ถนนสายนี้มีตะพาบ ครั้งที่ 80 "ใต้แสงดาว"
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องลอดหน้าต่างเข้ามาให้ทั้งแสงสว่างและความรู้สึกอบอุ่นแก่ผู้ที่อยู่ในห้อง ลมหนาวพัดมาแผ่วๆ แตะต้องผิวกายให้ความรู้สึกสบายทั้งกายและใจ ยิ่งได้มานั่งมองชายหนุ่มร่างสูงหน้าเข้มที่กำลังยืนเป่านกหวีดอยู่ท่ามกลางเด็กๆ ก็ยิ่งรู้สึกเป็นสุขอย่างที่สุด! น้ำผึ้งนั่งอมยิ้มตาพราวอยู่ริมหน้าต่าง หญิงสาวเก็บภาพที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจตั้งแต่เช้าอย่างเต็มที่ เพราะนานๆ ทีจะมีโอกาสมองเขาได้อย่างเต็มตาโดยไม่ต้องกลัวใครมาเห็น ระหว่างที่นั่งซึมซับ วิว ดีๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา จึงรีบหันกลับมาทำท่าง่วนอยู่กับการตรวจการบ้านเด็กๆ อ้าว! ผึ้ง อยู่คนเดียวเหรอจ๊ะ ครูอำพา ครูประจำวิชาคณิตศาสตร์ถาม เมื่อเดินเข้ามาในห้องพักครูที่เธอนั่งอยู่ ค่ะ สงสัยจะติดสอนกัน พอดีคาบแรกผึ้งไม่มีสอนค่ะ ก็เลยมานั่งตรวจการบ้านเด็กๆ เธอชี้แจง (แก้ตัว) กับครูรุ่นพี่อย่างร้อนตัว ก่อนจะพูดต่อเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ นี่พี่พาก็ไม่มีสอนเหมือนกันเหรอคะ จ้ะ พอดีพี่แวะมาเอาของก่อน ว่าจะไปห้องสมุดสักหน่อย เจอกันตอนเที่ยงนะจ๊ะ ค่ะ น้ำผึ้งรับคำ เมื่อครูอำพาเดินออกไปก็ถอนใจเฮือก หญิงสาวเผลอแตะบริเวณที่หัวใจกำลังเต้นกระหน่ำอยู่ด้วยความตื่นเต้น เวลาแอบทำอะไรแล้วกลัวคนอื่นจะรู้นี่มันตื่นเต้นดีพิลึก ถึงจะเป็นการ แอบรัก ก็เถอะ เธอหันกลับไปมองวิวที่แอบดูก็พบว่า เขาไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว เขาพาเด็กๆ ไปพักอยู่ใต้ต้นไม้ที่อยู่ห่างไกลเกินรัศมีสายตา น้ำผึ้งถอนใจด้วยความเสียดาย ก่อนจะหันมาสนใจงานที่กำลังทำอยู่ เมื่อไม่เห็นประโยชน์ที่จะมองอีกต่อไป เพราะถึงยังไงก็มองไม่เห็นหน้าอยู่ดี พักเที่ยง หญิงสาวเดินไปยังโรงอาหาร ซึ่งมีห้องที่จัดไว้สำหรับให้ครูรับประทานอาหารร่วมกันโดยเฉพาะ เมื่อไปถึงก็พบว่าครูหลายๆ ท่านเริ่มลงมือทานอาหารบ้างแล้ว เธอเดินไปยังที่นั่งประจำข้างครูอำพา ซึ่งเป็นที่นั่งเยื้องๆ กับครูคมเดช ครูพละที่เธอนั่งแอบมองตั้งแต่เช้า พอเธอทรุดตัวลงนั่งก็ได้ยินเสียงเขาถามขึ้น น้องผึ้งสั่งอาหารหรือยังครับ เธอหันไปยิ้มให้เขาอย่างพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ ผึ้งสั่งสุกี้ไปแล้วค่ะพี่เดช ถึงจะรู้จักกันมานาน แต่ถึงยังไง เธอก็รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อต้องอยู่ใกล้เขา เดี๋ยวพี่ไปดูให้นะ พูดจบยังไม่ทันได้ทักท้วง เขาก็รีบลุกแล้วเดินไปที่ร้านสุกี้ทันที คมเดชเป็นเพื่อนสนิทของน้ำป่าพี่ชายของเธอตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังเป็นมหาวิทยาเดียวกันอีก ถึงจะอยู่ต่างคณะ แต่ทั้งคู่ก็ยังคบหากันจนสนิทกันมากกว่าเดิม และน้ำป่าก็พาเขามาที่บ้านบ่อยๆ ทำให้เขาสนิทกับคนในครอบครัวของเธอด้วย จากพี่ชายใจดี ที่สุภาพอ่อนโยนกับเธอเสมอจนเธอแอบปลื้มตั้งแต่สมัยมัธยม ยิ่งได้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันแล้วได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทำให้ความรู้สึกนั้นพัฒนาไปเป็น ความรัก ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีเธอก็ แอบรัก เขาไปแล้ว แน่ละ ต้องเรียกว่าแอบรัก เพราะเขายังคงปฏิบัติกับเธอเหมือนน้องสาวมาตลอด ขืนบอกไปก็คงมองหน้ากันไม่ติด แม้แต่ความเป็น พี่ ก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอคงทรมานกว่าที่เป็นอยู่แน่ๆ น้ำผึ้งหลุดจากภวังค์เมื่อเขาเอาชามสุกี้มาวางไว้ตรงหน้าพร้อมน้ำมะตูมเย็นๆ ที่เธอชอบ ขอบคุณค่ะ เธอเอ่ยขอบคุณเบาๆ ทานเยอะๆ นะครับ เธอได้แต่ยิ้มกับความใจดีของเขา หลังทานอาหารเสร็จครูหลายท่านก็ยังนั่งพูดคุยกันต่อก่อนเพื่อรอเวลาเข้าสอนในยามบ่าย นี่ ได้ข่าวกันรึเปล่า วันศุกร์นี้จะมีปรากฏการณ์ ฝนดาวตก เกิดขึ้นล่ะ ครูอภิชาต ครูประจำวิชาวิทยาศาสตร์เอ่ยขึ้นเสียงดัง และชี้ไปที่หนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่ เรียกความสนใจจากทุกคนเป็นอย่างดี ฝนดาวตกเหรอคะ ใครคนหนึ่งถามขึ้น ครับ ปรากฏการณ์ฝนดาวตกที่จะเห็นดาวตกมากกว่าปกติ เห็นในข่าวบอกว่าจะเห็นมากในช่วงเที่ยงคืนของวันศุกร์นี้น่ะครับ ครูอภิชาตอ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟัง อืม น่าสนใจจังเลยค่ะ ชักอยากจะเห็นซะแล้วสิ คงจะสวยน่าดูเลย ครูอำพาเอ่ยขึ้นหลังฟังจบ เอ งั้นวันศุกร์นี้เรามาดูดาวด้วยกันไหมครับ ดูหลายๆ คนน่าจะสนุกดี พี่เดชของเธอเสนอขึ้น ครูแต่ละคนทำท่าครุ่นคิดก่อนครูอำพาจะเป็นคนตอบ พี่คงไม่ได้อยู่ดูหรอกค่ะ พี่ว่าจะกลับบ้านตั้งแต่เย็นวันศุกร์ เพราะวันจันทร์เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์พอดี พูดจบครูหลายๆ คนก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะแต่ละคนก็เป็นคนในพื้นที่ ต่างก็อยากจะหยุดอยู่บ้านกับครอบครัวกันทั้งนั้น เอาอย่างนี้สิคะ น้องเดชก็นัดครูที่บ้านอยู่ไกลและไม่มีแผนจะกลับบ้านให้อยู่ดูดาวด้วยกันสิคะ ครูบ้านไกล อย่างน้ำผึ้งกับคมเดชก็ได้แต่มองหน้ากัน ครับ ผมจะลองชวนดู เอาเข้าจริงพอถึงวันศุกร์ทุกคนก็กลับบ้านกันเกือบหมด เหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังอยู่บ้านพักที่โรงเรียน เมื่อถึงเวลานัดตอน 5 ทุ่ม ก็มีคนขยันเพียง 7 คนที่ออกมาที่สนามโรงเรียน เราก่อกองไฟกองเล็กๆ เพื่อให้แสงสว่างและให้ความอบอุ่น เพราะถึงแม้จะใส่เสื้อกันหนาวกันเต็มที่ แต่ลมหนาวที่พัดมาเป็นระยะก็ทำให้รู้สึกสะท้านไม่ใช่น้อย ท้องฟ้าในคืนนี้โล่งโปร่งไร้เมฆบัง ยิ่งเป็นคืนเดือนมืดก็ยิ่งเห็นแสงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้ารู้สึกเหมือนดาวดวงน้อยๆ นั่นอยู่ใกล้จนแทบจะเอื้อมมือไปคว้าลงมาได้ ต่อให้ไม่มีฝนดาวตกแต่ความงดงามของดวงดาวในยามนี้ก็ช่างจับตาจับหัวใจมากจนเกินพอ ยิ่งในความมืดแบบนี้ทำให้เธอแอบลอบมองพี่เดชได้อย่างไม่ผิดสังเกตมากนักก็ยิ่ง อิ่ม ไปทั้งหัวใจ แต่ละคนเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าสลับกับหันกลับมาคุยกันเป็นระยะเพื่อบรรเทาอาการเมื่อยคอหลังจากที่ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองสักพักก็ได้ยินเสียงของเขาที่ดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางความเงียบ สวยนะครับ เขาคงจะหมายถึงดวงดาวที่แหงนขึ้นมองอยู่ ค่ะ สวยมากเลย เธอตอบอย่างเห็นด้วยเป็นที่สุด น้องผึ้งชอบไหมครับ เขาถามขึ้นอีก ค่ะ ชอบมากเลยค่ะ เธอตอบทั้งที่ยังเงยหน้ามองดาวอยู่อย่างนั้น งั้น วันหลังเรามาดูกันอีกนะครับ จบคำพูดนั้นก็ทำให้เธอหันขวับกลับมามองเขาจนคอแทบเคล็ด คะ เธอถามกลับอย่างไม่แน่ใจว่าหูฝาดไปหรือเปล่า ก็ ถ้าน้องผึ้งชอบ วันหลังเราก็มาดูดาวแบบวันนี้อีกไงครับ เขาตอบด้วยท่าทางเก้อเขินอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน อ๋อ ชวนคนอื่นมาด้วยแบบนี้อีกใช่ไหมคะ เธอหัวเราะเมื่อเข้าใจว่าเขาคงหาเพื่อนมาดูดาวเหมือนวันนี้ เปล่า.. คือ.. มากันสองคน เรามาดูดาวด้วยกันสองคนได้ไหมครับ พูดจบก็หันมามองหน้าเธออย่างจริงจังดวงตามีแววคาดหวังและความหมายในสายตาก็ชัดเจนจนแทบไม่ต้องแปลความ อุ๊ย! ดาวตก เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก็ทันเห็นดาวตกทิ้งตัวเป็นแนวยาวก่อนจะจางหายไป พอผ่านไปสักพักก็เห็นอีกดวงทิ้งตัวลงมา แต่ละคนจดจ่ออยู่กับท้องฟ้าพยายามแหงนมองรอบทิศเผื่อจะเห็นดวงอื่นๆ หลังจากนั้นทุกคนก็ตื่นเต้นและชื่นชมกับปรากฏการณ์ฝนดาวตกที่แม้จะตกไม่มากและทิ้งระยะห่างพอสมควรแต่ก็มากกว่าที่ได้เห็นทั้งชีวิตซะอีก ดาวตกแต่ละดวงมีสีและระยะเวลาในการมองเห็นแตกต่างกัน บางดวงมีสีส้ม บางดวงเป็นสีแดง และบางดวงเป็นสีขาว เห็นสั้นบ้างนานบ้าง ถ้าขอพรกับดาวตกแล้วสมหวังจริงๆ ชีวิตนี้เธอคงไม่ต้องทำอะไรกินแล้ว คงได้สมหวังไปทุกสิ่ง เพราะได้เห็นมากพอจะขอพรที่ต้องการได้ทุกข้อ น้ำผึ้งคิดอย่างขำๆ พอชื่นชมดาวตกจนหนำใจและคิดว่าขอพรจนครบกันทุกข้อจนเมื่อยคอกันแล้ว ต่างก็ชวนกันกลับห้องเพื่อพักผ่อน เพราะกองไฟก็เริ่มมอด และอากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ จนทุกคนเริ่มสั่นอย่างเห็นได้ชัด คมเดชพยายามเดินทอดน่องอย่างช้าๆ เพื่อให้ห่างจากคนอื่นๆ พอจะพูดสิ่งที่ยังค้างคาต่อ น้องผึ้งยังไม่ตอบคำถามพี่เลย เธออยากจะทำเป็นหูทวนลมแต่ก็ทำไม่ได้ ผึ้ง...ไม่เข้าใจ ถึงจะเข้าใจความหมายที่เขาพยายามจะสื่อ แต่ก็ยังไม่แน่ใจและไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองนัก เขาหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าเธอนิ่ง พี่อยากจะขอคบกับผึ้ง พี่ไม่อยากเป็นแค่พี่ชายอีกต่อไปแล้ว พูดจบก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่ระใบหน้าออกก่อนจะพูดต่อ รู้ไหมพี่ดีใจมากขนาดไหนที่ผึ้งได้มาทำงานที่นี่ ได้มาอยู่ใกล้ๆ พี่ให้พี่ได้มองอย่างนี้ นายป่าบอกพี่ไว้ว่า ถ้าไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองก็อย่าทำเป็นเล่นกับผึ้ง ที่จริงพี่แน่ใจมาตั้งแต่ผึ้งยังเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่พี่อยากให้ผึ้งเรียนให้จบก่อน พี่เห็นว่าผึ้งยังไม่มีใครแถมนายป่าก็ยังช่วยกันคนอื่นๆ ออกไปด้วยพี่ก็เลยใจเย็นได้ แต่พี่คิดว่าตอนนี้น่าจะถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนสถานะจากพี่ชายเป็นอย่างอื่น เขาเอื้อมมือมาจับมืออันเย็นเฉียบของเธอไปกุมไว้แล้วเอ่ยต่ออย่างอ่อนโยน น้องผึ้งจะรังเกียจไหมครับ ถ้าพี่จะขอให้น้องผึ้งคบกับพี่ เป็นแฟนกับพี่นะครับ จบคำพูดยืดยาวของเขา เธอก็ได้แต่ยืนอึ้ง เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินความรู้สึกที่เหมือนจะเป็นคำสารภาพรักของเขา ความรู้สึกต่างๆ ตีกันให้ยุ่ง จนไม่รู้จะพูดอะไรออกไป รู้แต่ว่าไม่ได้รังเกียจเจ้าของมือที่กุมอยู่สักนิด ทั้งหัวใจก็เต้นกระหน่ำด้วยความยินดีที่เธอไม่ได้รู้สึกไปเองเพียงฝ่ายเดียว หญิงสาวก้มมองมือที่กุมอยู่นิ่งแล้วยิ้มด้วยความสุขใจ น้องผึ้งครับ พี่พูดไปตั้งยาว น้องผึ้งจะไม่ตอบพี่สักคำเลยเหรอครับ ตอบให้พี่ชื่นใจหน่อยสิครับว่าพี่ไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว เขาทวงคำตอบแม้จะแน่ใจว่าอีกฝ่ายก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เพราะเขาสังเกตมานานแล้วว่าเธอก็แอบมองเขามาตลอดเหมือนกัน แต่ก็ยังอยากได้ยินคำตอบจากปากเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว ค่ะ เธอตอบรับเบาๆ แทบจะเป็นกระซิบ ค่ะ อะไรครับ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นค้อนคำพูดที่ดูเหมือนล้อนั้น แต่เมื่อพบดวงตาพราวระยับเหมือนดวงดาวที่แหงนมองอยู่เมื่อครู่แต่สวยงามกว่ามากและมีอิทธิพลกับเธอมากกว่าก็ต้องก้มลงเหมือนเดิมด้วยความอาย ค่ะ ผึ้งจะเป็นแฟนกับพี่เดช อุบอิบตอบไปเบาๆ ก็ต้องตกใจเมื่อเขาดึงไปใต้ต้นไม้ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นจึงรั้งร่างเธอไปกอดแนบอกแล้วถอนหายใจอย่างเป็นสุข กลับไปบ้านคราวนี้พี่ต้องโดนนายป่าเตะแน่เลย เขารำพึงเบาๆ จนเธออดหัวเราะไม่ได้ ใต้แสงดาวที่พร่างพราวเต็มท้องฟ้า ทั้งสองเดินจูงมือเคียงกันอย่างมีความสุขโดยมีดวงดาวนับล้านเป็นพยาน อยากเขียนเพราะคิดไว้คร่าวๆ แล้วว่าจะเขียนแนวไหน แต่เขียนไม่จบสักที เลยกะว่าถ้าเขียนไม่เสร็จ ไม่ได้ลง จะไม่ไปทักใครเด็ดขาดนอกจากแวะไปอวยพรวันเกิด ซึ่งทำไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน แหะๆ ตอนเด็กๆ เคยได้ดูฝนดาวตกอยู่ 2-3 ครั้ง มันเป็นภาพที่สวยงามและเป็นความทรงจำที่ดีมาก แต่ไม่ได้ดูกับหนุ่มๆ นา ดูกับพ่อแล้วก็น้องๆ มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ลืมภาพนั้นเลย ช่วงนี้ขี้เกียจตัวเป็นขน เมื่อวันที่ 7 พ.ค.56 เพื่อนออกจากโรงพยาบาล หมอให้กลับไปพักบ้านได้ก็เลยลางานหัวหน้าไปส่งกับรถพยาบาลที่บ้าน ช่วงนี้หมอก็ให้ใส่ปลอกคอ hard collar เพื่อพยุงต้นคอไว้ก่อนเวลานั่งเวลายืน ก็โล่งอกไปอีกเปลาะหนึ่ง หมอนัดอีกทีวันที่ 5 มิ.ย.56 ก็ว่าจะลางานไปเป็นเพื่อนอีกรอบ วันที่ 9 พ.ค.56 วันเกิดคุณเพื่อนก็โทรไปอวยพร ส่งข้อความมือถือ facebook น่าจะเป็นปีแรกตั้งแต่เรียนด้วยกันมาจนทำงานด้วยกันที่ไม่ได้อยู่ด้วยตอนวันเกิด เพราะทุกทีอยู่ด้วยกันตลอดเลยรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ยังหาของขวัญวันเกิดให้ไม่ได้ ถามเพื่อนว่าอยากได้อะไรเธอบอกว่าอยากหาย เอ่อ ไม่ใช่สาวน้อยในตะเกียงแก้วนะโว๊ย (เปรียบซะน่ารักเชียว) ถึงจะได้ให้พรให้หายได้ทันใจ ก็ได้แต่ค้อน (โทรศัพท์) แล้วก็อวยพรให้แทน แล้วก็หาของขวัญให้ต่อปาย ตอนแรกคิดว่าอาทิตย์นี้จะขอพักสักหน่อยเพราะขึ้นๆ ลงๆ หลายอาทิตย์แล้วไม่ไหว จะไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้านก็ไม่สะดวก ลำบากคนไปรับไปส่ง จะนั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างก็ไม่กล้าเพราะซอยเข้าบ้านเพื่อนค่อนข้างไกลและเปลี่ยว พี่ๆ ที่ทำงานถามว่ากลัวโดนปล้ำเหรอ หึ ไม่ได้กลัวโดนปล้ำ แต่กลัวโดนปล้นตะหาก ถึงจะแน่ใจว่ามีหน้าตาเป็นอาวุธ แต่ก็กลัวจะโดนปล้น ถึงแม้ตังค์ในกระเป๋าจะเบาหวิวก็เถอะ แต่หลังจากนั้นคุณนายแม่ก็โทรมาว่าจะขึ้นมาซื้อจักรเย็บผ้าให้น้องสาว แต่ฉันว่าน่าจะเป็นข้ออ้างมากกว่า ที่จริงคุณนายหนีเที่ยวตะหาก ยิ่งเจ้าน้องชายไปอยู่เฝ้าบ้านให้ก็ยิ่งสะดวกกับการหนีเที่ยว แต่พอถามน้องว่าจะไปซื้อกันที่ไหนจักรน่ะ มันก็บอกไม่รู้ คุณพี่ก็เลยต้องหาข้อมูลที่ซื้อจักรให้คุณน้องอีก พ่อกับแม่จะมาวันที่ 12-13 ตรงกับวันจันทร์ด้วย แม่ถามว่าหยุดได้หรือเปล่า จะให้ตอบอย่างอื่นได้ยังไงล่ะ นอกจาก ได้ แล้วก็ไปลางานตามระเบียบ ลาได้ลาดีแบบนี้จะโดนไล่ออกไหมเนี่ย วันอาทิตย์กว่าจะซื้อจักรเสร็จก็ 4 โมงเย็นโน่นแน่ะ แผนในการพาไปเที่ยวตลาดน้ำตลิ่งชันก็เลยต้องพับไปตามระเบียบ ประกายเซ็ง เพราะน้องต้องลองใช้แล้วก็ถามรายละเอียดก่อนซื้อ เพิ่งจะรู้ว่าจักรเครื่องนึงตั้งเกือบหมื่นหก แต่เท่าที่เห็นก็สะดวกกับการใช้งานดี วันจันทร์ถามแม่ว่าจะไปไหนดี คุณนายท่านก็บอกว่าจะไปโบ๊เบ๊ เอ้า! โบ๊เบ๊ก็โบ๊เบ๊ ตามใจละกัน ไปเดินกันจนขาลากพอตังค์หมดเกือบทุกกระเป๋าก็กลับมาสลบเหมือดกันที่ห้องตอนเย็นไปส่งแม่ที่หมอชิต อยู่ได้สักพักแม่ก็ไล่กลับ กว่าจะกลับมาถึงก็เกือบ 4 ทุ่ม เพลียสุดๆ โทรไปหาแม่ให้แม่เดินทางโดยสวัสดิภาพแล้วก็หลับไปด้วยความเพลีย ที่ทำงานแผนกของเรามีกันอยู่ 2 คน ป่วยไปคนก็เหลือแค่ฉันคนเดียว เบื่อๆ เซ็งๆ เหงาๆ ดีพิลึก เฮ้อ! เซ็ง (โว๊ย!) ติดคอมเมนท็ไว้ยาวยิ่งกว่าหางว่าว แต่ได้ลงแล้ว เดี๋ยวจะแวะไปทักทายนะคะ แหะๆ
Create Date : 16 พฤษภาคม 2556 |
Last Update : 16 พฤษภาคม 2556 17:48:55 น. |
|
97 comments
|
Counter : 2434 Pageviews. |
|
|
เด๋วมาอ่านนะ