บุญคือความสุขใจ 2

บุญนี่แปลกมีมากแทนที่จะหนักกลับเบา ยิ่งทำให้จิตใจเราเบา ยิ่งทำให้จิตใจเรามีความสุข แต่สมบัติภายนอกยิ่งมีมากเท่าไรยิ่งทำให้เราทุกข์ ยิ่งมีความหนักอกหนักใจมากขึ้นไปเท่านั้น แต่ความโง่เขลาเบาปัญญาหลงตนว่าเป็นผู้ฉลาด สามารถกอบโกยหาเงินหาทอง มีอำนาจวาสนามาก กลับหลอกให้พวกเราแบกความทุกข์อันมโหฬารอยู่ในจิตในใจโดยไม่รู้ตัว นี่คืออวิชชา นี่คือความโลภ นี่คือความหลง มันหลอกจิตของเราให้กลายเป็นทาสไปแบกสิ่งที่ไร้สาระ ไร้คุณค่า แล้วก็ต้องทุกข์กับมันไปจนวันตาย ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้เท่านั้น ตายไปแล้วก็ติดเป็นนิสัยไป ชาติหน้ากลับมาเกิดใหม่ก็กลับมาทำอย่างเดิมๆอีก ทำไปเรื่อยๆถ้าไม่ได้เจอศาสนาพุทธ แล้วเกิดศรัทธาก็จะไม่รู้เรื่อง ก็จะวนเวียนอยู่ในวัฏจักรของความทุกข์นี้ไปไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าได้เจอศาสนาพุทธแล้วได้สติคิดได้ เข้าใจอะไรเป็นโทษ อะไรเป็นคุณ ก็จะสามารถแก้ไขนิสัยเดิมๆได้ คือแทนที่จะไปสะสมลาภ ยศ สรรเสริญ สุข กองเงินกองทอง อำนาจวาสนา ก็มาสะสมบุญกัน เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตน เปลี่ยนนิสัย เช่นเคยถนัดมือซ้ายแล้วหันมาใช้มือขวา เพราะสมมุติว่ามือขวานี้มีประโยชน์มากกว่ามือซ้าย มือซ้ายมีแต่โทษ ใช้ไปแล้วมีแต่ทำให้เราเจ๊งอยู่เรื่อยๆอย่างนี้ แต่ถ้าทำด้วยมือขวาแล้วทำให้เราเจริญ เราก็ต้องเปลี่ยน ถ้าเราไม่เปลี่ยนเราก็จะหาความเจริญไม่ได้ ก็จะวนเวียนอยู่กับความเสื่อมความเสียอยู่เรื่อยๆ เรื่องของศาสนานี้ก็เป็นเรื่องที่สอนให้เรารู้จักว่า อะไรเป็นคุณเป็นประโยชน์กับชีวิตจิตใจของเราอย่างแท้จริง เราจึงต้องน้อมเอาสิ่งที่ศาสนา สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนี้มาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา เราเคยหมกมุ่นอยู่กับเรื่องกามต่างๆ กามรส กามารมณ์ต่างๆ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เราก็ต้องพยายามละเลิกมัน พยายามละเลิกสิ่งที่เป็นโทษ เช่นสุรายาเมา สิ่งเสพติดทั้งหลาย บุหรี่ ของที่เป็นโทษ ไม่มีคุณ ไม่มีประโยชน์ จะเลิกมันก็ไม่ง่ายดาย แต่ก็ไม่สุดวิสัย เราสามารถเลิกได้ถ้ามีความเข้มแข็ง มีความเด็ดเดี่ยว มีปัญญา คือรู้ว่ามันเป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเรา ถ้าเรารู้ว่ามันเป็นโทษ เป็นเหมือนกับงูพิษ มีใครอยากจะเอางูพิษมาเล่น มาคล้องคอบ้าง ไม่มีใครอยากจะได้งูพิษมาคล้องคอ แต่ถ้ารู้ว่ามันเป็นงูพิษปั๊บนี่เราจะต้องหาวิธีกำจัดมันทันที ไม่อยากจะให้มันอยู่ใกล้ตัวเรา เราจึงควรปลดเปลื้องพฤติกรรมการกระทำของพวกเรา ที่เป็นโทษ ที่ไม่ได้นำความสุขมาให้กับเราอย่างแท้จริง สลัดให้มันห่างจากตัวเรา ห่างจากจิตใจของเรา นี่คือสิ่งที่เราจะได้ยินได้ฟังจากศาสนา สิ่งที่พวกเราแสวงหากัน เช่น ลาภ ยศ อำนาจวาสนา ความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับจิตใจของเรา แต่มันจะกดดันจิตใจให้มีแต่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น สังเกตดูเวลาเรารักใครสักคน เราจะต้องวุ่นวายกับคนที่เรารัก ต้องห่วงต้องกังวล ไหนจะหวง ไหนจะไม่อยากจะให้เขาทำในสิ่งที่เราไม่อยากให้เขาทำ ถ้าไปทำ เราก็จะวุ่นวายใจ แต่ถ้าเราไม่ได้ไปรักเขา เขาจะทำอะไรอย่างไรก็ไม่ได้สร้างความวุ่นวายใจให้กับเรา แต่เราเกิดมีกามารมณ์ คืออยากจะได้เขามาเป็นสมบัติ อยากจะให้เขาให้ความสุขกับเรา เราก็เลยไปหลงรัก ไปชอบเขา แต่เราไม่รู้ว่าเราไม่สามารถไปควบคุมบังคับเขา ให้เป็นไปตามความต้องการของเราได้เสมอไป มันจึงสร้างแต่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจให้กับเรา เมื่อเขาไม่ได้ทำตามความอยากของเรา เป็นผลที่ตามมาเมื่อเราไปเกี่ยวข้องกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไปยินดีกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไปหาความสุขจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา กลายเป็นความกังวลใจขึ้นมา เราจึงต้องแก้ไขพฤติกรรมต่างๆที่ไม่ดีของเรา เช่นความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ความอยากเป็นใหญ่เป็นโต เป็นมหาเศรษฐี ความอยากเหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี ที่ฝังลึกอยู่ในจิตในใจของเรา แต่ถ้าได้พิจารณาอย่างแยบคาย ก็จะเห็นว่ายิ่งมีความอยากเหล่านี้มากเพียงไร ยิ่งหนักอกหนักใจมากขึ้นเพียงนั้น ไม่เหมือนกับเรื่องของบุญ ยิ่งทำมากเท่าไรยิ่งทำให้ใจเบามากขึ้นเพียงนั้น เช่นเรามีสมบัติ มีอะไรที่ไม่ใช้ เก็บไว้ก็ต้องคอยกังวล คอยดูแล คอยรักษามัน เวลาหายไปเราก็เสียใจ ทั้งๆที่เราก็ไม่ต้องอาศัยมัน เพียงแต่พอเห็นมันก็มีความรู้สึกดีอกดีใจไปอย่างนั้นเอง แต่ถ้าตัดใจได้ว่า เราก็ไม่ได้ใช้มัน เอาไปให้คนที่เขาไม่มีดีกว่า มีเสื้อผ้าเหลือเฟือ เหลือใช้ ล้นตู้ เก็บไว้เป็นปีๆก็ไม่ได้ใส่ ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม ให้คนที่ไม่มีใส่จะดีกว่า ให้เขาแล้วเราจะมีความสุข ใจเราก็จะเบาขึ้น ไม่ต้องมาห่วง ไม่ต้องมากังวล ไม่ต้องมาเสียดาย ศาสนาสอนให้เราแบกแต่ของเบาๆ แบกแต่ของที่ให้เรามีความสุข แต่พวกเรากลับชอบแบกของที่ให้ความทุกข์ ชอบแบกของที่หนักๆ หนักอกหนักใจ กลุ้มอกกลุ้มใจ ก็เพราะเรื่องราวต่างๆ ที่เรามีครอบครองอยู่ทั้งนั้นแหละ เรื่องสมบัติ เรื่องเงินทอง เรื่องญาติสนิทมิตรสหาย ลูกหลาน สามีภรรยา เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่หนักอกหนักใจทั้งสิ้น ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ดูพระอริยสงฆ์เป็นตัวอย่าง ท่านไม่ได้มีสมบัติแบบนี้เลย ท่านมีแต่บุญอยู่ตลอดเวลา ท่านมีแต่ให้อยู่ตลอดเวลา ท่านมีแต่ศีลอยู่ตลอดเวลา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ท่านมีสมาธิ มีความสงบอยู่ตลอดเวลา ท่านมีปัญญา มีสัมมาทิฐิความเห็นชอบอยู่ตลอดเวลา ท่านเห็นไตรลักษณ์อยู่ทุกขณะจิต เห็นความเสื่อมความเจริญว่าเป็นของคู่กันอยู่ตลอดเวลา เห็นความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เห็นความไม่มีตัวไม่มีตนในสิ่งทั้งหลาย นี่คือสิ่งที่ทำให้ท่านมีบุญมาก มีความสุขมาก นี่ก็คือสิ่งที่ท่านสอนให้เราสะสมกัน เราจะเรียกว่าอริยทรัพย์ก็ได้ เป็นสมบัติเป็นทรัพย์ของผู้ประเสริฐ ของพระอริยะทั้งหลาย ผู้ประเสริฐก็คือผู้รู้ ผู้ฉลาด รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ให้ความสุขอย่างแท้จริง ส่วนพวกเรานี้ไม่ได้เป็นพระอริยะกัน เพราะพวกเรายังโง่เขลาเบาปัญญากันอยู่ เรายังหลงอยู่กับพวกอิฐหินปูนทราย แทนที่จะไปหลงกับเพชรนิลจินดา เรากลับไปชอบพวกอิฐหินปูนทรายกัน ชีวิตของพวกเราจึงไม่ค่อยได้อะไรเท่าไร มีแต่แบกความทุกข์อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเรานำสิ่งที่พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ท่านสอนให้เราปฏิบัติ มาปฏิบัติกันอยู่เรื่อยๆแล้ว ต่อไปเราก็จะเป็นเศรษฐีบุญ เป็นเศรษฐีธรรมะ แต่เราจะเป็นคนยากจนทางโลก เพราะว่าเงินก็คงจะหมดไปกับการทำบุญ แต่คนที่ได้ความสุขจากการทำบุญจะไม่เสียดายเงิน เขาทำบุญหมด เขาก็ออกบวช คนที่ออกบวชก็ต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว สมบัติเงินทองมีมากมีน้อยเพียงใดก็สละหมด พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ทรงสละพระราชสมบัติ ทรงมีปราสาทอยู่ตั้ง ๓ หลัง ปราสาท ๓ ฤดูก็ทรงสละไป ไปอยู่โคนต้นไม้อย่างนี้เป็นต้น ยากจนเป็นขอทาน ต้องไปอาศัยข้าวเขากิน ทุกเช้าก็ต้องถือบาตรเข้าไปในหมู่บ้านขอข้าวเขากิน เป็นยาจกทางโลก แต่เป็นเศรษฐีทางธรรมทางบุญ ดีกว่าเป็นเศรษฐีทางโลกที่มีแต่ความทุกข์กดดัน เบียดเบียนอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นยาจกทางธรรม หาความสุขไม่ได้ วันๆหนึ่งมีแต่นอนก่ายหน้าผาก มีแต่บ่นอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่ได้หาความสุข ไปหาความทุกข์กัน นี่แหละคือความหลงกับความรู้มันเป็นอย่างนี้ ความรู้ทางด้านปัญญาก็ต้องทางศาสนา ทางพระพุทธ ทางพระธรรม ทางพระสงฆ์ นั่นแหละคือแสงสว่าง เวลาเดินอยู่ในที่มืดกับที่สว่างมันแตกต่างกัน สมมุติว่าเรานั่งอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้แล้วเกิดมีสุริยคราส มีพระจันทร์มาบดบังแสงอาทิตย์ปั๊บ มันก็จะมืดสนิท จะมองไม่เห็นอะไร ยังไม่รู้เลยว่าน้ำขวดไหนอยู่ตรงไหน ไปหยิบก็หยิบผิดๆถูกๆ อยากจะฉันน้ำนี้ก็ไปหยิบน้ำอีกอย่างมาฉัน นี่คือลักษณะของความมืดบอดของอวิชชา ของความหลง เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นกลับตาลปัตร แต่พอมีแสงสว่างปรากฏขึ้นมาก็เห็นเลย อยากจะกินอยากจะดื่มน้ำชนิดไหนก็สามารถหยิบขึ้นมาดื่มได้ เห็นชัดเจน เพราะมีแสงสว่าง เรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องสุข เรื่องทุกข์ก็เหมือนกัน ถ้าอยู่ในความมืดของโมหะอวิชชาก็จะคว้าผิดคว้าถูก ส่วนใหญ่จะคว้าแต่ความทุกข์เข้ามา เพราะความทุกข์นี้มันฉลาด มันมักจะซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ความสุข ที่เป็นเหมือนกับผิวน้ำตาลเคลือบความขมไว้อย่างนั้น เคยกินยาขมเคลือบน้ำตาลไหม เวลาอมไปนิดเดียวเดี๋ยวความหวานนั้นมันก็หมดไป เขาจึงให้รีบกลืนยา ถ้ามีแต่รสขมเราจะกินไม่ได้ ก็เลยต้องเคลือบสารบางอย่างไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้รสขมนั้นปรากฏขึ้นมา ฉันใดความทุกข์ในโลกนี้ก็เป็นอย่างนั้น มันจะซ่อนอยู่ภายใต้ความสุข เราแต่งงานเราก็คิดว่ามีความสุข เรามีลูกเราก็มีความสุข เราได้อะไรเราก็มีความสุข แต่เราไม่เคยมองเวลาที่เราจะต้องเสียมันไป เวลาที่เราจะต้องจากมันไป หรือเวลาที่มันจะต้องจากเราไป มันให้ความทุกข์กับเราขนาดไหน เวลาไปงานศพก็ไปดูคนร้องห่มร้องไห้กัน ไปโรงพยาบาลก็ไปดูคนเขาร้องห่มร้องไห้กัน นี่เรามองไม่เห็นกัน เพราะว่าความทุกข์มันซ่อนอยู่ข้างหลัง คนที่ไม่มีแสงสว่างแห่งธรรมจะมองไม่เห็น จะเห็นแต่ความสุขที่เป็นฉากบังหน้าอยู่เท่านั้นเอง แต่ตัวอุบาทว์ตัวความทุกข์ที่มันซ่อนอยู่ข้างหลัง เราจะมองไม่เห็น เวลาทำอะไรจะเห็นแต่ผลดีทั้งนั้น ทำแล้วดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ พอมันไม่ดีอย่างใจก็มาเสียอกเสียใจภายหลัง ก็เพราะเรามองด้านเดียวไม่เคยคิดว่าส่วนที่มันไม่ดีไม่มีบ้างหรือ ทุกครั้งเวลาเราจะทำอะไร หรือเราเห็นว่าอะไรดี เราถามตัวเราเองบ้างว่า มันไม่มีอะไรไม่ดีบ้างหรือ มันต้องมีทั้งนั้นแหละไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นคนเป็นวัตถุเป็นอะไรทั้งหลาย มันมีไตรลักษณ์ อยู่ทั้งนั้น มันมีความทุกข์ซ่อนเร้นอยู่ เพราะมันเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ไม่ใช่สมบัติของเราอย่างแท้จริง วันนี้มันอยู่กับเรา วันหน้ามันก็จะต้องจากเราไป มันจะไปเมื่อไรเราก็ไม่รู้
จบบุญคือความสุขใจตอนที่ 2 ......................................................
ขอขอบคุณที่มาจาก : เว็บ พระธรรมเทศนา
Create Date : 30 ธันวาคม 2565 |
Last Update : 30 ธันวาคม 2565 8:26:11 น. |
|
31 comments
|
Counter : 548 Pageviews. |
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณคนผ่านทางมาเจอ, คุณtoor36, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณหอมกร, คุณทนายอ้วน, คุณปัญญา Dh, คุณปรศุราม, คุณThe Kop Civil, คุณเนินน้ำ, คุณhaiku, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณเริงฤดีนะ, คุณnewyorknurse, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณกะว่าก๋า, คุณไวน์กับสายน้ำ |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 30 ธันวาคม 2565 เวลา:13:18:10 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 30 ธันวาคม 2565 เวลา:14:14:30 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 30 ธันวาคม 2565 เวลา:15:00:58 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 30 ธันวาคม 2565 เวลา:15:20:21 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 30 ธันวาคม 2565 เวลา:21:32:43 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 30 ธันวาคม 2565 เวลา:23:40:31 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 30 ธันวาคม 2565 เวลา:23:42:31 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 31 ธันวาคม 2565 เวลา:2:48:51 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 31 ธันวาคม 2565 เวลา:9:27:21 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 31 ธันวาคม 2565 เวลา:12:09:45 น. |
|
|
|
โดย: JohnV วันที่: 1 มกราคม 2566 เวลา:0:50:44 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 1 มกราคม 2566 เวลา:4:06:44 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 มกราคม 2566 เวลา:6:31:22 น. |
|
|
|
โดย: poongie วันที่: 1 มกราคม 2566 เวลา:13:21:29 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 1 มกราคม 2566 เวลา:14:34:13 น. |
|
|
|
โดย: un momento วันที่: 2 มกราคม 2566 เวลา:20:22:17 น. |
|
|
|
โดย: แอมอร (peeamp ) วันที่: 9 มกราคม 2566 เวลา:20:45:46 น. |
|
|
|
โดย: กาปอมซ่า วันที่: 9 มกราคม 2566 เวลา:22:25:45 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 มกราคม 2566 เวลา:19:36:32 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 10 มกราคม 2566 เวลา:20:53:10 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 10 มกราคม 2566 เวลา:21:48:29 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 มกราคม 2566 เวลา:5:33:59 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 11 มกราคม 2566 เวลา:23:29:43 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 13 มกราคม 2566 เวลา:15:42:03 น. |
|
|
|
|
|
สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ
มีความสุขกายสุขใจ สุขภาพแข็งแรง เจริญในธรรมด้วยค่ะ