|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน
เรื่องของโลกก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่กิเลสชอบยึดติด ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ชอบอะไรก็อยากจะให้เป็นเหมือนเดิม ไม่อยากให้เสื่อม ไม่อยากให้สูญ ไม่อยากให้จากไป พอจากไปก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา ธรรมะจึงมีหน้าที่สอนใจ ให้รู้จักปรับใจให้เข้ากับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เป็นบุคคล เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ภาวะต่างๆ เช่นดินฟ้าอากาศ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตอนนี้เพิ่งออกมาจากฤดูฝน ฤดูน้ำท่วม เข้าสู่ฤดูหนาว ฤดูแล้ง ต้องปรับไปตามสภาพ อย่าไปยึดติดอยู่กับสภาพใดสภาพหนึ่ง ให้อยู่กับสภาพปัจจุบัน ปัญหาเกิดขึ้นเพราะไม่อยู่กับปัจจุบัน ใจชอบย้อนอดีต คิดถึงอนาคต เบื่อปัจจุบัน ชอบฝันถึงอดีตที่แสนหวาน ฝันถึงอนาคตที่จะมาต่อไป ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในวิสัยว่าจะเป็นไปตามที่ฝันหรือไม่ ปัจจุบันที่ดีแสนดีกลับไม่เห็น ความจริงจะว่าดีก็ไม่เชิง แต่ก็ไม่เลวร้าย ถ้าใจไม่ไปยินดียินร้ายกับเขา ที่เลวร้ายเพราะใจไปปฏิเสธเขา ไม่ชอบเขา ก็เลยเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา เพราะอยากเปลี่ยนเขา ความทุกข์ก็อยู่ตรงที่ไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อยากให้เปลี่ยนเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นก็ทุกข์เพราะไม่อยากให้เปลี่ยน เช่นไม่อยากให้ร่างกายแก่ ไม่ให้ร่างกายเจ็บ ไม่ให้ร่างกายตาย แต่เราก็ไปห้ามเขาไม่ได้ เป็นธรรมชาติของเขา เป็นอนัตตา ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมบังคับของเรา จึงต้องควบคุมใจ สอนใจ ให้นิ่งกับเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ใจสามารถนิ่งกับเหตุการณ์ต่างๆได้ เพราะเหตุการณ์ต่างๆไม่ได้เกิดกับใจ ไม่ได้แตะต้องใจเลย ใจเพียงสัมผัสรับรู้เท่านั้น แต่ใจหลงไปคิดว่าอยู่ในเหตุการณ์ คิดว่าเป็นร่างกาย ซึ่งความจริงเป็นเพียงตัวแทนของใจ อะไรเกิดขึ้นกับร่างกาย ก็ไม่ได้เกิดกับใจ เพราะใจขาดความรู้ความเห็นที่ถูกต้อง ขาดสัมมาทิฐิ ไม่เห็นรูปังอนัตตา คือร่างกายไม่ใช่ใจ กลับไปเห็นว่าร่างกายเป็นใจ พอร่างกายเป็นอะไรไป ก็คิดว่าเป็นไปด้วย ถ้าฝึกสอนใจให้นิ่งให้สงบได้ ใจจะไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดกับร่างกาย ที่ปลอดภัยที่สุดของใจ ก็คือความนิ่งความสงบของใจ ที่มีอยู่ ๒ ระดับด้วยกัน คือสงบในระดับสมาธิ เป็นการสงบชั่วคราว และสงบในระดับปัญญา เป็นการสงบถาวร ในเบื้องต้นต้องอาศัยความสงบของสมาธิก่อน เพราะการจะทำให้สงบด้วยปัญญานั้น ต้องมีสมาธิเป็นเครื่องสนับสนุน ถ้าจิตไม่สงบ ก็เป็นเหมือนน้ำขุ่น ไม่เห็นสิ่งต่างๆที่อยู่ในน้ำ ถ้าน้ำใสสงบ ก็จะเห็นสิ่งต่างๆ จึงต้องทำน้ำให้ใสก่อน เช่นสมัยก่อน เราใช้น้ำที่ตักมาจากแม่น้ำลำคลอง เอามาเทใส่ตุ่มแล้วก็เอาสารส้มมาแกว่ง เพื่อให้ตกตะกอน น้ำก็จะใส พอน้ำใสแล้วก็จะเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่ในน้ำ ใจที่ไม่สงบจะขุ่นมัวด้วยอารมณ์ต่างๆ ด้วยอคติต่างๆ เช่นรัก ชัง กลัว หลง พอทำใจให้สงบแล้วอคติก็จะตกตะกอนไป จะแยกออกจากจิต ทำให้จิตมีหลักมีเกณฑ์มีเหตุมีผล สามารถมองความจริงได้ เหมือนกับแว่นตาที่ได้รับการเช็ดให้ใสสะอาด เวลามองผ่านแว่นตาก็จะเห็นตามความเป็นจริง ถ้าแว่นตามัวก็จะมองไม่เห็นตามความเป็นจริง เห็นสุนัขเป็นแมวไปก็ได้ ฉะนั้นใจที่มีอคติ ๔ มีรัก มีชัง มีกลัว มีหลงอยู่ จะไม่สามารถเห็นความจริงของสภาวธรรมทั้งหลายได้ ว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจังไม่เที่ยง มีการเกิดก็ต้องมีการดับเป็นธรรมดา เป็นทุกข์ ไม่สุขอย่างเดียว ถ้าสุขก็เป็นเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่เป็นสุขแท้ เป็นสุขเทียม เป็นอนัตตา ไม่สามารถควบคุมบังคับให้เป็นไปตามความต้องการได้ นี่คือสิ่งที่ใจที่ไม่มีสมาธิจะไม่สามารถมองเห็นได้ เหมือนกับแว่นตาที่ไม่ได้รับการเช็ดให้ใสสะอาด ถ้าแว่นตามัวเหมือนเวลาถูกไอน้ำเคลือบ จะมองเห็นรางๆ จะไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ ความหลงก็จะทำให้ไม่เห็นไตรลักษณ์ ไม่เห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยง ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ ไม่เห็นอนัตตา ไม่สามารถควบคุมบังคับได้ เช่นเวลารักสิ่งใดบุคคลใด จะไม่มองว่าเขาไม่เที่ยง จะไม่คิดว่าเขาจะต้องจากเราไป จะต้องเสื่อม จะต้องเปลี่ยนไป จะไม่มองว่าเขาจะให้ความทุกข์กับเรา จะไม่มองว่าไม่สามารถควบคุมบังคับรักษา ให้เป็นไปตามความต้องการได้ เพราะถูกความหลงครอบงำจิตใจ ทำให้ไม่สามารถเห็นความจริงได้ ทำให้เห็นตรงข้ามกับความจริง ก็เลยเกิดอคติ คือความรัก ความชัง ความกลัวขึ้นมา ความกลัวนี่ก็เกิดจากการไม่เห็นว่า ร่างกายเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย จึงกลัวแก่กลัวเจ็บกลัวตายกัน ถ้าเห็นว่าเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ก็จะปล่อยวางความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ จะเห็นได้ก็ต้องมีสมาธิ เวลาจิตสงบจิตจะปล่อยวางอุปาทาน ความยึดติดในร่างกายชั่วคราว มีความสุข ไม่เดือดร้อน กับความแก่ความเจ็บความตายของร่างกาย เช่นเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเข้าสมาธิเป็น พอจิตสงบแล้ว จะไม่เดือดร้อนกับความเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย หรือเวลานั่งสมาธิแล้วเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นมาตามร่างกาย แล้วสามารถดึงใจให้เข้าสู่ความสงบได้ ด้วยการบริกรรมพุทโธๆ พอจิตรวมลงเข้าสู่ความสงบแล้ว ก็จะไม่รับรู้อาการเจ็บปวดเลย อาการเจ็บปวดหายไป ถ้ายังรับรู้ว่ามีอาการเจ็บปวด ใจจะไม่เจ็บปวดไปกับความเจ็บปวดของร่างกาย จะเฉยๆเหมือนตอนที่ร่างกายไม่เจ็บปวด นี่คือพลังของสมาธิ ที่ทำให้จิตปล่อยวางอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ว่าเป็นตัวเราของเราได้ ปล่อยวางเวทนาได้ ปล่อยวางความอยากให้เวทนาหายไป ปล่อยวางความอยากที่จะลุกขึ้น เพี่อเปลี่ยนอิริยาบถของร่างกาย เพื่อผ่อนคลายอาการเจ็บปวดของร่างกาย ผู้ที่มีสมาธิสามารถอยู่กับความเจ็บปวดของร่างกายได้ ไม่ต้องรับประทานยาแก้ปวดก็ได้ นี่คือวิธีหนึ่งที่จะปล่อยวาง ที่จะเห็นความจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย เช่นร่างกายว่าไม่ใช่ตัวเรา เพราะเวลาที่จิตสงบ จิตกับร่างกายจะแยกออกจากกันชั่วคราว จะรู้ว่าเป็นคนละคนกัน ถ้าร่างกายเป็นอะไรไป จะรู้ว่าใจไม่ได้เป็นอะไรไปด้วย แต่พอออกจากสมาธิมาแล้ว ใจกับกายก็จะรวมตัวกันเป็นหนึ่งอีก แทนที่จะแยกเป็นสอง ถ้าไม่ใช้ปัญญาคอยสอนใจ ก็จะถูกความหลงที่ยังไม่ได้รับการทำลายอย่างถาวร กลับมาทำหน้าที่หลอก ให้คิดว่าร่างกายเป็นใจ จึงต้องใช้ปัญญาคอยสอนใจอยู่เรื่อยๆว่า ร่างกายไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายไปเป็นธรรมดา เป็นทุกข์ ไม่ใช่เป็นสุข ถ้าไปยึดไปติด ไปอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เช่นไปอยากไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย ก็จะทุกข์ทรมานใจขึ้นมาทันที นี่เป็นหน้าที่ของปัญญา หลังจากออกจากสมาธิมาแล้ว การเจริญปัญญา จะเจริญได้ก็ต้องมีสมาธิมาก่อน แต่จะไม่เจริญไม่พิจารณาตอนที่จิตอยู่ในสมาธิ ตอนที่จิตสงบนิ่งอยู่ ตอนนั้นต้องปล่อยให้จิตพักให้นานที่สุด เพราะการพักของจิตเป็นการตัดกำลังของความหลง ตัดกำลังของอคติ คือรักชังกลัวหลง พอออกจากสมาธิ อคติทั้ง ๔ จะไม่มีกำลัง ตอนนั้นถ้าเจริญปัญญา พิจารณาไตรลักษณ์ก็จะไม่มีอารมณ์หดหู่มารบกวนใจ ต่างกับผู้ที่ไม่มีสมาธิ จะไม่สามารถพิจารณาความจริงของร่างกายได้ว่า เกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เพราะจะมีอคติคอยต่อต้าน คือความชัง ไม่ชอบความแก่ความเจ็บความตาย ไม่เชื่อลองถามตัวเองดูว่า วันหนึ่งได้พิจารณาความแก่ความเจ็บความตายกันสักกี่ครั้ง ไม่เคยคิดถึงมันเลย เพราะไม่ชอบคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ เพราะคิดแล้วเกิดอารมณ์หดหู่ขึ้นมา ทำให้ท้อแท้เบื่อหน่าย ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมถ้าจะต้องตายไป จะคิดอย่างนี้ เป็นผลงานของอคติ คือความรัก ความชัง ความกลัว ความหลง จะสร้างอารมณ์เหล่านี้ขึ้นมา พวกเราจึงไม่ค่อยมีปัญญา ไม่เห็นไตรลักษณ์กัน ไม่เห็นการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่เห็นความทุกข์ ไม่เห็นอนัตตา การที่เราไม่สามารถไปสั่งให้สิ่งต่างๆเช่นร่างกาย ให้เป็นไปตามความต้องการของเราได้เสมอไป นี่คือความแตกต่างระหว่างการมีสมาธิและการไม่มีสมาธิ พอมีสมาธิแล้ว พอออกจากสมาธิ ก็ต้องกำกับความคิดให้คิดไปในทางไตรลักษณ์เลย ถ้าไม่คิดก็จะไม่ได้เจริญปัญญา ก็จะติดอยู่ในขั้นสมาธิ ที่เรียกว่าติดสมาธิ ติดอย่างนี้ หมายถึงนั่งสมาธิอย่างเดียว พอออกจากสมาธิก็ไม่เจริญปัญญา ไม่พิจารณาไตรลักษณ์ ไปทำภารกิจต่างๆตามปกติ พอถึงเวลานั่งสมาธิก็กลับมานั่งใหม่ อย่างนี้ก็จะไม่ก้าวขึ้นสู่ขั้นปัญญาได้ ขั้นสมาธิยังเป็นขั้นโลกิยะ คือสมาธินี้เสื่อมได้ ถ้าตายไปแล้วไปเกิดในชั้นพรหม ก็จะเสื่อมลงมาชั้นเทพ แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ ถ้าได้ขึ้นสู่ขั้นปัญญาแล้ว ซึ่งมีอยู่ ๔ ขั้น คืออริยมรรคผล ๔ ขั้น ได้แก่ขั้นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ถ้าได้ขั้นใดขั้นหนึ่งแล้วจะไม่เสื่อมลงมา ถ้าได้บรรลุเป็นโสดาบันแล้ว ก็จะไม่เสื่อมลงมาเป็นปุถุชน ถ้าได้ขั้นสกิทาคามีแล้ว ก็จะไม่เสื่อมลงมาเป็นโสดาบัน ถ้าได้ขั้นอนาคามีแล้ว ก็จะไม่เสื่อมลงมาเป็นสกิทาคามี ถ้าได้ขั้นอรหันต์แล้วก็จะไม่เสื่อมลงมาเป็นอนาคามี นี่เป็นขั้นของปัญญา ซึ่งมีเพียงพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนขั้นปัญญา ศาสนาอื่นๆที่ผ่านมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่มีความรู้ความสามารถที่จะสอนขั้นปัญญาได้ เพราะไม่เห็นอนัตตา ไม่เห็นสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน มีเพียงพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ที่เห็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา ตอนที่ พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทรงศึกษา ทรงเรียนจากผู้อื่นได้เพียงระดับสมาธิเท่านั้น ครูบาอาจารย์ของพระองค์ ๒ รูป สอนเพียงขั้นรูปฌานและอรูปฌาน ไม่รู้จักปัญญา คือโลกุตรธรรม ไม่รู้อนัตตาที่มีอยู่ในสภาวธรรมทั้งหลาย จึงพยายามควบคุมบังคับสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามความอยากของอคติ ของความหลง สิ่งที่ไม่เที่ยงก็อยากให้เที่ยง แม้แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ ก็ยังมีมนุษย์ที่พยายามคิดค้นคว้าหาหยูกหายา หาวิธีรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อไม่ให้ร่างกายตาย หายามารับประทานเพื่อให้ร่างกายอยู่ไปได้ตลอด นี่ก็เป็นผลงานของความหลง ไม่เห็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามความต้องการได้ ทุกอย่างในโลกนี้มีเกิดต้องมีดับไปเป็นธรรมดา พอไม่เห็นกัน ก็เลยทุกข์กัน แทนที่จะมาแก้ปัญหาที่ใจ ที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ คือความหลงที่ทำให้เกิดความทุกข์ใจ ก็ไปแก้ที่ปลายเหตุ ไปแก้ที่ร่างกาย ด้วยการผลิตสินค้าต่างๆ อุปกรณ์ต่างๆ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ อาหารต่างๆ หยูกยาต่างๆ มาเพื่อทำให้ร่างกายไม่ให้ตาย เพราะคิดว่าถ้าร่างกายไม่ตายแล้วจะได้ไม่ทุกข์ เพราะไม่มีใครอยากตาย ไม่มีใครอยากเจ็บไข้ได้ป่วย แต่หารู้ไม่ว่า นั่นไม่ใช่วิธีดับทุกข์ เพราะความทุกข์ไม่ได้เกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย แต่เกิดจากความอยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตายต่างหาก ถ้าตราบใดยังมีความอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอยู่ ก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา แล้วสมมติว่า ซึ่งคงไม่เป็นความจริง สมมติว่าถ้าสามารถผลิตยาหรือกรรมวิธีทำให้ร่างกายไม่ตายได้ ก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์ เพราะเวลาอยากจะตาย อยากจะฆ่าตัวตาย ก็ทำไม่ได้ เพราะร่างกายไม่ตาย ใจของมนุษย์เราก็เห็นอยู่แล้ว ใช่ไหม บางทีก็อยากอยู่ บางทีก็อยากตาย เวลาอยากตายแล้วไม่ตาย ก็ทุกข์ทรมานใจไปอีกแบบหนึ่ง ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่การแก่ การเจ็บ การตาย แต่อยู่ที่ความอยาก เรียกว่าภวตัณหา ความอยากอยู่ ความอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย วิภวตัณหา ความอยากตาย ถ้าร่างกายยังไม่ตาย แล้วอยากจะตายก็จะทุกข์ เช่นคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ไม่สามารถทำอะไรตามความอยากได้ ก็เกิดวิภวตัณหา อยากจะตาย ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คือที่ร่างกาย จึงไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหา แก้ความทุกข์ สมัยนี้เรามีสิ่งต่างๆมาสนองกิเลสตัณหาของเราอย่างมากมาย แต่พอได้แล้วก็เบื่อ อยากจะทำลาย ถ้าทำลายไม่ได้ก็ทุกข์ใจ เช่นสามีภรรยาเป็นต้น เวลาได้กันใหม่ๆก็รักกันดี พออยู่ไปนานๆก็จะเบื่อ อยากจะทิ้งกัน ปัญหาอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่สิ่งต่างๆภายนอก สิ่งต่างๆภายนอกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ถ้าทำใจให้นิ่ง ไม่ให้เกิดความอยาก ไม่ให้เกิดภวตัณหา วิภวตัณหา กามตัณหาได้ ก็จะไม่เป็นปัญหากับใจเลย จะหนาวก็อยู่กับมันได้ จะร้อนก็อยู่กับมันได้ น้ำจะท่วมก็อยู่กับมันได้ แม้แต่ร่างกายจะตายไปก็รับได้ เวลาเข้าสมาธิไปก็เหมือนกับปล่อยร่างกายให้ตายไปชั่วคราว ถ้าเข้าสมาธิเป็นจะรู้ว่าความตายไม่เป็นปัญหากับใจเลย นี่คือประโยชน์ของการปฏิบัติธรรม เพียงขั้นสมาธิก็จะเห็นคุณประโยชน์มากอยู่แล้ว เป็นที่พึ่งทางใจได้ชั่วคราว เวลามีความทุกข์ใจก็เข้าไปในสมาธิ ความทุกข์ใจก็จะหายไป ไม่ว่าจะทุกข์เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเบื่อหน่ายกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ กับคนนั้นกับคนนี้ ก็ไปปลีกวิเวก ไปเข้าสมาธิ ปล่อยวางสิ่งที่เบื่อหน่าย ไม่ไปยุ่งกับเขา พอใจสงบแล้ว ก็จะไม่เดือดร้อน ถ้าต้องกลับไปพบกันอีก ถ้าจะอยู่กับสิ่งต่างๆโดยไม่ทุกข์ ก็ต้องใช้ปัญญา ต้องพิจารณาว่าสิ่งต่างๆนี้ ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของเรา ที่จะไปควบคุมให้เป็นไปตามความต้องการได้ เพราะฉะนั้นจงอย่าไปอยากกับสิ่งต่างๆ อย่าไปอยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เขาเป็นอย่างไรก็ให้พอใจ จะได้ไม่เดือดร้อน อากาศหนาวก็พอใจกับอากาศหนาว อากาศร้อนก็พอใจกับอากาศร้อน อยู่ด้วยกันได้ เพราะใจเป็นเพียงผู้รับรู้เท่านั้นเอง ใจไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ร่างกายต่างหากที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้ที่จะรับเคราะห์รับประโยชน์ก็คือร่างกาย เช่นเวลารับประทานอาหาร ใจไม่ได้รับประทานอาหารเลย ร่างกายเป็นผู้รับประทานอาหาร ใจเป็นเพียงผู้ดู แต่ใจกลับไปวุ่นวายมากกว่าร่างกาย ที่รับประทานอาหารได้ทุกรูปแบบทุกชนิด แต่ใจกลับรับประทานไม่ได้ ทั้งๆที่ใจไม่ได้เป็นผู้รับประทาน ถ้าทำใจให้นิ่งเฉยได้ ปล่อยให้ร่างกายรับประทานไป เหมือนรับประทานยา มีอะไรก็ตักเข้าปากไป เคี้ยวไปกลืนไป เพื่อเยียวยาให้ร่างกายอยู่ต่อไปได้ ถ้าเป็นอาหารที่สะอาด ไม่เป็นพิษ เป็นภัย เป็นโทษ ก็ใช้ได้ ถ้าใจมีปัญญา แยกออกจากร่างกายเป็น การรับประทานอาหารจะเป็นเหมือนการรับประทานยา จะไม่กังวลกับสีสันกับรูปร่างของยา หมอให้ยาชนิดไหนมารับประทาน ก็รับประทานได้ อาหารก็เป็นยาอย่างหนึ่ง เพื่อเยียวยาร่างกายไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ให้ร่างกายอยู่ได้อย่างปกติ ถ้าใจมีอคติ มีความหลงครอบงำ ก็จะคิดว่าตนเป็นผู้รับประทานอาหาร ถ้ามีอคติ ความชอบ ความชัง ก็จะเลือกอาหาร อาหารชนิดนี้รับประทานได้ อาหารชนิดนั้นรับประทานไม่ได้ ทั้งๆที่ใจไม่ได้รับประทานแม้แต่คำเดียวเลย ผู้ที่รับประทานก็คือร่างกาย เหมือนกับคนขับรถที่ขับรถไปเติมน้ำมัน แล้วก็เลือกปั๊ม เพราะปั๊มนี้ไม่มีของแจก ปั๊มนี้ไม่ลดราคา แต่รถมันไม่สนใจหรอก น้ำมันปั๊มไหนก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่คนขับนี่เรื่องมาก มีรักมีชัง มีความอยาก อยากจะได้คูปอง อยากจะได้ผ้าขนหนู อยากจะได้ปฏิทิน ก็เลยต้องเลือกปั๊ม นี่คือความหลงที่ครอบงำใจ ถ้าทำใจให้สงบได้ความหลงจะถูกฉีดยาสลบ จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ถูกตัดกำลังลงไป ทำให้คิดด้วยเหตุด้วยผลได้ คิดตามความจริงได้ ทำให้เห็นความจริงได้ เช่นเห็นคนที่เรารักว่า สักวันหนึ่งต้องจากไป ก็จะเตรียมตัวเตรียมใจรับกับเหตุการณ์ได้ ถ้าจิตไม่สงบจะไม่กล้าคิดถึงการจากกัน เพราะจะคิดว่าเป็นการสาปแช่ง ถ้าคิดแล้วจะจากกันทันที ก็เลยไม่กล้าคิดกัน พอไม่กล้าคิด เวลาจากกันก็ทำใจไม่ได้ เพราะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน ถ้ามีสมาธิแล้ว จะกล้าพิจารณาความไม่เที่ยง การพลัดพรากจากกัน เขาจะจากเราไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไปห้ามเขาไม่ได้ เขาเป็นอนัตตา ถ้าไปอยากแล้วไม่ได้ดังใจ ก็จะทุกข์ทรมานใจ นี่คือการเห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องเห็นหลังจากที่ออกจากสมาธิมาแล้ว ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ในสิ่งที่เรามีอคติด้วย โดยเฉพาะสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชังก็เหมือนกัน เช่นการถูกดุด่าว่ากล่าว ครหา นินทา อันนี้เราไม่ชอบ เราชัง ก็ต้องสอนใจว่า บังคับเขาไม่ได้ เขาอยากจะด่า เราจะไปห้ามเขาได้อย่างไร เหมือนเสียงนกเสียงกานี่ จะไปห้ามเขาได้อย่างไร นี่เห็นไหมเสียงนก เสียงกา มันก็ร้องของมันอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่ชอบจะไปห้ามเขาได้อย่างไร ต้องห้ามใจเราสิ ทำใจให้เฉย เป็นสมาธิ เหมือนขณะที่อยู่ในสมาธิ การที่ใจไม่เฉยก็เพราะมีความอยาก ถ้าตัดความอยากได้ จะด่าก็ได้ จะชมก็ได้ ใจก็จะสงบ จะนิ่ง นิ่งด้วยปัญญา จากการเห็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา เห็นว่าไม่สามารถควบคุมบังคับสั่งการ ให้สิ่งต่างๆเป็นไปตามความอยากได้ ต่อไปก็จะไม่มีความอยาก จะอยู่กับความจริงตลอดเวลา ......................................................
ขอขอบคุณที่มาจาก : เว็บ พระธรรมเทศนา
Create Date : 14 มิถุนายน 2567 |
Last Update : 14 มิถุนายน 2567 8:58:12 น. |
|
18 comments
|
Counter : 611 Pageviews. |
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณหอมกร, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณThe Kop Civil, คุณปัญญา Dh, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณmultiple, คุณกะว่าก๋า, คุณสองแผ่นดิน, คุณtoor36, คุณปรศุราม, คุณhaiku, คุณดอยสะเก็ด, คุณร่มไม้เย็น, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณkae+aoe, คุณtuk-tuk@korat, คุณeternalyrs, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณฟ้าใสทะเลคราม, คุณกาปอมซ่า, คุณtanjira |
โดย: หอมกร วันที่: 14 มิถุนายน 2567 เวลา:9:07:29 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 14 มิถุนายน 2567 เวลา:15:39:01 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 14 มิถุนายน 2567 เวลา:16:12:52 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 มิถุนายน 2567 เวลา:18:55:42 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 14 มิถุนายน 2567 เวลา:20:15:42 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 14 มิถุนายน 2567 เวลา:20:41:30 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 14 มิถุนายน 2567 เวลา:21:05:14 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 มิถุนายน 2567 เวลา:5:25:04 น. |
|
|
|
โดย: กาปอมซ่า วันที่: 21 มิถุนายน 2567 เวลา:20:24:34 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 23 มิถุนายน 2567 เวลา:16:32:59 น. |
|
|
|
โดย: tanjira วันที่: 25 มิถุนายน 2567 เวลา:15:54:21 น. |
|
|
|
|
|
|
สวัสดีครับ
ขอส่งความสุขให้กับทุกคน
|
|
|
|
|
|
|