาประเทศไทยซักครั้งนึงนะคะ แล้วพวกเค้าก็อยู่แค่ข้ามกำแพงนี้ไปเอง พระเจ้าคะ ถ้าพระเจ้ายังเมตตาหนู หนูขอเถอะค่ะ ให้หนูได้เข้าไปดูบอลด้วยเถอะนะคะ จ่ายตังค์ก็ได้ค่ะ แต่หนูมีตังค์แค่ 1000 เองนะคะ หนูอยากดูจริงๆ พระเจ้าได้โปรดเถอะค่ะ"


อธิษฐานกันเสร็จก็ป่ะ เดินไปกันเลย พอถึงหน้าประตูก็เจอคนมายืนขายตั๋วผีอยู่ พี่ๆบัตร 600 ขายเท่าไหร่ "900 น้อง"....เอ่อ...ไม่ไหวมั้ง น้องเราไม่มีตังค์ด้วยสิ ทำไงอ่ะ ลองเดินหาไปเรื่อยๆแล้วกัน เจออีกเจ้า พี่ๆตั๋ว 600 ขายเท่าไหร่อ่ะ "1200 น้อง" ง่ะ

ไม่แล้วแหงเลยยยยยย ทำไงดี อยากดูมากๆๆๆๆๆ

ป่ะ ลองไปยืนอยู่ข้างหน้าทางเข้าสนามแล้วกัน เผื่อมีคนใจดีขายบัตรถูกๆให้ เพราะสงสารเด็กตาดำๆ อย่างพวกเรา เดินไปเดินมา รออยู่ตรงนั้น ครึ่งชั่วโมง...เฮ้อ ทำไงดี คนเริ่มเดินเข้าสนามแล้วง่ะ
เย็นมากแล้วอ่ะ ไม่น่าจะมีใครใจดีแจก หรือขายถูกๆแล้วล่ะ กลับเหอะ เออไป กลับก็กลับ

แต่ตอนที่เรากำลังเดินกลับน่ะ อยู่ดีๆ ไอ่น้องที่มากับเราก็ได้ยินเสียงประกาศ

"แจกบัตรฟรีครับบบบบ 10 ใบ ร่วมกิจกรรมกับ Tesco Lotus เท่านั้นนนนน"

เฮ้ยยยยย บัตรฟรี วิ่งๆๆๆๆๆๆ ด่วนนนนน พอวิ่งไปถึงปุ๊บ คนไปยืนรุมกันเืกือบ 20 คน ตายละจะได้มั้ยเนี่ย พอไปถึงข้างหน้า อ่ะมีเงื่อนไขนะครับ จะต้องมีใบเสร็จโลตัสเท่านั้น!!!

อ้าวววววว ไม่มีใครมีเลย คนก็มาเอาบัตรไปแล้ว เหลือในมีเค้าแค่5-6 ใบเองนะ ทำไงดีๆ ยืนอยู่ตรงนั้น ก็ยืนบ่นกับน้องไปทำหน้าตาน่าสงสาร ทำไงดีอ่ะ ไม่มีใบเสร็จเลย ฮือ....

และแล้ว...อยู่ดีๆ ผู้ชายที่มาขอตั๋วเหมือนกันที่ยืนอยู่ข้างหน้าพวกเรา ก็หันหลังกลับมา
แล้วยื่นใบเสร็จเทสโก้โลตัสให้เรา 2 ใบ......ยังกะช่วงเวลาหยุดหมุนเลยตอนนั้น อะไรกัน??
อยู่ดีๆก็ยื่นมาให้ เราก็ขอบคุณเค้ามากมายๆๆๆ

แล้วรีบยื่นใบเสร็จไปช่วงชิงกับพวกที่แย่งกันขอตั๋วอยู่ ตอนนี้ในมือพี่สตาฟเหลือตั๋วแค่ 1 ใบแล้ว...

และทุกคนที่ใช้มือยื้อแย่งกันเมื่อกี๊ก็หยุดตะโกนขอบัตร (ตอนนั้นมีคนขอบัตรประมาณ 7-8 คน) แล้วผู้ชายคนนึงก็ถามขึ้นมาว่า "พี่ตัดสินไปเลยดีกว่าว่าจะให้ใคร ถ้าไม่ได้ ผมจะไ้ด้รีบไปหาบัตรที่อื่นนะครับ" และพี่สตาฟคนนั้น...ก็ยื่นบัตรมาให้น้องเรา!!!!

เฮ้ยยยยยยย เหลือเชื่ออออออ เป็นไปได้หรอเนี่ย กรี๊ดดดดดดด เราได้บัตรมาแล้ว!!!! เย้!!!



แต่...ยังเหลือเราที่ไม่มีบัตร แง.....อยากดูด้วย อยากดูด้วยยยย ทำไงดี

เราก็ไปอ้อนวอนขอพี่สตาฟ พี่คะ ไม่มีอีกอันหรอคะ หนูมากัน 2 คน น้องเค้าได้แค่คนเดียวหนูจะทำไงอ่ะ พี่ ช่วยหน่อยนะ "พี่ไม่มีจริงๆครับ นายให้มาแค่นี้อ่ะครับ"

เราก็แบบหน้าเสียแล้วอ่ะ อยากดูจริงๆนะ ตังค์ก็มีแค่ 1 พันเอง เอาไง ไปซื้อตั๋วผีตอนนี้ก็ เป็นพันกว่าๆแล้วสิ ฮือออออ ทำไงดี พระเจ้าขา ทำไมช่วยน้องคนเดียว ไม่ช่วยหนูล่ะ???
หันไปอ้อนวอนพี่สตาฟต่อ พี่คะ ช่วยหน่อยนะ นะ นะ สุดท้ายเค้าก็โอเค เดี๋ยวพี่ช่วยหาให้ แต่ไม่รับปากว่าจะได้นะ เย้!!!! แล้วเราก็รอๆๆ ผ่านไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง พี่เค้าก็ยังไม่มีท่าทีใดๆ
ฮือ...จะไหวมั้ย แต่ซักพัก พี่เค้าก็เดินเข้ามา อ่ะ น้องครับพี่หาให้ได้ละ แต่คงต้องให้น้องจ่ายเงินนะครับเพราะเป็นตั๋วที่เพื่อนพี่ซื้อมา 600 บาท ครับ อ๊ะ....กรี๊ดดดด ได้แล้ววววว 600 ก็ไม่มีปัญหาค่า จ่ายได้ พระเจ้าขอบคุณค่ะ น้องได้ตั๋วฟรี หนูได้ซื้อตั๋ว ในราคาต้นทุนด้วย ขอบคุณพระเจ้าจริงๆค่ะ!!!




คืนนั้นก็จบลงด้วยผลเสมอระหว่างไทย-ลิเวอร์พูล (เป็นไปได้ไงเนี่ยยยยยยยย)
และฝนตก ตกหนักมากกกกก และรถติดสุดๆ หอเราอยู่แถวรัชโยธิน จาก รามไปนั่นแถมรถติดก็น่าจะถึงบ้านเกินเที่ยงคืนหรือตี 1 ด้วย ตายแน่ เปียกทั้งตัวเลย หนาวด้วยทำไงดีล่ะเนี่ย อยู่ๆ ก็ได้ความคิดนี้็ขึ้นมา "ไปที่โบสถ์สิ" เอ...ไปทำไมหว่า เราบอกน้องว่าเราจะไปโบสถ์ชวนให้มันไปด้วยกัน มันก็ไม่ไป บอกไม่รู้จะไปทำไม แล้วพี่อ้อจะไปทำไมอ่ะ? เอ่อ...ไม่รู้สิ แต่ความรู้สึกมันบอกว่าให้ไปโบสถ์ อืม..คงไปนั่งพักที่นั่นรอฝนหยุดตกก่อนก็ได้มั้ง มีพวกที่เป็น resident ที่โบสถ์คงช่วยเอื้อเฟื้อเสื้อผ้าให้เปลี่ยนได้มั่ง มั้ง อืม ไปๆ ก็เดินจากที่สนามไปโบสถ์ (ไม่ไกลนะ อยู่ในระยะที่เดินได้) พอถึงก็ขอเสื้อผ้าเปลี่ยน แล้วตอนนั้น เพื่อนๆที่ออกไปทานข้าวข้างนอกก็กลับพอดี ปรากฎว่าพี่คนที่มีรถ ก็เดินเข้ามาถามเรา (เราไม่รู้จักเค้าเลยนะ วันนั้นเป็นวันแรกที่เจอ)บ้านอยู่ทางไหนอ่ะ "ออ รัชโยธินค่ะ" อ่ะพี่จะไปแถวนั้นพอดีเลย เดี๋ยวติดรถพี่ไปแล้วกันนะ รถจะได้ไม่ติด... แล้วคืนนั้นเรากลัไปถึงหอตอนประมาณ 4 ทุ่มเอง!

อ๊ะ....รู้แล้วว่าทำไมถึงต้องมาโบสถ์ อย่างนี้นี่เอง

วันต่อมาพอไปคุยกับน้องเรื่องตั๋วนี้ถึงบางอ้อ...อ๋อ..น้องมันขอตั๋วฟรีจากพระเจ้านี่เอง
รู้งี้ชั้นขอตั๋วฟรีบ้างดีกว่า ไม่น่าบอกว่าจะจ่ายเงินก็ได้เล๊ยยยยยย เซ็งงงงง พระเจ้าอ่ะ งอน!!


หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ก็มีอีกหลายเรื่องเกิดขึ้น
ไม่ใ่ช่เฉพาะสิ่งที่เราอยากได้อย่างเดียว ที่พระเจ้าทำให้เกิดผล
บางอย่างที่เราต้องการ เราอ้อนวอนขอ แต่พระเจ้าไม่ให้ก็มี ถ้าสิ่งนั้นเราไม่สมควรได้ พระเจ้าก็จะไม่ให้ ไม่ใช่ว่าวันนี้อธิษฐานไป พระเจ้าหนูอยากได้รถเบนซ์ แล้วพระเจ้าจะให้..พระเจ้าไม่ใช่เทพเจ้าที่เอาไว้ขอหวยนะ
เราไม่ได้เชื่อพระเจ้า เพราะพระเจ้าให้สิ่งที่เราต้องการซักหน่อย

บางครั้งพระเจ้าก็ทำการตีสอนเรา เพราะพระเจ้ารักเรา
และพระเจ้ามีแผนการที่ดีสำหรับชีวิตเราเสมอนะ

วันนี้เอาพระธรรมมาฝาก 1 ข้อค่ะ


" จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด! ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆเลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอนพร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจจะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์" ฟิลิปปี 4: 4-7


ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกนะคะ ทั้งเรื่องงานของเราด้วย แต่เดี๋ยวจะทยอยเล่าให้ฟังนะ
ว่าทำไมเราถึงเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ว่าทำไมถึงยังรักพระเจ้าในเมื่อเราเจอเวลาที่ลำบากและเคยต่อว่าพระเจ้าไปด้วยซ้ำว่าทำไมไม่ช่วยหนู ทำไมพระองค์ไม่สงสารหนู ทำไมพระองค์ปล่อยให้หนูลำบาก?? ไหนพระองค์สัญญาไงว่าจะปกป้องหนู พระองค์จะไม่ปล่อยให้คนชอบธรรมต้องทุกข์ร้อนไม่ใช่หรอคะ?

มีอีกหลายคำถามที่เราถามพระเจ้า มีอีกหลายสิ่งที่เราตัดพ้อต่อว่าพระเจ้า
แต่เราก็ได้คำตอบอยู่เช่นเดียวกันว่าทำไม เหตุผลเหล่านั้นคืออะไร

รออ่านบล็อคหน้านะ :)







Create Date : 28 เมษายน 2553
Last Update : 28 เมษายน 2553 16:42:13 น.
Counter : 426 Pageviews.

2 comment
Why did I become a Christian? 1
สวัสดีค่ะ

วันนี้เปิด Group blog อันใหม่
ตั้งใจว่าจะใช้บล็อคนี้เพื่อการประกาศ และเป็นคำพยานชีวิตให้แก่คนอื่นๆ ผู้ไม่เชื่อ ผู้เชื่อใหม่ ผู้เชื่อนานแล้ว หรืออะไรก็ตาม ขอที่บล็อคนี้จะเป็นพระพรให้ทุกๆคน ค่ะ :)


กลับมาที่หัวข้อของเราวันนี้ดีกว่า

"Why did I become a Christian?" ทำไมชั้นถึงกลายมาเป็นคริสเตียน


แน่อยู่แล้วค่ะเมื่อใช้่คำว่า "become" ก็หมายถึงว่า เราไม่ได้เป็นคริสเตียนโดยกำเนิดค่ะ
ไม่มีใครในครอบครัวของเราที่เป็นคริสเตียนเลยแม้แต่คนเดียว

อ่ะแล้วทำไมเราถึงกลายมาเป็นคริสเตียนล่ะเนี่ย?? มันมีที่มาค่ะ!!!

เราเองถืือว่าเป็นผู้เชื่อใหม่นะ เพราะเพิ่งรับเชื่อไปเมื่อปีที่แล้ว รับบัพติศมาในน้ำเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2009 :)


ก่อนหน้านั้น ชัวร์ค่ะ เราเป็นพุทธมามะกะ แล้วก็เป็นชาวพุทธที่ดีด้วย
แม่เรายิ่งไปกว่านั้น แม่บอกให้สวดมนตร์ทุกวันนะ หมั่นทำบุญนะ สวดคาถาชินบัญชรนะ แล้วคุณพระคุณเจ้าจะคุ้มครอง "ให้เราเจอแต่สิ่งดีๆในชีวิต" เราก็เชื่อ และสวดมนตร์ก่อนนอนอยู่ตลอด

วันเกิดก็ไปทำบุญ ตักบาตรปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ ทำบุญทำทาน หวังว่าสิ่งดีๆจะเข้ามาหาเราเยอะๆ

แต่ตามความเชื่อของชาวพุทธ..คุณไม่สามารถลบล้างความบาปคุณได้หรอก ถึงแม้จะทำความดีซักแค่ไหน ความบาปคุณก็ยังเท่าเดิม กรรมดีก็อยู่ส่วนกรรมดี กรรมชั่วก็อยู่กรรมชั่ว ต้องเกิดมาชดใช้ให้หมดก่อนแล้วถึงจะได้รับความดีนั้นไป

แล้วชีวิตเรามันก็มีจุดหักเหค่ะ :)

เราเองเป็นคนนึงที่มีความสามารถทางการร้องเพลง และก็เหมือนกับคนทั่วๆไปนะที่เวลามีประกวดเดอะสตาร์ AF อะไรพวกนี้ก็อยากจะไปล่าตามความฝัน ไปมามากกว่า 10 ครั้งแล้วล่ะ ที่เที่ยวไปประกวดตามที่ต่างๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่พอล่าสุด AF6 นี่ เราก็อ่ะ ไป ฝึกร้องเพลง พอดีช่วงนั้นก่อนไป เราทำงานสนามบิน เลิกประมาณ ตี1 กว่าจะถึงบ้านกว่าจะได้นอนก็ตี 2 ตี 3

แต่เพื่อชีวิตที่ดีกว่า เพื่อความฝัน เราอดทน เราบูชาพระพิฆเนศ เราบนบานศาลกล่าว กลับมาที่ห้องสวดมนตร์ 20 นาทีก่อนนอน ทั้งที่ง่วงงงงแสนง่วง นอนซักพัก 6 โมงครึ่งตื่นเช้าออกไปวิ่ง สร้างกำลังสร้างพลังที่จะใช้ในการร้องเพลง ไปครั้งนี้ก็ไม่หวังอะไรหรอก ขอแค่ให้มีคอมเม้นท์จากกรรมการก็ยังดี พยายามทั้งทางโลก ทั้งทางพุทธคุณ ไสยศาสตร์ ฯลฯ ฝึกอยู่อย่างนี้ สวดมนตร์อยู่แบบนี้ กว่า 3 เดือน ก่อนที่จะเิดินทางไปถึงขอนแก่น เพื่อไปออดิชั่นกับ AF ลางาน นู่น นั่นนี่...เพื่อที่จะไปร้องเพลงแค่ 1 นาที แล้วกลับมาโดยไม่ีมีคอมเม้นท์ใดๆ...ไอ่คนที่ร้องห่วยกว่าเรา (จริงๆนะ ร้องผิดคีย์ เพี้ยนไปเรื่อย) แต่หน้าตาดี ได้โอกาสเป็นกระบุง ร้องนู่นใหม่สิ ไหนเต้นดูสิ.....ไหนล่ะความยุติธรรมในโลกนี้ คนหน้าตาดีที่มีโอกาสเท่านั้นหรอ??? ประเทศไทย
ออกจากห้องออดิชั่นมาก็ร้องไห้ เจ็บใจ ทำไมไม่มีแม้แต่คอมเม้นท์เดียวเลยนะ?

นั่งรถกลับ กทม เหนื่อยจังเลยชีวิต เราพยายามไปทำไมนะ? อดหลับอดนอน ออกไปวิ่งเพื่ออะไรกันนะ ไปเจอสีหน้าดูถูกของ กรรมการแค่นั้นหรอ?

กลับไปนั่งคิดพิจารณาอยู่ 2-3 วัน อ่ะ ลองอีกทีแล้วกัน ไปออดิชั่นที่ กทม ดูก่อน ลองเปลี่ยนเพลงที่ใช้ซิ คราวที่แล้วอาจจะยากไป เลยดูเครียดไปนะ อืม ทำทุกอย่างเหมือนเดิม รอเวลา ฝึก สวดมนตร์ อดทน แต่สุดท้าย......ทุกอย่างก็เข้าอีหรอบเดิม...No comment และเสียงหัวเราะแบบเย้ยหยันของกรรมการ....เอาอีกแล้ว

ไหนใครบอกทำดีได้ดีไง? ไหนใครบอกว่าสวดมนตร์ทำความดีแล้วจะมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต?

เรารักษาศีลห้าอย่างดี ไม่ทำผิด ไม่ทำบาป ไม่ฆ่าสัตว์ ทำไมคนที่กินเหล้าเก่ง ทำตัวเป็นเด็กไม่ดี กลับได้ดีล่ะ?????????


พอกันที ไม่ละ ไม่สวดมนตร์แล้ว ไม่บูชาแล้วไม่ว่าจะเป็นพระหน้าไหน??

ศาสนาก็เสื่อมลงทุกที ทำไมพระกินเหล้า ทำไมพระคุุยโทรศัพท์กับสีกา พระพุทธเจ้าเคยสอนเรื่องไสยศาสตร์การทำคุณไสยอะไรพวกนี้ด้วยหรอ วิถีทางของพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ละทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตหรอกเหรอ??

ไหนบอกว่าการสวดมนตร์ บำเพ็ญภาวนาทำให้ใจสงบอ่ะ? ทำให้มีสมาธิทำให้เป็นสุขล่ะ? ไม่เห็นจริงเลย ในเมื่อชีวิตเรายังต้องดำรงอยู่ต่อไป เราจะทิ้งทุกอย่างได้ไง?


เพื่อนๆอาจจะคิดว่า อะไรกัน ไม่เห็นเกี่ยวเลย เพราะเราทำกรรมมาเยอะรึป่าว ถึงไม่ได้ีดี หรือไม่ก็ มันไม่เหมือนกันนะ อันนี้น่ะ มันเป็นความไม่ยุติธรรมของคนเอง จะยังไงก็ช่างเถอะค่ะ
แต่ความเชื่อและศรัทธาในพระพุทธศาสนาเรามันเสื่อมแล้ว ความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน...

จากตอนนั้นเราก็หยุดกิจกรรมทางศาสนาทุกอย่าง ตั้งใจทำงาน ตอนนั้นมีเวลาว่างบ้าง เพราะงานที่สนามบินมันเข้า 3 วัน หยุด 2 วัน อะไรประมาณนี้ Request วันหยุดก้ได้ เราเลยปรึกษาพี่คนที่จัดสเก็ตให้เรา ขอหยุดทุกวันพุธ-พฤหัสแล้วกันนะคะ จะเอาเวลาไปลงเรียนราม เรียน ป.ตรีใบที่ 2 เอกภาษาอังกฤษแล้วกัน เอาดีมันทางนี้ไปเลยเถอะ เพราะถ้าแข่งกันที่หน้าตาไม่ใช่ความสามารถ เราก็คงสู้เค้าไม่ได้หรอก

อ่ะ...ได้มาละ schedule ที่หยุดทุกวันพุธ-พฤหัสฯ
ไป ไปลงทะเบียนเลย และวันแรกที่ลงทะเบียน ด้วยความที่เราอยากฝึกภาษาอังกฤษของเราให้มากขึ้น ที่ราม มันก็จะมีซุ้มอยุ่เยอะแยะไปหมดใช่มั้ย เราก็เดินผ่านซุ้มๆหนึ่ง ชื่อสานสายใย มีป้ายตัวเบ้อเริ่มติดไว้ "English Clinic อยากมีเพื่อนฝรั่ง อยากฝึกภาษาอังกฤษ เชิญซุ้มนี้ ฟรีตลอดกาลจ้า" อ๊ะ น่าสนใจ อืม...เอาไงดี อายอ่ะ เขินอ่ะ แต่ก็นะ มีคนเคยบอกไว้ว่า ด้านได้อายอด อยากเล่นฟุตบอลก็ไปถามซะว่า "เล่นด้วยได้มั้ย" อยากเป็นเพื่อนด้วยก็ไปขอเป็นเพื่อนซะ ไม่งั้นก็ไม่มีวันได้หรอก....เอาเว้ย!!!! เป็นไ้งเป็นกัน สวัสดีค่ะ คือสนใจอยากฝึกภาษาอังกฤษค่ะ ต้องทำยังไงบ้างคะ? อ๋อ..ไม่มีไรมากหรอกครับนั่งเลย คุยกัน ถ้ามีเรื่องอะไรมากกว่านี้ หรืออยากติวตรงไหนเป็นพิเศษก็แจ้งได้เลยครับ เราจะช่วยแก้ปัญหาภาษาให้คุณเอง


อ๊ะ ดีจัง มีฝรั่งหลายคน จะได้คุยกับฝรั่งแบบเป็นงานเป็นการก็ตอนนี้และ ปกติพูดแต่ "May I have your passport please?" "Would you like to sit by the window or the isle?" อะไรประมาณนี้ เอาหล่ะ สู้ตายยยยย


ตอนนั้นเราไ่ม่รู้หรอก ว่าฝรั่งที่มาน่ะเป็นมิชชันนารีกันทั้งนั้นเลย อืม...วันต่อมาอ๊ะเพื่อนขอแลกสเก็ตได้หยุดวันศุกร์เพิ่มอีก 1 วัน พอดีเลย ที่ศูนย์การศึกษาที่พวกฝรั่งเค้าสอนอยู่มีงานกลางคืน มีกิจกรรม ไปด้วยๆ น่าสนุกดีเพื่อนเยอะ

พอไปถึงปุ๊บ...เอ..นี่มันโบสถ์นี่นา เออ ไม่เป็นไร เราไม่ Say Yes ซะอย่าง ใครก็มาเปลี่ยนศาสนาไม่ได้ ซักพักเค้า็เริ่มร้องเพลงนมัสการพระเจ้า มีกิจกรรมสนุกๆด้วย อ่ะ เต้นกะเค้าไป สนุกดี มีคนพี่ออกมาแชร์ประสบการณ์ในการเีรียนและพัฒนาภาษาอังกฤษด้วย มีเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าแทรกมานิดหน่อย อืมๆ ฟังไปเรื่อยๆ

กลับบ้านโทรไปเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกระวังนะ เดี๋ยวก็โดนกล่อมให้เปลี่ยนศาสานาหรอก ฮึ ไม่กลัว ไม่มีใครเปลี่ยนเราได้ ถ้าเราไม่ยอม เชอะ

อาทิตย์ต่อไป เราก็ยังไปที่รามเหมือนเดิม และแวะไปคุย & Speak english กะเพื่อนที่ English Clinic เหมือนเดิม แต่ด้วยความอยากรู้ของเราเองเมื่อรู้ว่าทุกคนเป็นคริสเตียน ก็ถามเค้าเรื่องศาสนา

(เราไม่ได้ปิดกั้นเรื่องการเรียนรู้ศาสนาอื่นนะ เราเองยังชื่นชมคนที่เป็นคริสเตียนด้วยซ้ำนะ เพราะเค้าไม่เชื่อเรื่องกรรม และชีวิตที่แล้ว เค้ารู้เสมอว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พระเจ้าจะช่วยเค้าเสมอ เค้าเลยไม่ท้อ ไม่หมดหวัง และ"ไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรม" เหมือนที่คนไทยพุทธหลายคนคิดกันว่า ชาตินี้เราไม่ได้ดีหรอก เพราะชาติที่แล้วทำกรรมไว้เยอะ)

ถามไปหลายคำถามเกี่ยวกับคริสเตียน เค้าเองก็ถามเรากลับมาเรื่องศาสนาพุทธ
พระมีหน้าที่อะไร ทำยังไงถึงจะได้ขึ้นสวรรค์

เราก็บอกว่าพระมีหน้าที่สืบทอดพระศาสนานะ เผยแพร่ศาสนาด้วย คนพุทธเชื่อว่าถ้าทำความดีด้วยการทำบุญก็จะได้ไปสวรรค์ แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องชดใช้กรรมให้หมดก่อน

เพื่อนฝรั่ง: แล้วเมื่อไหร่ถึงจะหมดกรรม แล้วได้ไปสวรรค์
เรา: ก็ต้องทำบุญไง เกิดมาชดใช้กรรมไปเรื่อยๆ แต่ชั้นก็ยังคิดอยู่เหมือนกันนะว่า อย่างนี้เมื่อไหร่จะใช้กรรมหมด ไม่มีชาติไหนหรอกมั้งที่เราไม่ทำบาป ในเมื่อศาสนาพุทธห้ามฆ่าสัตว์ ดังนั้นแค่ตบยุงหรือบังเอิญฆ่ามด มันก็เป็นบาป อย่างนี้คนที่ทำงานอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ล่ะ เค้าก็ไม่มีวันชดใช้กรรมได้หมดเลยสิ? แต่ถ้าไม่มีเค้าแล้วเราจะกินยังไงล่ะ? ไม่ต้องกินเจกันหมดเลยหรอ? จะได้ไม่มีใครบาป...แล้วศาสนาคริสต์ล่ะ ห้ามฆ่าสัตว์มั้ย?

เพื่อนฝรั่ง: ไม่นะ พระเจ้าให้เรากินได้ทุกอย่าง การฆ่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารก็ไม่เกิดความบาป เพราะพระเจ้าสร้างเค้าเพื่อให้เกิดมาเป็นอาหาร แล้วคริสเตียนเรามีชีวิตเดียว เกิดมาแล้วตายครั้งเดียวเท่านั้น และ่ก่อนหน้าที่เราจะมาเป็นคริสเตียน คนทุกคนมีความบาป แต่พระเยซูทรงสละชีวิตของพระองค์บนกางเขน เพื่อไถ่บาปให้เราทุกคน เมื่อเราเชื่อและรับพระเจ้าว่าเป็นพระเจ้าของเราแล้ว ความบาปที่เราเคยทำมาทั้งหมด จะได้รับการลบล้าง และเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า...ว่าแต่ เธอทำบุญยังไงล่ะ ถึงจะได้ไปสวรรค์?

เรา: ก็สวดมนตร์แผ่เมตตา ตักบาตร ปล่อยสัตว์ ทำทาน อะไรอย่างนี้

เพื่อนฝรั่ง: ตักบาตรคืออะไร?

เรา: ก็ถวายอาหารให้พระไง

เพื่อนฝรั่ง: ทำไมต้องถวายอาหารให้ล่ะ ถ้าไม่มีคนถวายเค้าจะทำยังไง

เรา: พระเป็นผู้ที่อุทิศตน เสียสละเพื่อพระศาสนาไง เราเป็นพุทธศาสนิกชน เราก็ต้องทำนุบำรุงช่วยเหลือ

เพื่อนฝรั่ง: แล้วการถวายอาหารพระจะได้บุญยังไง

เรา: ... อืม.... ก็เรา...ทำนุบำรุงผู้ประกาศศาสนามั้ง

ก็ตอบไป สนทนาเรื่องศาสนาบ้างเรื่องอื่นบ้าง แต่ก็เป็นภาษาอังกฤษอยู่ตลอดเวลา เอิ้ก...
ดีฝึกภาษาดี บล็อคนี้เขียนยาวแระ

ติดตามกันต่อในบล็อคที่ 2 นะค้า :)



Create Date : 28 เมษายน 2553
Last Update : 30 เมษายน 2553 23:33:48 น.
Counter : 605 Pageviews.

8 comment

I'm in awe
Location :
Castro Valley,CA  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]



บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็นคนไกลบ้านแล้ว ก็ยังแต่งบล็อกไม่เป็นเหมือนเดิม อิอิ แวะมาแลกเปลี่ยนเรื่องราวด้วยกันบ่อยๆนะคะ ยินดีอย่างยิ่งหากเรื่องราวในบล็อกนี้เป็นประโยชน์ต่อคุณค่ะ :)
New Comments