7 ...
7
ไม่ใช่ se7en ที่ Brad Pitt นำแสดง ไม่ใช่ 7 วัน 7 อย่างของช่องเจ็ดสี ไม่เกี่ยวกับ 7 วันอันตรายและไม่ได้หมายถึงนักร้องเกาหลีที่ดังน้อยกว่าเรนนิดนึงคนนั้น แต่ เจ็ดในที่นี้หมายถึง เจ็ดวันที่ไม่ได้อยู่ กทม. เจ็ดวันที่ไม่ต้องดมควันรถเมล์ ไม่มีรถติด ไม่ได้เข้าใกล้คีย์บอร์ดและคอมพิวเตอร์เลยซักกะผีก แต่ทำตัวหลีกเร้น หลบสีสันแสงนีออนยามค่ำ ไปยังจุดหมายปลายทางคือบ้านเกิด
ความจริงแล้ว รวมเบ็ดเสร็จวันหยุดตามนโยบายใจดีของเจ้านาย ผู้กุมชะตาชีวิตของเราไว้กึ่งหนึ่งคือการได้หยุดช่วงปีใหม่นี้ 9 วัน เสาร์อาทิตย์ชนเสาร์อาทิตย์ แต่ครั้นจะเลือกใช้มันให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยการกลับ กทม.คืนวันอาทิตย์ถึงเช้าวันจันทร์ที่ 8 และไปทำงานเลยนั้น ดูออกจะโหดไปหน่อย และทำไม่ได้ ไม่ควรไม่ควร ไม่ใช่อะไร เพราะยังไงต้องจัดคิวเจียดเวลา เตรียมการไว้สำหรับการไปร่วมสดับรับรู้การทำน้ำหอม การค้นหาเพชร และต้องร่วมเป็นพยานในการสอบสวนคดีฆาตกรรมสาวชุดดำ
Perfume:The Story of a Murderer : Blood Diamond : the Black Dahlia
ฉะนั้น ยอดสุทธิของการเอนหลังนั่งสบายที่บ้านเกิดจึงเป็นแค่ 7 วัน
แล้ว 7 วันทำอะไร ไปไหนมาบ้าง
อย่าให้เล่าหมดเลยนะ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครรู้จนต้องปิดบัง แต่ ส่วนใหญ่มันไม่มีนัยยะอะไรให้น่าสนใจ เปรียบเทียบแล้วเรื่องราวมันจืดชืดเหมือนนั่งดู One Hour Photo ( Mark Romanek, 2002 ) ที่ควรจะตื่นเต้นแต่ต้องผลอยหลับ และไม่มีอะไรให้ประหลาดใจเหมือนเจอไข่มังกรใน Eragon ( Stefen Fangmeier, 2006 ) ไม่มีคนให้เซอร์ไพรซ์เหมือนใน The Holiday ( Nancy Meyers, 2006 )
ในคืนนับถอยหลัง หลังจากทั้งครอบครัวเราออกไปทานข้าวนอกบ้าน แล้ว ก็ไม่มีคิวที่ไหน กลับมานอนตีพุงสบาย อ่านหนังสือนอนเล่นเบิกบานฤทัย และหลับอย่างมีความสุขเหมือนทุกวัน จนดึกดื่นข้ามคืนไปแล้ว ถึงรู้ว่าที่เมืองหลวงเค๊ากำลังอกสั่นขวัญแขวนกันเรื่องระเบิด และเรื่องขู่วางระเบิด จนต้องงดกิจกรรมนับถอยหลังไปหลายที่
ก่อนถึงวันปีใหม่ เรามักจะลังเลทุกครั้งเวลาจองตั๋วกลับบ้าน เพราะใจมันก็อยากสัมผัสบรรยากาศปีใหม่ที่เมืองกรุงสักครั้ง ทุกๆปีเรามักจะนึกอิจฉาเพื่อนพ้องหลายคน ที่ได้ไปเฮฮาเบียดเสียดแย่งพื้นที่กันยืนนับเลขถอยหลังท่ามกลางเสียงหัวเราะคละคลุ้งเหล้าเบียร์ที่ลานเพลินเซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า
ยกเว้นปีนี้
บางทีหนึ่งวันที่บรรจุแต่ความเรียบและง่าย ก็ทำให้อุ่นใจได้โขเหมือนกัน
 เจดีย์ศรีโพธิญาณ สถานที่พระราชทานเพลิงสรีระหลวงปู่ พระโพธญาณเถร ( หลวงปู่ชา สุภทโท ) วัดหนองป่าพง อำเภอ วารินชำราบ จังหวัด อุบลราชธานี
ไปวัดมาค่ะ
วัดหนองป่าพง เป็นวัดป่าฝ่าย อรัญวาสี (คือ คณะของพระภิกษุที่เน้นหนักในด้านการปฏิบัติ มุ่งบำเพ็ญภาวนา อยู่ในป่าและสถานที่ห่างไกลจากบ้านและชุมชนออกไป) เป็นสำนักปฎิบัติธรรมที่แวดล้อมด้วย ธรรมชาติอันสงบเงียบ มีบรรยากาศอันร่มรื่น เหมาะแก่การปฎิบัติธรรม สร้างโดยหลวงปู่ชา สุภทโท หรือ พระโพธิญาณเถระ
วัดหนองป่าพง เป็นต้นแบบของวัดป่ากว่า 100 แห่งในประเทศไทย และอีกหลายแห่งในยุโรป ออสเตรเลีย และแคนาดา หลวงปู่ชาเป็นตัวอย่างของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้จะมีศาสนิกชนมากมายแต่ก็ไม่สร้างความแตกแยกให้เกิดนิกาย หรือเข้าไปพัวพันกับการเมืองจนเป็นเรื่องแตกแยก วัดเน้นความเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ฟุ่มเฟือยหรือสะสม คงความเป็นพุทธ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างแท้จริง วัดหนองป่าพงมีเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ ประกอบด้วย โบสถ์ วิหาร พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถระ กุฏิพยาบาลหลวงปู่ชา กุฎิพระ กุฎิแม่ชี กุฎิหลวงปู่ชา

ภายในองค์เจดีย์ ครอบแก้วบนสุดนั้นบรรจุอัฐิองค์หลวงปู่



บรรยากาศในบริเวณวัด ร่มครึ้มไปด้วยป่าต้นไม้ หลวงพ่อ หรือ พระวิสุทธิสังวรเถร (หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธมโม ) เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง ( พ.ศ. ๒๕๔๗ ถึงปัจจุบัน ) ท่านย้ำอยู่เสมอว่า " ผู้ที่มาเยี่ยมวัดส่วนมากเป็นผู้ที่บกพร่องในความเป็นอยู่แบบธรรมชาติ ฉะนั้น เราต้องเน้นในการสร้างธรรมชาติให้สมดุล พร้อมที่จะหยิบยื่นสิ่งที่เขาขาดนั้นให้ " ( จากหนังสือ ฐิตธรรมจารย์ ที่เล่าถึงชีวิตและธรรม ของท่าน )
ทุกอย่างเป็นไปตามความเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนา ที่พุทธสาสนิกชนอย่างเรารู้สึก คือก่อนถึงวัด ก็รู้สึกสบายใจล่วงหน้า อยู่ในวัดก็สบายใจและสงบ ( ทั้งเพราะพยายามสำรวมและบรรยากาศพาไป ) แม้เมื่อพ้นเขตฐานมาถึงบ้านแล้วก็ยังรู้สึกอิ่มเอิบ เอมใจ อย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ความถี่ในการเยี่ยมเยือนวัดนั้น แทบจะระบุได้เลยว่าปีละครั้งหรือสองครั้ง ซึ่งน้อยมากถ้าจะเอาไปเทียบกับคนอื่นๆ แต่จำนวนครั้งน้อยก็ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นพุทธสาสนิกชนที่แย่ เค๊าคงไม่ได้วัดที่จำนวนกระมัง
ว่าจะดีหรือไม่ดี
อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เราจะทำอะไร หรือใครจะทำอะไร เราเองก็มักคิดถึงแต่หนัง โรงหนัง โรงภาพยนต์ แผ่นดีวีดีหนัง เครื่องเล่นแผ่นหนัง ... 7 วันหยุดนั้น ไม่ได้ดูหนังเลย ... ยกเว้นว่าจะนับ Million Dollar Baby ที่ ฮิลารี่ สแวงค์ และปู่คลิ้นท์ ( Hilary Swank , Clint Eastwood ) พูดไทยได้คล่องบนรถทัวร์ที่เค๊าเอามาฉายระหว่างเดินทางไป และ Night at the Museum ที่ เบน สติลเลอร์ และโอเว่นคู่หู ( Ben Stiller , Owen Wilson ) กอดคอกันมาพูดไทยให้ฟังตอนนั่งรถทัวร์ขากลับ
ไม่อยากจะนับ เพราะมันเป็นความบันเทิงที่ไม่บันเทิง นั่งไกลจากจอ ภาพเล็ก หัวคนบัง เสียงเด็กร้องบ้าง คนคุยโทรศัพท์ หมดแผ่นแรกแล้วยังต้องดูซ้ำ เพราะพนักงานอยู่หน้ารถ ไม่รู้ว่าหนังจบแผ่น เลยยังนั่งชมวิวข้างทาง
เฮ้อออ
โรงหนังที่อุบล ( ขอเฉพาะอำเภอเมืองนะคะ )
ชื่อเรียกกันสั้นๆติดปากว่า " เนวาด้า " แต่ชื่อจริงนามสกุลจริงนั้นต้อง " ศูนย์รวมความบันเทิง เนวาด้า มัลติเพลกซ์ " เป็นโรงหนังที่อยู่คู่จังหวัดมาแต่ไหนแต่ไร เห็นมาและไปดูมาตั้งกะเด็กๆ เมื่อก่อน ( ซัก
.สิบกว่าปีมาละล่ะ ) เป็นโรงหนังแบบสแตนด์อโลนด์ ( stand alone ) ฉายเฉพาะหนังฝรั่ง หนังจีนต้องที่โรง สินราชบุตร ( ยุบไปแล้ว ) หนังไทยต้องที่ โรงเฉลิมวัฒนา (ยุบไปแล้วเหมือนกัน )และยังมีโรง เฉลิมสินและ โรงอุบลภาพยนตร์ ที่ฉายคละเคล้ากันไปจีน-ฝรั่ง-ไทย ( นี่ก็ยุบ ) ส่วนหนังโป๊ ที่ฉายในรอบหลังเที่ยงคืน หาดูได้ที่โรงอุบลภาพยนตร์
อันหลังนี้ขอเอ่ยอย่างจริงใจและไม่โกหก ว่าไม่เคยเข้าไปดู แต่รู้ได้เพราะหน้าโรงก็ติดป้ายชื่อหนังที่กำลังเข้าฉายไว้หรา ให้เด็กปอฉองตีลังกาอ่านยังไงก็รู้ได้เลยว่าเป็นชื่อหนังโป๊แน่ๆ
สมัยนั้นหนังควบด้วยนา และฉายวนทั้งวัน เข้าไปดูไม่ถูกจังหวะ ฉายไปได้แล้วครึ่งค่อนเรื่อง ก็ต้องใจเย็น รอหนังจบ และรออีกเรื่องที่ควบมาด้วยจบเสียก่อน ถึงจะได้ดูต้นเรื่องของเรื่องแรก เรียกได้ว่า ต้องมีการทุ่มเทใจกันพอสมควรถึงจะสมอุรา เพราะมันกินเวลากันเกือบทั้งวันเลย


มาถึงสมัยนี้ ที่เหลือเฉพาะเนวาด้ามัลติเพลกซ์นั้น ก็มีโรงที่ฉายอยู่หลักๆ ราว 5 โรง ไล่กันตั้งแต่โรง A B C D และ E และเป็นพากย์ไทยทั้งหมด มีอยู่ยุคหนึ่งช่วงราวปี 2544 45 ที่กระแสความเป็น อินดี้ มาแรง หนังนอกกระแสพอจะมีคนมองเห็นพอรู้จัก เจ้าของโรงหนังมีวิสัยทัศน์ดี จึงเพิ่มโรง F เล็กๆขึ้นมาอีกโรงและฉายหนังที่ไม่ใช่ไอ้แมงมุมแบทแมนมิสชั่นทั้งอิมและไม่อิมพอสซิเบิลทั้งหลาย ที่สำคัญ (สำหรับบางท่านที่ต้องการ) คือจะเป็นหนังเสียงในฟิล์ม-บรรยายไทย
ค่าตั๋วหนังทุกที่นั่ง ทั้งเก้าอี้ตัวที่เอียง ทั้งตัวขาเกและตัวนุ่มนิ่มนั้น เท่าเทียมกันทุกมุมมอง คือ 60 บาท ล่าสุดสำหรับวันจันทร์ถึงพุธ 50 บาท พฤหัส-อาทิตย์ 60 บาท
ปัจจุบัน กำลังปรับปรุงใหม่ จะทำเป็นโรงภาพยนตร์สมบูรณ์แบบ โดยมีศูนย์อาหาร ร้านค้า ประกอบไปด้วย KFC, PIZZA HUT ,SWENSEN, BOOTS BLACKCANYON ,CHESTERGILL ,DUNkIN DONUT , ยำแซ่บ และ แมงป่อง ทุกชื่อที่เอ่ยนามมานี้ น่าจะพอการันตีได้ว่า เนวาด้าคงเรียกสายตาและใจของลูกค้ากลับมาเยี่ยมเยือนและใช้บริการอย่างอุ่นหนาฝาคั่งอย่างเดิม หลังจากปล่อยให้โรงภาพยนตร์ใน เครือเมเจอร์ ไปตีตลาดแตกและหอบเอาเด็กรุ่นใหม่ที่ใส่ใจดูหนังด้วยสภาพแวดล้อมไฮโซ ตกแต่งทันสมัยไม่น้อยหน้าโรงในเมืองหลวง ที่พึ่งมาเปิดใหม่ไม่กี่ปีอย่าง SK shopping park ไปด้วย ส่วนที่นี่ตั๋วหนังราคา วันจันทร์ถึงพุธ 60 บาท พฤหัส-อาทิตย์ 80 บาท ... ขออภัยไม่มีรูปให้ชมค่ะ
ยังมีอีกหนึ่ง 7 ที่ยังไม่ได้เล่าค่ะ...ไว้ต่อบล็อคต่อไปละกันนะคะ ^_^
Last Update : 7 มกราคม 2550 13:20:00 น.
( ต่อ )
เปลี่ยนใจ ขอมาเล่าเพิ่มเลยดีกว่า หุหุ
ส่วนอีกหนึ่ง 7 นั้น
ก่อนปีใหม่จะขย้ำกรายในอีกไม่กี่วัน จู่ๆก็รู้สึกอยากดูหนังฮาๆ น่ารัก สบายๆ ใสๆ ( คนละอันกับไสหัวไปนะ ) ไม่ต้องคิดอะไรมาก..เลย
เอาแบบดูจบก็จบกัน ไม่ต้องตีความสัญลักษณ์แฝงใดๆ อ่ะแน่นอนว่าจะเป็นหนังจากประเทศไหนไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ญี่ปุ่น .. ความจริงเกาหลีก็เข้าเค๊านะ ตลกฮาบ้าบิ่น ( ใกล้ๆบ้าบอ ) ก็เยอะเหมือนกัน แต่เลือดนิยมรุนแรงค่ะ ญี่ปุ่นไว้ก่อน
คิดนึกไปก็เท่านั้น เร่งฝีเท้าไปที่แผงปีศาจแผงประจำเลยดีกว่า ไปเลือกเอาดาบหน้า เพราะแนวนี้ ไม่ค่อยมีข้อมูลบันทึกไว้ในหัวแต่เนิ่นๆ วิธีเลือก ก็ดูจากการออกแบบปก จะอ่านรายละเอียดหลังปกน่ะหรือ ภาษา ญี่ปุ่นล้วนๆที่อ่านออกและจำได้แค่ตัว โนะ ตัวเดียว หุหุ ไม่ก็ถามคนขายว่าเรื่องนี้พี่ดูยัง เกี่ยวกับอะไรยังไง
พอเอาเข้าจริงๆ เมื่อมาเห็นปกแผ่นหนังญี่ปุ่นเกาหลีที่ก๋ากั่น ปั้นหน้าแข่งกันยิ้มแข่งกันฮา ราวแสนแปดเรื่อง กลับไม่อยาก ( เสียเงิน ) ซื้อ แล้วใจก็นึกถึงร้านเช่าหน้าปากซอย อยากเช่าดูมากกว่า 30 บาทต่อเรื่องกำลังเหมาะ คิดพลางมือก็เปิดๆๆๆ เลือกสักเรื่องสองเรื่องติดไม้ติดมือไปละกัน
เลือกอยู่นานและเสวนากับคนขายขอข้อมูลอยู่อีกสามนาน ถ้าเป็นตุ่มน้ำ ยุงก็คงลงไปไข่และพร้อมจะฟักเป็นตัวแล้ว รู้สึกตัวอีกที ในมือก็ได้หนังมา 5 แผ่น และตัดใจไม่ลงว่าจะไม่เอาเรื่องไหนกลับไปดู พอจ่ายตังค์ คนขายชี้โพรงให้เงินไหลเข้ากระเป๋าโดยการบอกเราว่า ซื้อ 6 แถม1 นะคร๊าบ โอเคโอเค เลือกอีกสองเรื่องไม่มีปัญหาไม่หนักหนาเกินความสามารถ ได้เรื่องอะไรมาก็ดูๆกันไป ถือซะว่า เปิดหูเปิดตา สรุปว่า ติดมือมา 7 เรื่อง และเป็นญี่ปุ่นแค่ 2 เอง อีก 5 เป็นเกาหลี ..ที่กระต่ายขาเดียวมาตลอดว่าถ้าเป็นจากประเทศนี้ เอาไว้ทีหลัง
.
 Cinderella ( 2004 ) :: หนังเกาหลี :: ยังไม่ได้ดู :: คนขายเล่าให้ฟังว่า เรื่องเกี่ยวกับแม่นางเอกเป็นศัลยแพทย์ ทำศัลยกรรมพลาสติค แล้ว
อะไรซักอย่างเนี่ยแหละ มีกรีดหน้ากรีดตากัน คงน่าสนใจมั๊ง ไว้ดูแล้วเดี๋ยวมาเล่าอีกทีค่ะ แต่นิดนึงว่า ที่ imdb มีโหวท 4.5 เต็ม10 หุหุ
 H ( 2002 ) :: หนังเกาหลี อันนี้ปกจี๊ดสุด ได้ใจได้ใจ :: ดูแล้ว :: เนื้อเรื่องประมาณว่า เกิดเหตุฆาตกรรมหญิงสาวถูกทิ้งศพไว้ในกองภูเขาขยะ และหญิงท้องสาวท้องแก่ตายปริศนาบนรถเมล์ ซึ่งตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน ( พระเอกแดจังกึม ) สืบร่องรอยแล้วพบว่าการฆาตกรรมนี้เหมือนฝีมือของฆาตกรต่อเนื่องคนนึง แต่ว่า ตอนนี้เค๊าติดคุกรอประหารชิวีตอยู่นะสิ เอ หรือว่ามีใครนอกคุกคอยรับคำสั่งของเค๊าให้ฆ่าตามวิธีบัญชากันแน่
ดูจบแล้วก็เหนื่อย เพราะบังคับตัวเองไม่ให้หลับไม่ให้เบื่อ ก็ดำเนินเรื่องได้อืดและนางเอกที่ร่วมสืบ เธอก็ไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่าเธอเป็นนักสืบมืออาชีพเลย แถมมีบางครั้งที่ตัวละครบางตัวอยู่ๆก็มา อยู่ๆก็หายไป และอยู่ๆก็กลับมาใหม่
งง จริงๆ
และพยายามมองโลกมองหนังในแง่ดี ว่าเราคงยังไม่ชินกับขนบการเล่าเรื่องแบบเกาหลีล่ะมัง imdb มีโหวทให้ 5.6 เต็ม10
 The Neighbor No. Thirteen ( Rinjin 13-go 2005 ) :: หนังญี่ปุ่น :: ดูแล้ว :: อันนี้ปิ๊งที่ปกเลย :: เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ การกลับมาแก้แค้นเพื่อนนักเรียนสมัยเด็กที่แกล้งเขาไว้เยอะ กลับมาด้วยการอาศัยร่างคนอื่นให้ช่วยทำ หนังน่าสนใจทีเดียว เพราะมีการใช้ภาพสื่อความหมายมาอธิบายเหตุการณ์ ( มาให้คิดหนักคิดตามคิดไม่ตกอีกต่างหาก ) แรงได้ใจดีค่ะ ^_^
 Marebito ( 2004 ) :: หนังญี่ปุ่น :: ยังไม่ได้ดู :: ออกแนว Drama / Fantasy / Horror / Mystery :: ปกสวยมากเลย น่าสนใจและหนังเรื่องนี้คนขายนั่งยันยืนยันนอนยันอีกแล้วว่า ถ้าชอบหนังแปลกจริง ต้องเรื่องนี้เล้ยยย หนังกำกับโดย Takashi Shimizu ผู้กำกับ Ju-on: The Grudge (2003) ขออนุญาตว่าขอดูก่อนนะคะ แล้วจะมาเล่าให้ฟังว่าอะไรยังไง
)/UploadFile/UserPic/Mul_060810105717812.jpg) My Scary Girl ( Dalkom, salbeorhan yeonin, 2006 ) :: หนังเกาหลี :: ดูแล้ว :: คนขายยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าหนังมีหักมุมชนิดเข็มขัดสั้นคาดไม่ถึง ออกแนว Comedy / Crime / Drama / Romance มั๊นก็เลยสนุกแบบงั้นๆเพราะมันละเลงกันมันมือเข้าว่า หนังว่าด้วยเรื่องของดอกฟ้าสาว สวย ที่ยอมคบหากับหนุ่มหน้าตางั้นๆที่เคยชะเง้อคอรอดอมดมดอกฟ้าอย่างเธอมาก่อน เมื่อทั้งสองคบหากัน แฟนเก่าขี้โมโหของนางเอกก็ตามมาหึงหวง เรื่องยุ่งๆรุนแรงๆเลยเกิดขึ้น .. ส่วนไอ้ตรงที่พี่เค๊าแนะว่าหักมุมสุดๆนั้น แท้จริงแล้ว เราคุ้นกับมันมากเลยมุกแบบนี้ หาได้ทั่วไป ( เกร่อ ) ในหนังฝรั่ง
จบจี๊ดๆไปแล้ว 5 ก็ตามมาด้วยหนังฮาและธรรมดาอีก 2
 Art of Fighting ( Ssaum-ui gisul , 2006 ) :: หนังเกาหลี :: ดูแล้ว::ออกแนวตลก+ดราม่า พระเอกขี้แพ้ ไม่สู้ใคร แต่เบื่อที่ต้องโดนรังแก จึงเทียวไปรบเร้าคนโน้นคนนี้ ที่ตัวเชื่อว่าเค๊ามีวิธีและวิชาป้องกันตัวให้สอนวิธีต่อสู้ให้กับตน กี่คนกี่คน กี่วิชาต่อกี่อาจารย์ก็ยังไม่สามารถทำให้พระเอกเราเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ จนวันหนึ่งพระเอกได้พบกับชายสูงวัยคนหนึ่ง ไม่รู้เป็นใครมาจากไหนแต่การต่อสู้ของเขาเจ๋งโคตร..ปัญหาคือว่า เขาไม่มีทางใจอ่อนยอมสอนพระเอกของเราน่ะซี้
หนังก็สนุกพอประมาณนึง แต่ก็งั้นๆ
 Fly Daddy Fly ( Peullai, daedi, 2006 ) :: หนังเกาหลี :: ยังไม่ได้ดู :: เกี่ยวกับ ครอบครัวหนึ่ง ที่ลูกสาวโดนเพื่อนนักเรียนที่เป็นนักมวยทำร้ายร่างกาย แต่พ่อกลับบ่นและโทษลูกตัวเองกลายๆ จนแม่ต้องมาช่วยฟื้นความจำให้พ่อ ว่าเมื่อก่อนครั้งคราวลูกสาวยังเล็กคุณรักลูกสาวหวงสาวดูแลสาวราวไข่ในหิน .. ครั้นคุณพ่อนึกได้สติ จึงอยากเรียนวิชามวย เพื่อไปขึ้นชกกับเจ้านักเรียนนักมวยคนนั้นเพื่อแก้แค้นให้ลูกสาว จึงไปขอให้พระเอกที่เป็นนักเรียนเก่งวิชาหมัดมวยช่วยสอน
จึงขอจบเรื่องของ 7 ไว้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ ^_^
Create Date : 07 มกราคม 2550 |
|
30 comments |
Last Update : 8 มกราคม 2550 1:09:15 น. |
Counter : 2494 Pageviews. |
|
 |
|
ส่วนหนังอยากดูแค่ เพชรสีเลือกอันเดียวเองครับ เพราะการฆาตกรรมสาวชุดดำนั้น โดยสปอยไปซะแล้ว เลยคิดว่าขอผ่าน
ปล. ว่างๆ ไปฟังเพลงอะคูสติค บลูส์ Cover ที่หาฟังค่อนข้างยากที่บล็อกได้เสมอครับผม