Group Blog
 
<<
กันยายน 2566
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
29 กันยายน 2566
 
All Blogs
 
ยินดีในธรรมะ

               

              พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า ไม่มีอะไรน่ายินดียิ่งกว่าธรรมะ สิ่งที่ควรยินดีมากที่สุดก็คือธรรมะ เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดสำหรับจิตใจ สิ่งอื่นๆในโลกนี้ไม่มีคุณค่ากับจิตใจเลย เพราะช่วยจิตใจไม่ได้ มีแต่ธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยปลดเปลื้องจิตใจ ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ชนิดใดก็ตามจะไม่สามารถเข้ามาเหยียบย่ำจิตใจได้เลย ถ้ามีธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ พระพุทธเจ้าเป็นถึงพระโอรส มีสมบัติเงินทองข้าวของมากมาย แต่ทรงมีพระปัญญาที่เห็นว่าสมบัติต่างๆ ไม่สามารถดับความทุกข์ความวุ่นวายใจได้ ยิ่งมีมากยิ่งวุ่นวายใจมาก ทรงเห็นว่าทางเดียวที่จะหลุดพ้นได้ก็คือ ต้องสละต้องปล่อยวาง ไม่อาศัยไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ เพราะไม่เที่ยงแท้แน่นอน ถ้าพึ่งพาอาศัยสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ก็จะต้องผิดหวังสักวันหนึ่ง วันนี้เราอาศัยเขาได้ พอพรุ่งนี้ถ้าอาศัยเขาไม่ได้ เราจะไปอาศัยใคร พระพุทธเจ้าจึงทรงหาวิธีอยู่โดยไม่อาศัยสิ่งต่างๆในโลกนี้ ทรงศึกษาค้นคว้าตามสำนักต่างๆ เบื้องต้นทรงทราบว่าต้องเป็นนักบวชอยู่แบบสมถะเรียบง่าย ไม่อาศัยวัตถุเงินทอง อาศัยเพียงแต่สิ่งที่ทำให้ร่างกายอยู่ไปได้วันๆหนึ่ง  ร่างกายต้องอาศัยปัจจัย ๔ ถึงจะอยู่ได้ แต่ร่างกายไม่ใช่จิตใจ เป็นคนละส่วนกัน เป็นองค์ประกอบของชีวิต  คือกายและใจ  เราทุกคนสามารถดูแลร่างกายกันได้ มีปัจจัย ๔ ร่างกายก็อยู่ได้แล้ว จนถึงเวลาที่ไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ ก็ต้องหยุดหายใจ แต่ใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ใจไม่เกิดดับ เป็นอยู่อย่างนั้น เป็นธาตุรู้ เป็นตัวรู้ ที่มาครอบครองร่างกาย ที่เป็นเพียงบ่าว เป็นลูกน้อง เป็นสมุน เป็นเครื่องมือของใจ ใจใช้ร่างกายให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ด้วยอำนาจของอวิชชาความไม่รู้ โมหะความหลง ทำให้คิดว่ามีร่างกายแล้วจะมีความสุข จึงไปหาร่ายกายมาเป็นเครื่องมือ เพื่อจะได้เสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ ที่ชอบอกชอบใจ ถ้าไปเจอส่วนที่ไม่ชอบ ก็เกิดความทุกข์ความวุ่นวายใจขึ้นมา
 
นี่คือเรื่องของกายกับใจ กายต้องมีปัจจัย ๔ ใจต้องมีธรรมะถึงจะมีความสุข เพราะธรรมะเป็นเหมือนปัจจัย ๔ ของใจ เป็นอาหารใจ มีธรรมะแล้วจะมีความอิ่มเอิบใจ มีความปลอดภัย มีความมั่นคง ไม่หวั่นไหวกับภัยต่างๆ ที่จะเข้ามาเหยียบย่ำทำลายจิตใจ เหมือนกับมีบ้าน เราก็ไม่หวั่นไหวกับฝนฟ้า ฝนจะตกแดดจะออกอย่างไร เราอยู่ในบ้านก็ปลอดภัย ถ้ามีธรรมะก็เหมือนมีเรือนใจ ธรรมะเป็นยารักษาโรคใจด้วย  โรคของใจก็คือความทุกข์ความวุ่นวายใจ ถ้ามีธรรมโอสถก็จะดับความทุกข์ความวุ่นวายใจได้ พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงออกแสวงหาธรรมะ เพื่อจะได้ปัจจัย ๔ มาดูแลรักษาใจ ส่วนปัจจัย ๔ ของร่างกายก็มีตามอัตภาพ ไม่จำเป็นต้องหรูหราวิเศษ อาหารจะมีราคาเท่าไรก็ไม่สำคัญ ถ้ารับประทานเข้าไปแล้วทำให้อิ่มท้อง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ถือว่าเหมือนกัน อาหารที่ขายตามข้างถนน อาหารที่ขายในร้านหรูหรา รับประทานเข้าไปก็ได้ผลเท่ากันคือ ทำให้ร่ายกายอิ่ม อยู่ต่อได้ ปัจจัย ๔ ของนักบวช จึงไม่พิถีพิถันเหมือนกับฆราวาส  เพราะนักบวชมีปัญญา รู้ความเหมาะสม รู้ประมาณ แต่ฆราวาสเนื่องจากถูกอำนาจของกิเลสตัณหาครอบงำอยู่มาก จึงไม่รู้จักประมาณในปัจจัย ๔ จะหลงยึดติดกับความหรูหรา ความฟุ่มเฟือย  บ้านต้องราคาสัก ๑๐ ล้านจึงจะอยู่ได้ ของต่างๆต้องมีราคาแพงๆ เสื้อผ้าแทนที่จะใส่ชุดละ ๒๐๐-๓๐๐ ก็ต้องใส่ชุดละ สองพัน สามพันขึ้นไป ไม่ใช้ปัญญาพิจารณาเลยว่าใส่ไปเพื่ออะไร  ความจริงเสื้อผ้าก็มีไว้เพื่อปกปิดอวัยวะร่ายกาย ป้องกันแดด ป้องกันฝน ป้องกันอากาศเย็น ป้องกันแมลงต่างๆ ที่จะมากัดเท่านั้นเอง
       
นี่คือความแตกต่างของการใช้ปัจจัย ๔  ของฆราวาสกับนักบวช เพราะนักบวชมีสติปัญญาสูงกว่าฆราวาส นักบวชไม่ต้องการความสุขจากปัจจัย ๔ ของร่างกาย นักบวชมุ่งไปที่ปัจจัย ๔ ของจิตใจคือธรรมะ ที่จะทำให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่วุ่นวายไม่ทุกข์กับเรื่องต่างๆ ด้วยการอยู่แบบสมถะเรียบง่าย เพื่อตัดความกดดันที่ผลักดันให้ไปหาปัจจัย ๔ ราคาแพงๆมาใช้ ถ้าใช้ของแพงๆก็จะต้องวุ่นกับการหาเงินหาทองมาซื้อของแพงๆ จนติดเป็นนิสัย ถ้าไม่ได้ใช้ของแพงๆ จะเศร้าสร้อยหงอยเหงา เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา ถ้าอยู่แบบเรียบง่ายตามมีตามเกิด ก็จะไม่มีความกดดันเกี่ยวกับปัจจัย ๔ ถ้าต้องอดอาหารบ้างเป็นครั้งคราว ก็จะไม่เดือดร้อน บางทีไม่มีคนใส่บาตร หรือใส่แต่ข้าวเปล่า ไม่มีกับข้าว  นักบวชจะไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีสิ่งที่ดีกว่าคุ้มครองใจ ถึงแม้จะไม่ได้ของถูกปากถูกใจรับประทาน แต่ใจไม่ว้าวุ่นขุ่นมัว เพราะได้รับการฝึกฝนอบรมให้อยู่แบบเรียบง่าย ตัดตัณหาความอยากต่างๆ ให้เบาบางลง เมื่อไม่มีตัณหา ความทุกข์ก็ไม่มี เพราะความทุกข์เกิดจากตัณหา ความอยาก ยิ่งจู้จี้จุกจิกมากเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้ ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ยิ่งสร้างเงื่อนไขขึ้นมาทำลายมาผูกมัดมาทิ่มแทงตนเองให้มากขึ้น เพราะฆราวาสไม่มีสติปัญญาเห็นความทุกข์ใจได้ เพราะถูกความหลงหลอกให้มองแต่ความสุขที่จะได้ตามความต้องการ พอได้อะไรมาก็จะดีใจ ตัวลอยเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ กว่าจะรู้ว่าเป็นสวรรค์เดี๋ยวเดียวเท่านั้น ก็ตกลงไปนรกอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ได้มาไม่จีรังถาวร ไม่ให้ความสุขนาน ได้อะไรมาใหม่ๆก็ดีใจเลี้ยงฉลองกันใหญ่ เสร็จแล้วความอยากใหม่ก็โผล่ขึ้นมา ต้องตะเกียกตะกายวิ่งเต้น ดิ้นรนหาทางที่จะให้ได้มาอีก นี่คือความทุกข์ที่ฆราวาสมองไม่เห็นกัน
       
แต่นักบวชจะเห็นความทุกข์ที่เกิดจากความอยาก วิถีชีวิตของนักบวชกับฆราวาสจึงต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน ฆราวาสเหมือนอยู่บนสวรรค์ กินอยู่อย่างสุขอย่างสบาย ตามความต้องการของตน  นักบวชอยู่ตามมีตามเกิด เหมือนอยู่ในนรก ใจของฆราวาสเหมือนอยู่ในนรก เพราะรุ่มร้อนกับความอยากความวุ่นวายต่างๆ ความเสียใจ ความผิดหวัง ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แต่ใจของนักบวชกลับอยู่บนสวรรค์ เพราะใจไม่วุ่นวาย ไม่รุ่มร้อนกับสิ่งต่างๆ ยินดีตามมีตามเกิด ได้มากได้น้อยก็พอใจ ได้อะไรมาก็พอใจ นี่คือเรื่องของใจที่ฆราวาสจะไม่ค่อยเข้าใจกัน เพราะขาดการศึกษาเล่าเรียน ขาดการได้ยินได้ฟังจากผู้รู้ ก็เลยหลงอยู่ในสังคมของคนตาบอดด้วยกัน โดนสิ่งเดียวกันคอยยั่วยุ ให้แข่งขันทำลายตน สร้างความทุกข์ให้กับตน  ด้วยความพยายามแสวงหาลาภยศสรรเสริญสุขมาให้มาก ถ้ามีมากก็จะได้รับคำสรรเสริญเยินยอยกย่อง ว่าเป็นคนเก่ง  เป็นคนวิเศษ  แต่หารู้ไม่ว่าใจกำลังอยู่ในนรก ไม่สงบสุข ไม่มั่นคงเลย เหมือนปีนขึ้นบนหลังเสือแล้วกลัวจะตกลงมา มีตำแหน่งสูงๆก็กลัวจะสูญเสียตำแหน่งไป ไม่มั่นใจในตัวเอง ยกเว้นคนที่มีธรรมะกำกับจิตใจเท่านั้น ที่มีปัญญามองเห็นความไม่เที่ยงของลาภยศสรรเสริญสุข รู้ว่าได้อะไรมาสักวันก็ต้องจากไป เจริญลาภก็มีการเสื่อมลาภ เจริญยศก็มีการเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีสุขก็มีทุกข์ ถ้ามีปัญญาก็จะไม่วุ่นวายใจ จะไม่ทุกข์มาก ยอมรับกับสภาพได้ เวลาสูญเสียทรัพย์สมบัติ เงินทอง ก็ไม่ร้องห่มร้องไห้ เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าต้องหมดไป เมื่อหมดวาระที่อยู่ในตำแหน่ง ก็ไม่เสียอกเสียใจ เพราะรู้ว่าเป็นสมบัติผลัดกันชม เหมือนการเล่นเก้าอี้ดนตรี
 
เรื่องการสรรเสริญนินทาก็เช่นกัน เป็นปากของคน เราบังคับควบคุมปากของคนอื่นไม่ได้ จะพูดดีก็ได้ จะพูดร้ายก็ได้ แต่สิ่งที่เราห้ามได้คือใจของเรา ไม่ให้ไปหลงยินดี ไปเสียใจกับคำพูดของเขา ปล่อยให้พูดไป อยากจะพูดอะไรก็พูดไป ถ้าไม่ยึดติดคำพูดของเขาก็ไม่มีความหมาย ไม่มีน้ำหนัก สุขกับทุกข์ก็เช่นเดียวกัน เราอยู่ในโลกที่มีความสุขกับความทุกข์สลับกันไป เพราะเหตุการณ์ต่างๆหมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ มีการเกิดการดับ เวลาเกิดก็ดีอกดีใจ เวลาตายก็เสียอกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ นี่คือชีวิตของคนเรา ทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาส ก็ต้องสัมผัสเช่นเดียวกัน  คนที่สัมผัสแล้วไม่กระทบกระเทือนก็คือคนที่มีปัญญา คนที่ได้ศึกษาได้ปฏิบัติ ได้ควบคุมใจของตน ไม่ให้หลงมัวเมากับการเจริญของลาภยศสรรเสริญสุข ไม่ให้อยากได้ลาภยศสรรเสริญสุข ถ้าไม่อยากก็ไม่เป็นปัญหา จะมามากน้อยอย่างไร ก็จะไม่กระทบกับใจเรา นี่คือการดูแลรักษาใจให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากความทุกข์ความวุ่นวายต่างๆ ต้องมีปัญญา เข้าใจสภาพความเป็นจริงของโลกว่าเป็นอย่างนี้ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ได้มาไม่นานก็กลายเป็นความทุกข์ไป ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติที่แท้จริงของเรา ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆก็เช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่ยืมมาจากธรรมชาติ เวลาเกิดก็ยืมร่างกายมาจากพ่อแม่ พอโตขึ้นทำมาหากินหาเงินได้ ก็ไปซื้อข้าวของซื้อสิ่งต่างๆมา มีคู่ครอง มีลูก มีอะไรตามมา แล้วสักวันหนึ่งก็ต้องจากกันไป ทุกคนต้องไปด้วยกันหมด เวลามาก็มาตัวเปล่าๆ เวลาไปก็ไปตัวเปล่าๆ ใจมาตามลำพัง มาด้วยอำนาจของบุญบาปที่ได้ทำมา
 
ถ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นวาระของบุญส่งผลให้มาเกิด การจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างน้อยต้องเคยรักษาศีล ๕ มา ถึงแม้จะไม่ได้รักษาทุกวันหรือตลอดเวลา ถ้าเคยมีศีล ๕ ก็ถือว่ามีสิทธิ์ ขึ้นอยู่กับว่ามีมากมีน้อย ถ้ามีมากโอกาสที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็มีมาก ถ้ามีน้อยโอกาสก็น้อย เหมือนกับการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ถ้าคะแนนสูงมาก โอกาสที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัยก็มีมาก ถ้าคะแนนต่ำก็ลดหย่อนตามกันไป การได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้า ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน  ก็ต้องมีศีลเป็นปัจจัยส่งไป พวกเราที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี้ แสดงว่าในชาติก่อนเราเคยมีศีลมาบ้าง ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยต้องเคยรักษา จึงส่งให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเคยทำบาป เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยิงนก ตกปลา ตบยุง ฆ่ามด แมลง พอเป็นวาระของบาปส่งผล ก็จะทำให้เราเกิดเป็นยุง เป็นนก เป็นแมลง เป็นสัตว์ต่างๆ ไปจนกว่าชีวิตของสัตว์นั้นจะหมดไป แล้วก็ไปเกิดใหม่อีก ตามวาระของบุญของกรรม ถ้าเป็นวาระของบาปก็ต้องกลับไปเกิดในอบายอีก เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยสลับกันไป ถ้าเป็นวาระของบุญ ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทพบ้าง เป็นพรหมบ้าง ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ในสกุลดี ได้เจอพระพุทธศาสนา ที่สั่งสอนให้ทำความดีละบาป มีศรัทธาปฏิบัติตาม ก็จะสะสมโอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้ามากขึ้น เหมือนกับเรียนหนังสือ ถ้าตั้งใจเรียนโอกาสที่จะได้รับปริญญาก็มีมาก ถ้าไปเกิดในสกุลที่ไม่ส่งเสริมเรื่องการทำบุญละบาป แต่ส่งเสริมให้ทำบาป ไม่ให้ทำบุญ ก็ทำตาม ก็เหมือนกับไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้สะสมบุญบารมี ชาติต่อไปก็จะไม่ดีกว่าชาตินี้
 
ถ้าได้สะสมบุญบารมีมามาก ไม่ว่าจะเกิดในสกุลใด ถ้าสอนให้ทำบาปก็จะไม่ทำ จะทำแต่บุญอย่างเดียว เพราะอำนาจของบุญที่ได้สะสมมามีพลังมาก จะพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีทางที่จะลงไปต่ำ ยกเว้นไปพบอุบัติเหตุทำให้จิตใจพลิกไป จากการใฝ่บุญใฝ่กุศลเป็นใฝ่บาป เช่นองคุลิมาลที่มีจิตใจใฝ่สูง ได้เป็นนักบวช แต่ถูกอาจารย์หลอกให้ไปทำบาป เพราะความอยากที่จะบรรลุธรรมชั้นสูง และมีศรัทธาเชื่อในอาจารย์ของตน ก็เลยต้องไปทำบาปฆ่าคนเกือบพันคน โชคดีที่ได้ไปเจอพระพุทธเจ้า ที่ทรงช่วยพลิกจิตขององคุลิมาลให้กลับเป็นสัมมาทิฐิ ให้เห็นว่าการฆ่าผู้อื่นไม่ได้เป็นการสร้างบุญบารมี แต่เป็นการทำบาปทำกรรมให้ตนเองต้องตกนรก จึงเกิดศรัทธายึดคำสอนของพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตาม จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เลย หนีพ้นบ่วงกรรมที่ได้ทำไว้ ที่ไปฆ่าคนเกือบพันคนไปได้ เพราะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงไม่ต้องไปเกิดอีก กรรมจึงไม่สามารถไปทำอะไรกับจิตดวงนั้นได้ เพราะได้พ้นจากบ่วงกรรมไปแล้ว จึงควรแน่วแน่ต่อการทำบุญทำความดี แน่วแน่ต่อการละบาป แน่วแน่ต่อการกำจัดความโลภความโกรธความหลง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ในเหตุการณ์ใด อยู่ในโลกไหนภพไหนก็ตาม เพื่อจิตใจของเราจะได้พัฒนาได้เจริญสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ลิ้มรส พระธรรมอันประเสริฐคือพระนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ครอบครองเป็นสมบัติอย่างแน่นอน ไม่อยู่เหนือวิสัยของผู้มีจิตใฝ่บุญใฝ่กุศลจะไขว่คว้ามาครองได้
 
จึงควรใช้ภพชาติของมนุษย์ให้คุ้มค่า เพราะมีภพของมนุษย์เพียงภพเดียวเท่านั้น ที่จะสะสมบุญบารมีได้ ถ้าไปเกิดในภพอื่นก็จะทำไม่ได้มากนัก เกิดเป็นเดรัจฉานก็จะสะสมบุญบารมีได้น้อย อาจจะได้บ้าง เช่นลิงกับช้างที่ได้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า แต่ไม่มีโอกาสสะสมบุญบารมีขั้นมรรคผลนิพพานได้ ทำได้อย่างมากก็ทำบุญทำทาน ถ้าไปเกิดเป็นเทพก็จะมีแต่ความสุข ไม่ต้องทำบุญให้ทาน เพราะบนสวรรค์มีความสุขด้วยกันทุกคน มีภพของมนุษย์เท่านั้น ที่มีทั้งสุขทั้งทุกข์ปนกันไป สามารถทำบุญได้ ทำบาปได้ ขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละคน ว่ามีปัญญามากน้อยเพียงไร ถ้าเป็นมนุษย์ก็ควรเข้าหาผู้รู้ ทรงสอนให้คบบัณฑิต ไม่ให้คบคนพาล บัณฑิตคือคนที่รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้บุคคล รู้สังคม รู้กาลเทศะ รู้ประมาณ รู้เหตุรู้ผล คือรู้ว่าการกระทำของเราเป็นเหตุ ที่จะทำให้เกิดความสุขความเจริญ หรือความทุกข์ความเสื่อมเสีย ถ้าทำดีก็จะได้ความสุขความเจริญเป็นผลตอบแทน ถ้าทำชั่วก็จะได้ความทุกข์ความเสื่อมเสียเป็นผล รู้ตนคือรู้สถานภาพของเรา ว่าเราเป็นใคร เป็นอะไร เป็นหญิงหรือเป็นชาย รู้บุคคล รู้คนที่เราเกี่ยวข้องด้วย ว่าเป็นใคร สูงกว่าหรือต่ำกว่าหรือเท่าเรา เพื่อจะได้ปฏิบัติให้เหมาะสมกับฐานะ รู้สังคม คือรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคม รู้กาลเทศะ คือรู้เวลาและสถานที่ อยู่ที่ใดเวลาใด  ควรจะทำตัวอย่างไร ควรสงบนิ่งหรือควรกระโดดโลดเต้น รู้ประมาณ คือรู้ความพอดี เช่นปัจจัย ๔ ดังที่ได้พูดเมื่อสักครู่นี้ว่า ให้กินเพื่ออยู่ อย่าอยู่เพื่อกิน ถ้ากินเพื่ออยู่ก็จะลดปัญหาไปได้มาก ถ้าอยู่เพื่อกินก็จะวุ่นวายกว่าจะกินได้สักมื้อ ต้องหาร้านอาหาร ร้านนี้ก็ไม่ถูกใจ ร้านนี้ก็ไม่อร่อย ร้านนี้คนก็มาก กว่าจะได้กินหายหิวพอดี
       
ถ้ายังไม่มีปัญญาก็ควรคบบัณฑิต อย่าไปคบคนพาล คนโลภโมโทสัน ไร้เหตุไร้ผล ชอบทำอะไรตามอารมณ์ หลงระเริงกับลาภยศสรรเสริญสุข ถ้าเลวไปกว่านี้ก็คือพาลแบบไร้ศีลธรรม ชอบยิงนกตกปลา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน เสพสุรายาเมา เกียจคร้าน คบคนชั่วเป็นมิตร ถ้าไปคบกับคนพวกนี้ ก็จะถูกชักชวนดึงให้ลงต่ำ ไม่เกิดปัญญา ภพชาตินี้จะสูญไปเปล่าๆ ไม่ได้สะสมบุญบารมี ได้แต่สะสมบาป แทนที่จะก้าวหน้ากลับถอยหลัง เสียชาติเกิด ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับจิตใจเลย ทำประโยชน์ให้กับกิเลส ความโลภความโกรธความหลง ฉุดลากให้ลงต่ำ ให้เข้าไปในกองทุกข์ จึงขอสรุปว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่เลิศวิเศษมาก เป็นคุณเป็นประโยชน์มาก ให้ใช้ชีวิตของมนุษย์ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ทำตามความโลภความโกรธความหลง


 
......................................................



ขอขอบคุณที่มาจาก : 
 เว็บ พระธรรมเทศนา
 



Create Date : 29 กันยายน 2566
Last Update : 29 กันยายน 2566 8:28:57 น. 14 comments
Counter : 638 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณหอมกร, คุณปัญญา Dh, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณปรศุราม, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณThe Kop Civil, คุณทนายอ้วน, คุณtoor36, คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณSweet_pills, คุณtanjira, คุณกะว่าก๋า, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณJohnV, คุณnewyorknurse, คุณข้าน้อยคาราวะ, คุณeternalyrs, คุณEmmy Journey พากิน พาเที่ยว, คุณเนินน้ำ


 
สาธุธรรมค่ะ


โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 29 กันยายน 2566 เวลา:9:02:24 น.  

 
อนุโมทนาบุญวันพระใหญ่จ้า



โดย: หอมกร วันที่: 29 กันยายน 2566 เวลา:9:44:11 น.  

 
สวัสดีครับคุณ mp5


โดย: ปัญญา Dh วันที่: 29 กันยายน 2566 เวลา:9:55:59 น.  

 
สวัสดี จ้ะ น้องเอ็ม
มาอ่านข้อคิดและธรรมะ จ้ะ
กิเลส เป็นมารตัวสำคัญที่ทำให้เกิดความทุกข์
จริง ๆ จ้ะ มีธรรมะคอยกล่อมเกลาจิตใจ เราก็จะ
รอดจากความทุกข์ได้ จ้ะ
โหวดหมวด ข้อคิดและธรรมะ


โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 29 กันยายน 2566 เวลา:11:03:09 น.  

 


โดย: The Kop Civil วันที่: 29 กันยายน 2566 เวลา:15:31:08 น.  

 
สวัสดีครับคุณเอ็ม


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 29 กันยายน 2566 เวลา:21:51:53 น.  

 


สาธุค่ะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 30 กันยายน 2566 เวลา:0:17:11 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณเอ็ม

สาธุธรรมค่ะ


โดย: tanjira วันที่: 30 กันยายน 2566 เวลา:13:58:12 น.  

 
ยินดีในธรรมะ
ธรรมะอยู่ในความยินดี



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 กันยายน 2566 เวลา:15:15:18 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 ตุลาคม 2566 เวลา:6:45:06 น.  

 
แวะมาเข้าวัดออนไลน์ สวัสดีค่ะ


โดย: ข้าน้อยคาราวะ (ข้าน้อยคาราวะ ) วันที่: 1 ตุลาคม 2566 เวลา:10:09:42 น.  

 


ขอบคุณคุณพีสำหรับกำลังใจนะคะ


โดย: Sweet_pills วันที่: 2 ตุลาคม 2566 เวลา:0:16:02 น.  

 
เข้าวัดออนไลน์สาธุครับ


โดย: thaichaiyo วันที่: 2 ตุลาคม 2566 เวลา:10:56:41 น.  

 
มาทักทายและส่งกำลังใจค่ะ


โดย: เนินน้ำ วันที่: 5 ตุลาคม 2566 เวลา:15:49:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

**mp5**
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]




สวัสดีครับ

ขอส่งความสุขให้กับทุกคน




New Comments
Friends' blogs
[Add **mp5**'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.