วัดเบญจมบพิตร : แรกมีพิพิธภัณฑ์
ถ้าจะเอาประวัติการสร้างพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย คงต้องย้อนไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่พระองค์ได้เสด็จประพาสชวาเมื่อปี พ.ศ. 2413 เมื่อพระชนมายุได้ 17 พรรษา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่กษัตริย์ได้เสด็จออกไปต่างประเทศ ทำให้ได้เห็นความเจริญก้าวหน้า ของชาติตะวันตก เมื่อนิวัติพระนครพระองค์ก็ได้จัดให้มีการดำเนินการหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ที่หอคองคอเดีย ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมเฉพาะในวันสำคัญ ต่อมา พ.ศ. 2430 เมื่อกรมพระราชวังบวรเสด็จสวรรคต จึงโปรดให้ย้ายสิ่งจัดแสดงจากหอคองคอเดียมายังพระราชวังสถานมงคล ในช่วงเวลานั้น คนไทยคงยังไม่รู้จักความสำคัญของโบราณวัตถุ ยิ่งสิ่งที่เรียกว่า พิพิธภัณฑ์น่าจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก จนกระทั่งพระองค์ได้ สร้างวัดเบญจมบพิตรในปี พ.ศ. 2451 พระองค์ได้มีรับสั่งให้สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ หาพระพุทธรูปโบราณปางต่างๆ มาจัดแสดงเหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ระเบียงคตของวัด
โดยพระพุทธรูปที่จะประดิษฐานที่พระระเบียงต้องอยู่ในเกณฑ์ดังนี้ 1. จะต้องเป็นพระพุทธรูปที่แล้วด้วยฝีมือช่างเอกที่น่าชม 2. ต้องต่างกัน 3. ต้องมีขนาดไล่เลี่ยกัน การรวบรวมพระพุทธรูปให้ได้ตามเกณฑ์นั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ทรงเสาะหา พระพุทธรูปของโบราณที่มีอยู่แล้วทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมือง ตลอดจนถึงต่างประเทศ แต่ก็เป็นการยากที่จะให้ได้พระโบราณทั้งหมดตามเกณฑ์ดังกล่าว บางองค์จึงเป็นพระพุทธรูป ที่หล่อขยายขึ้นจากพระพุทธรุปองค์เล็ก หรือย่อส่วนลงจากพระพุทธรุปองค์ใหญ่ การแสวงหาพระพุทธรูปนั้น บางครั้งเต็มไปด้วยความยากลำบาก เช่น การอัญเชิญพระพุทธรูปจากวิหารหลวงเมืองเชียงแสน ต้องอัญเชิญตามทางเรือ ในลำน้ำโขงมาเข้าแม่น้ำกกแล้วขึ้นบกที่เชียงราย หามมาลงที่พะเยา เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต งานนี้จึงจบลงโดยรวบรวมพระพุทธรูปได้ 52 องค์ พระพุทธรูปที่จัดแสดงที่ระเบียงคตวัดเบญจมบพิตร จึงเป็นดั่ง masterpieces ของพระพุทธรูปสมัยต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างพระพุทธรูปปางลีลา ที่ต่อมาอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้ใช้เป็นต้นแบบของพระพุทธรูปประธานที่ลานพุทธมณฑล ในคราวที่มีการเฉลิมฉลองกึ่งพุทธศตวรรษ ในสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงครามนั่นเอง
พระพุทธรูปที่ระเบียงคตจัดเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของพิพิธภัณฑ์ ชื่อว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร โดยอีกสองส่วนนั้นก็คือ อาคารวิหารสมเด็จ และศาลาบัณณรศภาค แต่โดยปรกติไม่ได้เปิดให้เข้าชม พระวิหารสมเด็จสร้างขึ้นจากพระราชทรัพย์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เมื่อ พ.ศ. 2445 ตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นหอพระธรรมประจำวัด พระราชทานนามว่า หอพุทธสาสนสังคหะ เป็นอาคารสองชั้นจัตุรมุข ที่หน้าบันซุ้มประตูและซุ้มหน้าต่างเป็นปูนปั้นลายก้านขด ปิดทองประดับกระจกมีตราพระปรมาภิไธยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชินีนาถ เมื่อมีการรวบรวมพระพุทธรูปมาจากหัวเมืองต่างๆ จำนวนมาก มีพระพุทธรูปขนาดย่อมกว่าพระพุทธรูปที่คัดเลือกไปประดิษฐานในพระระเบียงคด พระวิหารสมเด็จแห่งนี้จึงเป็นที่เก็บรวบรวมพระพุทธรูปที่เหลือเหล่านั้น
ต่อมาในปี พ.ศ.2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณา โปรดให้ผนวกกิจกรรมของหอพุทธสาสนสังคหะเข้ากับหอพระสมุดดวชิรญาณ จึงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ตู้พระธรรม คัมภีร์ พระไตรปิฎก เครื่องลายคราม
ภายในวิหารสมเด็จจึงเต็มไปด้วยสิ่งจัดแสดงสำคัญ ได้แก่พระพุทธรูปในแต่ละยุคสมัย ที่สำคัญคือพระพุทธรูปแบบศิลปะล้านนา สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ นอกจากนั้นยังมีการรวบรวมตู้พระธรรมหรือตู้ลายรดน้ำจำนวน 28 ใบ ทั้งแบบฐานสิงห์ ขาตู้แบบเท้าสิงห์เหยียบลูกแก้ว และตู้พระธรรมแบบขาหมู
ชั้นบนของพระวิหารสมเด็จ จัดแสดงโบราณวัตถุศิลปวัตถุ ประเภทเครื่องกระเบื้อง โดยมีการจัดชุดเครื่องถ้วยเคลือบลายคราม และเครื่องถ้วยเคลือบสีแดง เป็นชุดเครื่องบูชาอย่างโต๊ะจีน ตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทาน และพระบรมวงศานุวงศ์ประทานไว้ให้เป็นพุทธบุชา และเป็นเครื่องใช้ของสงฆ์ในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
ศาลาบัณณรศภาค เป็นศาลาจัตุรมุขชั้นเดียว ผนังก่ออิฐถือปูนพื้นหินอ่อน สร้างขึ้นด้วยทุนของพระโอรส พระธิดาเจ้าจอม และพระญาติ ในรัชกาลที่ 5 รวม 15 ราย มีพระนางเจ้าพระราชเทวี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพรัตน์ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต เป็นต้น เหตุที่สร้างด้วยทุนทรัพย์ 15 ส่วน จึงพระราชทานนามว่า ศาลาบัณณรศภาค สร้างแล้วเสร็จและอุทิศถวายในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2444 เพื่อใช้เป็นหอฉัน ภายในมุขตะวันออกประดิษฐานพระพุทธรูปที่ไม่ได้ขนาดที่จะประดิษฐาน ณ ระเบียงพระวิหารคด จำนวน 8 องค์ อยู่บนฐานชุกที่เดียวกัน ปัจจุบันใช้เป็นที่ตั้งพิธีบำเพ็ญกุศลในงานศพของบุคคลสำคัญ ดังนั้นจึงอาจหาชมภาพพระพุทธรูปชุดดังกล่าวจากคนที่ไปงานได้ แต่ในวิหารสมเด็จนั้นห้ามถ่ายภาพ ทางเดียวสำหรับคนที่ยังไม่มีโอกาสเข้าไป คือการซื้อหนังสือเท่านั้น ผมเห็นมีอยู่ 2-3 เล่ม ไม่รู้เหมือนกันว่าเล่มไหนน่าซื้อ แต่ผมมีเล่มที่เป็นหน้าปกสีชมพูน่ะ
Create Date : 14 มกราคม 2564 |
|
10 comments |
Last Update : 14 มกราคม 2564 23:31:35 น. |
Counter : 1387 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: ทนายอ้วน 14 มกราคม 2564 16:05:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทนายอ้วน 14 มกราคม 2564 19:55:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: หอมกร 15 มกราคม 2564 7:19:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทนายอ้วน 15 มกราคม 2564 13:32:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: Sai Eeuu 15 มกราคม 2564 21:38:44 น. |
|
|
|
| |