แปร๋นท่องกรุง : ถอดรหัสความรู้เรื่องช้าง (1)
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (NDMI) ชวนมาร่วมสนุก แบบได้รับความรู้ไปกับกิจกรรม Museum Family ปี 2 ตอน Museum Family on Tour แปร๋นท่องกรุง
ร่วมทริปตามรอยช้างเรียนรู้เรื่องช้างผ่านจิตรกรรมและประติมากรรมที่วัดพระแก้ว ศึกษาเรื่องช้างกับพระราชา ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และปั่นจักรยานตะลุยเมืองโบราณถอดรหัสเรื่องช้าง จังหวัดสมุทรปราการ ในวันที่ 30, 31 สิงหาคม 2557 และวันที่ 6, 7 กันยายน 2557
เพียงแค่ร่วมสนุกโดยการตอบคำถาม พร้อมบอกเหตุผลว่า คิดถึงช้าง คิดถึงอะไร ส่งคำตอบมาทางอีเมล pairin@ndmi.or.th และระบุวันที่จะไปร่วมทริป (เลือกได้ 1 วัน) พร้อมชื่อและเบอร์โทรติดต่อกลับ คำตอบไหนโดนใจกรรมการ รับไปเลยรางวัลร่วมทริปรางวัลละ 2 ที่นั่ง
ปิดรับคำตอบ : วันที่ 26 สิงหาคม 2557 เวลา 24.00 น. ประกาศผลผู้ที่ได้รางวัลร่วมทริป : วันที่ 27 สิงหาคม กำหนดการ Museum Family On Tour แปร๋นท่องกรุง วันที่ 30, 31 สิงหาคม 2557 และวันที่ 6, 7 กันยายน 2557
ปรกติส่งฝาชาเขียวก็ไม่เคยได้รางวัล ซื้อสลากกินแบ่งก็ไม่เคยถูก แต่ถ้าเป็นการร่วมสนุกแบบต้องใช้ความรู้บวกวาทศิลป์ก็พอได้ และนั่นจึงเป็นที่มาของการเดินทางออกตามหาเรื่องราวของช้าง สัตว์ที่ขึ้นชื่อได้ว่า เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทย
8.00 น. คือกำหนดเวลาการลงทะเบียนที่มิวเซียมสยาม จากนั้นก็นั่งรถตู้ไปสถานที่อันคุ้นเคย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เพื่อเรียนรู้ ช้างกับพระราชา เริ่มจากจิตรกรรมในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ซึ่งแน่นอนว่าปรากฏช้างอยู่ในภาพพุทธประวัติหลายตอน ได้แก่
ภาพที่ 2 ตอนทูลเชิญพระโพธิสัตว์และสุบินนิมิต ภาพที่10 ตอนมารผจญ ภาพที่ 13 ตอนทรมานพระยามหาชมพู ซึ่งเป็นภาพที่โดดเด่นที่สุด โดยมีการแสดงถึงการยืนโรงช้างต้น ในแบบอยุธยามาจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ภาพที่ 20 ตอนทรมานช้างนาฬาคีรี และภาพที่ 29 ตอนเสวยสุกรมัทวะ อยู่บนมุมซ้ายเป็นภาพเทวดากับพระอินทร์ มีช้างอัญเชิญอะไรมาซักอย่าง ซึ่งก็จะคุ้นกับภาพพุทธประวัติชุดนี้อยู่แล้ว เพียงแต่มาเจาะเฉพาะเรื่องช้าง ทำให้มีเวลาเหลือไปเจาะภาพกาก ไม่น่าเชื่อว่าบนพระที่นั่งก็มีภาพอีโรติกด้วย
นอกจากภาพจิตกรรมฝาผนังยังปรากฏเรื่องราวคชสารอยู่บนตู้พระธรรม มีภาพที่อาจจะเป็นหลักฐานเพียงหนึ่งเดียวก็คือการขี่ช้างล่อแพน ซึ่งปรากฏอยู่ในเอกสารถึงประเพณีในราชสำนักในยามว่างจากศึกสงคราม ก็จะมีการฝีกซ้อมความชำนาญด้วยการขี่ม้าล่อแพน
เมื่อรัชกาลที่ 3 มีช้างงาของหลวงตัวหนึ่งขึ้นระวางชื่อว่า พลายไฟพัทธกัลป์ คนเรียกกันเป็นสามัญว่าพลายแก้ว เป็นช้างฉลาดแต่ดุร้ายตกน้ำมันทุกปี แทงคนที่ไปล่อแพนตายหลายคนจนขึ้นชื่อลือเลื่องถึงมีรูปภาพเขียนไว้ (ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หอศิลป)
ช้างนั้นอยู่มาจนถึงในรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเกล้าอยู่หัว มีม้าพระที่นั่งฝีตีนดี ตัวหนึ่งขึ้นระวางเป็น เจ้าพระยาสายฟ้าฟาด พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดถึงเกิดอยากทรงม้าสายฟ้าฟาด ล่อแพนช้างพลายแก้วเวลาตกน้ำมัน ที่สนามในวังหน้า
พระองค์ทรงม้าสายฟ้าฟาดสะบัดย่างเข้าไปถึงหน้าช้างแล้วชักตลบหลัง ทรงยื่นแพนล่อช้างตามตำรา พอพลายแก้วขยับตัวจะไล่ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าก็ทรงกระทบพระบาทขับม้าจะให้วิ่ง แต่ม้าสายฟ้าฟาดเข้าใจว่าโปรดให้เต้นก็เต้นน้อยย่ำอยู่กับที่ไม่วิ่งหนีช้าง
หมอช้างที่ขี่พลายแก้ววันนั้น แก้ไขโดยก้มตัวลงเอามือปิดตาช้างทั้งสองข้าง แล้วขับเบนให้วิ่งไปเสียทางอื่น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าจึงพ้นอันตราย
(เดินไปด้านหลัง หันหน้าเข้าหาตู้พระธรรม ภาพจะอยู่มุมล่างทางซ้ายมือ)
เราไปต่อกันที่ด้านหลังอันเป็นที่ตั้งของพระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข ซึ่งจัดแสดงในหมวด ช้างศึกและเครื่องอาวุธ ทำให้เราเห็นภาพว่า ในสมัยก่อนพระมหากษัตริย์จะมีการจัดเครื่องประกอบช้างศึกอย่างไร
ที่น่าสนใจคือสัปคัปพระคชาธาร ที่เป็นต้นแบบของธรรมาสน์ จปร เครื่องสังเค็ดในงานพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้นก็มีการรวมตัวที่ศาลาสำราญมุขมาตย์เพื่อรับแจกอาหารกลางวัน เตรียมพร้อมการเดินทางไปยังเมืองโบราณ ที่จังหวัดสมุทรปราการ
สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในโปรแกรม คือผมมีความฝันที่อยากจะติดตามเรื่องนึง มันคือศาลต้นจันทน์ ที่เป็นเหมือนอาคารสาธารณะประจำชุมชน สมัยก่อนนั้นมีอยู่หลายที่ที่เราคุ้นเคยกันดี เช่นศาลาน้ำร้อน ศาลาน้ำเย็น แต่ศาลาต้นจันทน์มีคนบอกไว้ว่า ถูกรื้อถอนไปไว้ที่เมืองโบราณ
มันจึงเป็นหนึ่งในจุดประสงค์แฝงของการเดินทางมาในครั้งนี้ ก็เพราะว่าเป็นที่รู้กันดี ว่าค่าเข้าเมืองโบราณนั้นแพงขนาดไหน
ประวัติของศาลาต้นจันทน์ กล่าวกันไว้ว่าเป็นอาคารไม้สักชั้นเดียว ใต้ถุนสูงประมาณเมตรเศษ กว้างยาวประมาณ 8 x 12 เมตร มีบันไดโบกปูนขึ้นลง 3 บันไดด้วยกัน ด้านหน้า 2 บันได ด้านทิศใต้ 1 บันได หลังคามุงกระเบื้อง หน้าต่างมีลูกกรง หน้าศาลาทางทิศเหนือมีต้นจันทน์อยู่ 2 ต้น
ต่อมาทางการได้ทำการเวนคืนที่ดินเพื่อขยายถนนอรุณอมรินทร์จึงจำเป็นต้องรื้อออก แต่เจ้าของเมืองโบราณได้ขอซื้อไปปลูกเก็บรักษาไว้ นั่นเป็นข้อมูลที่ผมมีอยู่
ครั้งหน้าเราจะไปปั่นตามหาช้าง และลุ้นว่าจะตามหาศาลาหลังนี้เจอหรือไม่
Create Date : 22 พฤษภาคม 2558 |
|
3 comments |
Last Update : 25 พฤษภาคม 2558 12:49:20 น. |
Counter : 1656 Pageviews. |
|
|
บอกตำแหน่งของภาพมาด้วยแบบนี้ คราวหน้า จะลองหาดูแบบค่อยๆ ดูมากขึ้นค่ะ
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ผู้ชายในสายลมหนาว Education Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
ลองกลับไปดูภาพใบเสมา แบบขยายจากไฟล์ต้นฉบับดู แทบมองไม่ออกเลยค่ะ ไม่มีลายเลยมัง ไว้คราวหน้าถ้าได้ไปอีก หรือไปที่ไหน จะถ่ายมาทั้งใบค่ะ (พลาด...มาก เสียดายค่ะ)