ฉันเกลียดการเผชิญหน้า
แต่ก็ต้องมานั่งใจสั่น หัวปั่นกับคำถามของคณะกรรมการสัมภาษณ์ทั้ง 3คนอยู่อย่างนี้
ก็ไม่ใช่การสัมภาษณ์ครั้งแรกในชีวิตหรอกนะ แต่ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ครั้งที่เท่าไหร่ มันก็ตื่นเต้นทุกทีนั่นแหละ
เพื่อนถามว่า จะเครียดไปทำไม ตอนไปสอบข้อเขียนไม่เห็นจะเครียด เห็นอ่านนิยายก่อนไปสอบทุกที
อ้าว! สอบข้อเขียน ไม่มีใครมานั่งจับผิดเรานี่หว่า คนอื่นไม่รู้ว่าเรามั่วรึเปล่า นอกจากตัวเราเอง จริงมั๊ย?
แต่ก็นั่นแหละ ฉันก็ต้องพยายามเค้นคำตอบที่ (คิดว่า)ดีที่สุดมาตอบคณะกรรมการให้ได้อยู่ดี
พอออกมาจากห้องสอบสัมภาษณ์ ก็ถอนหายใจเฮือก แอบเช็ดเหงื่อเล็กน้อย ทั้งที่ข้างในแอร์เย็นเฉียบ คนต่อๆ ไปจ้องตาแป๋ว ก็เลยเล่าให้ฟังว่าคณะกรรมการถามอะไรบ้าง
ครั้งนี้ฉันมาสอบกับเพื่อน ปกติบัญชีอื่นๆ จะผลัดกันผ่าน มาสอบกันคนละรอบ พอได้ ก็มานั่งเครียดว่าจะเอาดีไม่เอาดี เพราะมัวแต่เป็นห่วงกัน
ฉันไม่ใช่คนโง่ อันนี้ฉันแน่ใจ แต่ฉันเป็นคนขี้เกียจอย่างร้ายกาจ ขี้เกียจอ่านหนังสือ (อื่นๆที่ไม่ใช่หนังสือนิยาย) โดยเฉพาะหนังสือวิชาการสุดๆ เพราะฉะนั้น ก่อนไปสอบก็เลยอ่านหนังสือนิยายไปสอบทุกที ซึ่งก็โดนเพื่อนบ่นทุกที แต่ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาทุกทีเหมือนกัน พอสอบผ่านก็เลยอยู่ลำดับที่ไม่ค่อยสวยทุกทีเลย
ฉันกลัวการเปลี่ยนแปลง
กลัวการที่จะไปเริ่มต้นใหม่ กลัวสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ กลัวสารพัดอะไรใหม่ๆที่จะต้องไปเจอ นี่คงเป็นสาเหตุจริงๆ และคงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ฉันไม่เคยเอาจริงเอาจังกับการสอบสักที
อีกทั้งยังห่วงเพื่อนถ้าจะไปก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าจะแยกกัน ต้องให้เพื่อนไปก่อน ถึงตอนนั้น ฉันก็คงหาวิธีดิ้นรนเพื่อจะไปเองแหละ (มั๊ง)
อีกอย่างที่เราสองคนยังเอ้อระเหยลอยชายกันอยู่ ก็เพราะที่นี่ไม่ก็คงไม่เลวร้ายนัก แค่ไม่มั่นคงเหมือนงานราชการ และวันหยุดก็น้อยกว่าราชการเท่านั้นเอง เพื่อนร่วมงานก็โอเคอยู่ จนฉันแซวเพื่อนบ่อยๆสงสัยจะทำเวรทำกรรมร่วมกันมา เรียนก็เรียนมาด้วยกัน ทำงานก็ได้มาทำด้วยกันอีกตั้งหลายปี แถมตีกันแทบทุกวัน
แต่เพื่อนชอบการสอบ ชอบการสัมภาษณ์ ชอบการเอาชนะ (โรคจิตจริงๆ) เอ้า อยากไปสอบก็ไป ฉันไปเป็นเพื่อนได้ แต่ขอร้องอย่าบังคับให้อ่านหนังสือเลย มันเป็นอะไรที่กล้ำกลืนเกินไป เพราะฉะนั้น สอบทีไร เพื่อนก็อ่านหนังสือวิชาการไป ส่วนฉันก็อ่านหนังสือนิยายไป ทางใครทางมัน แหะๆ
การสอบครั้งนี้เป็นเพียงตำแหน่งพนักงานราชการที่คณะกรรมการย้ำนักย้ำหนาและถามด้วยว่าจะทำได้ไหม เพราะไม่มีสวัสดิการเหมือนข้าราชการ ซึ่งฉันก็ตอบไปว่า ถ้าจะทำก็ทำก่อนได้ แล้วค่อยพัฒนา (เป็นข้าราชการ) ทีหลัง
ไม่รู้ว่าประกาศผลสอบวันไหน แต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ก็จะเรียกตัวเซ็นสัญญาแล้ว เร็วชะมัดยาดเลย ก็ลองถามเพื่อนดูว่า ถ้าได้จะเอาอีกไหมเนี่ย ก็ได้แต่สบตากันแล้วส่ายหัว ก็คงต้องคิด (หนักๆ) อีกทีแหละ
ก็รอดูกันสิว่า ครั้งนี้เราสองคนจะได้เปลี่ยน (งาน)กันอีกหรือเปล่า?
ถ้าอยากรู้ว่าแฟชั่นไปถึงไหน ต้องไปสนามสอบ เวลาผู้หญิงมารวมตัวกัน แน่นอน แต่ละคนก็จะแต่งตัวมาประชันกันเต็มที่ (เจริญหูเจริญตาดีจริงๆ)
ส่วนฉันน่ะเรอะ รื้อเสื้อผ้ามาดู ถ้าตัวไหนใส่แล้วดูเรียบร้อยก็เอาตัวนั้นไปเลย ไม่ต้องคิดมาก แต่ต้องแอบจัดกระเป๋า อย่าให้เพื่อนเห็น ไม่งั้นมันบ่นหูชา พอทนรำคาญไม่ไหวก็ต้องเปลี่ยนตามใจมันจนได้ เฮ้อ!
โธ่!ก็คนมันแก่แล้ว แต่งไปก็เท่านั้นแหละ มันจะดูดีขึ้นสักเท่าไหร่เชียว ปล่อยให้สาวๆ เขาแข่งกันไปเถอะ
แต่ไหนแต่ไรแล้ว ที่เพื่อนๆ ช่วยกันบ่นเรื่องการแต่งตัวของฉัน แต่ละคนพยายามไซโคให้ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเอง พอรำคาญก็ต้องยอมๆ มันบ้าง เพราะรู้ว่ามันหวังดีกัน แต่พอมันเลิกบ่นก็กลับมาแต่งสบายๆ เหมือนเคย สงสัยความเป็นผู้หญิงในตัวคงจะตกต่ำจนติดลบ
มันก็แค่เปลือก ถ้าคนเราจะคบกันเพียงแค่เปลือกของเราก็ปล่อยเขาไปเถอะ ไม่ต้องเสียเวลามาคบหรอก เพราะเปลือกของฉันคงจะบุบๆ เบี้ยวๆไม่สวยงามเหมือนของคนอื่นเขา และฉันก็พอใจที่จะเป็นตัวของตัวเองอยู่อย่างนี้ สงบๆ เงียบๆ ในมุมที่เป็นของฉันเอง อย่ามายุ่งกับฉันเลย
ปกติลิ้มฟังได้ค่ะเพลงเศร้า แต่ไม่ค่อยฟังแหะ เป็นพวกเซนซิทิฟ แหะๆ
ลิ้มก็กลัวเหมือนกันค่ะเรื่องการเปลี่ยนแปลง บางทีการเปลี่ยนแปลงทำให้อะไรหลายๆอย่างในชีวิตของเราหายไป เมื่อมันหายไปทำให้รู้สึกว่า "มันเศร้าจังเลยแหะ"
สวัสดียามเย็นเช่นกันค่ะ